เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม

<< < (6/16) > >>

เด็กท่าเรือ:
 
  วิชา อัลฟาลัก มีความจำเป็นต่อมุสลิมทุกคน ในกรณีต่อไปนี้

    1. ใช้กำหนดเวลาปฏิบัติศาสนกิจหรือศอลาตในแต่ละเวลาของแต่ละวัน

    2. ใช้กำหนดทิศกิบลัตที่มุสลิมทุกคนต้องผินหน้าเข้าหาเวลาศอลาตหรือทำกิจกรรมบางอย่าง

    3. ใช้กำหนดเดือนจันทรคติ หรือเดือนกอมารียะฮ์ ของปีฮิจเราะฮ์ศักราช

    4. ใช้กำหนดวันเริ่มต้นเดือนกอมารียะฮ์

    5. ใช้กำหนดวันสำคัญของอิสลาม เช่น อิดิลอัฏฮา อิดิลฟิตรี 1 รอมดอน 1 มุฮัรรอม เป็นต้น

    สังคมมุสลิมต้องมีผู้รู้ในการที่จะกำหนดเวลาของสิ่งที่กล่าวมาทั้งห้าข้อนี้ ความสำคัญของวิชา อัล ฟาลัก ในสังคมมุสลิมจึงมานานแล้ว เพราะการกำหนดเวลาเหล่านี้ต้องใช้ความรู้ทาง อัล ฟาลัก ทั้งสิ้น แม้แต่การสังเกตจันทร์เสี้ยว ในการขึ้นต้นเดือนกอมารียะฮ์เดือนใหม่ ผู้สังเกตจันทร์เสี้ยวควรหรือต้องมีความรู้ทาง อัล ฟาลัก จึงจะสรุปได้ถูกต้องว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็น จันทร์เสี้ยวหรือไม่อย่างไร

ที่มา http://www.fathoni.com

เด็กท่าเรือ:

กุรอานกล่าวถึงดาราศาสตร์อย่างไร

กุรอานถูกวะฮ์ยูผ่านศาสดามูฮำหมัด ( ซ . ล .) เมื่อ 1400 ปีมาแล้ว ในยุควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปัจจุบัน กุรอานถูกพิสูจน์มาตลอดและกุรอานก็ไม่เคยถูกหลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาหักล้างได้ และกุรอานยังคงท้าท้ายให้มนุษยชาติพิสูจน์ถึงสัจจะที่มีอยู่ตลอดกาลไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต

ในบทที่ 44 ซูเราะฮ์อัลดุคอน โองการที่ 38 และ 39 ความว่า “ เรามิได้สร้างฟากฟ้าและแผ่นดินรวมทั้งสรรพสิ่งระหว่างทั้งสอง เพียงเพื่อไร้สาระและเรามิได้สร้างมันทั้งสองโดยไม่มีสัจธรรมภายใน แต่ทว่าส่วนมากพวกเขาไม่รู้ ”

ในบทที่ 2 ซูเราะฮ์อัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 164 ความว่า “ และแท้จริงในการสร้างฟากฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการสลับระหว่างกลางคืนกับกลางวัน และนาวาที่เคลื่อนที่อยู่ในทะเลเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮ์ได้หลั่งลงมาจากฟ้า เพื่อชุบชีวิติแก่ผืนแผ่นดิน ภายหลังที่มันได้ตายไป และทรงสร้างสัตว์ทุกชนิดให้กระจายไปทั่วแผ่นดิน และการผันแปรของลม และเมฆที่ถูกควบคุมให้อยู่ระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นสัญญลักษณ์สำหรับมวลชนที่ใช้ปัญญาตริตรอง ”

กุรอานได้พยายามท้าท้ายและบอกล่าวแก่มนุษย์อย่างเป็นนัยๆถึง ความเป็นวิทยาศาสตร์และความมีเหตุผลของการสร้างสรรจักรวาล ถึงแม้ว่ากุรอานไม่ใช่ตำราทางวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่มีอยู่ในกุรอานนั้นพร้อมที่จะให้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ทุกเมื่อ

กุรอานได้กล่าวถึงเหตุการทางทางดาราศาสตร์อยู่หลายโองการ เช่นโองการดังต่อไปนี้
บทที่ 55 ซูเราะฮ์ อัรรอฮ์มาน โองการที่ 5 ความว่า “ ดวงอาทิตย์และดวงเดือน ต่างโคจรไปตามการคำนวณ ”

บทที่ 55 ซูเราะฮ์ อัลอัมบิยาอ์ โองการที่ 33 ความว่า “ พระองค์ผู้ทรงบันดาลกลางคืนและกลางวัน ดวงอาทิตย์และดวงเดือน ทุกสิ่งนั้นโคจรตามเส้นทาง ”

บทที่ 10 ซูเราะฮ์ ยูนุส โองการที่ 5 ความว่า “ พระองค์เป็นผู้ทรงบันดาลให้ดวงอาทิตย์มีประกายสว่างไสวและดวงเดือนเป็นรัศมี และทรงกำหนดมันไว้หลายตำแหน่ง ( ตามระบบการโคจร)เพื่อพวกเจ้าจะได้ทราบจำนวนปีและการคำนวณ อัลลอฮ์มิทรงบันดาลสิ่งนั้นนอกจากโดยความสัจจริงพระองค์ทรงจำแนกบรรดาสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อกลุ่มชนที่มีความรู้ ”

ในบทที่ 36ซูเราะฮฺ ยาซีน โองการที่ 39 ความว่า ความว่า "และดวงเดือนเราได้กำหนดตำแหน่ง(คำนวณ)ต่างๆของมันไว้ ( ให้เปลี่ยนแปลงที่ปรากฏในสายตา ) จนกระทั้งมันมีสภาพ ประหนึ่งกาบอินทผลัมเก่าๆ ( เรียวเล็กในยามข้างแรม ) "

ในบที่ 6 ซูเราะฮ์ อัลอันอาม โองการที่ 69 ความว่า " พระองค์ทรงเป็นผู้เบิกอรุณรุ่ง และทรงบันดาลเวลากลางคืนให้เป็นเวลาพักผ่อน และบันดาลดวงตะวันและดวงเดือนเป็นหลักแห่งการคำนวณนั้นเป็นข้อกำหนดของ ( อัลลอฮฺ ) ผู้ทรงอำนาจ อีกทั้งรอบรู้ยิ่ง "

โองการที่กล่าวมานี้แสดงความหมายอย่างชัดแจ้ง โดยไม่ต้องคำอธิบายใดๆเพิ่มเติม

เกี่ยวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่โคจรอยู่ การโคจรนี้ทำให้เรากำหนดเวลาได้และสามารถใช้ในการคำนวณได้

ในโองการที่กล่าวมานี้มีคำว่า "มานาซิล ” ( Manazil) หมายถึง เฟส (phase) ของดวงจันทร์หรือภาพดวงจันทร์ขนาดต่างๆที่เราเห็นในข้างขึ้นข้างแรม และมีอยู่สองโองการมีคำว่า " ก็อดดารา ”(Qaddara) หมายถึง การคำนวณ (calculate) หรือการวัด (Measure) และในโองการที่กล่าวมามีคำว่า " ฮิซาบ ”(Hisab) ซึ่งหมายถึงการคำนวณ (Computation) จะเห็นว่าในกุรอานได้ระบุชัดเจนว่าดวงดาวนั้นมีกฏเกณฑ์ที่อัลลอฮ์กำหนดไว้ หากมนุษย์มีความรู้จะสามารถคำนวณตำแหน่งหรือปริมาณอื่นๆของดวงดาวได้

ในกุรอานอัลลอฮ์ได้กล่าวว่า จันทร์เสี้ยว (hilal) นั้น ใช้กำหนดเวลาและการทำฮัจญ์ ดังในบทที่ 2 ซูเราะฮ์ อัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 189 ความว่า " พวกเขาเหล่านั้นจะถามเจ้าเกี่ยวกับดวงจันทร์เสี้ยวเริ่มเดือนใหม่ เจ้าจงตอบว่า มันเป็นเครื่องหมายบอกเวลาแก่มนุษย์และการประกอบพิธีฮัจญ์ และหาใช่ว่าคุณธรรมแท้จะอยู่ที่พวกเจ้าเข้าบ้านทางเบื้องหลังของมัน แต่ทว่าคุณธรรมที่แท้จริงนั้นคือบุคคลที่มีความยำเกรงและเข้าบ้านตามประตูปกติของมัน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิดเพื่อพวกเจ้าจะได้ประสบความสมหวัง "

ในซูเราะฮ์ต่อไปนี้อัลลอฮ์กล่าวเป็นนัย แสดงถึงว่าโลกนี้กลม เพราะสิ่งที่จะพันหรือล้ำกันได้นั้น ต้องเป็นทรงกลม

กุรอานบทที่ 39 สูเราะฮ์ อัซซุมัร โองการที่ 5 ความว่า “ พระองค์ทรงสร้างฟากฟ้าและแผ่นดินโดยสัจจะ ทรงล้ำ(พัน)กลางคืนกลางวันและทรงล้ำ(พัน)กลางวันกลางคืน และทรงอำนวยประโยชน์แก่ดวงตะวันและดวงดาว ทุกๆสิ่งมันโคจรไปตามวาระที่ถูกกำหนดไว้แล้ว พึงสังวร! พระองค์ทรงอำนาจยิ่ง ทรงให้อภัยยิ่ง ”

และในบทที่ 31 สูเราะฮ์ ลุกมาน โองการที่ 29 ความว่า “ เจ้าไม่สังเกตดอกหรือ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงล้ำกลางคืนเข้าในกลางวัน และล้ำกลางวันข้าในกลางคืน และพระองค์ทรงอำนวยประโยชน์ดวงตะวันและดวงเดือน ทั้งหมดนั้นจะโคจรไปตามกำหนดการที่ถูกระบุไว้ และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงตระหนักยิ่ง ในสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติ ”

การที่จะเข้าใจกุรอานได้นอกจากต้องมีความรู้ในเรื่องภาษาอัลกุรอานแล้ว ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในสมัยปัจจุบันและในอนาคต รายละเอียดของอิสลามกับวิทยาศาสตร์นั้นมีมาก * ไม่สามารถที่จะกล่าวในที่นี่ได้ครบถ้วน
ที่มา http://www.fathoni.com

เด็กท่าเรือ:


โลกและจักรวาล

มนุษย์สงสัยในเรื่องราวเกี่ยวกับโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ท้องฟ้าและอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวมาตังแต่เริ่มมีมนุษย์อาศัยบนโลกแล้ว ในสมัยกรีกเชื่อว่าโลกแบน โดยมีแผ่นดินอยู่ตรงกลางมีทะเลล้อมรอบ คล้ายไข่ดาว โลกอยู่นิ่งกับที่ โดยมีท้องฟ้าครอบอยู่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ติดแน่นกับท้องฟ้า โดยท้องฟ้าเป็นผลึกแก้ว (Crystaling) ที่หมุนอยู่รอบโลก ต่อมา 497 BC.( ปีก่อนคริสตศักราช ) พีทากอรัสแห่งสามอส (Pithagorus of Samos) คิดว่าโลกเป็นทรงกลมอยู่ตรงกลางโดยมีทรงกลมท้องฟ้าอยู่รอบๆ มีดวงดาวติดกับท้องฟ้าที่กำลังหมุนรอบโลก ในปี 408 BC ยูโดซัส (Eodoxus) คิดว่าโลกเป็นทรงกลมอยู่ตรงกลางมีท้องฟ้าเป็นชั้นๆจำนวน 27 ชั้นแต่ละชั้นของท้องฟ้าที่เป็นผลึกมีดวงดาวประเภทต่างๆอยู่ เช่น ชั้นที่หนึ่งเป็นที่อยู่ของดาวที่อยู่กับที่ ชั้นที่ 3 เป็นที่อยู่ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ชั้นที่ 4 เป็นที่อยู่ของดาวเคราะห์ เป็นต้น ทรงกลมแต่ละชั้นจะหมุนด้วยอัตราเร็วต่างกัน ทำให้สังเกตเห็นการเคลื่อนที่แบบถอยหลัง (retrograde motion) ของดาวเคราะห์ ในปี 384-322 BC อริสโตเติล (Aristotle) ได้เพิ่มทรงกลมท้องฟ้าเป็น 55 ชั้น ระบบทั้งหมดที่กล่าวมานี้คิดว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลาง ของจักรวาล เรียกระบบนี้ว่าจีออเซนตริก (Geocentric System) และอีกระบบหนึ่งคือเฮลิโอเซนตริก (Heliocentric System) หรือระบบที่พิจารณาว่าดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ดาวอยู่ในทรงกลมท้องฟ้าวงนอกสุดแนวคิดนี้เสนอครั้งแรกโดย อริสตาคัส (Aristarcus 310-230BC.) แต่อย่างไรก็ตามความคิดที่ให้ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางไม่ได้รับการยอมรับในสมัยนั้น ดังนั้นระบบจีออเซนตริกจึงยังคงใช้อยู่ ฮิปปาร์คัส (Hipparchus165-127 BC) ปโตเลมี (Ptolemais ค . ศ .150) ยังคงสนับสนุนและพัฒนาระบบจีออเซนตริก ซึ่งสามารถใช้อธิบายและทำนายปรากฏการบนท้องฟ้าได้ถูกต้อง ( การคิดแบบจีออเซนตริกและเฮโลเซนตริก จะให้ผลการคำนวณไกล้เคียงกัน )

ในช่วงอาณาจักรโรมันจนถึง ค . ศ .400 ความรู้ทางจักรวาลวิทยาไม่ได้ถูกพัฒนาต่อ บางส่วนถูกทำลายลง จนกระทั้งการมาของศาสดามุฮำหมัด ( ซ . ล .) ในปี ค . ศ .620 และจากนั้นมุสลิมมีอำนาจในการปกครองเกือบค่อนโลก นักคิด นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์มุสลิม ได้แปล ตำราของกรีกมากมายเป็นภาษาอาหรับมุสลิมมิใช่เพียงแต่ทำให้ตำราเก่าๆของกรีกยังคงอยู่ได้ เท่านั้นแต่ได้พัฒนาแนวความคิดและสร้างสรรสิ่งใหม่ขึ้นมามากมายในวงการวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 11 ในสเปญ เช่น เมืองโทเลโด เมืองคอร์โดบา (Toledo and Cordoba) นับเป็นศูนย์กลางของการศึกษาและเริ่มมีการแปลตำราจากภาษาอาหรับเป็นภาษาลาตินและฮิบรู มรดกด้านความรู้ที่มุสลิมถ่ายทอดมายังยุโรปดำเนินไปด้วยความเชื่องช้าเพราะสมัยนั้นยุโรปยังอยู่ในยุคมืด
ของศิลปวิทยาการ ตำราดาราศาสตร์ ของปโตเลมีที่ชื่อ อัลมาเจส (Almagest) ที่นักดาราศาสตร์มุสลิมแปล ซึ่งมีหลายฉบับได้รับความนิยมจากยุโรปมาก จาก นักวิทยาศาตร์
มุสลิมอัลคาวาริสมี อัลคินดี อัลบาตานี และอีก หลายๆท่าน ได้พัฒนาความรู้ทาง ดาราศาสตร์มากมายไม่ว่าจะเป็นระบบ จีออเซนตริกและระบบเฮลิโอเซนตริกจนถึงสมัย คอเปอร์นิคัสและกาลิเลโอ


ที่มาhttp://www.fathoni.com

เด็กท่าเรือ:


ตัวเลขในดาราศาสตร์

ปริมาณต่างๆทางวิทยาศาสตร์อาจจะมีค่ามากๆ เช่นปริมาณทางดาราศาสตร์ หรืออาจจะมีค่าน้อยๆ เช่นปริมาณทางฟิสิกส์ของอะตอม ปริมาณที่มีค่ามากหรือน้อยกว่าปกติ ในทางวิทยาศาสตร์จะบอกเป็นตัวเลขเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Notation) โดยอาศัยเลขสิบยกกำลังคูณกับค่าที่ต้องการ มิฉะนั้นตัวเลขเหล่านั้นจะเขียนยากและอ่านยาก เช่น

ระยะทางเฉลี่ยจากโลกถึงดวงอาทิตย์ คือ 149,597,900,000 เมตร

มวลของดวงอาทิตย์ คือ 1,989,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000 กรัม

ขนาดของไฮโดรเจนอะตอม คือ 0.0000000000106 เมตร

จะเห็นว่าตัวเลขเหล่านี้นอกจากจะอ่านยากแล้วยังไม่เห็นภาพของขนาดว่าใหญ่หรือเล็กขนาดใด ในทางวิทยาศาสตร์จึงใช้เลข 10 ยกกำลัง มาช่วยในการเขียน โดยอาจจะเป็นคำนำหน้าหน่วยก็ได้หรือจะใช้คูณโดยตรงก็ได้ เลขสิบยกกำลังที่นิยมใช้แสดงในตารางที 2.1 เมื่อใช้เลขสิบยกกำลังช่วยในการเขียน ปริมาณที่กล่าวมาเขียนได้ดังนี้

มวลของดวงอาทิตย์ คือ

1,989,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000 กรัม =1.989x10 30 Kg

ขนาดของไฮโดรเจนอะตอม คือ 0.0000000000106 เมตร = 1.06x10 -11 เมตร

หน่วยทางดาราศาตร์

ระทางระหว่างดวงดาวนั้นห่างไกลกันมากกว่าระยะทางที่เราใช้ในชีวิติประจำวัน ดังนั้นการวัดระยะทางในทางดาราศาสตร์นั้นจึงมีหน่วยทางดาราศาสตร์เฉพาะ คือ

1 AU หมายถึงระยะทางเฉลี่ยจากโลกถึงดวงอาทิตย์ คือ 149,597,900,000 เมตร เขียนโดยประมาณคือ 149,600,000,000 เมตร หรือ 1.496x10 8 กิโลเมตร

ระยะทาง 1.496x10 8 กิโลเมตร เรียกว่า 1 หน่วยดาราศาสตร์ (Astronomical Unit:AU)

1 LY (Light Year) หรือ 1 ปีแสง หมายถึงระยะทางที่แสงเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 299,792.458 กิโลเมตรต่อวินาที ในเวลา 1 ปี จะได้

1 ปีแสง เท่ากับ 9.46x10 12 กิโลเมตร

เช่น ดาวอัลฟา เซนเทารี ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด อยู่ห่างจากโลก 4.2 ปีแสงหมายถึงแสงจากดาวอัลฟา เซนเทารี เดินทางจากดาวนี้มาถึงโลกใช้เวลา 4.2 ปี หรือถ้าวัดเป็นหน่วยดาราศาสตร์คือ 266,000 AU
ระยะทางจากจุดศูนย์กลางของทางช้างเผือกถึงโลก คือ 26,000 ปีแสง (1.65x10 9 AU)

ที่มา http://www.fathoni.com

เด็กท่าเรือ:
 ทรงกลมและวงกลม

รูปที่ 3.1 ก . แสดงรูปทรงกลมใดๆ ที่มีจุด O เป็นจุดศูนย์กลาง ถ้าเราผ่าทรงกลมนี้ให้ผ่านจุดศูนย์กลางไม่ว่าจะแนวใด ดังรูปที่ 3.1 ข . ทรงกลมนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆกันเสมอ



ก . ข .

 

รูปที่ 3.1 ก . แสดงทรงกลม และ

ข . แสดงการผ่าทรงกลมผ่านจุดศูนย์กลาง

 

การผ่าทรงกลมผ่านจุดศูนย์กลาง นอกจากจะทำให้เกิดการแบ่งทรงกลมออกเป็นสองส่วนเท่าๆกันแล้ว ยังทำให้เกิดระนาบของวงกลมที่บริเวณที่ถูกผ่าด้วย

รูปที่ 3.2 ก . แสดงทรงกลมที่ถูกผ่าโดยเส้นในแนวนอนผ่านจุดศูนย์กลาง แบ่งทรงกลมออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน และเกิดเป็นระนาบของวงกลมขึ้นในแต่ละซีก

วงกลมที่เกิดจากการผ่าทรงกลมผ่านจุดศูนย์กลางเรียกว่า วงกลมใหญ่ ( Large Circle ) ส่วนรูปที่ 3.2 ข . วงกลมข้างบนนั้นเป็นการผ่าทรงกลมโดยไม่ผ่านจุดศูนย์กลาง ทำให้เกิดระนาบเช่นกัน แต่ไม่ได้แบ่งทรงกลมออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน วงกลมของระนาบนี้เรียกว่าวงกลมเล็ก ( Small Circle )

 

ก .                                                                  ข .

รูปที่ 3.2 ก . แสดงวงกลมใหญ่ และ ข . แสดงวงกลมใหญ่และวงกลมเล็ก

 

ทั้งวงกลมใหญ่และวงกลมเล็กเกิดได้ในทุกระนาบของการผ่าทรงกลม วงกลมทั้งสองนี้จะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวดังจะได้กล่าวต่อไป ในทางดาราศาสตร์ทรงกลมท้องฟ้าจะมีคุณสมบัติดังทรงกลมที่กล่าวมา รูปที่ 3.2 ก . ระนาบที่ตัดในแนวนอนผ่านจุดศูนย์กลางนี้จะแบ่งท้องฟ้าออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน หากเราอยู่ที่จุดศูนย์กลาง ทรงกลมซีกบนคือท้องฟ้าของผู้สังเกต วงกลมใหญ่คือระนาบเส้นขอบฟ้า (Horizon) ของผู้สังเกต ส่วนทรงกลมส่วนล่างเรามองไม่เห็นเพราะอยู่ใต้เท้าเรา ดังรูปที่ 3.3




ในทางดาราศาสตร์จะมองว่า ทีผิวทรงกลมด้านในของทรงกลมท้องฟ้านี้จะมีเทหฟากฟ้า เช่น ดาวต่างๆ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรืออื่นๆติดอยู่และทรงกลมท้องฟ้านี้เคลื่อนที่โดยการหมุนทวนเข็มนาฬิกาหรือจากตะวันออกไปตะวันตก เมื่อเทียบกับผู้สังเกตบนโลก เราจึงเห็นเทหฟากฟ้าเคลื่อนที่จากทิศตะวันออกไปตะวันตก เรียกว่าการขึ้น - ตกของเทหฟากฟ้า การที่เราเห็นการหมุนของทรงกลมท้องฟ้านี้ เพราะโลกหมุนรอบตัวเองในทิศตรงข้ามกับทรงกลมท้องฟ้า ดังรูปที่ 3.4



การพิจารณาตำแหน่งของเทหฟากฟ้า ทีติดอยู่กับทรงกลมท้องฟ้านั้น เป็นการลากเส้นจากจุดหนึ่งบนผิวทรงกลมท้องฟ้าไปยังอีกจุดหนึ่งบนผิวทรงกลมท้องฟ้า เส้นที่ลากระหว่า ง จุดบนทรงกลมย่อมไม่เป็นเส้นตรง แต่จะเป็นเส้นโค้ง ถ้าเป็นจุดสามจุดที่ลากเส้นผ่านบนผิวทรงกลม จะได้รูปสามเหลี่ยมฐานโค้ง หรือสามเหลี่ยมทรงกลม (Spherical Triangle)

ความสัมพันธ์ระหว่างด้านและมุมของสามเหลี่ยมฐานโค้งจะไม่เป็นไปตามฟังชั่นตรีโกณมิติทั่วไป (ดูภาคผนวก ก.) แต่จะเป็นตรีโกณมิติทรงกลม( Spherical Trigonometry : Segitiga Bola ) ซึ่งนับเป็นพื้นฐานสำคัญในวิชา ดาราศาสตร์ปฏิบัติ( Practical Astronomy) ดาราศาสตร์การเดินเรือ (Nautical Astronomy) ดาราศาสตร์การรังวัด (Geodesy Astronomy)

ที่มา http://www.fathoni.com

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version