ผู้เขียน หัวข้อ: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม  (อ่าน 30651 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: ก.ค. 16, 2007, 02:38 AM »
0
ญะซากัลลอฮ์สำหรับ บัง dektharue  ครับผม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ เด็กท่าเรือ

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • เพศ: ชาย
  • ความยำเกรงนั้น คือ กุญแจแห่งทางที่เที่ยงตรง
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • bantharua
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: ก.ค. 16, 2007, 09:49 PM »
0


ระบบพิกัด( Coordinate System)

ระบบการบอกตำแหน่งหรือพิกัดทางดาราศาสตร์นั้นมีหลายระบบและแต่ละระบบจะมีความสัมพันธ์กับพิกัดอื่น และเกี่ยวข้องกับการบอกพิกัดของตำบลใดๆบนผิวโลกด้วย ในบทนี้จะได้กล่าวถึงพิกัดชนิดต่างๆและปริมาณต่างๆที่เกี่ยวข้อง

4.1 เส้นลองจิจูด(เส้นแวง)และแลตติจูด(เส้นรุ้ง)(Longitude and Latitude)

          ระบบพิกัดที่ใช้บอกตำแหน่งของตำบลใดๆบนพื้นผิวโลก บอกด้วยปริมาณพื้นฐาน 2 ปริมาณ คือ ลองจิจูด(longitude, l) และ แลตติจูด(latitude, f)
และมีปริมาณที่เกี่ยวข้องอีก 2 ปริมาณ คือ เส้นเมอริเดียน(Meridian) และเส้นศูนย์สูตร(Equator)ของโลก รูปที่ 4.1 ก.และ ข. แสดงเส้นศูนย์สูตร(Equator) และเส้นเมอริเดียน(Meridian) ของโลก ตามลำดับ

เส้นศูนย์สูตร(Equator)ของโลก คือ ระนาบของวงกลมใหญ่ที่อยู่บนผิวโลก โดยห่างจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เท่าๆกัน คือ 900 หรือกล่าวง่ายๆว่า เส้นศูนย์สูตรของโลก คือ เส้นที่ผ่าโลกในแนวนอนหรือแนวราบ(Horizontal) ดังรูปที่ 4.1 ก.เส้นศูนย์สูตรมีได้เส้นเดียว

เส้นเมอริเดียน(Meridian)ของโลก คือ ระนาบของวงกลมใหญ่ที่อยู่บนผิวโลก โดยลากจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ หรือกล่าวง่ายๆว่า เส้นเมอริเดียนของโลก คือ เส้นที่ผ่าโลกในแนวดิ่งหรือแนว(Vertical) ดังรูปที่ 4.1 ข.เส้นเมอริเดียนมีได้หลายเส้น




   

ก.แสดงเส้นศูนย์สูตร และ ข. แสดงเส้นเมอริเดียน ของโลก

 

เส้นเมอริเดียนเส้นใดๆจะตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตรเสมอ ณ ที่เส้นทั้งสองตัดกัน เนื่องจากเส้นเมอริเดียนมีได้หลายเส้น ดังนั้นจึงมีเส้นเมอริเดียนเส้นหนึ่งถูกกำหนดให้เป็นเส้นหลัก โดยเส้นเมอริเดียนเส้นอื่นๆจะใช้อ้างอิงเส้นหลักนี้ด้วย

            เส้นเมอริเดียนหลัก(Prime Meridian) นี้ถูกกำหนดให้เป็นเส้นที่ลากผ่านตำบล กรีนนิช(Greenwich) ในประเทศอังกฤษ จึงเรียกเส้นเมอริเดียนที่ผ่านตำบลกรีนนิชว่า เส้นเมอริเดียน กรีนนิช (Meridian of Greenwich) หรือ เส้นเมอริเดียนมาตรฐาน(Standard Meridian) เส้น เมอริเดียนเส้นอื่นๆจะอ้างอิงเส้นมาตรฐาน ดังรูปที่ 4.2 ดังนี้

            ลองจิจูด(l)ของตำบลใดๆ หมายถึง ระยะทางเชิงมุมวัดไปตามเส้นศูนย์สูตรของโลก โดยเริ่มจากเส้นเมอริเดียนที่กรีนนิช ถึง เส้นเมอริเดียนของตำบลนั้นๆ มีหน่วยเป็น องศา หรือชั่วโมง กำหนดว่าเส้นเมอริเดียนที่ผ่านกรีนนิชให้นับเป็น ศูนย์(0)องศา โดย

            ตำบลที่อยู่ทางตะวันออกของเส้นเมอริเดียนกรีนนิช จะมีค่าลองจิจูดเป็น 00 ถึง 1800 ตะวันออก หรือ 0 ถึง 1800 E นิยมใช้ค่าเป็นเครื่องหมาย บวก(+)

ตำบลที่อยู่ทางตะวันตกของเส้นเมอริเดียนกรีนนิช จะมีค่าลองจิจูดเป็น 00 ถึง 1800 ตะวันตก หรือ 0 ถึง 1800 W นิยมใช้ค่าเป็นเครื่องหมาย ลบ(-)

เช่น อำเภอเมืองจังหวัดปัตตานี อยู่ที่ ลองจิจูด 101.300 E เป็นต้น

แลตติจูด(f)ของตำบลใดๆ หมายถึง ระยะทางเชิงมุมทางเหนือหรือใต้จากเส้นศูนย์สูตรโดยวัดไปตามเส้นเมอริเดียนขึ้นหรือลงจากเส้นศูนย์สูตรจนถึงตำบลนั้นๆ มีหน่วยเป็น องศา โดยเริ่มนับจากเส้นศูนย์สูตรเป็น ศูนย์(0)องศา ขึ้นเหนือถึงขั้วโลกเหนือ 900 และลงใต้ถึงขั้วโลกใต้ 900 โดย

ตำบลที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรจะมีค่า 0 ถึง 900  เหนือ หรือ N ใช้เครื่องหมาย บวก(+)

            ตำบลที่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรจะมีค่า 0 ถึง 900  ใต้ หรือ S ใช้เครื่องหมาย ลบ(-)

เช่น อำเภอเมืองจังหวัดปัตตานี อยู่ที่ แลตติจูด 6.8330 N เป็นต้น     

ตัวอย่าง พิกัด เช่น

อำเภอเมืองเชียงใหม่ f = 18.78330 N  l = 98.78330 E

อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา f = 6.6670 N  l = 100.500 E

ตารางในภาคผนวก ข.ได้ให้ค่า f และ  l ของแต่ละอำเภอทั่วประเทศ(ไม่เป็นทางการ)

เมื่อใช้ในการคำนวณ f 0 N  ใช้เครืองหมาย บวก(+)

       l 0 E ใช้เครืองหมาย บวก(+)

เมื่อใช้ในการคำนวณ f 0 S  ใช้เครืองหมาย ลบ(-)

       l 0 W ใช้เครืองหมาย ลบ(-)


แสดงลองจิจูด และ แลตติจูด ของตำบลใดๆ

 

4.2 เส้นแบ่งโซนเวลา(Zone Time)

          ความแตกต่างของค่าลองจิจูดในแต่ละตำบล จะหมายถึงแต่ละตำบลนั้นมีเวลาแตกต่างกันด้วย ดังนั้นบางครั้งหน่วยของลองจิจูดจะบอกเป็นค่า ชั่วโมง แทน องศา และยังคงใช้เส้นเมอริเดียนกรีนนิชเป็นเส้นอ้างอิงเวลาเช่นเดิม

            เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองในทิศตามเข็มนาฬิกา หรือหมุนจากซ้ายไปขวา ทำให้เราสังเกตเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกและตกทางตะวันตก ประเทศหรือตำบลที่อยู่ทางตะวันออก ดวงอาทิตย์จะขึ้นก่อนประเทศหรือตำบลที่อยู่ทางตะวันตก ตำบลที่อยู่ทางตะวันออกจึงมีเวลาที่เร็วกว่าตำบลที่อยู่ทางตะวันตก เช่นฮ่องกงอยู่ทางตะวันออกของไทย เวลาของฮ่องกงจึงเร็วกว่าเวลาในประเทศไทย(1 ชั่วโมง) ส่วนจะเร็วกว่าเท่าใดขึ้นกับค่าลองจิจูดมาตรฐานของแต่ละประเทศ

            ทำนองเดียวกับการกำหนดลองจิจูดปกติ เมื่อพิจารณาลองจิจูดเป็นเส้นเวลา ลองจิจูดก็เป็นเส้นกำหนดเวลาแทน ในแต่ละตำบลในประเทศเดียวกันก็ย่อมมีเส้นลองจิจูดของตัวเอง ดังนั้นเวลาของละตำบลจะต่างกันด้วย เรียกว่าเวลาท้องถิ่น(Local Time) ในแต่ละประเทศจึงได้กำหนดเวลามาตรฐานของตัวเอง โดยตกลงแบ่งเส้นลองจิจูดออกเป็นแถบ  หรือ  โซน(Zone)

มิฉะนั้นเวลาแต่ละเมืองในประเทศเดียวกันย่อมต่างกันตามลองจิจูด

            ในปี ค.ศ.1884 นานาชาติได้ตกลงแบ่งโซนเวลาออกเป็น 24 โซนเวลานานาชาติ(International Zone Time) โดยนับ 0 ชั่วโมง ที่กรีนนิช เรียกว่า เวลามาตรฐานกรีนนิช(Greenwich Standard Time, Universal Time)และแบ่งโซนละ 1 ชั่วโมงไปทางตะวันออกและไปทางตะวันตกของกรีนนิช โดยแบ่งมุมและเวลาดังนี้

                        24 ชั่วโมง คือ 360 องศา

            ดังนั้น   1 ชั่วโมง คือ 360/24 เท่ากับ 15 องศา

            และ  1 องศา คือ  24/360 คือ 1/15 ชั่วโมง เท่ากับ (1/15)x60 เท่ากับ 4 นาที

            ที่ โซน 0 ชั่วโมง คือ นับจากตำบลกรีนนิชไปทางตะวันออก 7.5 องศา และนับไปทางตะวันตก 7.5 องศา หนึ่งโซนจึงเท่ากับ 15 องศา ทำนองเดียวกับโซนอื่นๆ นับจากเส้นโซนเวลาไปทางซ้ายและขวา 7.5 องศา

แต่ละประเทศสามารถกำหนดโซนของตนเองได้ หมายถึงเส้นโซนเวลาไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรง โดยเฉพาะเส้นที่ 180 องศาตะวันออก และ 180 องศาตะวันตก ซึ่งบรรจบกันพอดี เส้นนี้ คือ เส้นแบ่งวันนานาชาติ(International Date Line) ดังแสดงในรูปที่ 4.3

            การที่ประเทศใดจะใช้โซนเวลาที่เท่าใดนั้น โดยทั่วไปสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ประเทศนั้นตั้งอยู่ จะเป็นตัวกำหนดโดยอัตโนมัติ เช่นประเทศไทยใช้โซนเวลาที่ 7 ซึ่งตรงกับ ลองจิจูดที่ 105 องศา ตะวันออก เส้นลองจิจูด 105 องศาตะวันออกนี้ ผ่านจังหวัดอุบลราชธานีพอดี เวลาที่โซน 7 นี้ คือเวลามาตรฐานของประเทศไทย โดยมีกรมอุทกศาสตร์ กระทรวงกลาโหม เป็นผู้รักษาเวลาไว้

ฉะนั้นเวลาท้องถิ่นของแต่ละตำบลในประเทศไทยอาจจะช้าหรือเร็วกว่าเวลามาตรฐานของประเทศ ขึ้นกับว่าตำบลนั้นอยู่ก่อนหรือหลังเส้นลองจิจูด 105 องศาตะวันออก ตำบลส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีค่าลองจิจูดน้อยกว่า 105 องศาตะวันออก เวลาท้องถิ่นจึงช้ากว่าเวลามาตรฐานของประเทศ ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณเวลาศอลาตซุฮรี ดังจะได้กล่าวต่อไป

            ประเทศซาอุดีอารเบีย ใช้โซนเวลาที่ 3 เวลาของซาอุดีอารเบียจึงช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง เช่น

            เวลากรีนนิช 13:00 น. ตรงกับเวลามาตรฐานประเทศซาอุดีอารเบีย 13+3 คือ 16 น.

           

เวลากรีนนิช 13:00 นตรงกับเวลามาตรฐานประเทศไทย 13+7 คือ 20 น.

            จะเห็นว่าเวลาของประเทศไทยเร็วกว่าเวลาของซาอุดีอารเบีย 4 ขั่วโมง หรือ เวลาของซาอุดีอารเบียช้ากว่าเวลาประเทศไทย 4 ชั่วโมง

            ประเทศมาเลย์เซีย ใช้โซนเวลาที่ 8 แม้ว่าตามสภาพภูมิศาสตร์ควรใช้โซน 7 แต่ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและขนาดที่กว้าง(รวมเกาะซาบาฮ์ ซาราวัค)

            ประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ก็จะมีการใช้โซนเวลาหลายโซน ตามแต่ละบริเวณ และในประเทศซีกโลกเหนือหรือใต้ จะมีการกำหนดเวลาในฤดูร้อนและหนาวต่างกัน ด้วยเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ ในฤดูร้อนจะเปลี่ยนโซนเวลาให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เรียกว่า ช่วงประหยัดเวลากลางวัน(daylight saving time) หรือ เวลาฤดูร้อน(summer time)



แสดงภาพโซนเวลาของโลก

 



 
" ท่านพึงเป็นผู้รู้ หรือผู้เล่าเรียน หรือผู้รับฟัง หรือผู้รักใคร่ (ในบุคคลเหล่านั้น)
และท่านอย่าเป็นคนที่ห้า แล้วท่านจะวิบัติอย่างแน่นอน "

ออฟไลน์ เด็กท่าเรือ

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • เพศ: ชาย
  • ความยำเกรงนั้น คือ กุญแจแห่งทางที่เที่ยงตรง
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • bantharua
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: ก.ค. 16, 2007, 09:54 PM »
0
หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.fathoni.com/ ได้ครับ



ดวงจันทร์และการเกิดข้างขึ้น-ข้างแรม




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 16, 2007, 10:04 PM โดย dektharue »
" ท่านพึงเป็นผู้รู้ หรือผู้เล่าเรียน หรือผู้รับฟัง หรือผู้รักใคร่ (ในบุคคลเหล่านั้น)
และท่านอย่าเป็นคนที่ห้า แล้วท่านจะวิบัติอย่างแน่นอน "

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ก.ค. 17, 2007, 01:06 PM »
0
ขยันจังเลย เป็นกำลังใจให้ พี่ๆ ทุกคนเลยนะครับ ^^

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ก.ค. 17, 2007, 02:18 PM »
0
ขออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทน ท่าน dektharue  ครับ  นำภาพมาเสนอด้วย  ชัดเจนดีครับ

ออฟไลน์ al-um

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 154
  • الأم
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: ก.ค. 17, 2007, 03:23 PM »
0
สลามครับบังสุเร่าเขียว(มั้งนะครับ)
     ตอนนี้อาจารฟิ๊ก ก็สอนวิชาฟาลัก อยู่ที่บ้านท่านอยู่นะครับ ใครสนใจว่างๆเชิญครับ
*للزكريا    الأنصاري*
      อุลามะในทัศนะวะฮาบีย์บางคนได้ทิ้งขวางความรู้ความคิดเห็นหรือผลงานของอุลามะฮ์ผู้นำมัซฮับทั้ง 4   แบบไม่ใยดี แต่กลับมาชื่นชอบทัศนะใหม่ที่มาทีหลัง ว่า ถูกต้องที่สุด..จนมันได้กลายเป็น...บิดอะดอลาละที่ลุ่มหลง.แบบตะอัศศุบ..ในทัศนะตนเองแบบสุดโต่ง แบบไม่น่าให้อภัย  และคิดว่า  ทัศนะใหม่ของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ....นะอูซุบิ้ลลา

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: ก.ค. 18, 2007, 12:33 PM »
0
สลามครับบังสุเร่าเขียว(มั้งนะครับ)
     ตอนนี้อาจารฟิ๊ก ก็สอนวิชาฟาลัก อยู่ที่บ้านท่านอยู่นะครับ ใครสนใจว่างๆเชิญครับ

อาจารย์รอฟิก  สุดยอดครับ  ขออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทนให้ท่านได้เผยแพร่ความรู้ให้ได้มากที่สุด  อยากเรียนฟะลักเหมือนกันเนี่ย  :D 

ออฟไลน์ muhib

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 125
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: ก.ค. 24, 2007, 04:23 AM »
0
อัสลามุอะลัยกุมทุกท่าน
ขอบคุณ อาจารย์และน้องๆที่มาช่วยเพิ่มเติมข้อมูลความรู้ด้านดวงจันทร์ดาราศาสตร์
ความรู้ของชาวอัลฟะฏอนี นั้นสุดยอด มีชื่อเสียงมานับร้อยๆปี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 24, 2007, 04:31 AM โดย muhib »

ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: ส.ค. 23, 2007, 07:09 PM »
0
اسلام عليكم
-ขอร่วมด้วย


 ดาราศาสตร์นับเป็นวิชาที่เก่าแก่มากวิชาหนึ่ง
เป็นความรู้ที่ถูกพัฒนามาตลอดนับตั้งแต่สมัย
กรีก โรมัน อาหรับ ยุโรป จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในสังคม มุสลิมวิชาดาราศาสตร์ถู ก กำหนดให้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเวลาปฏิบัติศาสนกิจ ของมุสลิมถูกกำหนดให้ ใช้ตำแหน่งของดวงอาทิตย์และ ปฏิทินถูกำหนดให้ใช้
ชนิดจันทรคติ
 อัล ฟาลัก

คำว่า ฟาลัก เป็นภาษาอาหรับ หมายถึง โคจร ในที่นี่หมายถึง วิชาหนึ่งที่ตรงกับภาษาไทยว่า
ดาราศาสตร์ หรือ เอซโทรโนมี (Astronomy) ในภาษอังกฤษ หรือเรียกว่าวิชา ฟะละกียะฮ์ เป็นวิชาวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งในปัจจุบัน เป็นวิชาที่ว่าด้วยตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของวัตถุฟ้า เป็นวิชาที่ฮาลาลหรืออนุมัติ ( ในบางกรณีอาจจะเป็นวิชาที่บังคับสำหรับสังคมมุสลิมใดๆ ) และมีวิชาหนึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า เอซโทรโลยี (Astrology) ตรงกับภาษาไทยว่า วิชาโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ฮารามหรือต้องห้ามในอิสลาม เพราะเป็นวิชาที่ใช้พยากรณ์ชะตาชีวิตในอนาคตของบุคคล โดยอาศัยตำแหน่งของดาว มุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทยเรียกวิชาโหราศาสตร์นี้ว่า อิลมู นูจุม
(Ilmu Nujum)หรือวิชาหมอดู ความจริงคำว่า นูจูม ในภาษาเดิมหมายถึงวิชาเดียวกับ อัลฟาลัก ไม่ใช่วิชาหมอดูแต่อย่างใด ตำราของ อัล ฟัรฆอนี (Al Farghani) เล่มหนึ่ง ชื่อ Kitab fi al-Harakat
al-Samiwiya wa Jawami Ilm al Nujum หมายถึง The book on celestial motion and though science of the stars เป็นตำรากล่าวถึงการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุบนฟากฟ้า และเรื่องราววิทยาศาสตร์ของดวงดาว การเข้าใจผิดของมุสลิมภาคใต้บางส่วนที่คิดว่า วิชานูจุมคือวิชาเดียวกับโหราศาสตร์จึงทำให้พลอยคิดว่าวิชาดาราศาสตร์ก็คือวิชานูจุมด้วย ทำให้วิชาดาราศาสตร์ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของกลุ่มนักวิชาการศาสนามากนัก เพราะเข้าใจ ว่าการพยากรณ์เหตุการอื่นๆ เช่น การขึ้น การตกของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์   หรือวัตถุฟ้าอื่นๆนั้นเป็น มูนัจจิมีน(Munajjimeen)หรือเป็นการบอกเหตุการณ์ ในอนาคต หรือเป็น การทำนาย( เหมือนโหรศาสตร์ )ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จริง ผู้ที่กล่าวเช่นนี้แสดงว่า ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเลย การพยากรณ์หรือการคาดคะเนทางวิทยาศาสตร์นั้น วางบนพื้นฐานของข้อมูลและกฏเกณฑ์ของอัลลอฮ์ การคำนวณทางวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่แน่นอน (exact:Qata'i)

ปัจจุบันวิชา อัล ฟาลัก หรือดาราศาสตร์ มีความก้าวหน้าไปมาก แบ่งเป็นรายวิชาย่อยๆที่มีความละเอียดและศึกษาลึกลงไปในเรื่องที่เกี่ยวกับวัตถุฟ้าต่างๆ ตลอดจนการเดินทางในอวกาศ ประกอบกับเครื่องมือต่างๆได้รับการพัฒนามาตลอด นักดาราศาสตร์จึงสามารถศึกษา วัตถุที่อยู่ลึกๆในท้องฟ้า (Deep sky object) ได้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตามในที่นี่จะกล่าวเฉพาะดาราศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับหลักชารีอะฮ์อิสลามเท่านั้น เนื่อง
จากวิชา อัล ฟาลัก มีความจำเป็นต่อมุสลิมทุกคน ในกรณีต่อไปนี้
เอาไว้แค่นี้ก่อนครับ...والسلام
             
 

ออฟไลน์ Browny

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 47
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: พ.ย. 26, 2007, 03:04 PM »
0
ได้ความรู้กลับบ้านอีกแล้ว ญะซากัลลอ ทุกๆท่านนะค่ะ

ออฟไลน์ muhib

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 125
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: ธ.ค. 02, 2007, 03:10 PM »
0
 salam
"เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน
จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า สุริยุปราคา ขึ้น"
________________________________________
                คำอธิบายง่ายๆ สั้นๆ ในเชิงเรขาคณิตทำให้เรานึกถึงภาพบนกระดาน 2 มิติ ที่มีวงกลม 3 วงใหญ่เล็กไม่เท่ากันมาเรียงกัน ซึ่งเป็นภาพที่ชินตา แต่จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ดังกล่าว เบื้องหลังกลไกที่แท้จริงของการเกิดสุริยุปราคาไม่ง่ายอย่างที่ล่าวข้างต้น ทุกอย่างต้องเป็นความลงตัวทั้ง 4 มิติ คือ ขนาดปรากฏของดวงจันทร์ที่ใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ ระยะห่างที่เหมาะสม และช่วงเวลาที่พอดี ปรากฏการณ์จึงจะเกิดขึ้นได้
เดือนสุริยุปราคา
            เวลาหนึ่งเดือนตามความหมายที่เราใช้กันอยู่ ก็คือ ระยะเวลาที่ดวงจันทร์ใช้ในการโคจรรอบโลกครบ 1 รอบพอดี ถ้าเช่นนั้นทุกๆ เดือนดวงจันทร์จะโคจรมาอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์เสมอ แล้วทำไมจึงไม่เกิดสุริยุปราคาทุกเดือนเล่า ?
            เหตุผลก็คือ ระนาบการโคจรของดวงจันทร์จะเอียงประมาณ 5 องศากับระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จึงมักเคลื่อนไปอยู่ทางเหนือหรือทางใต้ของเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์เสมอ เงาของดวงจันทร์จึงไม่ตกทดลองบนโลก แต่ทอดลงไปในอวกาศแทน ช่วงที่จะเกิดสุริยุปราคา ดวงจันทร์จะต้องอยู่ที่จุดตัดหรือใกล้จุดตัดของระนาบเท่านั้น ซึ่งปกติวงโคจรของดวงจันทร์จะตัดกับวงโคจรของโลกเพียง 2 จุดเท่านั้นตลอดระนาบโคจร จุดตัดระนาบ 2 จุดก็ไม่ใช่จุดตัดเดิมทุกครั้ง แต่จะเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปยังดะวันตก หรือเรียกว่าการเดินถอยหลัง (regression) การเคลื่อนไปทางตะวันตกเกิดเนื่องจากความแตกต่างของเวลาที่เรารู้จัก คือ เดือน นั่นเอง เดือนมีหลายแบบ แบบที่เราคุ้นกันดีคือ
•   เดือนซินโหนดิค (synodice month) นับเดือนจากจันทร์เพ็ญหนึ่งจนถึงจันทร์เพ็ญถัดไป ซึ่งเดือนตามจันทรคตินี้มี 29.53 วัน
•   เดือนไซเดอเรียล (sidereal month) นับเวลาครบรอบการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์โดยเปรียบเทียบกับตำแหน่งดาวบนท้องฟ้า เดือนไซเดอเรียลจะมีจำนวนวันน้อยกว่าเดือนซินโนดิคประมาณ 2 วัน คือ 27.32 วัน
•   เดือนอุปราคา หรือ เดือนสุริยุปราคา (eclipse หรือ draconic month) นับจากคาบการโคจรจากจุดตัดระนาบจุดใดๆ ไปยังจุดถัดไปทางทิศตะวันตก มีจำนวนวันเท่ากับ 27.21 วัน
            จุดตัดระนาบสองจุดเรียกว่า จุดโหนด (nodes) ซึ่งยังแบ่งออกเป็น โหนดขึ้น (ascending node) และโหนดลง (descending node) ขี้นอยู่กับจังหวะการตัดระนาบของดวงจันทร์ เช่น ดวงจันทร์โคจรตัดระนาบวงโคจรของโลกจากทิศใต้ขึ้นไปยังทิศเหนือ จุดตัดดังกล่าว เรียกว่า ขึ้นโหนด ตรงกันข้ามหากดวงจันทร์โคจรตัดระนาบจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ จุดตัดระนาบดังกล่าวก็เรียกว่า โหนดลง

            สุริยุปราคาวันที่ 24 ตุลาคม 2538 เป็นช่วงโหนดขึ้น ถัดจากนี้ไปอีก 6 เดือน (เดือนสุริยุปราคา) จะเกิดสุริยุปราคาแบบโหนดลงในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2539 และถัดจากนั้นอีก 6 เดือน (เดือนสุริยุปราคา) ก็จะกลับมาเกิดสุริยุปราคาแบบโหนดขึ้นอีกในวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2539
            องค์ประกอบที่ทำให้เกิดสุริยุปราคาแบ่งออกเป็นหลายประเภท เนื่องจากระยะห่างของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกนั่นเอง วงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกและโลกรอบดวงอาทิตย์ไม่เป็นวงกลมแต่เป็นวงรี ระยะห่างของควงอาทิตย์และระยะห่างของควงจันทร์ ถึงโลกจึงแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน ซึ่งมีผลต่อขนาดปรากฏเล็กใหญ่ของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ด้วย คือ หากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ห่างโลกมาก ก็จะเห็นขนาดเล็กตามไปด้วย ในความเป็นจริงโลกจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในเดือนมกราคม บางคนอาจแย้งว่า ทำไมตอนเดือนมกราคมจึงหนาวล่ะ หากโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากก็น่าจะร้อนสิ สาเหตุเรื่องความร้อนหนาวอยู่ที่แกนเอียงของโลกต่างหาก เนื่องจากโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในเดือนมกราคม แต่ทว่ากลับหันด้านใต้เข้าหาดวงอาทิตย์คนส่วนใหญ่ที่อยู่ซีกโลกเหนือจึงไม่รู้จักร้อนนั่นเอง ในเดือนมกราคมโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าช่วงเดือนมิถุนายนถึง ร้อยละ 3 (ประมาณ 4.8 ล้านกิโลเมตร) .
            ส่วนระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก คือใกล้สุด 47,294 กิโลเมตร ไกลสุด 398,581 กิโลเมตร แตกต่างกันถึง 15 เปอร์เซ็นต์ คาบเวลาที่นับจากจุดใกล้สุด จนถึงจุดใกล้สุดครั้งต่อไปกินเวลา 27.55 วัน เรียกว่า เดือนอะโนมาลิสติก (Anomalistic month)
            ระยะการเรียงตัวของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ยังมีผลต่อขนาดเงาของดวงจันทร์ที่ตกลงบนโลกในช่วงที่เกิดสุริยุปราคาแต่ละครั้งด้วย เงาของดวงจันทร์ที่ตกลงบนโลกมี 2 ส่วน คือ เงามืด (umbra) และ เงามัว(penumbra) เงามืดที่เคยตกทอดถึงโลกเคยมี ขนาดกว้างที่สุดถึง 272 กิโลเมตร ส่วนเงามัวจะกินอาณาบริเวณเลยออกจากเงามืดไปนับพันกิโลเมตร ผู้คนที่อยู่ในเขตเงามืดก็จะเห็นเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงส่วนผู้ที่อยู่ในเขตเงามัวก็จะเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน
สุริยุปราคา 3 แบบ
            สุริยุปราคาจะปรากฏเป็น สุริยุปราคาเต็มดวง สุริยุปราคาวงแหวน หรือ สุริยุปราคาแบบวงกลม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ คือ ตำแหน่งของดวงจันทร์ อยู่ใกล้จุดโหนดแค่ไหน และขนาดเล็กใหญ่ ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า สุริยุปราคาส่วนใหญ่เกิดขึ้นขณะที่ดวงจันทร์เฉียดผ่านจุดโหนด ดวงจันทร์จะบังดวงอาทิตย์เพียงเสี้ยวเดียว เรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ของการเกิดสุริยุปราคาจะเกิดแบบสุริยุปราคาบางส่วนสามารถเห็นได้ครอบคลุมพื้นที่กว้าง คนส่วนใหญ่จึงเคยมีประสบการณ์ในการเห็นสุริยุปราคาบางส่วนไค้ ดวงจันทร์อาจบดบังดวงอาทิตย์เพียง 1 เปอร์เซ็นต์หรือบังถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ก็นับรวมเรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน
                สุริยุปราคาแบบวงแหวน นับเป็นสุริยุปราคาที่พบได้มากเป็นอันดับสอง ภาษาอังกฤษเรียกสุริยุปราคานี้ว่า AnnuIar Eclipse คำว่า Annular มีรากศัพท์จากลาตินแปลว่า วงแหวน ขณะเกิดสุริยุปราคาวงแหวน แสงอาทิตย์จะปรากฏเป็นวงกลมคล้ายแหวนล้อมรอบดวงจันทร์ดำมืดตรงกลาง แม้ว่าดวงจันทร์จะมาบังอยู่ตรงกลางดวงอาทิตย์พอดีแต่บังไม่มิด เพราะขนาดปรากฏเล็กกว่า หมายความว่า ดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ไกลจากโลก หรือ ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้โลกจึงเห็นดวงใหญ่ แสงสว่างจากวงแหวนจะกลบโคโรนา และบรรยากาศชมพูของโครโมสเฟียร์ที่สวยงาม สุริยุปราคาแบบวงแหวนจะเกิดขึ้นประมาณ 32 เปอร์เซ็นต์
            สุริยุปราคาประเภทที่น่าสนใจที่สุดและสวยที่สุด ก็คือ สุริยุปราคาเต็มดวง จะมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่ได้พบเห็นมักจะประทับใจที่ได้เห็นท้องฟ้าเวลากลางวันแปรเปลี่ยนเป็นเวลากลางคืนจนเห็นดวงดาว และที่พิเศษ รอบดวงอาทิตย์จะเห็นแสงเงินยวงของรัศมีโคโรนาคล้ายมงกุฎที่ครอบดวงอาทิตย์เอาไว้
            สุริยุปราคาแบบสุดท้าย คือ สุริยุปราคาแบบวงแหวน-เต็มดวง แบบนี้เกิดขึ้นน้อยมาก เพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และไม่น่าสนใจนัก เพราะจะเกิดเป็นวงแหวนไม่นาน และเมื่อกลายเป็นเต็มดวงก็จะเกิดเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น    
นาทีแห่งความประทับใจ
            ช่วงเวลาการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนั้นน้อยเสมอ เวลานานสุดที่ช่วงคราสจับเต็มดวงเท่าที่เคยเกิดขึ้นบนโลกไม่เกิน 7 นาที 8 วินาที ส่วนใหญ่จะเกิดในเวลาสั้นกว่านี้มาก เช่น สุริยุปราคาเต็มดวงในวันที่ 24 ตุลาคม 2538 ที่ผ่านมาจะเต็มดวงนานเพียง นาทีกับ 58 วินาทีเท่านั้น สุริยุปราคาวงแหวนก็มักจะเกิดในเวลาไม่กี่นาทีเช่นกัน แต่ที่นานที่สุดเคยเกิดนานถึง 12 นาที 24 วินาที ส่วนสุริยุปราคาบางส่วนนั้นอาจเกิดเพียงไม่กี่วินาทีจนถึง มากกว่า 2 ชั่วโมง แต่สำหรับการเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวงและแบบวงแหวนนั้น ผู้ชมยังจะได้ชมการเกิดสุริยุปราคาบางส่วน ก่อนและหลังการเต็มดวงเป็นเวลานานหลายชั่วโมงอีกด้วย
            ช่วงเวลาการเกิดสุริยุปราคาสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ เรื่องแรกคือ ขนาดปรากฏระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ หากดวงจันทร์มีขนาดปรากฏใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มาก ก็จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้นาน แต่หากดวงจันทร์มีขนาดปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์มากก็จะเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวนได้นาน
            องค์ประกอบตัวต่อมาที่เป็นตัวกำหนดระยะเวลาการเกิดสุริยุปราคาก็คือ ตำแหน่งละติจูดของโลกที่เงาของดวงจันทร์กระทบ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุกๆ จุดบนโลกนี้หมุนรอบตัวเอง ครบ 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ใช้ความเร็วในการหมุนไม่เท่ากันทุกจุด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งบนผิวโลก ถ้าเรายืนอยู่บนเส้นศูนย์สูตรที่ผ่ากึ่งกลางซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้เท่าๆ กัน เราจะใช้ความเร็วในการหมุนรอบโลกเท่ากับ 1,500 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปทางทิศดะวันออก แต่ถ้าเรายืนอยู่บนเส้นรุ้ง (ละติจูค) ที่ 40 องศาเหนือ หรือที่ 40 องศาใต้ เราจะใช้ความเร็วเพียงแค่ 900 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นในการหมุนครบรอบ โดยเฉพาะที่ขั้วโลกไม่ต้องใช้ความเร็วเลย เงาของดวงจันทร์ที่ตกกระทบผิวโลกมีทิศทางเคลื่อนที่จากตะวันตกไปทางตะวันออกด้วยความเร็วประมาณ 2,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับที่โลกเคลื่อนที่ หมายความว่า ความเร็วของโลกที่บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร สามารถชะลอความเร็วของดวงจันทร์ได้นานกว่าบริเวณใกล้ขั้วโลก สุริยุปราคาที่เกิดบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรจึงมีโอกาสเกิดนานกว่านั่นเอง มีความพยายามที่จะใช้เครื่องบินไล่เงาจันทร์เพื่อจะได้เพิ่มโอกาสเห็นสุริยุปราคาได้นานขึ้นผลก็คือ เครื่องบินโดยสารคองคอร์ดทำได้ถึง 70 นาที
            องค์ประกอบ 2 ประการสุดท้ายที่มีผลต่อระยะเวลาการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงและวงแหวนก็คือ การเลือกตำแหน่งสังเกตการณ์ที่เหมาะสมจากแนวเงาตะวันตกถึงตะวันออกประการหนึ่ง และการเลือกตำแหน่งกึ่งกลางคราสอีกประการหนึ่ง เป็นที่ทราบกันดีว่าแนวเงามืดจะเกิดไล่จากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกในช่วงต้นของการเกิดคือเวลาเช้า และในช่วงปลายของการเกิดคือ ในเวลาเย็น เงาดวงจันทร์ที่มาตกกระทบจะเอียงทำมุมกับผิวโลกมาก ในลักษณะเช่นนี้ ความเร็วของเงาจะมากกว่าบริเวณที่เงาตกกระทบตรงๆ หมายความว่าในการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงหรือวงแหวนแต่ละครั้ง ช่วงต้นและช่วงปลายจะเกิดสั้นกว่าช่วงกลาง
    
วัฎจักรสุริยุปราคา
            การเกิดสุริยุปราคาสามารถคำนวณล่วงหน้าและย้อนหลังได้ โดยอาศัยกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ และวิชากลศาสตร์ท้องฟ้า
            จากความสัมพันธ์ระหว่างเดือนประเภทต่างๆ นั้นพบว่าเดือนตามปกติ หรือ เดือนซินโหนดิค ซึ่งมี 29.53 วันนั้นมีความสำคัญเนื่องจากเป็นเดือนที่ใช้กำหนดข้างแรมข้างขึ้น เดือนสุริยุปราคาที่มี 27.21 วัน ก็มีความสำคัญเพราะใช้กำหนดตำเเหน่งที่ดวงจันทร์เข้าใกล้จุดโหนด และ เดือนอะโนมาลิสติก 27.55 วัน ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะตำแหน่งใกล้ไกลของดวงจันทร์จากโลกในวงโคจร เป็นตัวกำหนดว่าจะเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวงหรือวงแหวนจากความสัมพันธ์ของเดือนดังกล่าวจะพบว่า
•   223 เดือนซินโหนดิค = 6585.32 วัน
•   242 เดือนสุริยุปราคา = 6585.35 วัน
•   239 เดือนอะโนมาลิสติก = 6585.53 วัน
            เราพบว่าตัวเลข 6585.32 วันมีค่าเท่ากับ 18 ปี กับ 11 1/3 วัน หมายความว่า ทุกๆ 18 ปีกับอีก 11 1/3 วัน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกจะโคจรกลับมาอยู่ในแนวตรงกันในตำแหน่งเดิมในอวกาศ และสุริยุปราคาที่เคยเกิด ขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อน ก็จะย้อนกลับมาปรากฏอีกครั้ง เป็นสุริยุปราคาชุดเดียวกัน แต่ไม่ได้เกิดตำแหน่งเดิม แต่จะเลื่อนไปเกิดห่างจากบริเวณเดิมบนผิวโลกประมาณ 120 องศา เป็นเพราะว่าเศษเวลา 1/3 วันนั้น โลกเคลื่อนไป 120 องศาแล้วนั่นเอง

            วัฏจักรการเกิดสุริยุปราคาที่ถูกค้นพบนี้ ถูกเรียกว่า ซารอส และมีการตั้งชื่อให้ด้วยว่าเป็น ซารอสที่ 1 ซารอสที่ 2 ยกตัวอย่างเช่น ซารอสที่ 136 สุริยุปราดาเต็มดวงชุดนี้เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดนานที่สุดชุดหนึ่ง คือเกิดใน ค.ศ. 1919 , 1937 , 1955, 1973 และที่ลืมไม่ได้คือ ในปี 1991
            นักดาราศาสตร์เปรียบเทียบ ซารอส เหมือนเป็นอนุกรมหรือสายพันธุ์ฟังดูแล้วเหมือนสุริยุปราคามีชีวิต มีต้นสังกัด มีเกิดแก่ตายเหมือนมนุษย์เลยทีเดียว สุริยุปราคาซารอสหนึ่ง หรือสายพันธุ์หนึ่งจะมีอายุยืนไม่ต่ำกว่า 1200 ปี หากลองนำเอาตัวเลข 18 ปี กับอีก 11 1/3 วันไปหาร 1200 ก็จะได้ประมาณ 68 หมายความว่า สุริยุปราคาซารอสหนึ่งจะเวียนมาปรากฏให้เห็นไม่ต่ำกว่า 68 ครั้ง แล้วก็ตายไป แต่ก็มีซารอสใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ประมาณกันว่าทุกๆ 29 ปี ก็จะมีซารอสใหม่เกิดขึ้นมาเสริม ถ้ามองภาพรวมก็คือ จะมีซารอสเด็ก ซารอสหนุ่ม ซารอสแก่ สังกัดค่ายต่างๆ กันอยู่ปนเปกันไป
            เวลาที่สุริยุปราคาซารอสใหม่จะถือกำเนิดขึ้นนั้น จะเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลกก่อนจะขั้วเหนือหรือขั้วใต้ก็ย่อมได้ เกิดครั้งแรกจะเกิดเป็นสุริยุปราคาบางส่วนพอเวียนมาในรอบ 18 ปี 11 1/3 วันต่อไปเรื่อยๆ ก็จะกลายจากสุริยุปราคาบางส่วนไปเป็นสุริยุปราคาวงแหวน และกลายเป็นสุริยุปราคาเต็มดวง ค่อยๆ เกิดไล่จากขัวโลกด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งและเมื่อเวียนมาครบประมาณ 68 ครั้งหรือประมาณ 2000 ปีดังกล่าว ในช่วงรอบท้ายๆ จะกลับมาเป็นสุริยุปราคาบางส่วนอีก แล้วก็หลุดจากขั้วโลกไปเลย เช่น ถ้ามาเกิดที่ขั้วเหนือก็จะตายในขั้วใต้ ดูไปแล้ววัฏจักรสุริยุปราคาช่างเหมือนกับวัฎจักรของสรรพชีวิตในเอกภพนี้ไม่ผิดเพี้ยน

ประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต
            สุริยุปราคาเต็มดวงนับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มนุษย์ไม่มีโอกาสพบได้บ่อยนักในชีวิตประจำวัน มนุษย์เดินดินคนหลายคนที่ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีโอกาสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงเลยก็มีอยู่มากมายสุริยุปราคาบางส่วนหรือสุริยุปราคาวงแหวน เมื่อเทียบคุณค่าและความประทับใจแล้ว เทียบกับสุริยุปราคาเต็มดวงไม่ได้แม้แต่น้อย คำพูดคำอธิบายใดๆ ก็ไม่สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงได้ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทุกคนต้องสัมผัสด้วยตนเอง แม้ว่าท้องฟ้าจะมีเมฆมากก็ตาม ภายใต้เงาจันทร์สัมผัสแห่งอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ทำให้หลายคนถึงกับเอ่ยปากว่า ใต้เงาจันทร์คือโลกต่างดาว คือ โลกในจินตนาการไม่ผิดเพี้ยน
อ้างอิงจาก
http://www.benchama.ac.th/stdweb/eclipse/know1.html

ออฟไลน์ muhib

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 125
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: ธ.ค. 09, 2007, 08:59 PM »
0
ช่วงนี้แม้ท้องฟ้าจะไม่ค่อยเป็นใจให้เราได้ดูดาวกันซักเท่าไหร่ แต่บนท้องฟ้าก็มีน่าตื่นเต้นรอเราให้จ้องมองอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดจะมีดาวหางดวงหนึ่งเข้ามาให้เราได้เห็นกันบนท้องฟ้าซีกเหนือ ดาวหางดวงนี้มีชื่อว่า 17P/Holmes

       ดาวหาง 17P/Holmes เป็นดาวหางคาบสั้น ค้นพบโดย Edwin Holmes จากหอดูดาวในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน คศ.1892  ด้วยกล้องสะท้อนแสงขนาด 12.5 นิ้ว ซึ่งพบดาวหางโดยบังเอิญระหว่างที่เขากำลังใช้กล้องดูดาวของเขาสำรวจกาแลกซี่แอนโดรเมด้า (M31) อยู่ และพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในฟิลด์มีขนาดโตราว 5 arcmin  เขาจึงรายงานการค้นพบไปที่ Royal Observatory ในเมือง Greenwich ประเทศอังกฤษ ซึ่งต่อมาในวันที่ 7 พฤศจิกายน ก็มีรายงานว่ามองเห็นดาวหางนี้ด้วยตาเปล่า

      การคำนวณวงโคจรของดาวหางในยุคสมัยนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก และไม่ค่อยแน่นอน ดาวหางถูกคำนวณวงโคจรครั้งแรกโดย H. C. F. Kreutz ในวันที่ 9 พฤศจิกายนปีเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถกำหนดวงโคจรและคาบได้แน่ชัด ซึ่งมีการขัดแย้งกันหลายคนที่คำนวณคาบการโคจรอยู่ระหว่าง  7.09 ปี   6.14 ปี และ 6.9 ปี
      ดาวหาง 17P/Holmes มีวงโคจรเป็นวงรีโดยมีระยะใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด 2.1655 au. และไกลสุด 5.20 au. ประมาณวงโคจรของดาวพฤหัส มีระนาบโคจรเอียงจากระนาบอิคลิบติด 19.18 องศา

http://www.darasart.com/startonight/17p_holmes/Holmes_orbit.gif
       
     
   ดาวหางเข้ามาในระบบสุริยะครั้งที่ 16 นับตั้งแต่มีการค้นพบครั้งแรกเมื่อปี คศ.1892
 โดยการมาเยือนครั้งล่าสุดเมื่อปี คศ.2000 ดาวหางดวงนี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไหร่เนื่องจากมีความสว่างน้อย โดยมีความสว่างอยู่ที่ระดับแมกนิจูด 15-17 เนื่องจากวงโคจรของดาวหางนั้นเข้าใกล้ดวงอาทิตย์น้อยมาก คืออยู่เลยดาวอังคารออกไปอีก ทำให้ไม่ปรากฏหางให้เห็นหรือเห็นน้อยมาก
 

   สำหรับปีนี้ คศ. 2007 ดาวหางได้รับความสนใจเนื่องจากว่า ดาวหางสว่างขึ้นอย่างทันทีทันใด (Outbrust) จากระดับแมกนิจูด 15 เป็น 3 ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในคืนฟ้ามืดสนิท แต่ภาพของดาวหางนั้นจะไม่ปรากฏเป็นหางยาวให้เราเห็น เนื่องจากอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์และแนวหางก็ขนานไปกับแนวสายตาด้วย
 

     แนวเส้นทางของดาวหาง
       
  การมาเยือนล่าสุดของดาวหางดวงนี้ ดาวหางเข้ามาในระบบสุริยะตามแนวจักราศีคนยิงธนูตั้งแต่เดือนธันวาคมปี คศ.2006 แต่ช่วงนั้นดวงอาทิตย์มาอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งวันที่ 4 พฤษภาคม 2007 ดาวหางมาอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดบริเวณกลุ่มดาวปลาคู่ ดาวหางอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานานหลายเดือน แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ เพราะมีความสว่างน้อย จนกระทั่งเร็วๆดาวหางสว่างขึ้นอย่างทันทีทันใด (Outbrust) จนมีข่าวว่าสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งขณะนี้ดาวหางกำลังอยู่ในกลุ่มดาวเปอร์เซอุส แล้วก็จะตีวงอยู่กลุ่มดาวเปอร์เซอุสหลายเดือนเพราะเป็นช่วง Retrogation ก่อนที่จะเข้าไปทางกลุ่มดาวสารถี แล้วตกลบฟ้าไปโดยเร็ว


 
   
  ภาพมุมกว้างเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2007 โดย Pierre Martin จากแคนาดา
   
http://www.darasart.com/startonight/17p_holmes/map.jpg

  ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2007 จนถึง มีนาคม 2008 ดาวหางอยู่ในกลุ่มดาวเปอร์เซอุส เพราะเป็นช่วงที่ดาวหางมีการเคลื่อนที่ถอยหลัง(Retrogade) ซึ่งเป็นโอกาสดีเพราะกลุ่มดาวเปอร์เซอุสเห็นได้ง่ายในประเทศไทย
 
    ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2550 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการสังเกตดาวหางดวงนี้ นอกจากจะเป็นช่วงต้นๆของการ Outbrust แล้วยังเป็นช่วงที่ดาวหางอยู่ใกล้กับดาวอัลฟ่าเปอร์เซอุส หรือ Mirfak ซึ่งมีระดับความสว่าง 1.8 มองเห็นได้เด่นชัดจึงใช้เป็นดาวไกด์ในการหาตำแหน่งดาวหางนี้ได้ ซึ่งกล้องขนาดเล็กหรือกล้องสองตาก็สามารถมองเห็นได้แล้ว  ซึ่งการ Outbrust หรือการระเบิดของฝุ่นดาวหางนี้นักดาราศาสตร์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะอยู่นานขนาดไหน
http://www.darasart.com/startonight/17p_holmes/main.htm




ออฟไลน์ muhib

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 125
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: ธ.ค. 19, 2007, 02:35 AM »
0
คนไทยจะได้เห็นดาวอังคารสุกสว่างมากสุดในรอบ 2 ปี

ตั้งแต่ปลายปี 2550 ถึงต้นปี 2551 คนไทยจะมีโอกาสเห็นดาวอังคารสุกสว่างชัดเจนมากที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ดาวอังคารอยู่ใกล้ตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ และเป็นช่วงเวลาที่ดาวอังคารเข้าใกล้โลกมากที่สุด และมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

สมาคมดาราศาสตร์ไทย รายงานว่า ดาวอังคารเข้าใกล้โลกโดยเฉลี่ยทุกๆ ประมาณ 2 ปี 2 เดือน ลักษณะวงโคจรที่มีความรีค่อนข้างชัดเจนทำให้ดาวอังคารอยู่ห่างจากโลกไม่เท่ากันในการเข้าใกล้แต่ละครั้ง ปีนี้ดาวอังคารก็จะเข้าใกล้โลกอีกครั้งโดยเกิดในช่วงเดือนธันวาคม 2550 แต่ไม่ใกล้มากเท่ากับการเข้าใกล้เมื่อปี 2546 ทุก 15 หรือ 17 ปี จึงจะมีโอกาสเห็นดาวอังคารสว่างและมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับที่เห็นเมื่อสี่ปีที่แล้ว

ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์หินเช่นเดียวกับดาวพุธ ดาวศุกร์ และโลก พื้นผิวดาวอังคารในอดีตมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากภูเขาไฟระเบิด การพุ่งชนของอุกกาบาต การเคลื่อนไหวของเปลือกดาวอังคาร และปรากฏการณ์ในบรรยากาศ เช่น พายุฝุ่น

หนึ่งถึงสองเดือนก่อนที่ดาวอังคารจะเข้าใกล้โลกมากที่สุด ดาวอังคารขึ้นทางทิศตะวันออกหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่เมื่อถึงช่วงที่ดาวอังคารอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์และใกล้โลกมากที่สุด ดาวอังคารจะขึ้นทางทิศตะวันออกในเวลาไล่เลี่ยกับเวลาดวงอาทิตย์ตก อยู่สูงใกล้จุดเหนือศีรษะในเวลาเที่ยงคืน และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกในเวลาไล่เลี่ยกับเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น จึงสามารถสังเกตดาวอังคารได้ตลอดทั้งคืน ต้นเดือนตุลาคม 2550 ดาวอังคารเคลื่อนที่เดินหน้าไปทางทิศตะวันออกขณะอยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ สว่างด้วยโชติมาตร -0.1 ขึ้นเหนือขอบฟ้าเวลาประมาณ 5 ทุ่มเศษ จากนั้นเมื่อถึงกลางเดือนพฤศจิกายนดาวอังคารเริ่มเคลื่อนที่ถอยหลังไปทางทิศตะวันตก ขณะนั้นความสว่างเพิ่มขึ้นไปที่โชติมาตร -0.9 และขึ้นเหนือขอบฟ้าในเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษ

ดาวอังคารเข้าใกล้โลกมากที่สุดในเช้าวันที่ 19 ธ.ค. 2550 ขณะมีโชติมาตร หรืออันดับความสว่าง -1.6 เส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุม 15.9 พิลิปดา ขึ้นเหนือขอบฟ้าในเวลาหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปแล้วประมาณ 20-30 นาที อีก 6 วันถัดมาดาวอังคารจะอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ทำให้มันขึ้นเหนือขอบฟ้าพร้อมกับดวงอาทิตย์ตกและเริ่มปรากฏบนฟ้านับตั้งแต่ย่ำค่ำ และช่วงสิ้นเดือน ม.ค.-ต้นเดือน ก.พ. 2551 ความสว่างจะลดลงต่อเนื่อง.-
 


ที่มา : สำนักข่าวไทย   

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: ธ.ค. 22, 2007, 10:46 AM »
0
 salam


ได้รับไฟลอธิบายเรื่องวันอีดมาค่ะ แต่อ่านไม่ค่อยเข้าใจรบกวนพี่น้องอธิบายให้หน่อยนะคะ เป็นไฟล์ ppt ต้องอัพโหลดเอา

แต่พอจะจับใจความได้ว่า การที่มุสลิมอีดคนละวันเป็นเพราะมุสลิมส่วนหนึ่งใช้เกณฑ์การแบ่งวันตามแบบสากล ทั้งที่อิสลามมีเส้นแบ่งเขตวันอยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเดินทางจากจุดหนึ่งบนโลกแล้วกลับมาที่เดิมจะพบว่าวันของคนเดินทางน้อยกว่าวันของคนที่อยู่จุดเดิมไป 1 วัน

มหัศจรรย์จนไม่ค่อยเข้าใจเลยล่ะ - -' รบกวนด้วยค่ะ

http://www.savefile.com/files/1278177
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ muhib

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 125
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: ก.พ. 01, 2008, 01:43 AM »
0
อัสลามุอะลัยกุม
 salam
สุริยุปราคาเต็มดวง 1 สิงหาคม 2551
อุปราคาในปี 2551
30 ธันวาคม 2550 วรเชษฐ์ บุญปลอด
ตลอดปี พ.ศ. 2551 มีอุปราคาเกิดขึ้น 4 ครั้ง เป็นสุริยุปราคาสองครั้งและจันทรุปราคาสองครั้ง ประเทศไทยมีโอกาสเห็นจันทรุปราคากับสุริยุปราคาอย่างละครั้งซึ่งเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ต่อไปนี้เป็นข้อมูลโดยสังเขป

สุริยุปราคาวงแหวน 7 กุมภาพันธ์ 2551
สุริยุปราคาครั้งนี้เกิดในเช้าวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ตามเวลาประเทศไทยซึ่งตรงกับวันตรุษจีน แต่ประเทศไทยไม่สามารถมองเห็นได้ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกจนมีขนาดปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์ พื้นที่ที่เห็นสุริยุปราคาวงแหวนเป็นพื้นที่แคบ ๆ ส่วนหนึ่งของทวีปแอนตาร์กติกา มหาสมุทรใต้ และตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาบางส่วนซึ่งจะเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่ง ได้แก่ ตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น นิวแคลิโดเนียของฝรั่งเศส ประเทศวานูอาตูและฟิจิ เป็นต้น

จันทรุปราคาเต็มดวง 21 กุมภาพันธ์ 2551
เช้าวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงโดยดวงจันทร์ถูกเงามืดของโลกบังระหว่างเวลา 8.43 - 12.09 น. ตามเวลาประเทศไทย เรามองไม่เห็นปรากฏการณ์ในวันนี้เพราะดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว พื้นที่ที่เห็นจันทรุปราคาครั้งนี้ได้แก่บรรดาประเทศในทวีปที่อยู่รอบมหาสมุทรแอตแลนติก ประกอบด้วยทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้รวมไปถึงเขตอาร์กติก คนในยุโรปกับแอฟริกาเห็นจันทรุปราคาก่อนดวงจันทร์ตกในเช้ามืดของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น แต่ในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้เห็นในคืนวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ขณะดวงจันทร์ขึ้นในเวลาหัวค่ำไปจนถึงเที่ยงคืน ดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดหมดทั้งดวงกินระยะเวลานาน 51 นาที

สุริยุปราคาเต็มดวง 1 สิงหาคม 2551
สุริยุปราคาครั้งนี้เกิดในช่วงบ่ายถึงเย็นวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2551 เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เข้าบังดวงอาทิตย์มิดหมดดวง แนวคราสเต็มดวงซึ่งเป็นเส้นทางแคบ ๆ บนพื้นผิวโลกเริ่มต้นที่แคนาดา ลากผ่านตอนเหนือของกรีนแลนด์ มหาสมุทรอาร์กติก รัสเซีย มองโกเลีย และไปสิ้นสุดในประเทศจีน

เงามืดของดวงจันทร์เริ่มแตะพื้นผิวโลกเมื่อเวลาประมาณ 16.21 น. ตามเวลาประเทศไทยในบริเวณอ่าวควีนมอดซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะวิกตอเรีย ดินแดนนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ของประเทศแคนาดา ที่นั่นเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงขณะดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นระยะเวลานาน 1 นาที 30 วินาที จากนั้นเงามืดเคลื่อนไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว ผ่านพื้นดินทางใต้ของเกาะวิกตอเรีย เกาะปรินซ์ออฟเวลส์ เกาะซัมเมอร์เซต เกาะเดวอน ทางใต้ของเกาะเอลสเมียร์ ลงสู่มหาสมุทรอาร์กติก ผ่านตอนเหนือของกรีนแลนด์และมุ่งหน้าไปยังตอนเหนือของทวีปเอเชีย

เงามืดผ่านเกาะโนวายาซิมลียาในเวลา 17.00 น. กึ่งกลางแนวคราสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนาน 2 นาที 23 วินาที และเคลื่อนลงสู่ทะเลคารา แตะชายฝั่งคาบสมุทรยามาลในประเทศรัสเซียในอีก 10 นาทีต่อมา จุดที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนานที่สุดของวันนี้ (2 นาที 27 วินาที) เกิดขึ้นในเวลา 17.21 น. ใกล้เมืองนาดีมของรัสเซีย จากนั้นเส้นทางเงามืดตัดเฉียงลงมาทางใต้ ออกจากรัสเซียแล้วผ่านพรมแดนทางตะวันตกระหว่างมองโกเลียกับจีนตามแนวเทือกเขาอัลไต คราสเต็มดวงสิ้นสุดในประเทศจีนเมื่อเวลา 18.21 น. ที่นั่นเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงขณะดวงอาทิตย์ตกเป็นระยะเวลานาน 1 นาที 28 วินาที บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาบางส่วนครอบคลุมตอนเหนือของยุโรปและแคนาดา เกือบทั้งหมดของทวีปเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่นและประเทศอาเซียนที่อยู่ในทะเลจีนใต้

ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเห็นสุริยุปราคาครั้งนี้ได้โดยต้องใช้แผ่นกรองแสงหรือการสังเกตการณ์ทางอ้อม เช่นดูภาพสะท้อนบนผนังผ่านกระจก ดวงจันทร์เข้าบังบางส่วนของดวงอาทิตย์ในช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้าจนกระทั่งตกลับขอบฟ้า (ขณะหายไปที่ขอบฟ้าก็ยังเห็นดวงอาทิตย์แหว่งอยู่) บริเวณที่มีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์แหว่งมากที่สุดคือภาคเหนือและภาคอีสาน ส่วนเวลาที่เกิดปรากฏการณ์แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ เริ่มเวลา 18.02 น. ดวงอาทิตย์แหว่งมากที่สุดขณะดวงอาทิตย์ตกด้วยอัตราส่วน 54%

จันทรุปราคาบางส่วน 17 สิงหาคม 2551
จันทรุปราคาครั้งนี้สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย เกิดขึ้นในช่วงหลังเที่ยงคืนของคืนวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2551 เข้าสู่เช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พื้นที่บนโลกที่เห็นจันทรุปราคาครั้งนี้ได้แก่ทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย และตะวันตกของออสเตรเลีย ทวีปเอเชียและออสเตรเลียเห็นปรากฏการณ์ก่อนดวงจันทร์ตกในเช้ามืดของวันที่ 17 สิงหาคม ขณะที่ยุโรปและแอฟริกาเห็นในคืนวันที่ 16 สิงหาคม ขณะที่ดวงจันทร์ขึ้นในเวลาหัวค่ำถึงช่วงเที่ยงคืน

ประเทศไทยเริ่มเห็นดวงจันทร์แหว่งในเวลา 2.36 น. ขณะดวงจันทร์มีมุมเงยประมาณ 60 องศา หรือ 2 ใน 3 ของระยะทางระหว่างขอบฟ้ากับจุดเหนือศีรษะ เงามืดของโลกเข้าบังดวงจันทร์ลึกที่สุดในเวลา 4.10 น. ด้วยอัตราส่วน 81% วัดตามแนวเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่สูงประมาณ 30 องศาจากขอบฟ้า ดวงจันทร์เคลื่อนออกจากเงามืดจนกลับมาสว่างเต็มดวงในเวลา 5.45 น. คนในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงจะเห็นดวงจันทร์มีมุมเงย 6 องศาในขณะสิ้นสุดคราสบางส่วน รวมเกิดจันทรุปราคาบางส่วนเป็นระยะเวลานาน 3 ชั่วโมง 9 นาที

ดูเพิ่ม
อุปราคาในปี 2544
อุปราคาในปี 2545
อุปราคาในปี 2546
อุปราคาในปี 2547
อุปราคาในปี 2548
อุปราคาในปี 2549
อุปราคาในปี 2550
ที่มา
Eclipses during 2008 - Fred Espenak (NASA/GSFC)
สมาคมดาราศาสตร์ไทย - http://thaiastro.nectec.or.th
http://www.hilalthailand.com/oursky/


 

GoogleTagged