เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

มุสลิมกับการศึกษาดาราศาตร์อิสลาม

<< < (9/16) > >>

muhib:
 salam
"เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน
จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า สุริยุปราคา ขึ้น"
________________________________________
                คำอธิบายง่ายๆ สั้นๆ ในเชิงเรขาคณิตทำให้เรานึกถึงภาพบนกระดาน 2 มิติ ที่มีวงกลม 3 วงใหญ่เล็กไม่เท่ากันมาเรียงกัน ซึ่งเป็นภาพที่ชินตา แต่จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ดังกล่าว เบื้องหลังกลไกที่แท้จริงของการเกิดสุริยุปราคาไม่ง่ายอย่างที่ล่าวข้างต้น ทุกอย่างต้องเป็นความลงตัวทั้ง 4 มิติ คือ ขนาดปรากฏของดวงจันทร์ที่ใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ ระยะห่างที่เหมาะสม และช่วงเวลาที่พอดี ปรากฏการณ์จึงจะเกิดขึ้นได้
เดือนสุริยุปราคา
            เวลาหนึ่งเดือนตามความหมายที่เราใช้กันอยู่ ก็คือ ระยะเวลาที่ดวงจันทร์ใช้ในการโคจรรอบโลกครบ 1 รอบพอดี ถ้าเช่นนั้นทุกๆ เดือนดวงจันทร์จะโคจรมาอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์เสมอ แล้วทำไมจึงไม่เกิดสุริยุปราคาทุกเดือนเล่า ?
            เหตุผลก็คือ ระนาบการโคจรของดวงจันทร์จะเอียงประมาณ 5 องศากับระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จึงมักเคลื่อนไปอยู่ทางเหนือหรือทางใต้ของเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์เสมอ เงาของดวงจันทร์จึงไม่ตกทดลองบนโลก แต่ทอดลงไปในอวกาศแทน ช่วงที่จะเกิดสุริยุปราคา ดวงจันทร์จะต้องอยู่ที่จุดตัดหรือใกล้จุดตัดของระนาบเท่านั้น ซึ่งปกติวงโคจรของดวงจันทร์จะตัดกับวงโคจรของโลกเพียง 2 จุดเท่านั้นตลอดระนาบโคจร จุดตัดระนาบ 2 จุดก็ไม่ใช่จุดตัดเดิมทุกครั้ง แต่จะเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปยังดะวันตก หรือเรียกว่าการเดินถอยหลัง (regression) การเคลื่อนไปทางตะวันตกเกิดเนื่องจากความแตกต่างของเวลาที่เรารู้จัก คือ เดือน นั่นเอง เดือนมีหลายแบบ แบบที่เราคุ้นกันดีคือ
•   เดือนซินโหนดิค (synodice month) นับเดือนจากจันทร์เพ็ญหนึ่งจนถึงจันทร์เพ็ญถัดไป ซึ่งเดือนตามจันทรคตินี้มี 29.53 วัน
•   เดือนไซเดอเรียล (sidereal month) นับเวลาครบรอบการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์โดยเปรียบเทียบกับตำแหน่งดาวบนท้องฟ้า เดือนไซเดอเรียลจะมีจำนวนวันน้อยกว่าเดือนซินโนดิคประมาณ 2 วัน คือ 27.32 วัน
•   เดือนอุปราคา หรือ เดือนสุริยุปราคา (eclipse หรือ draconic month) นับจากคาบการโคจรจากจุดตัดระนาบจุดใดๆ ไปยังจุดถัดไปทางทิศตะวันตก มีจำนวนวันเท่ากับ 27.21 วัน
            จุดตัดระนาบสองจุดเรียกว่า จุดโหนด (nodes) ซึ่งยังแบ่งออกเป็น โหนดขึ้น (ascending node) และโหนดลง (descending node) ขี้นอยู่กับจังหวะการตัดระนาบของดวงจันทร์ เช่น ดวงจันทร์โคจรตัดระนาบวงโคจรของโลกจากทิศใต้ขึ้นไปยังทิศเหนือ จุดตัดดังกล่าว เรียกว่า ขึ้นโหนด ตรงกันข้ามหากดวงจันทร์โคจรตัดระนาบจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ จุดตัดระนาบดังกล่าวก็เรียกว่า โหนดลง

            สุริยุปราคาวันที่ 24 ตุลาคม 2538 เป็นช่วงโหนดขึ้น ถัดจากนี้ไปอีก 6 เดือน (เดือนสุริยุปราคา) จะเกิดสุริยุปราคาแบบโหนดลงในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2539 และถัดจากนั้นอีก 6 เดือน (เดือนสุริยุปราคา) ก็จะกลับมาเกิดสุริยุปราคาแบบโหนดขึ้นอีกในวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2539
            องค์ประกอบที่ทำให้เกิดสุริยุปราคาแบ่งออกเป็นหลายประเภท เนื่องจากระยะห่างของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกนั่นเอง วงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกและโลกรอบดวงอาทิตย์ไม่เป็นวงกลมแต่เป็นวงรี ระยะห่างของควงอาทิตย์และระยะห่างของควงจันทร์ ถึงโลกจึงแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน ซึ่งมีผลต่อขนาดปรากฏเล็กใหญ่ของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ด้วย คือ หากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ห่างโลกมาก ก็จะเห็นขนาดเล็กตามไปด้วย ในความเป็นจริงโลกจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในเดือนมกราคม บางคนอาจแย้งว่า ทำไมตอนเดือนมกราคมจึงหนาวล่ะ หากโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากก็น่าจะร้อนสิ สาเหตุเรื่องความร้อนหนาวอยู่ที่แกนเอียงของโลกต่างหาก เนื่องจากโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในเดือนมกราคม แต่ทว่ากลับหันด้านใต้เข้าหาดวงอาทิตย์คนส่วนใหญ่ที่อยู่ซีกโลกเหนือจึงไม่รู้จักร้อนนั่นเอง ในเดือนมกราคมโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าช่วงเดือนมิถุนายนถึง ร้อยละ 3 (ประมาณ 4.8 ล้านกิโลเมตร) .
            ส่วนระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก คือใกล้สุด 47,294 กิโลเมตร ไกลสุด 398,581 กิโลเมตร แตกต่างกันถึง 15 เปอร์เซ็นต์ คาบเวลาที่นับจากจุดใกล้สุด จนถึงจุดใกล้สุดครั้งต่อไปกินเวลา 27.55 วัน เรียกว่า เดือนอะโนมาลิสติก (Anomalistic month)
            ระยะการเรียงตัวของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ยังมีผลต่อขนาดเงาของดวงจันทร์ที่ตกลงบนโลกในช่วงที่เกิดสุริยุปราคาแต่ละครั้งด้วย เงาของดวงจันทร์ที่ตกลงบนโลกมี 2 ส่วน คือ เงามืด (umbra) และ เงามัว(penumbra) เงามืดที่เคยตกทอดถึงโลกเคยมี ขนาดกว้างที่สุดถึง 272 กิโลเมตร ส่วนเงามัวจะกินอาณาบริเวณเลยออกจากเงามืดไปนับพันกิโลเมตร ผู้คนที่อยู่ในเขตเงามืดก็จะเห็นเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงส่วนผู้ที่อยู่ในเขตเงามัวก็จะเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน
สุริยุปราคา 3 แบบ
            สุริยุปราคาจะปรากฏเป็น สุริยุปราคาเต็มดวง สุริยุปราคาวงแหวน หรือ สุริยุปราคาแบบวงกลม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการ คือ ตำแหน่งของดวงจันทร์ อยู่ใกล้จุดโหนดแค่ไหน และขนาดเล็กใหญ่ ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า สุริยุปราคาส่วนใหญ่เกิดขึ้นขณะที่ดวงจันทร์เฉียดผ่านจุดโหนด ดวงจันทร์จะบังดวงอาทิตย์เพียงเสี้ยวเดียว เรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ของการเกิดสุริยุปราคาจะเกิดแบบสุริยุปราคาบางส่วนสามารถเห็นได้ครอบคลุมพื้นที่กว้าง คนส่วนใหญ่จึงเคยมีประสบการณ์ในการเห็นสุริยุปราคาบางส่วนไค้ ดวงจันทร์อาจบดบังดวงอาทิตย์เพียง 1 เปอร์เซ็นต์หรือบังถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ก็นับรวมเรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน
                สุริยุปราคาแบบวงแหวน นับเป็นสุริยุปราคาที่พบได้มากเป็นอันดับสอง ภาษาอังกฤษเรียกสุริยุปราคานี้ว่า AnnuIar Eclipse คำว่า Annular มีรากศัพท์จากลาตินแปลว่า วงแหวน ขณะเกิดสุริยุปราคาวงแหวน แสงอาทิตย์จะปรากฏเป็นวงกลมคล้ายแหวนล้อมรอบดวงจันทร์ดำมืดตรงกลาง แม้ว่าดวงจันทร์จะมาบังอยู่ตรงกลางดวงอาทิตย์พอดีแต่บังไม่มิด เพราะขนาดปรากฏเล็กกว่า หมายความว่า ดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ไกลจากโลก หรือ ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้โลกจึงเห็นดวงใหญ่ แสงสว่างจากวงแหวนจะกลบโคโรนา และบรรยากาศชมพูของโครโมสเฟียร์ที่สวยงาม สุริยุปราคาแบบวงแหวนจะเกิดขึ้นประมาณ 32 เปอร์เซ็นต์
            สุริยุปราคาประเภทที่น่าสนใจที่สุดและสวยที่สุด ก็คือ สุริยุปราคาเต็มดวง จะมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่ได้พบเห็นมักจะประทับใจที่ได้เห็นท้องฟ้าเวลากลางวันแปรเปลี่ยนเป็นเวลากลางคืนจนเห็นดวงดาว และที่พิเศษ รอบดวงอาทิตย์จะเห็นแสงเงินยวงของรัศมีโคโรนาคล้ายมงกุฎที่ครอบดวงอาทิตย์เอาไว้
            สุริยุปราคาแบบสุดท้าย คือ สุริยุปราคาแบบวงแหวน-เต็มดวง แบบนี้เกิดขึ้นน้อยมาก เพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และไม่น่าสนใจนัก เพราะจะเกิดเป็นวงแหวนไม่นาน และเมื่อกลายเป็นเต็มดวงก็จะเกิดเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น    
นาทีแห่งความประทับใจ
            ช่วงเวลาการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนั้นน้อยเสมอ เวลานานสุดที่ช่วงคราสจับเต็มดวงเท่าที่เคยเกิดขึ้นบนโลกไม่เกิน 7 นาที 8 วินาที ส่วนใหญ่จะเกิดในเวลาสั้นกว่านี้มาก เช่น สุริยุปราคาเต็มดวงในวันที่ 24 ตุลาคม 2538 ที่ผ่านมาจะเต็มดวงนานเพียง นาทีกับ 58 วินาทีเท่านั้น สุริยุปราคาวงแหวนก็มักจะเกิดในเวลาไม่กี่นาทีเช่นกัน แต่ที่นานที่สุดเคยเกิดนานถึง 12 นาที 24 วินาที ส่วนสุริยุปราคาบางส่วนนั้นอาจเกิดเพียงไม่กี่วินาทีจนถึง มากกว่า 2 ชั่วโมง แต่สำหรับการเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวงและแบบวงแหวนนั้น ผู้ชมยังจะได้ชมการเกิดสุริยุปราคาบางส่วน ก่อนและหลังการเต็มดวงเป็นเวลานานหลายชั่วโมงอีกด้วย
            ช่วงเวลาการเกิดสุริยุปราคาสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ เรื่องแรกคือ ขนาดปรากฏระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ หากดวงจันทร์มีขนาดปรากฏใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มาก ก็จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้นาน แต่หากดวงจันทร์มีขนาดปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์มากก็จะเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวนได้นาน
            องค์ประกอบตัวต่อมาที่เป็นตัวกำหนดระยะเวลาการเกิดสุริยุปราคาก็คือ ตำแหน่งละติจูดของโลกที่เงาของดวงจันทร์กระทบ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทุกๆ จุดบนโลกนี้หมุนรอบตัวเอง ครบ 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ใช้ความเร็วในการหมุนไม่เท่ากันทุกจุด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งบนผิวโลก ถ้าเรายืนอยู่บนเส้นศูนย์สูตรที่ผ่ากึ่งกลางซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้เท่าๆ กัน เราจะใช้ความเร็วในการหมุนรอบโลกเท่ากับ 1,500 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปทางทิศดะวันออก แต่ถ้าเรายืนอยู่บนเส้นรุ้ง (ละติจูค) ที่ 40 องศาเหนือ หรือที่ 40 องศาใต้ เราจะใช้ความเร็วเพียงแค่ 900 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นในการหมุนครบรอบ โดยเฉพาะที่ขั้วโลกไม่ต้องใช้ความเร็วเลย เงาของดวงจันทร์ที่ตกกระทบผิวโลกมีทิศทางเคลื่อนที่จากตะวันตกไปทางตะวันออกด้วยความเร็วประมาณ 2,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับที่โลกเคลื่อนที่ หมายความว่า ความเร็วของโลกที่บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร สามารถชะลอความเร็วของดวงจันทร์ได้นานกว่าบริเวณใกล้ขั้วโลก สุริยุปราคาที่เกิดบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรจึงมีโอกาสเกิดนานกว่านั่นเอง มีความพยายามที่จะใช้เครื่องบินไล่เงาจันทร์เพื่อจะได้เพิ่มโอกาสเห็นสุริยุปราคาได้นานขึ้นผลก็คือ เครื่องบินโดยสารคองคอร์ดทำได้ถึง 70 นาที
            องค์ประกอบ 2 ประการสุดท้ายที่มีผลต่อระยะเวลาการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงและวงแหวนก็คือ การเลือกตำแหน่งสังเกตการณ์ที่เหมาะสมจากแนวเงาตะวันตกถึงตะวันออกประการหนึ่ง และการเลือกตำแหน่งกึ่งกลางคราสอีกประการหนึ่ง เป็นที่ทราบกันดีว่าแนวเงามืดจะเกิดไล่จากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกในช่วงต้นของการเกิดคือเวลาเช้า และในช่วงปลายของการเกิดคือ ในเวลาเย็น เงาดวงจันทร์ที่มาตกกระทบจะเอียงทำมุมกับผิวโลกมาก ในลักษณะเช่นนี้ ความเร็วของเงาจะมากกว่าบริเวณที่เงาตกกระทบตรงๆ หมายความว่าในการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงหรือวงแหวนแต่ละครั้ง ช่วงต้นและช่วงปลายจะเกิดสั้นกว่าช่วงกลาง
    
วัฎจักรสุริยุปราคา
            การเกิดสุริยุปราคาสามารถคำนวณล่วงหน้าและย้อนหลังได้ โดยอาศัยกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ และวิชากลศาสตร์ท้องฟ้า
            จากความสัมพันธ์ระหว่างเดือนประเภทต่างๆ นั้นพบว่าเดือนตามปกติ หรือ เดือนซินโหนดิค ซึ่งมี 29.53 วันนั้นมีความสำคัญเนื่องจากเป็นเดือนที่ใช้กำหนดข้างแรมข้างขึ้น เดือนสุริยุปราคาที่มี 27.21 วัน ก็มีความสำคัญเพราะใช้กำหนดตำเเหน่งที่ดวงจันทร์เข้าใกล้จุดโหนด และ เดือนอะโนมาลิสติก 27.55 วัน ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะตำแหน่งใกล้ไกลของดวงจันทร์จากโลกในวงโคจร เป็นตัวกำหนดว่าจะเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวงหรือวงแหวนจากความสัมพันธ์ของเดือนดังกล่าวจะพบว่า
•   223 เดือนซินโหนดิค = 6585.32 วัน
•   242 เดือนสุริยุปราคา = 6585.35 วัน
•   239 เดือนอะโนมาลิสติก = 6585.53 วัน
            เราพบว่าตัวเลข 6585.32 วันมีค่าเท่ากับ 18 ปี กับ 11 1/3 วัน หมายความว่า ทุกๆ 18 ปีกับอีก 11 1/3 วัน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกจะโคจรกลับมาอยู่ในแนวตรงกันในตำแหน่งเดิมในอวกาศ และสุริยุปราคาที่เคยเกิด ขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อน ก็จะย้อนกลับมาปรากฏอีกครั้ง เป็นสุริยุปราคาชุดเดียวกัน แต่ไม่ได้เกิดตำแหน่งเดิม แต่จะเลื่อนไปเกิดห่างจากบริเวณเดิมบนผิวโลกประมาณ 120 องศา เป็นเพราะว่าเศษเวลา 1/3 วันนั้น โลกเคลื่อนไป 120 องศาแล้วนั่นเอง

            วัฏจักรการเกิดสุริยุปราคาที่ถูกค้นพบนี้ ถูกเรียกว่า ซารอส และมีการตั้งชื่อให้ด้วยว่าเป็น ซารอสที่ 1 ซารอสที่ 2 ยกตัวอย่างเช่น ซารอสที่ 136 สุริยุปราดาเต็มดวงชุดนี้เป็นสุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดนานที่สุดชุดหนึ่ง คือเกิดใน ค.ศ. 1919 , 1937 , 1955, 1973 และที่ลืมไม่ได้คือ ในปี 1991
            นักดาราศาสตร์เปรียบเทียบ ซารอส เหมือนเป็นอนุกรมหรือสายพันธุ์ฟังดูแล้วเหมือนสุริยุปราคามีชีวิต มีต้นสังกัด มีเกิดแก่ตายเหมือนมนุษย์เลยทีเดียว สุริยุปราคาซารอสหนึ่ง หรือสายพันธุ์หนึ่งจะมีอายุยืนไม่ต่ำกว่า 1200 ปี หากลองนำเอาตัวเลข 18 ปี กับอีก 11 1/3 วันไปหาร 1200 ก็จะได้ประมาณ 68 หมายความว่า สุริยุปราคาซารอสหนึ่งจะเวียนมาปรากฏให้เห็นไม่ต่ำกว่า 68 ครั้ง แล้วก็ตายไป แต่ก็มีซารอสใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ประมาณกันว่าทุกๆ 29 ปี ก็จะมีซารอสใหม่เกิดขึ้นมาเสริม ถ้ามองภาพรวมก็คือ จะมีซารอสเด็ก ซารอสหนุ่ม ซารอสแก่ สังกัดค่ายต่างๆ กันอยู่ปนเปกันไป
            เวลาที่สุริยุปราคาซารอสใหม่จะถือกำเนิดขึ้นนั้น จะเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลกก่อนจะขั้วเหนือหรือขั้วใต้ก็ย่อมได้ เกิดครั้งแรกจะเกิดเป็นสุริยุปราคาบางส่วนพอเวียนมาในรอบ 18 ปี 11 1/3 วันต่อไปเรื่อยๆ ก็จะกลายจากสุริยุปราคาบางส่วนไปเป็นสุริยุปราคาวงแหวน และกลายเป็นสุริยุปราคาเต็มดวง ค่อยๆ เกิดไล่จากขัวโลกด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งและเมื่อเวียนมาครบประมาณ 68 ครั้งหรือประมาณ 2000 ปีดังกล่าว ในช่วงรอบท้ายๆ จะกลับมาเป็นสุริยุปราคาบางส่วนอีก แล้วก็หลุดจากขั้วโลกไปเลย เช่น ถ้ามาเกิดที่ขั้วเหนือก็จะตายในขั้วใต้ ดูไปแล้ววัฏจักรสุริยุปราคาช่างเหมือนกับวัฎจักรของสรรพชีวิตในเอกภพนี้ไม่ผิดเพี้ยน

ประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต
            สุริยุปราคาเต็มดวงนับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มนุษย์ไม่มีโอกาสพบได้บ่อยนักในชีวิตประจำวัน มนุษย์เดินดินคนหลายคนที่ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีโอกาสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงเลยก็มีอยู่มากมายสุริยุปราคาบางส่วนหรือสุริยุปราคาวงแหวน เมื่อเทียบคุณค่าและความประทับใจแล้ว เทียบกับสุริยุปราคาเต็มดวงไม่ได้แม้แต่น้อย คำพูดคำอธิบายใดๆ ก็ไม่สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงได้ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทุกคนต้องสัมผัสด้วยตนเอง แม้ว่าท้องฟ้าจะมีเมฆมากก็ตาม ภายใต้เงาจันทร์สัมผัสแห่งอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ทำให้หลายคนถึงกับเอ่ยปากว่า ใต้เงาจันทร์คือโลกต่างดาว คือ โลกในจินตนาการไม่ผิดเพี้ยน
อ้างอิงจาก
http://www.benchama.ac.th/stdweb/eclipse/know1.html

muhib:
ช่วงนี้แม้ท้องฟ้าจะไม่ค่อยเป็นใจให้เราได้ดูดาวกันซักเท่าไหร่ แต่บนท้องฟ้าก็มีน่าตื่นเต้นรอเราให้จ้องมองอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดจะมีดาวหางดวงหนึ่งเข้ามาให้เราได้เห็นกันบนท้องฟ้าซีกเหนือ ดาวหางดวงนี้มีชื่อว่า 17P/Holmes

       ดาวหาง 17P/Holmes เป็นดาวหางคาบสั้น ค้นพบโดย Edwin Holmes จากหอดูดาวในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน คศ.1892  ด้วยกล้องสะท้อนแสงขนาด 12.5 นิ้ว ซึ่งพบดาวหางโดยบังเอิญระหว่างที่เขากำลังใช้กล้องดูดาวของเขาสำรวจกาแลกซี่แอนโดรเมด้า (M31) อยู่ และพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในฟิลด์มีขนาดโตราว 5 arcmin  เขาจึงรายงานการค้นพบไปที่ Royal Observatory ในเมือง Greenwich ประเทศอังกฤษ ซึ่งต่อมาในวันที่ 7 พฤศจิกายน ก็มีรายงานว่ามองเห็นดาวหางนี้ด้วยตาเปล่า

      การคำนวณวงโคจรของดาวหางในยุคสมัยนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก และไม่ค่อยแน่นอน ดาวหางถูกคำนวณวงโคจรครั้งแรกโดย H. C. F. Kreutz ในวันที่ 9 พฤศจิกายนปีเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถกำหนดวงโคจรและคาบได้แน่ชัด ซึ่งมีการขัดแย้งกันหลายคนที่คำนวณคาบการโคจรอยู่ระหว่าง  7.09 ปี   6.14 ปี และ 6.9 ปี
      ดาวหาง 17P/Holmes มีวงโคจรเป็นวงรีโดยมีระยะใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด 2.1655 au. และไกลสุด 5.20 au. ประมาณวงโคจรของดาวพฤหัส มีระนาบโคจรเอียงจากระนาบอิคลิบติด 19.18 องศา

http://www.darasart.com/startonight/17p_holmes/Holmes_orbit.gif
       
     
   ดาวหางเข้ามาในระบบสุริยะครั้งที่ 16 นับตั้งแต่มีการค้นพบครั้งแรกเมื่อปี คศ.1892
 โดยการมาเยือนครั้งล่าสุดเมื่อปี คศ.2000 ดาวหางดวงนี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไหร่เนื่องจากมีความสว่างน้อย โดยมีความสว่างอยู่ที่ระดับแมกนิจูด 15-17 เนื่องจากวงโคจรของดาวหางนั้นเข้าใกล้ดวงอาทิตย์น้อยมาก คืออยู่เลยดาวอังคารออกไปอีก ทำให้ไม่ปรากฏหางให้เห็นหรือเห็นน้อยมาก
 

   สำหรับปีนี้ คศ. 2007 ดาวหางได้รับความสนใจเนื่องจากว่า ดาวหางสว่างขึ้นอย่างทันทีทันใด (Outbrust) จากระดับแมกนิจูด 15 เป็น 3 ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในคืนฟ้ามืดสนิท แต่ภาพของดาวหางนั้นจะไม่ปรากฏเป็นหางยาวให้เราเห็น เนื่องจากอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์และแนวหางก็ขนานไปกับแนวสายตาด้วย
 

     แนวเส้นทางของดาวหาง
       
  การมาเยือนล่าสุดของดาวหางดวงนี้ ดาวหางเข้ามาในระบบสุริยะตามแนวจักราศีคนยิงธนูตั้งแต่เดือนธันวาคมปี คศ.2006 แต่ช่วงนั้นดวงอาทิตย์มาอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งวันที่ 4 พฤษภาคม 2007 ดาวหางมาอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดบริเวณกลุ่มดาวปลาคู่ ดาวหางอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานานหลายเดือน แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ เพราะมีความสว่างน้อย จนกระทั่งเร็วๆดาวหางสว่างขึ้นอย่างทันทีทันใด (Outbrust) จนมีข่าวว่าสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งขณะนี้ดาวหางกำลังอยู่ในกลุ่มดาวเปอร์เซอุส แล้วก็จะตีวงอยู่กลุ่มดาวเปอร์เซอุสหลายเดือนเพราะเป็นช่วง Retrogation ก่อนที่จะเข้าไปทางกลุ่มดาวสารถี แล้วตกลบฟ้าไปโดยเร็ว


 
   
  ภาพมุมกว้างเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2007 โดย Pierre Martin จากแคนาดา
   
http://www.darasart.com/startonight/17p_holmes/map.jpg

  ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2007 จนถึง มีนาคม 2008 ดาวหางอยู่ในกลุ่มดาวเปอร์เซอุส เพราะเป็นช่วงที่ดาวหางมีการเคลื่อนที่ถอยหลัง(Retrogade) ซึ่งเป็นโอกาสดีเพราะกลุ่มดาวเปอร์เซอุสเห็นได้ง่ายในประเทศไทย
 
    ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2550 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการสังเกตดาวหางดวงนี้ นอกจากจะเป็นช่วงต้นๆของการ Outbrust แล้วยังเป็นช่วงที่ดาวหางอยู่ใกล้กับดาวอัลฟ่าเปอร์เซอุส หรือ Mirfak ซึ่งมีระดับความสว่าง 1.8 มองเห็นได้เด่นชัดจึงใช้เป็นดาวไกด์ในการหาตำแหน่งดาวหางนี้ได้ ซึ่งกล้องขนาดเล็กหรือกล้องสองตาก็สามารถมองเห็นได้แล้ว  ซึ่งการ Outbrust หรือการระเบิดของฝุ่นดาวหางนี้นักดาราศาสตร์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะอยู่นานขนาดไหน
http://www.darasart.com/startonight/17p_holmes/main.htm



muhib:
คนไทยจะได้เห็นดาวอังคารสุกสว่างมากสุดในรอบ 2 ปี

ตั้งแต่ปลายปี 2550 ถึงต้นปี 2551 คนไทยจะมีโอกาสเห็นดาวอังคารสุกสว่างชัดเจนมากที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ดาวอังคารอยู่ใกล้ตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ และเป็นช่วงเวลาที่ดาวอังคารเข้าใกล้โลกมากที่สุด และมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

สมาคมดาราศาสตร์ไทย รายงานว่า ดาวอังคารเข้าใกล้โลกโดยเฉลี่ยทุกๆ ประมาณ 2 ปี 2 เดือน ลักษณะวงโคจรที่มีความรีค่อนข้างชัดเจนทำให้ดาวอังคารอยู่ห่างจากโลกไม่เท่ากันในการเข้าใกล้แต่ละครั้ง ปีนี้ดาวอังคารก็จะเข้าใกล้โลกอีกครั้งโดยเกิดในช่วงเดือนธันวาคม 2550 แต่ไม่ใกล้มากเท่ากับการเข้าใกล้เมื่อปี 2546 ทุก 15 หรือ 17 ปี จึงจะมีโอกาสเห็นดาวอังคารสว่างและมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับที่เห็นเมื่อสี่ปีที่แล้ว

ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์หินเช่นเดียวกับดาวพุธ ดาวศุกร์ และโลก พื้นผิวดาวอังคารในอดีตมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากภูเขาไฟระเบิด การพุ่งชนของอุกกาบาต การเคลื่อนไหวของเปลือกดาวอังคาร และปรากฏการณ์ในบรรยากาศ เช่น พายุฝุ่น

หนึ่งถึงสองเดือนก่อนที่ดาวอังคารจะเข้าใกล้โลกมากที่สุด ดาวอังคารขึ้นทางทิศตะวันออกหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่เมื่อถึงช่วงที่ดาวอังคารอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์และใกล้โลกมากที่สุด ดาวอังคารจะขึ้นทางทิศตะวันออกในเวลาไล่เลี่ยกับเวลาดวงอาทิตย์ตก อยู่สูงใกล้จุดเหนือศีรษะในเวลาเที่ยงคืน และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกในเวลาไล่เลี่ยกับเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น จึงสามารถสังเกตดาวอังคารได้ตลอดทั้งคืน ต้นเดือนตุลาคม 2550 ดาวอังคารเคลื่อนที่เดินหน้าไปทางทิศตะวันออกขณะอยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ สว่างด้วยโชติมาตร -0.1 ขึ้นเหนือขอบฟ้าเวลาประมาณ 5 ทุ่มเศษ จากนั้นเมื่อถึงกลางเดือนพฤศจิกายนดาวอังคารเริ่มเคลื่อนที่ถอยหลังไปทางทิศตะวันตก ขณะนั้นความสว่างเพิ่มขึ้นไปที่โชติมาตร -0.9 และขึ้นเหนือขอบฟ้าในเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษ

ดาวอังคารเข้าใกล้โลกมากที่สุดในเช้าวันที่ 19 ธ.ค. 2550 ขณะมีโชติมาตร หรืออันดับความสว่าง -1.6 เส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุม 15.9 พิลิปดา ขึ้นเหนือขอบฟ้าในเวลาหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปแล้วประมาณ 20-30 นาที อีก 6 วันถัดมาดาวอังคารจะอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ทำให้มันขึ้นเหนือขอบฟ้าพร้อมกับดวงอาทิตย์ตกและเริ่มปรากฏบนฟ้านับตั้งแต่ย่ำค่ำ และช่วงสิ้นเดือน ม.ค.-ต้นเดือน ก.พ. 2551 ความสว่างจะลดลงต่อเนื่อง.-
 


ที่มา : สำนักข่าวไทย   

قطوف من أزاهير النور:
 salam


ได้รับไฟลอธิบายเรื่องวันอีดมาค่ะ แต่อ่านไม่ค่อยเข้าใจรบกวนพี่น้องอธิบายให้หน่อยนะคะ เป็นไฟล์ ppt ต้องอัพโหลดเอา

แต่พอจะจับใจความได้ว่า การที่มุสลิมอีดคนละวันเป็นเพราะมุสลิมส่วนหนึ่งใช้เกณฑ์การแบ่งวันตามแบบสากล ทั้งที่อิสลามมีเส้นแบ่งเขตวันอยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเดินทางจากจุดหนึ่งบนโลกแล้วกลับมาที่เดิมจะพบว่าวันของคนเดินทางน้อยกว่าวันของคนที่อยู่จุดเดิมไป 1 วัน

มหัศจรรย์จนไม่ค่อยเข้าใจเลยล่ะ - -' รบกวนด้วยค่ะ

http://www.savefile.com/files/1278177

muhib:
อัสลามุอะลัยกุม
 salam
สุริยุปราคาเต็มดวง 1 สิงหาคม 2551
อุปราคาในปี 2551
30 ธันวาคม 2550 วรเชษฐ์ บุญปลอด
ตลอดปี พ.ศ. 2551 มีอุปราคาเกิดขึ้น 4 ครั้ง เป็นสุริยุปราคาสองครั้งและจันทรุปราคาสองครั้ง ประเทศไทยมีโอกาสเห็นจันทรุปราคากับสุริยุปราคาอย่างละครั้งซึ่งเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ต่อไปนี้เป็นข้อมูลโดยสังเขป

สุริยุปราคาวงแหวน 7 กุมภาพันธ์ 2551
สุริยุปราคาครั้งนี้เกิดในเช้าวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ตามเวลาประเทศไทยซึ่งตรงกับวันตรุษจีน แต่ประเทศไทยไม่สามารถมองเห็นได้ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกจนมีขนาดปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์ พื้นที่ที่เห็นสุริยุปราคาวงแหวนเป็นพื้นที่แคบ ๆ ส่วนหนึ่งของทวีปแอนตาร์กติกา มหาสมุทรใต้ และตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาบางส่วนซึ่งจะเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่ง ได้แก่ ตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น นิวแคลิโดเนียของฝรั่งเศส ประเทศวานูอาตูและฟิจิ เป็นต้น

จันทรุปราคาเต็มดวง 21 กุมภาพันธ์ 2551
เช้าวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงโดยดวงจันทร์ถูกเงามืดของโลกบังระหว่างเวลา 8.43 - 12.09 น. ตามเวลาประเทศไทย เรามองไม่เห็นปรากฏการณ์ในวันนี้เพราะดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว พื้นที่ที่เห็นจันทรุปราคาครั้งนี้ได้แก่บรรดาประเทศในทวีปที่อยู่รอบมหาสมุทรแอตแลนติก ประกอบด้วยทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ และทวีปอเมริกาใต้รวมไปถึงเขตอาร์กติก คนในยุโรปกับแอฟริกาเห็นจันทรุปราคาก่อนดวงจันทร์ตกในเช้ามืดของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น แต่ในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้เห็นในคืนวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ขณะดวงจันทร์ขึ้นในเวลาหัวค่ำไปจนถึงเที่ยงคืน ดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดหมดทั้งดวงกินระยะเวลานาน 51 นาที

สุริยุปราคาเต็มดวง 1 สิงหาคม 2551
สุริยุปราคาครั้งนี้เกิดในช่วงบ่ายถึงเย็นวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2551 เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เข้าบังดวงอาทิตย์มิดหมดดวง แนวคราสเต็มดวงซึ่งเป็นเส้นทางแคบ ๆ บนพื้นผิวโลกเริ่มต้นที่แคนาดา ลากผ่านตอนเหนือของกรีนแลนด์ มหาสมุทรอาร์กติก รัสเซีย มองโกเลีย และไปสิ้นสุดในประเทศจีน

เงามืดของดวงจันทร์เริ่มแตะพื้นผิวโลกเมื่อเวลาประมาณ 16.21 น. ตามเวลาประเทศไทยในบริเวณอ่าวควีนมอดซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะวิกตอเรีย ดินแดนนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ของประเทศแคนาดา ที่นั่นเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงขณะดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นระยะเวลานาน 1 นาที 30 วินาที จากนั้นเงามืดเคลื่อนไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว ผ่านพื้นดินทางใต้ของเกาะวิกตอเรีย เกาะปรินซ์ออฟเวลส์ เกาะซัมเมอร์เซต เกาะเดวอน ทางใต้ของเกาะเอลสเมียร์ ลงสู่มหาสมุทรอาร์กติก ผ่านตอนเหนือของกรีนแลนด์และมุ่งหน้าไปยังตอนเหนือของทวีปเอเชีย

เงามืดผ่านเกาะโนวายาซิมลียาในเวลา 17.00 น. กึ่งกลางแนวคราสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนาน 2 นาที 23 วินาที และเคลื่อนลงสู่ทะเลคารา แตะชายฝั่งคาบสมุทรยามาลในประเทศรัสเซียในอีก 10 นาทีต่อมา จุดที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนานที่สุดของวันนี้ (2 นาที 27 วินาที) เกิดขึ้นในเวลา 17.21 น. ใกล้เมืองนาดีมของรัสเซีย จากนั้นเส้นทางเงามืดตัดเฉียงลงมาทางใต้ ออกจากรัสเซียแล้วผ่านพรมแดนทางตะวันตกระหว่างมองโกเลียกับจีนตามแนวเทือกเขาอัลไต คราสเต็มดวงสิ้นสุดในประเทศจีนเมื่อเวลา 18.21 น. ที่นั่นเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงขณะดวงอาทิตย์ตกเป็นระยะเวลานาน 1 นาที 28 วินาที บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาบางส่วนครอบคลุมตอนเหนือของยุโรปและแคนาดา เกือบทั้งหมดของทวีปเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่นและประเทศอาเซียนที่อยู่ในทะเลจีนใต้

ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเห็นสุริยุปราคาครั้งนี้ได้โดยต้องใช้แผ่นกรองแสงหรือการสังเกตการณ์ทางอ้อม เช่นดูภาพสะท้อนบนผนังผ่านกระจก ดวงจันทร์เข้าบังบางส่วนของดวงอาทิตย์ในช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้าจนกระทั่งตกลับขอบฟ้า (ขณะหายไปที่ขอบฟ้าก็ยังเห็นดวงอาทิตย์แหว่งอยู่) บริเวณที่มีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์แหว่งมากที่สุดคือภาคเหนือและภาคอีสาน ส่วนเวลาที่เกิดปรากฏการณ์แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ เริ่มเวลา 18.02 น. ดวงอาทิตย์แหว่งมากที่สุดขณะดวงอาทิตย์ตกด้วยอัตราส่วน 54%

จันทรุปราคาบางส่วน 17 สิงหาคม 2551
จันทรุปราคาครั้งนี้สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย เกิดขึ้นในช่วงหลังเที่ยงคืนของคืนวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2551 เข้าสู่เช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พื้นที่บนโลกที่เห็นจันทรุปราคาครั้งนี้ได้แก่ทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย และตะวันตกของออสเตรเลีย ทวีปเอเชียและออสเตรเลียเห็นปรากฏการณ์ก่อนดวงจันทร์ตกในเช้ามืดของวันที่ 17 สิงหาคม ขณะที่ยุโรปและแอฟริกาเห็นในคืนวันที่ 16 สิงหาคม ขณะที่ดวงจันทร์ขึ้นในเวลาหัวค่ำถึงช่วงเที่ยงคืน

ประเทศไทยเริ่มเห็นดวงจันทร์แหว่งในเวลา 2.36 น. ขณะดวงจันทร์มีมุมเงยประมาณ 60 องศา หรือ 2 ใน 3 ของระยะทางระหว่างขอบฟ้ากับจุดเหนือศีรษะ เงามืดของโลกเข้าบังดวงจันทร์ลึกที่สุดในเวลา 4.10 น. ด้วยอัตราส่วน 81% วัดตามแนวเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ ขณะนั้นดวงจันทร์อยู่สูงประมาณ 30 องศาจากขอบฟ้า ดวงจันทร์เคลื่อนออกจากเงามืดจนกลับมาสว่างเต็มดวงในเวลา 5.45 น. คนในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงจะเห็นดวงจันทร์มีมุมเงย 6 องศาในขณะสิ้นสุดคราสบางส่วน รวมเกิดจันทรุปราคาบางส่วนเป็นระยะเวลานาน 3 ชั่วโมง 9 นาที

ดูเพิ่ม
อุปราคาในปี 2544
อุปราคาในปี 2545
อุปราคาในปี 2546
อุปราคาในปี 2547
อุปราคาในปี 2548
อุปราคาในปี 2549
อุปราคาในปี 2550
ที่มา
Eclipses during 2008 - Fred Espenak (NASA/GSFC)
สมาคมดาราศาสตร์ไทย - http://thaiastro.nectec.or.th
http://www.hilalthailand.com/oursky/

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version