ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุใดกลุ่มวะฮาบีย์จึงไม่กล้าเข้าสนทนากับกลุ่มมัสหับทั้ง4.  (อ่าน 4891 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เพราะพวกเรายังมีความรู้น้อยมาก 
แหมประชดกันรึปล่าวคับ พูดงี้ผมเขินแย่   ;D

อัลฮัมดุลิลลา :D

ก็เชิญ  แนะนำตนเองและหลักการของตนเองได้เลยครับ  เรารับฟัง  เพราะผมเองก็ได้ฟังมาเยอะแล้วครับ คนที่บอกว่า ฉันตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์  ทำตามสะลัฟ  อันเนื่องจากพวกเขากลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่า  ตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์   ผมจึงอยากได้ฟังจากคุณ Mido-ban อีกคนน่ะครับ เพราะผมไม่เบื่อที่จะฟังครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
เอาจิงๆผมก็ตามบรรดาซอฮาบะด้วยนั่นแหละครับเพียงแต่ท่าเอาชัวร์ๆสบายใจผม ผมก็ยึดท่านเหล่านี้ก่อนครับ ส่วนจาว่าผมเป็นคอวาริจหรืออะไรก็แล้วแต่ก็ตามสิทของท่านครับ ;D

คุณ มิโดบัน ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า ผู้ที่น่าเชื่อถือและประเสริฐกว่าอยู่ในสมัยใด นะครับ ..
ตอบ แหมพูดซะ แล้วคุนคิดว่าผมคิดว่าอยู่ในสมัยไหนหล่ะ :D

คนที่เสวนากับเราไม่รู้เรื่อง ก็คือ บุคคลที่ไม่เอามัซฮับ (หมายถึงไม่ยอมรับการกิยาสเรื่องศาสนาของ ผู้นำสำนักคิดทั้ง 4 )
ซึ่งมีตั้งแต่ยุคสามศตวรรษ เป็นต้นมา ทั้งๆ ที่สมัยยุคสามศตวรรษ ท่านนบีรับรองแล้วว่าประเสริฐ
ตอบ ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องหรอกครับแต่เหมือนคุยกันคนละภาษาหนังคนละม้วนมากก่าอิกอย่างเท่าที่รู้มาเนี่ยเค้าก็ยอมรับนะครับแต่อารัยที่ขัดกับฮะดีษซอเฮียของท่านรอซู้ลเค้าก็ไม่เอาเท่านั้นเอง ความรู้สึกนี้ผมเข้าใจครับ อิกอย่างไม่ว่ายุคสมันไหนมันก็มีอารัยแปกๆอยู่เสมอแหละครับผมเลยต้องชัวร์จิงๆในเรื่องต่างๆ  ชีอะก็เกิดช่วงนั้นไม่ใช่เหรอครับ

พี่น้องต้องเข้าใจว่า มนุษย์ในปัจจุบันที่มีความสามารถ ทั้งอีหม่าน ตักวา ความรู้ เทียบกับคนในยุคสามศตวรรษ นั้นไม่มี
ถามใครก็ว่าไม่มีครับ ก็จบกันตรงนี้ว่า จะเลือกตามทรรศนะของใครเท่านั้นเอง
ตอบ ใช่ครับจบตงอยู่ที่ว่าจะเลือกตามทัศนะของใคร ถูกต้องนะคร้าบ

เห็นไหมครับ ประเด็นอย่างนี้แหละคุยไม่รู้เรื่อง
เพราะว่า ไม่มีใคร ฟัตวา ขัดกับหลักซุนนะหรอกครับ
ทุกคนมีหลักฐานด้วยกันทั้งนั้น
บางเรื่องเป็นการกิยาส (เทียบเคียง) กับซุนนะของท่านนบี

แต่เพราะกลุ่มพวกคุณที่อ้างว่าตามซุนนะ
เขาไม่ตามหลักกิยาสแบบนี้ เพราะไม่เชื่อในการกิยาสของผู้นำสำนักคิดทั้ง 4
แต่เชื่อคำฟัตวา และการกิยาสของ รอซิดรีฎอ ,ชาติบี ,อิบนุตัยมิยะ ,ดาวุ๊ด ,ฮุซัยมีน เป็นต้น

เพราะที่ว่าขัดต่อซุนนะ อะไรนั่น ก็ไม่มีห้ามครับ แต่แค่ฟัตวาเอง กับกิยาสว่าห้ามเท่านั้น เช่น

كل بدعة ضلالة   "ทุกบิดอะฮ์นั้น หลงผิด"

โดยให้ความหมายว่า  ทุกๆ ในที่นี้คือบิดอะทั้งหมด นี่แหละคือการฟัตวาเอง
เพราะนำคำว่า كل  มาแปลว่า ทุกอย่างทั้งหมดไม่มียกเว้น

และอะไรคือเรื่องที่ถูกปฏิเสธ

من أحدث فى أمرنا هذا ما هو منه فهو مقبول   "ผู้ใดที่อุตริสิ่งใดขึ้นมาในกิจการ(ศาสนา)แห่งเรา ซึ่งไม่ใช่เรื่องราวของศาสนา สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ"

โดยนำมากิยาส กันเองว่า "การงาน"  หรือ "กิจการ" ในที่นี้คือ "การทำอิบาดะ" แต่กลับไม่แปลว่า เรื่องของศาสนาโดยตรงตัว
ดังนั้น ก็เลยกล่าวว่า ทุกๆ อิบาดะที่ไม่มีคำสั่งใช้ เป็นบิดอะ   (วัลอิยาซุบิ้ลละ)

ทั้งหมดนั้นอยู่ในขั้นที่เราเรียกว่า ฮะดีสอาม ซึ่งเป็นการกล่าวอย่างกว้างๆ ไม่ได้เจาะจง เช่น

"อัลลอฮฺทรงบัญชาแก่สูเจ้า (ในการแบ่งมรดก) ในลูกๆ ของสู้เจ้าว่า สำหรับลูกผู้ชายหนึ่งคน เท่ากับลูกผู้หญิงสองคน" อัลกรุอาน...
ซึ่งเป็นลักษณะ อุมูม เช่นกัน กล่าวคือ มันถูกจำกัดความด้วยฮะดีสต่อมาคือ
"มุสลิมไม่มีสิทธิรับมรดกจากกาเฟรและกาเฟรก็ไม่มีสิทธิรับมรดกจากมุสลิม" บุคอรี และมุสลิม

หรือ

"พืชที่ใช้น้ำฝน ต้องจ่ายซะกาตร้อยละสิบ" บุคอรี และมุสลิม
ซึ่งเป็นลักษณะ อุมูม เช่นกัน กล่าวคือ มันถูกจำกัดความด้วยฮะดีสต่อมาคือ
"ผลผลิตของพืชที่มีจำนวนน้อยกว่าห้าเอาซุก ไม่ต้องจ่ายซะกาต"   บุคอรี และมุสลิม

จะกล่าวได้ว่า หากตัวบทใดแม้จะทั้งในอัลกรุอานก็ดี หรือฮะดีสก็ดี
หากเป็นสิ่งที่ศาสนาต้องการทำให้ชัดแจ้งแล้ว ก็จะมีตัวบท หรือหลักฐานตามมาเสมอ เพื่อความชัดเจนปราศจากข้อเคลือบแคลงสงสัย

ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำการวินิฉัยอีก  แต่กลับเรื่องที่มิได้เป็นการเจาะจงในสิ่งๆ หนึ่งแล้ว ทำไมเราต้องฟัตวาว่าเป็นเรื่องเจาะจงเฉพาะสิ่งๆ หนึ่งด้วยเล่า ?

อนึ่ง บิดอะ นั้นแปลว่า กิจการศาสนาที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนในสมัยท่านร่อซู้ล
ซึ่งแปลได้จาก ประทานนุกรมอาหรับ (เชิงภาษา) ดังนี้
1. บิดอะ คือ กิจกรรมที่เป็นอันดับแรก
2. บิดอะ คือ สิ่งที่เขาประดิษฐ์มันขึ้นมาโดยไม่มีตัวอย่าง
3. บิดอะ คือ กิจกรรมที่เขาประดิษฐ์ และริ่เริ่มมันขึ้นมาโดยไม่มีตัวอย่าง
4. บิดอะ คือ สิ่งที่ถูกริเริ่มมันขึ้นมาโดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน

จากความหมายให้คำในเรื่อง บิดอะภาษานั้น  เชคอิซซุดดีน บิน อับดิสสลาม ได้ให้เป็นความหมายของ บิดอะทางด้านศาสนา ดังนี้
บิดอะ คือ เรื่องศาสนาที่ไม่มีหรือไม่เป็นที่รู้จักกันในสมัยท่านร่อซู้ล

อีหม่ามซาฟีอี แบ่ง บิดอะ เป็นสอง ประเภท คือ บิดอะที่ดี (บิดอะฮาซะนะ) บิดอะหลงผิด (บิดอะดอลาละ)
"บิดอะมีสองประเภท บิดอะที่ดี และบิดอะที่เลว ฉะนั้นสิ่งใดที่สอดคล้องกับซุนนะ อันนั้นคือบิดอะที่ดี และสิ่งใดที่ขัดแย้งกับซุนนะ อันนั้นคือบิดอะที่เลว"
ฟัตหุลบารี เล่ม17 หน้า10

ท่านนบีกล่าวว่า
"ใครทำแบบฉบับที่ดีในอิสลาม แล้วคนรุ่นหลังได้ทำตามแบบฉบับนั้น เขาจะได้รับผลบุญเหมือนกับผลบุญของผู้ที่กระทำ โดยไม่ลดหย่อนจากผลบุญของพวกเขา(ผู้กระทำ)เลยแม้แต่น้อย และใครทำแบบฉบับที่เลวในอิสลาม แล้วคนรุ่นหลังได้ทำตามแบบฉบับนั้น เขาจะได้โทษเหมือนกับโทษของผู้ที่กระทำ โดยไม่ลดหย่อนจากโทษของพวกเขา(ผู้กระทำ)เลยแม้แต่น้อย "
รายงานโดย มุสลิม ซัรมุสลิม เล่มที่ 17 หน้า 266

ฮะดีสนี้ชี้ให้เห็นว่า มุสลิมทุกคนย่อมทำแบบฉบับที่ดีให้เกิดขึ้นได้ และได้ห้ามการกระทำแบบอย่างที่เลวโดยเด็ดขาด

แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับแปลมันว่า บิดอะ คือ การทำเรื่องอิบาดะที่ไม่มีหลักฐานจากสมัยท่านร่อซู้ล (วัลอิยาซุบิ้ลละ)

ถ้าจะเป็นคนละทรรศนะก็ไม่ว่ากัน แต่มากล่าวหาทรรศนะอื่นว่า ขัดต่อหลักซุนนะ เป็นบิดอะ และลงนรก แบบนี้ไม่สมควร...

วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 12, 2007, 11:25 PM โดย Goddut »

ออฟไลน์ rokeer

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ตอบ ผมตามกิตาบุลลอฮและซุนนะและคอลีฟะ2คนแรกครับ และคุนก็กำลังหุก่มผมเหมือนกับที่คนที่คุนเรียกเค้าว่าวะฮาบีบอกว่าพวกคุนทำบิดอ๊ะนะครับ โปรดตรองดูด้วย

ค่อลีฟะฮ์ อัรรอชิดีน ที่ท่านนบีให้ตาม เหลือแค่สองท่านแล้วหรือครับ  ท่านอุษมาน และท่านอะลี  ไปใหนเสียแล้ว  ในอดีตนั้น พวกค่อวาริจ  ตามเพียงท่าน อบูบักรและท่านอุมัร เท่านั้นเหมือนกัน


             อ้าว...เพิ่งได้ยินว่าชาววาฮาบีตามเพี่ยง 2 คอลีเฟาะห์แรกเท่านั้น อย่างนี้ไม่เพี้ยนหรอครับพี่น้อง



ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
แน่นอนครับ
เพราะว่า คอลีฟะอุษมาน ในสายตาของพวกเขา คือ ผู้ที่ทำบิดอะ
เนื่องจาก คอลีฟะอุษมาน ได้ทำการวินิจฉัย เรื่องด้านศาสนา เพิ่มขึ้นมาในยุคนี้ครับ
เช่น การอะซานก่อนละหมาดยุมมะอะ การละหมาดเดินทางที่ต้องใช้เป็นที่พำนัก เป็นต้น
อีกทั้งแนวทางคิดของกลุ่ม วะฮะบี นั้น ก็คล้ายกับกลุ่มของ "ฮูรูรียะ" ซึ่งต่อมา เป็น "เคาะวาริจน์"  ที่มีแกนนำในสมัยท่านอะลี โดย อับดุลลอฮฺ อิบนุวะฮฺ อัรอาซี นั่นเอง

ในกลุ่มนี้มีแนวคิดบางประการ ดังนี้
1. มนุษย์ไม่มีสิทธิก้าวก่าย ฮุก่ม ต่างๆ ของอัลลอฮฺ (เห็นพ้องกัน)
2. ผู้นำมุสลิม ย่อมเป็นสิทธิของมุสลิมทุกคน เป็นผู้ที่มีความสามารถเหมาะสม และเป็นชนเผ่าใดก็ได้
( ขัดต่อฮะดีส ที่ท่านอบูบักร และท่านอุมัรนำเสนอ คือ "บรรดาคอลีฟะนั้นจะต้องมาจากเผ่ากุร๊อย")

3. อีหม่านย่อมครอบคลุมถึงฟัรดูทั้งหมดทางศาสนา ผู้ใดละทิ้ง ผู้นั้นจะต้องเตาบะฮฺ หากไม่เช่นนั้นก็สมควรถูกฆ่า
( เป็นเหตุให้เกิดการฆ่าท่านอุษมาน และท่านอะลี แต่ท่านทั้งสองไม่อยู่ในข่ายนี้ )

4. การกุฟุร์จะเกิดขึ้นได้เพราะไม่ดำเนินการตามอัลกรุอานและซุนนะ แต่พวกเขาก็กล่าวหาบุคคลที่ร่วมในสงครามซิฟฟิน และการประชุม ว่าเป็นกุฟุร์
( และเห็นได้ในปัจจุบัน ที่มีผู้รู้ท่านนึงกล่าวหาพี่น้องของเขาทำตัวเยี่ยงกุฟุร์ จริงๆ แล้วคำว่ากุฟุร ก็แบ่งได้ 2 แบบคือ กุฟุรทางจิตใจ และกุฟุรทางปฏิบัติ)

5.อนุญาต ให้ต่อต้านผู้นำที่ฟาซิซ ( ชั่วร้าย )
( ซึ่งเป็นการตัดสินด้วยกับกลุ่มของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ใช่จากบุคคลทั่วไป ( ยะมาอะ) ซึ่งก็คอลีฟะทั้งสอง ก็ไม่อยู่ในแนวทางฟาซิซที่ว่านี้เลย )

ซึ่งจะเห็นว่า ตั้งแต่ ข้อ 2 ลงมาแนวคิดก็ค่อนข้างเป็นในทางที่กร้าวร้าว และหยาบกระด้างแล้ว
นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ คอลีฟะอุษมานถูกฆ่า เพราะเนื่องจากความอ่อนโยน และความที่มองผู้อื่นดีทั้งหมด

และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ คอลีฟะอะลีถูกฆ่า เนื่องจากต้องการประนีประนอมกับ มุอาวียะ ( ซึ่งมุอาวียะนั้นต้องการล้างแค้นให้กับผู้ที่ฆ่าคอลีฟะอุษมาน )

ท่านนบีเคยกล่าวแก่สตรีผู้หนึ่งว่า "หากเธอไม่พบฉันก็จงไปหาอบูบักรเถิด" <<< ยืนยันความแน่นอนและเชื่อถือได้ของท่านอบูบักร
ท่านอุมัรเป็นที่รู้จักกันในนามว่า "อัล - ฟารุก" หมายถึง ผู้แยกความจริงจากความเท็จ <<< ยืนยันความแน่นอนและเชื่อถือได้ของท่านอุมัร

ฮะดีสที่รองรับ คอลีฟะ ทั้งสองที่บุคคลในสายวะฮะบี รับรองนั้นคือ ท่านอบูบักร และท่านนอุมัร ดังนี้

ท่านนบีกล่าวว่า "พวกท่านจงดำเนินตามบุคคลสองท่าน หลังจากฉันคือ อบูบักร และอุมัร"   ซอเหียะ อัตติรมีซี เล่ม 13 หน้า 129

แน่นอนว่า ฮะดีสด้านบนนั้นชี้ชัดว่า ท่านนบี ใช้ให้ดำเนินตามแบบฉบับของ ท่านอบูบักร และท่านอุมัร



ชี้ให้เห็นว่า เมื่อ ท่านอุษมานขึ้นเป็นคอลีฟะแล้ว หลังจากการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ก็มีเรื่องฟิตนะมากมายในสังคม แม้หลังจากนั้นท่านอุษมานจะทำการเตาบะฮฺ โดยมีท่านอะลีจัดแจงให้แล้วก็ตาม อันเป็นที่มาของการสิ้นสุดยุคคอลีฟะที่สาม รวมเวลา 12 ปี และก็เป็นที่มาของการสิ้นสุดท่านอะลี คอลีฟะที่สี่เช่นกัน



หากเราจะดูเรื่องราวในปัจจุบัน ภาพของประวัติศาสตร์ก็สะท้อนออกมาให้เห็นไม่น้อย
วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล. แก้ข้อความด้านบน ส่วนสีแดง เป็น คล้าย นะครับ  เพราะเนื่องจากว่า กลุ่มเคาะวาริจ นั้นไม่อยากเห็นการสงคราม ระหว่างคอลีฟะอะลี และมุอาวิยะ เท่านั้น

แต่แนวทางการไม่รับการวินิจฉัยบางประเด็นนั้น คล้าย กับของวะฮะบี ครับ  แต่เนื่องจาก วะฮะบี นั้นถูกนำโดย มุฮัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ ซึ่งเกิดหลังจากสามศตวรรษ ดังที่ทราบกันดีแล้ว

ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็เกี่ยวพัน แบบแนวทางการคิด ในเรื่องกิยาส เท่านั้นเอง...

ที่ผมว่าคล้ายกันเพราะ ในสมัยเคาะวาริจ นั้นกลุ่มเหล่านั้นวิพากษ์ และตัดสิน คนเป็นกุฟุร
เฉกเช่นเดียวกับคนสมัยนี้ ที่ผู้รู้บางท่าน ตัดสิน พี่น้องของเขา เป็นกุฟุร และมุนาฟิก เช่นกัน


ขอ มะอัฟ ที่พิมข้อมูลคลุมเครือ กลัวพี่น้องจะเข้าใจผิดครับ
จึงเรียนมาเพื่อทราบ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 13, 2007, 06:25 PM โดย Goddut »

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
แจ่มครับคุณกอดดัร อยากรู้ต่อว่าเป็นอย่างไร อธิบายต่อไปซิครับ

ออฟไลน์ naruto

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

คนอยากรู้

  • บุคคลทั่วไป
กระทู้นี้เหงาจังทิ้งไว้ ตั้ง3เดือนแล้ว........ 2hand

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
บังหาเวลาว่างเข้ามาสนทนาบ่อยๆซิครับ

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
คือกระทู้นี้ ไม่มีใครเข้ามาร่วมเสวนาแล้วมันจืดจริงๆ แหละครับ

เอาเป็น ว่า กลุ่ม วะฮะบี นั้น ที่ถูกนำโดย มุฮัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ นั้นในสมัยนั้นถือได้ว่า ช่วยสังคมมุสลิมได้ยอดเยี่ยมทีเดียว
แต่น่าแปลกอีก ที่ในสังคมบ้านเรา ที่กล่าวว่า  มุฮัมหมัด บิน อับดุลวาฮาบ นั้นน่ายกย่อง
กลับกล่าวเองว่า "พวกเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มเหล่านี้"
ดังนั้น มันเป็นที่แน่ชัดเหลือเกินในตอนนี้ว่า กลุ่มดังกล่าวที่สร้างความแตกแยกให้กับ พี่น้องมุสลิมในสังคมไทย ปัจจุบัน นั้น ไม่ใช่ วะฮะบี แท้
เพราะ พอถามว่า เป็น วะฮะบี หรือ คำตอบที่เขา จะตอบก็คือ "ไม่ใช่ ทำไมต้องมายัดเยียดผมให้เป็นวะฮะบี"
เหมือนกับว่า พวกเขา แค่ทำตัวเลียนแบบวะฮะบี แต่ในอีกในหนึ่งก็ไม่รับแนวทางของวะฮะบี เช่นกัน

โดยพวกเขาจะอ้างว่า "เราคือกลุ่มตามซุนนะ เราคือสายกลาง เราไม่ทำเกินจากที่นบีสั่ง และเราไม่ทำขาดจากที่นบีสั่ง"

วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 02, 2007, 12:41 AM โดย Goddut »

ออฟไลน์ al-adalah 1

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 78
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
.....ท่านมุฮัมมัด บิน อัลดุลวะฮาบ  ทำการวินิจฉัยโดยฮุกุ่มกาเฟรและชิริกกับบรรดามุสลิม  จนอนุญาตให้มีการฆ่าฟันกันขึ้นทำให้มุสลิมเสียชีวิตมากมาย  ปราชญ์บางส่วนไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบกระทำ  แต่อุลามาอ์ยุคหลังคิดในแง่ดีไว้ก่อนคือพูดเขา ท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบวินิจฉัยผิด  คือผิดได้หนึ่งและถูกได้สอง  แต่วะฮาบีปัจจุบันนำหลักวินิจฉัยที่ผิดมาฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมีน  นั่นคือมูลเหตุหลักในความเป็นวะฮาบี  ประการต่อมาวะฮาบีนิยมชมชอบหลักอะกีดะฮ์ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ยึดติดกันจนกระทำใครไม่เหมือนแนวทางที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์รับรองหลักการเขา  เป็นพวกบิดอะฮ์กันหมด  ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้องที่วะฮาบีปัจจุบันทำกันอยู่.....
้انما الأعمال بالنيات : แท้จริง ทุกๆการกระทำนั้น ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ ...

คนอยากรู้

  • บุคคลทั่วไป
 cool2:แต่อุลามาอ์ยุคหลังคิดในแง่ดีไว้ก่อนคือ..พูดในแง่ที่ว่า ถ้าหาก ท่านมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ..วินิจฉัยผิด  คือ..ผิดได้หนึ่งและถูกได้สอง  .......

....นี่คือการให้เกียรตของพี่น้องชาวอะลิสซุนนะ..อาชาอีเราะ...........ที่ไม่ฮุกมการกระทำที่ผิดพลาดของท่าน...


 fouet:แต่วะฮาบีปัจจุบันนำหลักวินิจฉัยที่ผิดมาฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมีน  นั่นคือมูลเหตุหลักในความเป็นวะฮาบี ..

 party: ประการต่อมาวะฮาบีนิยมชมชอบหลักอะกีดะฮ์ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์ยึดติดกันจนกระทำใครไม่เหมือนแนวทางที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์รับรองหลักการเขา เป็นพวกบิดอะฮ์กันหมด  ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้องที่วะฮาบีปัจจุบันทำกันอยู่.......


นีคือ พฤติกรรมวะฮาบีย์ปัจจุบัน ที่ชอบกล่าวหาพี่น้องมุสลิมด้วยกัน ว่าเป็นชาวอะล้ลบิดอะในทัศนะของ ท่านมุฮำมัดบินอับดุลวะฮาบ  ..
เช่นเดียวกับที่ท่านเคยกระทำกับพี่น้องมุสลิมที่แคว้นญิฮาช มักกะ มาดีนะ  ฯลฯ

คนอยากรู้

  • บุคคลทั่วไป
 salam

วาฮาบีย์ปัจจุบัน ชอบอ้างว่ตนเสมอว่า   พวกเขานั้นใช้หลักการเดียวกับชาวอะลุ้ลฮาดิสในการดำเนินชีวิต ทั้งๆที่  พวกเขาเอาหลักการดังกล่าวเพียงเปลือกน้อย(ซอฮิร)มายึดตามเท่านั้น    ซึ่งพวกเขาไม่มีความเหมือนกับกลุ่ม الأثرية (อัล-อะษะรียะฮ์)(คือกลุ่มอะฮ์ลุลหะดิษ)ที่มี อิมามอะหฺมัด(ร.ฮ.)  เป็นแกนนำดังนั้นและเมื่อเขาเห็นว่า     

  พี่น้องบางกลุ่ม เช่น الأشعرية (อัล-อัชอะรียะฮ์) (ร.ฮ.)กลุ่ม الماتريديةและกลุ่ม อัล-มะตูรีดียะฮ์(รฮ) กระทำสิ่งใด1.
ที่แตกต่างกับกลุ่มของตน  พวกเขาก็จะกล่าวว่า  นั้นคือชาวอะลุ้ลบิดอะ   


เราแต่เมื่อศึกษาให้ลึกลงไปก็จะพบว่า วะฮาบีย์เมืองไทย หรือกลุ่มผู้ตั้งชื่อของตนเองขึ้นมาใหม่ว่า "สะละฟีย์" นั้น ไม่มีอะกีดะที่อยู่ในแนวทางเดียว กับอัล-อะษะรีย์  หรือแนวทางของท่านอิมามอะหฺมัด(ร.ฮ.) เลย   เพราะท่านอิมามอะหฺมัด ไม่เกี่ยวข้องกับหลักการศรัทธาเรื่องซิฟาตของอัลเลาะฮ์ตามที่วะฮาบีย์ปัจจุบันแอบอ้างแม้แต่น้อย  นี่คือบิดอะที่ร้ายของวาฮาบีย์เมืองไทย

สำหรับจุดยืนของท่านอีม่ามอะหมัดฯในเรื่องความเข้าใจอายะฮ์ต่างๆในอัลกรุอ่านหรือหะดิษนั้น  ท่าน กล่าวถึง  ซีฟาตของอัลเลาะฮ์ตามแนวทางของนักปราชญ์สะละฟุศศอลิหฺ ยุคก่อน โดยที่พวกเขา  มอบหมาย "ทั้งความหมายและวิธีการไปยังอัลเลาะฮ์ ตะอาลา"  แต่วะฮาบีย์เมืองไทยกลับรู้ดีถึงแก่นแท้ในเชิงความหมายของซีฟัตอัลเลาะฮ์  ดังนั้น  จึงสรุปได้ว่า 

   ......ไม่ได้อยู่ในแนวทางเหมือนกับท่านอิมามอะหฺมัด(ร.ฮ.) ตามที่พวกเขาพยายามกล่าวอ้าง
 

--------------------------------------------------------------------------------
ในปัจจุบัน เรามักจะพบว่า วาฮาบีย์เมืองไทยมักอ้างว่า   อากิดะฮ์ของตนคือ   แนวทางของสะละฟุศศอลิหฺ กัลญาชนยุคแรกของอิสลาม โดยมุ่งเน้นประเด็นเรื่องการมอบหมายคุณลักษณะต่าง ๆ ของอัลเลาะฮ์ ไปยังพระองค์ เช่นในหนังสือที่ชื่อว่า  อะลิสซุนนะกับหลักการยึดมั่นของสลัฟอัศซอและ

หลักฐานที่เรายืนยันได้คือคำพูดของท่านชัยค์ ซอลิหฺ อัลเฟาซาน ได้กล่าวหลักการในเรื่องอากิดะฮ์ตามแนวทางของวะฮาบีย์ไว้ในหนังสือ "อัตเตาฮีด" ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับซานาวีย์(ม.1ในตำราเรียนวาฮาบีย์ปัจจุบัน ใน หน้าที่ 65 บทย่อยที่ 2 ในหัวข้อเรื่อง

منهج أهل السنة والجماعة فى أسماء الله وصفاته

ซึ่งท่านชัยค์ ซอลิหฺ อัลเฟาซาน อุลามาอ์ท่านอาวุโสของวะฮาบีย์ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

ويعتقدون أن نصوص الأسماء والصفات من المحكم الذى يفهم معناه ويفسر ولست من المتشابه

"พวกเขาเอี๊ยะติก๊อตว่า(วาฮาบียะเมืองไทย) แท้จริง บรรดาตัวบทที่กล่าวถึงบรรดาพระนามและซีฟาต(ของอัลเลาะฮ์) นั้น เป็นสิ่งที่ชัดเจน(มั๊วะกัม) ที่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้ และสามารถอธิบาย(ตัฟซีรกับความหมายของมัน) ( يفسر معناه )ได้ และมันไม่ใช่มาจากมุตะชาบิฮะฮ์(ตัวบทที่มีความหมายหลายนัย)" อ้างจาก หนังสือ กิตาบ อัตเตาฮีด ของ ชัยค์ ซอและหฺ อัลเฟาซาน หน้า 65

จากหลักการอากิดะฮ์ของกลุ่มวะฮาบีย์นี้ เราสามารถสรุปได้ว่า วะฮาบีย์ทำการ ยืนยันและรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของซีฟาตอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) เมื่อพวกเขารู้ความหมายแล้ว ก็ถือว่าสามารถ "ตัฟซีร" อธิบายความหมายของซีฟาตอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้น การอธิบาย(ตัฟซีร)ความหมายกับบรรดาซีฟาตของอัลเลาะฮ์ตามหลักการของวะฮาบีย์นี้ จึงไม่ใช่แนวทางของสะละฟุศศอลิหฺ เนื่องจากสะลัฟมอบหมายกับความหมายของมันโดย........พวกเขาไม่ทำการอธิบาย ด้วยข้อยืนยันเหมือนชาววาฮาบียะปัจจุบัน..... ;D :-X
 
 
 

 

GoogleTagged