ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์  (อ่าน 17325 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« เมื่อ: ก.ย. 26, 2007, 08:46 PM »
0


السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

http://www.youtube.com/watch?v=xPMoo5yNufQ&mode=related&search=     

والسلام
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 10:29 AM »
0


 salam

ขอขุดและขอแจมในหัวข้อนี้นะคะคุณWM

ประเดิมด้วย

"อัลกุรอานกับเคมี"

...ธาตุเหล็ก...

เหล็กเป็นธาตุที่กำเนิดจากนอกโลก
พลังงานในระบบสุริยะมีไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดเหล็กได้
เหล็กเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของ ลูกอุกกบาต
ในกุรอานได้กล่าวถึงเหล็กในซูเราะที่ 57 สูเราะฮฺอัลฮาดีด(เหล็ก )
อายัตที่ 25 ดังนี้

ความว่า "ขอยืนยันแท้จริงเราได้แต่งตั้งบรรดาศาสนฑูตของเรา
ให้นำมาซึ่งสัญลักษณ์ต่างๆอันชัดแจ้ง และเราได้ส่งคัมภีร์ลงมาพร้อมพวกเขา
และตราชู เพื่อมนุษย์จะได้ดำรงอยู่ด้วยความยุติธรรม
และเราได้บันดาล(ส่ง)เหล็กขึ้นมา ในนั้นมีพลังอันแข็งแกร่ง
และมีประโยชน์ต่างๆ สำหรับมวลมนุษย์ และเพื่ออัลลอฮฺ จะได้จำแนกได้ว่า
ผู้ใดมุ่งช่วย (สนับสนุน)พระองค์และศาสนฑูตของพระองค์
ทั้งๆที่เป็นสิ่งเร้นลับ แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงพลานุภาพ ทรงอำนาจที่สุด "
หมายเลขซูเราะฮฺนี้คือ 57

ซึ่งเป็นเลข "น้ำหนักอะตอมของเหล็ก(Atomic weight)"

เหล็กมีไอโซโทปที่เสถึยรคือ Fe-54,Fe-56,Fe-57,Fe-58

ซูเราะฮฺนี้มีทั้งหมด 29 อายัต
อายัตที่กล่าวถึงเหล็กนี้เป็นอายัตที่ 25 ตัวเลขต่างกัน 29 - 25 = 4

เหล็กมีจำนวนนิวทรอน 30 ตัว ดังนั้น 30 - 4 = 26
เลข 26 คือ เลขอะตอม(Atomic Number) ของเหล็ก


อ้างอิงจากเวบไซต์อิสลามกับวิทยาศาสตร์

_____________________________________________

และที่สำคัญ ธาตุเหล็กยังพบในตัวของมนุษย์ด้วย
เราจึงต้องการธาตุเหล็กด้วยการทานอาหารที่มีองค์ประกอบ
ของธาตุเหล็กเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีพละกำลัง
และธาตุอีกหลายๆชนิด ซึ่งสามารถค้นพบธาตุดังกล่าวที่อยู่ในร่างกาย
ของมนุษย์หรือเป็นธาตุองค์ประกอบของมนุษย์ มนุษย์จึงต้องแสวงหา
สิ่งต่างๆที่มาจากดิน ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ต่างๆที่งอกมาจากดิน
และยังปรารถนาของสวยงามอย่างเพชรพลอย ซึ่งก็มาจากดินเช่นกัน
มีความต้องการที่จะครอบครองในผืนแผ่นดิน อสังหาริมทรัพย์
และสังหาริมทรัพย์ อาคารบ้านเรือน ซึ่งทุกอย่างล้้วนมาจากดิน
 
นั่นยิ่งเป็นการยืนยันหลักฐานเกี่ยวกับ...การสร้างมนุษย์มาจากดิน
ของอัลเลาะฮฺซุบฮานาฮูวาตาอาลา

แล้วจะนำข้อมูลเชิงลึกในเรื่องดังกล่าวมานำเสนอในคราถัดไปนะคะ

วัสลามุอาลัยกุมค่ะ

^_____________^

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 01:48 PM »
0
...ข้อเปรียบเทียบ.....

เหล็ก(Fe)เป็นธาตุที่มีมากเป็นที่ 4 ในโลก
ใช้ทำเป็นโครงสร้างในการก่อสร้างสิ่งต่างๆ

ประโยชน์ของธาตุเหล็กที่ีมีต่อมนุษย์
 
ธาตุเหล็กเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง
เป็นส่วนประกอบในการสร้างฮีโมโกลบิน
ซึ่งทำหน้าที่พาออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสติปัญญา
และการเรียนรู้ของมนุษย์ในทุกวัย
หากร่างกายมีภาวะขาดธาตุเหล็กจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงาน
ทั้งทางร่างกายและสติปัญญาลดลง

ธาตุเหล็ก - IRON
 
         ธาตุเหล็ก จะพบในดินมากโดยทั่วไป
แต่จะเป็นธาตุเหล็กที่ไม่ได้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชเป็นส่วนมาก
ปัญหาการขาดธาตุเหล็กของพืชไม่ใช่เกี่ยวกับปริมาณของธาตุเหล็กในดิน
ปัญหาเกิดจากการไม่ละลายและความเป็นประโยชน์ต่อพืชของธาตุเหล็ก
ดินที่มีความเป็นกรดมากจะทำให้ธาตุเหล็กไม่เกิดประโยชน์ต่อพืช
และดินที่มีความเป็นด่างมากก็จะทำให้ธาตุเหล็ก
ไม่เกิดประโยชน์ต่อพืชเช่นกัน ส่วนในดินที่มีน้ำขัง
จะทำให้ธาตุเหล็กมีประโยชน์ต่อพืชสูงขึ้น


หน้าที่สำคัญของธาตุเหล็กในพืช

1.ช่วยเสริมสร้างความเขียวหรือสารคลอโรฟีลล์ในใบพืช
แต่ไม่ได้เป็นส่วนของคลอโรฟีลล์
2.ช่วยในการสังเคราะห์แสงในใบพืชได้ดี เพื่อสร้างแป้งและน้ำตาล
3.ช่วยเสริมสร้างเอนไซม์ในพืชเพื่อช่วยในระบบการหายใจของพืช
ทำให้พืชเจริญเติบโต
4.ทำหน้าที่ช่วยเหลือในการแบ่งเซลล์ของพืชเพื่อการเจริญเติบโต
5.พืชต้องการเหล็กในปริมาณน้อย
ประมาณหนึ่งในร้อยส่วนเมื่อเทียบกับธาตุไนโตรเจน

การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุเหล็ก
 
1.ใบพืชจะมีสีซีดจางไม่เขียว แสดงอาการของสารคลอโรฟีลล์
2.จะทำให้ระบบของรากพืชไม่พัฒนา
3. พืชเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
4. เส้นกลางใบพืชจะมีสีซีดจาง
5.ถ้าพืชขาดธาตุเหล็กในปริมาณมากจะทำให้ผลผลิตลดลง

สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุเหล็ก
 
1.ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ตั้งแต่ 6.0 ขึ้นไป
2.ในดินที่ขาดการให้ธาตุเหล็กที่เป็นประโยชน์ เช่น เหล็กคีเลท
3.ในดินที่มีการไถลึก และดินที่ถูกน้ำกัดเซาะ
4.ในดินที่มีความชื้นสูงและมีอุณหภูมิในดินต่ำก่อนและหลังปลูกพืช
5.ในดินที่แน่นมาก เช่น ดินเหนียว
6.ในดินที่ใส่ปุ๋ยฟอสเฟตมาก
7.ธาตุเหล็กไม่เคลื่อนย้ายจากใบเก่าสู่ใบใหม่
ดังนั้นเมื่อมีใบใหม่ออกมาต้องให้ธาตุเหล็กเสมอ เพื่อไม่ให้พืชขาดธาตุเหล็ก

8.ในช่วงที่มีอากาศเย็น ดินเย็น พืชจะดูดธาตุเหล็กได้น้อยมาก
9.การฉีดพ่นธาตุเหล็กคีเลททางใบพืชจะให้ประโยชน์แก่พืชมากกว่าให้ทางดิน


____________________________________

สรุปตามความคิดเห็นของคนเขียน

...เราจะพบธาตุเหล็กอยู่ในดินและจากส่วนที่เกิดหรืองอกมาจากดิน
ดังนั้น...ทุกอย่างล้วนพึ่งพากัน มีกันและกัน
หากขาดธาตุเหล็ก ไม่ว่าจะมนุษย์หรือพืชล้วนมีลักษณะอาการใกล้เคียงกัน
ส่วนตัวอาคารนั้นก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีเหล็กเป็นโครงสร้างยึดเอาไว้
การจะต่อและสร้างตึกสูงตระหง่านระฟ้าในปัจจุบันย่อมทำไม่ได้

นี่คืออีกหลักฐานที่ยืนยันเกี่ยวกับ...การสร้างมนุษย์มาจากดิน
ของเอกองค์อัลเลาะฮฺซุบฮานาฮูวาตาอาลา

...หากว่าดินดี พืชก็จะงอกงาม หากว่าดินไม่ดี ก็จะปลูกอะไรไม่ขึ้น...

แล้วจะนำหลักฐานจากอัลกุรอานมาให้ในคราถัดไปนะคะ

วัสลามุอาลัยกุม

^____________^


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 01:56 PM »
0
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน

อัลลอฮฺได้ตรัสในสูเราะห์อัลมุมินูน อายัตที่ 12 ว่า

ความว่า  :

"และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุดินที่ถูกเลือก"
(อัลกุรอาน 23/12)

ดิน คือส่วนผสมระหว่าง ทรายกับน้ำ

          อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

ความว่า :

"และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
ทรงสร้างพวกเจ้าจากดินทราย แล้วพวกเจ้าเป็นมนุษย์แพร่กระจายออกไป"
(อัลกุรอาน สูเราะห์ อัร-รูม 30/20)

             
 และ

ความว่า :

"และพระองค์คือผู้ทรงบังเกิดมนุษย์จากน้ำ
และทรงทำให้มีเชื้อสายและเครือญาติและพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพ"
(อัลกุรอาน สูเราะห์ อัล-ฟุรกอน  25/54)


นอกจากน้ำคือส่วนผสมหนึ่งของดินแล้ว
และน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะให้สิ่งมีชีวิตมีชีวิตขึ้นมาได้

             อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

ความว่า :

"และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตมาจากน้ำ
ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่ศรัทธาอีกหรือ"
(อัลกุรอาน สูเราะห์ อัล-อันบิยาอ  21/30)


อัลลอฮฺได้เปรียบเทียบคนที่ตายแล้ว และได้บังเกิดใหม่ในวันปรโลก
เหมือนกับการงอกเงยของพืช

ความว่า :

"และเจ้าจะเห็นแผ่นดินแห้งแล้ง ครั้นเมื่อเราได้หลั่งน้ำฝนลงมาบนมัน
มันก็จะเคลื่อนไหวขยายตัวและพองตัวและงอกเงยออกมาเป็นพืช
ทุกอย่างเป็นคู่ ๆ ดูสวยงาม"
(อัลกุรอาน สูเราะห์ อัล-หัจญ์  22/5)

หมายเหตุ:อายะฮฺเกี่ยวกับอัลกุรอานข้างต้นนั้น ไม่สามารถพิมพ์เป็นภาษาอาหรับได้
จึงมีแค่คำแปลในภาษาไทย ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

วัลลอฮุอะลัม



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 11, 2009, 11:06 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 02:07 PM »
0
...ต่อค่ะต่อ...
 
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ดินจะประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ
มากกว่า 100 ชนิด และร่างกายของมนุษย์จะประกอบด้วยธาตุหลักๆ
ประมาณ 23 ชนิด ซึ่งทุกธาตุที่มีพบในตัวมนุษย์ จะมีอยู่เป็นองค์ประกอบของดิน

เช่นธาตุหลัก ได้แก่ ไฮโดรเจน(H)  ออกซิเจน(O)
สองธาตุนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของน้ำ(H2O)
ซึ่งน้ำจะมีอยู่ในตัวมนุษย์มากถึง 70 %
(เท่ากับอัตราส่วนระหว่างผืนดินและผืนน้ำบนผิวโลก)
               
คาร์บอน(C)  ไนโตรเจน(N)

ซึ่งธาตุทั้งสี่นี้จะพบในสารประกอบหลักที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์
เช่น น้ำตาล(เช่น C6H12O6)  ไขมัน โปรตีน  วิตามิน เป็นต้น

ธาตุรอง ได้แก่ Cl , S , P , Mu , Ca , K

ธาตุที่เป็นของแห้ง ได้แก่ I , Mg , Co , Zn , Mo

ธาตุหายาก ได้แก่ F , Al , B , Se , Cd


มนุษย์ที่หนัก 65 กิโลกรัม จะมีน้ำประมาณ 40 กิโลกรัม(61.6%)
โปรตีน 11 กิโลกรัม(17.0%) ไขมัน 9 กิโลกรัม(13.8%)
เกลือแร่ 4 กิโลกรม(6.1%) คาร์โบไฮเดรต 1 กิโลกรัม(1.5%)

อัลเลาะฮฺ ซุบฮานาฮุวาตาอาลาทรงตรัสไว้

ความว่า : และจงรำลึกเมื่อพระเจ้าของเจ้าตรัสแก่มะลาอิกะฮ์

“แท้จริงข้าเป็นผู้สร้างมนุษย์จากดินแห้ง จากดินดำเป็นตม 
ดังนั้น เมื่อข้าได้ทำให้เขามีรูปร่างสมส่วนและเป่าวิญญาณจากข้าเข้าไปในตัวเขา ฉะนั้นพวกเจ้า(มะลาอิกะฮและญิน)จงก้มลงสุญูด(กราบ)ต่อเขา(อาดัมที่สร้างจากดิน)” (อัลกุรอาน สูเราะห์ อล-ฮิจร์ 15/28-29)


มนุษย์ ประกอบด้วยธาตุต่างๆที่อยู่ในดิน
และมีชีวิต จิตวิญญาณได้โดยได้รับการเป่าวิญญาณจากอัลลอฮฺ 

ร่างกายหล่อเลี้ยงให้สมบูรณ์ได้โดยการรับธาตุต่างๆอย่างเพียงพอ
และล่อเลี้ยงจิตวิญญาณได้โดยเคร่งครัดในศาสนา 


อ้างอิง...กำเนิดมนุษย์จากอันนิสาอฺเสวนา

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 11, 2009, 11:09 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 02:35 PM »
0
ใช้คาร์บอนในคนหาครึ่งชีวิตได้หรือเปล่า
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 02:54 PM »
0
 salam

"อัลกุรอานกับชีววิทยา"

...ว่าด้วยการกำเนิดมนุษย์...


การศึกษาเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช อริสโตเติล (Aristotle B.E. 322-384)  
นักปราชญ์กรีก ได้บันทึกการสังเกตพัฒนาการของตัวอ่อนในไก่และสัตว์อื่นๆ
ด้วยตาเปล่า และนับได้ว่าท่านเป็นผู้วางรากฐานของวิชา Embryology  
ก่อนที่วิทยาการสมัยใหม่ที่เริ่มเมื่อศตวรรษที่ 17
และปฏิเสธแนวคิดของท่าน ที่ว่าทารกมีการพัฒนามาจาก
การรวมของเลือดประจำเดือนกับนำอสุจิ

ศาตราจารย์ Keith Moore หัวหน้าแผนกสรีรวิทยาและEmbryology
มหาวิทยาลัยโทรอนโต ประเทศคานาแด
ได้เขียนในหนังสือ “The Developing Human” ว่า ในช่วงทศศตวรรษก่อนหน้านี้
ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของทารกไม่ได้มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย
แต่ในช่วงศตวรรษที่ 7 อัล กุรอานซึ่งเป็นคัมภีร์ของมุสลิม
ได้บันทึกเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ว่า
มนุษย์ได้กำเนิดจากการปฏิสนธิกันระหว่างฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย
และในคัมภีร์ได้กล่าวถึงพัฒนาการในขั้นต่างๆ
เริ่มตั้งแต่ที่มีการปฏิสนธิจากหยดน้ำไปฝังตัวอยู่ในมดลูก
แล้วเริ่มพัฒนาขั้นแรกเป็นก้อนเลือดที่ลักษณะเกาะแขวนอยู่(Leech)
มีชีวิตจากเลือดอื่น จากนั้นก็จะพัฒนาเป็นก้อนเนื้อที่มีรูปร่าง
บ่งบอกอวัยวะบางอย่าง เช่น ฟัน  ซึ่ง ตรงกับขั้นตอนของการพัฒนาการของมนุษย์
ในช่วงนั้นจริงๆ

ความรู้เกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์หรือพัฒนาการของมนุษย์นี้
นักสรีรวิทยาสมัยใหม่อย่าง เช่น ศาสตราจารย์ Keith Moore
ก็ยอมรับว่าแม้ในสมัยที่วิทยาการทางตะวันตกอยู่ในยุคมืด
แต่มุสลิมกลับมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้
โดยมีอัลกุรอานเป็นแหล่งความรู้ และความรู้เหล่านี้ได้แพร่ขยายเข้าไปยังตะวันตก
เป็นพื้นฐานการเรียนรู้วิชาการด้านต่างๆของชาวตะวันตก

ในยุคปัจจุบันอัลลอฮฺได้ตรัสในอัลกุรอานว่า

ความว่า :

"ดังนั้นมนุษย์จงไตร่ตรองดูซิว่าเขาถูกบังเกิดมาจากอะไร ?  
เขาถูกบังเกิดมาจากน้ำที่พุ่งออกมา มันออกมาระหว่างกระดูกสันหลัง
และกระดูกหน้าอก"
(อัลกุรอาน สูเราะห์อัฏ-ฏอริก 86/5-7)

จากอายัตหรือโองการข้างต้น ทำให้เกิดความรู้ใหม่
ซึ่งไม่ใช้ความรู้ที่ได้จากทดลองหรือพิสูจน์ตามหลักการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่  
เป็นความรู้ที่ได้จากผู้สร้างที่บอกเราผ่านศาสนทูต(รซูล)ของพระองค์
เป็นความจริง(Fact)ที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์
แต่สามารถอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้

อายัตแรกเป็นการให้เราศึกษา ไตร่ตรองและตระหนักถึงความเป็นมาของมนุษย์
มนุษย์ถูกสร้างมาอย่างไรและสร้างมาจากสิ่งใด  

อ้างอิง...การกำเนิดมนุษย์จากอันนิสาอฺเสวนา

____________________________________________

ปัญหาเด่นชัดในปัจจุบันที่เราประสบอยู่ในขณะนี้นั้นคือปัญหาสิ่งแวดล้อม
ภาวะโลกร้อน เนื่องจากมนุษย์ใช้ทรัยพยากรอย่างฟุ่มเฟือย
มิได้คำนึงถึงการพึ่งพาอาศัย เกื้อกูลกันและกันกับสิ่งที่อัลเลาะฮฺ ซุบฮานาฮูวาตาอาลา
ทรงสร้างมา ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สัตว์หรือแม้แต่การถลุงแร่
มนุษย์ผู้ไม่ยอมมองสิ่งต่างๆว่าแท้จริงนั้น พระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่
ได้สร้างทุกอย่างอย่างเกื้อกูลกัน ให้พึ่งพาซึ่งกันและกัน
จะขาดสิ่งใดไปมิได้อย่างแน่นอน เพราะในสิ่งหนึ่งนั้นมีสิ่งหนึ่ง
แม้จะแตกต่างกันในโครงสร้าง แต่ทุกอย่างล้วนมีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกัน

เมื่อต้นไม้ถูกทำลาย โลกเราก็จะร้อน แม่น้ำเหือดแห้ง
ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ด้วยเพราะเราลืมคำว่าสิ่งแวดล้อม
สิ่งที่อัลเลาะฮฺได้ทรงสร้างมา เรามุ่งหน้าเพื่อเกิดมาแล้วใช้สิ่งเหล่านั้นให้คุ้ม
เราอยู่เพื่อกิน มิใช่กินเพื่ออยู่...สังคมปัจจุบันจึงเดินหน้าเข้าสู่สังคมนิยมวัตถุ
หรือที่เรียกกันติดปากว่า "วัตถุนิยม"

ร่างกายของเราถูกสร้างมาจากดินและจะกลับสู่ดิน
ส่วนจิตวิญญาณนั้นมาจากอัลเลาะฮฺ ซุบฮานาฮุวาตาอาลา
จิตวิญญาณของเราก็จะกลับไปยังพระองค์...

และบ้านที่แท้จริงของพวกเรานั้นคือสรวงสวรรค์อันนิรันดร์
บ้านหลังเดิมของท่านนบีอาดัม อาลัยอิสลาม บรรพบุรุษของพวกเรา
และพวกเราจงยึดเอาบ้านที่แท้จริงนี้เป็นจุดหมายปลายทาง
อย่าให้บ้านชั่วคราวนี้หันเหความสนใจของพวกเราจากจุดหมายปลายทางได้
(คำกล่าวจากมัสยิดเก่าๆหลังหนึ่ง)

...ฉันใดก็ฉันนั้น...

หากผิดพลาดประการใด โปรดชี้แนะด้วยนะคะ

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 11, 2009, 11:17 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 03:17 PM »
0
มาต่อกันในเรื่องอัลกุรอานกับชีววิทยาค่ะ


มนุษย์ คือ สิ่งถูกสร้างหนึ่งของพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา

พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ประกอบไปด้วยระบบต่างๆ
ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบไหลเวียนเลือด
ระบบประสาท ระบบโครงกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ
ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบสืบพันธุ์

แต่ละระบบทำหน้าที่เฉพาะและทำงานประสานกัน
เสมือนเครื่องจักรกลเครื่องหนึ่งที่ทำงานโดยไม่มีวันหยุด

ระบบโครงกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นอีกระบบหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ
ของร่างกายมนุษย์ ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเคลื่อนไหว

กระดูกแต่ละชิ้น กล้ามเนื้อแต่ละมัด ทำงานกันอย่างพร้อมเพรียง
ทำให้เราสามารถเคลื่อนไหวและแสดงท่าทางที่ต้องการได้
กระดูกทำหน้าที่เป็นโครงร่างของสิ่งมีชีวิตและกำหนดขนาด
และรูปทรงของสิ่งที่มีชีวิตนั้น และกระดูกยังมีหน้าที่อื่นๆ
ได้แก่ พยุงร่างกาย โดยมีกระดูกเป็นโครงร่างและเป็นฐานให้กล้ามเนื้อ
และเอ็นทั้งหมดมาเชื่อมต่อ ปกป้องอวัยวะภายในไม่ให้บาดเจ็บจากแรงกระแทก
สะสมแร่ธาตุสำคัญต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส
และยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือด ภายในไขกระดูก ทั้งเม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด เพื่อส่งเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป


ร่างกายของเรามีกระดูกกี่ชิ้น?               

โดยทั่วไป ร่างกายของคนเรามีกระดูกทั้งสิ้น 208 ชิ้น
แต่จำนวนดังกล่าวนี้ก็มิได้แน่นอนตายตัว
บางครั้งอาจจะมีกระดูกชิ้นเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างกระดูกของกะโหลกศีรษะ
หรือระหว่างข้อนิ้วมือ  นอกจากกระดูกและกล้ามเนื้อที่มีบทบาทสำคัญ
ในการเคลื่อนไหวแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากระดูก
และกล้ามเนื้อ นั่นคือ ข้อต่อ ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างกระดูก 2 ชิ้น
โดยมีกล้ามเนื้อเป็นตัวประสานระหว่างกัน

ข้อต่อมีหลายชนิดและทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป
บางชนิดทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
บางชนิดเป็นข้อตรึงติด ไม่เคลื่อนไหว ทำหน้าที่ เกาะเกี่ยวให้กระดูกต่างๆอยู่ติดกัน เช่น ข้อต่อของกะโหลกศีรษะ ซึ่งปกป้องสมองไว้ เป็นต้น                               

จำนวนข้อต่อในร่างกายมีเท่าใด?             

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่า จำนวนข้อต่อภายในร่างกายทั้งหมด
มี 360 ข้อต่อ  โดยแบ่งได้ดังนี้
               
                1.ข้อต่อกะโหลกศีรษะ 86 ข้อต่อ
                2.ข้อต่อช่องคอ 6 ข้อต่อ
                3.ข้อต่อช่องอก 66 ข้อต่อ
                4.ข้อต่อสันหลังและเชิงกราน 76 ข้อต่อ
                5.ข้อต่อรยางค์ส่วนบน ข้างละ 32 ข้อต่อ คิดเป็น 64 ข้อต่อ
                6.ข้อต่อรยางค์ส่วนล่าง ข้างละ 31 ข้อต่อ คิดเป็น 62 ข้อต่อ
               
รวมจำนวนข้อต่อทั้งสิ้น 360 ข้อต่อ                               


ซึ่งตรงกับหะดิษบทหนึ่งที่รายงานโดยท่านหญิงอาอิชะฮฺ (รอฎิยัลลอฮุอันฮา) กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า

"มนุษย์ทุกคนที่เป็นลูกหลานอาดัมถูกสร้างบน 360 ข้อต่อ
ดังนั้น ผู้ใดกล่าวว่าอัลลอฮุอักบัร อัลหัมดุลิลลาฮฺ ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ
สุบหานัลลอฮฺ อัสตัฆฟิรุลลอฮฺ และเอาก้อนหินออกจากเส้นทางสัญจรของมนุษย์
หรือหนาม หรือกระดูกออกจากเส้นทางสัญจรของมนุษย์
และสอนสั่งด้วยสิ่งที่ดี หรือห้ามปรามจากสิ่งที่ชั่ว เป็นจำนวนเท่ากับ 360 ข้อต่อนั้น แท้จริงเขาจะเดินทางในวันนั้นในสภาพที่เขาได้ยกตัวเองออกจากไฟนรกแล้ว"                                                                                                               
                                                                                                                             บันทึกโดย มุสลิม หะดิษลำดับที่ 1675 

วัลลอฮุอะลัม

...มีต่อค่ะ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 11, 2009, 11:23 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 03:22 PM »
0
ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
มนุษย์มีจำนวนข้อต่อภายในร่างกายทั้งหมด 360 ข้อต่อ
ท่านระบุจำนวนข้อต่อทั้งหมดได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ 1400 กว่าปีมาแล้ว
แม้ว่าในขณะนั้นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ล้ำหน้าเฉกเช่นปัจจุบัน
และข้อต่อส่วนใหญ่ก็มีขนาดเล็กมากและยากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จนกระทั่งได้มีการศึกษาสาขากายวิภาคศาสตร์และจุลกายวิภาคศาสตร์เกิดขึ้น
จำนวนข้อต่อที่แท้จริงจึงถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้เอง       

นอกจากนี้ ยังมีอีกหะดิษหนึ่งที่รายงานโดยอบูฮุร็อยเราะฮฺ (รอฎิยัลลอฮุอันฮฺ) กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวว่า
"ทุกๆข้อต่อ (ของกระดูก) ของคน มีหน้าที่ที่จะต้องทำเศาะดะเกาะฮฺทุกๆวัน
ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ให้ความยุติธรรมระหว่างคนสองคนเป็นเศาะดะเกาะฮฺ
ช่วยคนเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่นช่วยให้เขาขึ้นขี่หลังมัน
หรือช่วยยกสัมภาระขึ้นหลังมันเป็นเศาะดะเกาะฮฺ
คำพูดที่ดีเป็นเศาะดะเกาะฮฺ ทุก ๆ ก้าวที่เดินไปมัสญิดเป็นเศาะดะเกาะฮฺ
และการเอาสิ่งที่เป็นอันตรายออกจากทางเดินเป็นเศาะดะเกาะฮฺ"
                                                                                                        
                                                                                                                       บันทึกโดย มุสลิม หะดิษลำดับที่ 1677         


    ปัจจุบันวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า เกิดวิวัฒนาการแต่ละสาขา
และค้นพบทฤษฎีต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันความถูกต้อง
และความมหัศจรรย์ที่แสดงไว้ ของคัมภีร์อัลกุรอาน
และมีศาสนทูต คือ นบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)
เป็นผู้นำสารการอรรถาธิบายอัลกุรอานและหะดิษของท่านนั้น
เป็นความรู้ที่ได้มาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา       

"และพระองค์นั้น คือ อัลลอฮฺ ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดิน
ทรงรู้สิ่งเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า
และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่”
(Quran Al-An'aam 6:3)


               วันนี้...ข้อต่อของท่านได้อิบาดะฮฺต่อพระองค์หรือยัง? 

อ้างอิงจาก...อันนิสาอฺเสวนา

วัลลอฮุอะลัม

^_________^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 11, 2009, 11:29 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 05:03 PM »
0
 salam

"ใช้คาร์บอนในคนหาครึ่งชีวิตได้หรือเปล่า"

___________________________________________

อิลฮามถามได้หน้าตอบมาก...

กำลังจะเริ่มหัวข้ออัลกุรอานกับฟิสิกส์อยู่พอดี

งั้นอุ่นเครื่องกันก่อนแล้วกัน

คือเท่าที่พี่รู้นั้น(ขอแทนตัวว่าพี่ได้มั้ย)

     การหาครึ่งชีวิตโดยใช้กัมมันตรังสีเป็นการบอกอายุของซากโบราณ
โดยใช้คาร์บอน-14 ไม่ใช่ทำได้ในเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูเท่านั้น
แต่พบในธรรมชาติด้วย ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ได้รับสารกัมมันตรังสี คาร์บอน-14
จากการสังเคราะห์ด้วยแสงเช่นเดียวกับคาร์บอนตามปกติ
เมื่อส่ิงมีชีวิตตายไปมันจะหยุดการได้รับคาร์บอน และคาร์บอน-14
จะสลายตัวไปอย่างช้าๆด้วยครึ่งชีวิต5700ปี
สิ่งนี้สามารถใช้หาอายุของกระดูก ไม้ กระดาษและผ้าได้

ซึ่งลิบบี(ชื่อนักวิทยาศาสตร์)เรียกวิธีการนี้ว่า"การหาอายุโดยใช้คาร์บอน"
คือคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)ในอากาศเนี่ยมันจะมีคาร์บอนกัมมันตรังสีอยู่เล็กน้อย
พอพืชดูดกลืนมันไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง
แล้วเรา(มนุษย์)และสัตว์กินพืชนั้น เราก็จะมีคาร์บอนกัมมันตรังสีเข้าไปสะสม
อยู่ในร่างกาย พอเราตาย คาร์บอนที่ว่าก็หยุดทำงาน พอหยุดหายใจ
สิ่งที่มีอยู่แต่เดิมก็จะสลายไป แล้วไอ้เจ้าคาร์บอน-14ที่ว่านั้นมันก็จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่นศพมัมมี่แล้วกัน(เพราะคือซากมนุษย์โบราณ
ที่หลงเหลือให้หาครึ่งชีวิตอยู่)ซึ่งได้ตายมาแล้วประมาณ5พันกว่าปี
ซึ่งจะมีคาร์บอน-14เป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของสัดส่วนที่มัมมี่นั้นมีชีวิตอยู่

ซึ่งจากการวัดคาร์บอน-14นี้แล้วเอาไปเทียบกับคาร์บอนปกติในสิ่งเก่าแก่
(ซากมัมมี่) ท่านลิบบีท่านนี้ท่านบอกว่าท่านสามารถหาได้ว่ามัมมี่นั้นมีชีวิตอยู่เมื่อไหร่

ดังนั้น...อิลฮามคงต้องรอให้เป็นซากเหมือนมัมมี่ซะก่อน
แล้วถ้าพี่ยังมีชีวิตอยู่ พี่จะหาครึ่งชีวิตตามทฤษฎีของลิบบีเค้าให้นะคะ...

ส่วนถ้าจะถามว่า ตอนนี้อิลฮามมีครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่เท่าใด
หากว่าอิลฮามยังหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์แล้วกินผักและผลไม้อยู่
และทุกๆลมหายใจเข้าออกมีคาร์บอนไดออกไซด์ที่แทรกซึมไปทั่วร่างกายแล้ว
อิลฮามเอ๋ย พ่ีคงตอบได้แต่เพียงว่า...

"อัลเลาะฮฺเท่านั้นที่รู้"

ลิบบีเองก็คงมานั่งคำนวณครึ่งชีวิตที่เหลือให้อิลฮามไม่ได้หรอก555

เสริมอีกนิด

ทฤษฎีที่ว่านี้นักวิทยาศาสตร์มากมายต่างพยายามค้นคว้า
คำนวณหาว่าจักรวาลเกิดขึ้นเมื่อใดและจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
โดยพยายามใช้ทฤษฎีนี้+ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแสง
พอมีแสงเข้ามาก็จะมีเรื่องเวลาเข้ามาเอี่ยวด้วย

ซึ่งเวลาเป็นสิ่งลึกลับ ไม่มีผู้ใดเข้าใจอย่างแท้จริงได้

...เวลาจะหยุดนิ่งที่ความเร็วแสง
...เวลาระดับสูงๆจะเร็วกว่าเวลาระดับต่ำๆ
...เวลามีทิศทางพุ่งไปในอนาคต
...ถ้าเอกภพยุบตัว เวลาก็จะย้อนกลับได้(เหมือนการม้วนกระดาษ)

เพราะเวลาขึ้นอยู่กับการขยายตัว เราจะไม่มีทางวัดอัตราการลด
หรือขยายตัวได้หรอก เพราะถ้ารู้ เราก็สามารถคำนวณวันสิ้นสุด(กิยามัต)ได้

แต่เพราะเราก็ต่างอยู่ในระบบของจักรวาล เราจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด
เพียงแค่คาดการณ์ไปต่างๆนาๆ เพราะการวัด ผู้วัดต้องอยู่นอกระบบ
ซึ่งผู้ที่อยู่นอกระบบของจักรวาลก็คือผู้ที่สร้างระบบจักรวาลมาเท่านั้น

ดังนั้นหากจะถามว่าครึ่งชีวิตที่เหลือของโลกใบนี้รวมไปถึงจักรวาลนั้น
มีเท่าไหร่ พี่ก็คงตอบได้แต่เพียงว่า

....อัลเลาะฮฺเท่านั้นที่รู้....

เอาไว้เจอกันในอัลกุรอานกับฟิสิกส์ต่อนะจ๊ะอิลฮาม

หากผิดพลาดประการใด โปรดชี้แนะด้วยนะคะ


วัลลอฮุอะลัม

^_________^






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 11, 2009, 11:37 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 08:27 PM »
0
   salam

"อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์"

       อัลกุรอาน คือ สัจธรรมแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เป็นคัมภีร์ทางนำแก่มวลมนุษยชาติ   
ขณะที่วิทยาศาสตร์ คือ ศาสตร์แห่งการแสวงหาความจริง
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

การค้นพบทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่อัลกุรอานระบุไว้ 
จะเห็นว่า หลายๆเรื่องที่เป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆในปัจจุบัน
สอดคล้องกับสิ่งที่อัลกุรอานกล่าวไว้เมื่อกว่า 1,400 ปี มาแล้ว

...ตัวอย่าง...

     สาเหตุที่ทำให้แผ่นดินเคลื่อนที่นั้น ก็คือแรงดันของแมกม่าร้อน
ที่ไหลออกมาจากแกนกลางของโลก กระทบกับผิวโลก
ก่อนจะไหลวนกลับไปยังแกนกลางอีกครั้ง  ที่เราไม่พบว่าแผ่นดินเคลื่อนที่
ก็เพราะมันใช้เวลานานเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปี
ถึงจะเห็นว่ามันเคลื่อนที่ ปีๆหนึ่งผืนโลกมีการเคลื่อนที่ตามรอยต่อน้อยมากๆ

     นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะเข้าใจและยอมรับในทฤษฎีนี้เมื่อปี 1980 นี้เอง
แต่อัลกุรอานได้บอกให้เรารู้ถึงข้อเท็จจริงข้อนี้เมื่อ 1,400 ปีมาแล้ว
อัลลอฮ(ซ.บ)ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอานซูเราะห์อันนัมลฺตอนหนึ่งว่า

 “และเจ้าจะได้เห็นขุนเขาทั้งหลาย เจ้าจะคิดว่ามันติดแน่นอยู่กับที่
แต่มันล่องลอยไปเช่นการล่องลอยของหมู่เมฆ
นั่นคือการงานของอัลลอฮซึ่งพระองค์เป็นผู้ทำสิ่งทุกให้เรียบร้อย 
แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ตระหนักในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”
(27:88)


  ...ข้อควรระวัง...

     โลกทัศน์ของวิทยาศาสตร์ขึ้นกับยุคสมัยและสถานที่
ปัจจุบันทฤษฎีหนึ่งได้รับการยอมรับว่าถูกต้อง
แต่ไม่แน่ว่าในอนาคต เมื่อมีการค้นพบใหม่ที่มาหักล้าง
ทฤษฎีนั้นก็จะไม่ได้รับการยอมรับ   

เมื่อ 1,400  ปีที่แล้วการเดินทางจากมักกะไปบัยตุลมักดิส
ในเวลาชั่วข้ามคืนเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์สมัยนั้น
แต่ปัจจุบันเราใช้เวลาแค่ 1ชั้วโมงก็ถึงแล้ว

     ส่วนอัลกุรอานเป็นสัจธรรมที่มีความเป็นสัมบูรณ์ ไม่ขึ้นกับยุคเวลาใดๆ   
ฉะนั้นต้องไม่นำอัลกุรอานไปอธิบายวิทยาศาสตร์

แต่วิทยาศาสตร์สามารถนำมายืนยันอธิบายอัลกุรอานได้อย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้

     ขอให้ตระหนักเสมอว่า ยิ่งเราศึกษาวิทยาศาสตร์ลึกซึ้งเท่าใด
เราจะเห็นความสอดคล้องกับสิ่งที่อัลกุรอานกล่าวไว้
ซึ่งจะยิ่งทำให้ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮฺมากขึ้นเท่านั้น
 
พระองค์ได้ตอกย้ำให้พวกเราในเรื่องดังกล่าวในซูเราะหฺ ฟุศศิลัต

ความว่า
     
“เราจะทำให้พวกเขาได้เห็นสัญญาณทั้งหลายของเรา
ในขอบเขตอันไกลโพ้น(จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล)
และในตัวของพวกเขาเอง(ระบบร่างกายที่มีระบบการทำงานอย่างอัศจรรย์)
จนกระทั่งเป็นจริงที่ประจักษ์แก่พวกเขาว่า อัลกุรอานนั้นเป็นความจริง 
ยังไม่พอเพียงอีกหรือที่พระเจ้าของเจ้านั้นทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง"
[41.53]


คัดย่อและอ้างอิงจาก

http://www.azizstan.ac.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=899:2009-08-10-16-25-46&catid=62&Itemid=108

โปรดติดตามต่อในอัลกุรอานกับฟิสิกส์นะคะ

ผิดพลาดประการใด โปรดชี้แนะด้วยนะคะ

วัลลอฮุอะลัม

^_________^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 11, 2009, 11:42 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ก.ย. 11, 2009, 12:50 AM »
0
 salam

มาติดตามต่อในอัลกุรอานกับฟิสิกส์(ในแง่มุมของดาราศาสตร์)
ซึ่งไม่แน่ใจว่าบทความนี้จะมีในกระทู้ใดแล้วบ้างในบ้านหลังนี้
แต่เพื่อความต่อเนื่องในคราเดียวกัน
ขอโพสให้อ่านกันอย่างยาวเหยียดเป็นฉากๆไปเลยนะคะ

_________________________________________________________________

"เกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของเทวทูตที่จะเดินทางไปหาอัลเลาะฮฺ"

ความว่า "พระองค์บริหารงานจากฟากฟ้าสู่แผ่นดิน หลังจากนั้นจะขึ้นไปยังพระองค์ภายใน 1 วันซึ่งระยะเวลา ของมันเท่ากับ 1000 ปี จากจำนวน ที่พวกเจ้าเคยนับ" 
(กุรอาน  As-Sajdah  32:5)

>> ประมาณว่าเทวทูตเดินทางในระยะทางที่มนุษย์ต้องใช้เวลาบนโลกมนุษย์
ประมาณ 365,000 วัน (1000 ปี) ถึงจะถึงที่หมาย แต่เทวทูตใช้แค่ 1 วันเท่านั้น

>> ความเร็วที่ใช้คือเท่าไหร่ ??


ความว่า "และพวกเขา ที่เร่งต่อเจ้าให้มีการลงโทษโดยเร็ว
และอัลลอฮฺจะไม่ผิดสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน
และแท้จริงวันหนึ่ง ณ องค์อภิบาลของเจ้านั้น เหมือนดังพันปีตามจำนวนที่พวกเจ้านับ"
(22:47)


การวิเคราะห์

ดวงจันทร์เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุด การนับเดือนมีอยู่ 2 ชนิด ดังนี้


1.โดยดวงจันทร์โคจรรอบโลก และดวงจันทร์ เคลื่อนที่สัมพัทธ์กับตำแหน่งบนโลก
ทำให้ดวงจันทร์ที่เราสังเกตเห็นบนโลกเป็นจันทร์เสี้ยว ช่วงเวลาที่เราเห็นดวงจันทร์
ครบรอบคือ 29.53 วัน เรียกว่า Synodic month (เดือนทางจันทรคติ)

2.แต่ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกนั้น ทั้งโลกและดวงจันทร์
ก็โคจรรอบดวงอาทิทย์ด้วย ดังนั้นตำแหน่งของดวงจันทร์ถ้าเทียบกับดาว
ก็จะแตกต่างกันด้วย ช่วงเวลาที่ตำแหน่งของดวงจันทร์เปลี่ยนไปครบรอบ
เมื่อเทียบกับดาว เป็นเวลา 27.32 วัน เรียกว่า Siderial month
ซึ่งเป็นเวลาที่แท้จริงของ การโคจรครบรอบของดวงจันทร์
โดยมีรัศมีการโคจรเกือบเป็นวงกลม r = 384,264 กม.

Lunar month (1 รอบดวงจันทร์โคจร) and Terrestrial day (โลกโคจร 1 รอบ)
                                                                                                 
Lunar Month T  แบบ Sideral (สัมพันธ์กับดวงดาวอื่น ๆ)
- 27.321661 วัน หรือ 655.71986 ชม.

แบบ Synodic (สัมพันธ์กับบนโลก)
- 29.5309 วัน

Terrestrial Day t
แบบ Sideral
23 ชม. 56 นาที 4.0906 วินาที หรือ 86164.0906 วินาที       
     
แบบ Synodic
24 ชม. หรือ 86400 วินาที

ปรากฏการในฟากฟ้า (Cosmic affair) เดินทางจากฟากฟ้ามายังโลก ใน 1 วัน
หรือ 1 วันในอีกมิติหนึ่ง วัดได้ 1,000 ปีสำหรับมนุษย์ (12,000 เดือน )


ดังนั้นถ้า ระยะทาง = ความเร็ว x เวลา จะได้
(ความเร็วแสง) x (Sideral Terrestrial day) = (หนึ่งพันปีของ Lunar Year)
x (จำนวนเดือนต่อปี) x (moon orbit length)

เขียนเป็นสมการได้ดังนี้

Ct = 12,000 L

C = ความเร็วแสง (ที่เราจะหา)
t = ระยะเวลา 1 วัน = 86,164.0906 วินาที (sidereal day) และ
L = Vcos@T

เมื่อ V=average orbital velocity of moon = 3,682.07 km/hr
@ = angle travelled by earth moon system = 26.92848
T = sidereal lunar month = 655.71986 hr
 
จะได้

Ct=12,000Vcos@T

ดังนั้น

C = (12,000Vcos@T)/t


จะได้ C

C = (12,000x3,682.07 x 0,89157x655.71986) / 86,164.0906
C = 299,792.5 km/s

ค่า C ที่ได้เป็นค่าเดียวกับความเร็วของแสงหรือความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ที่เคลื่อนที่ผ่านสูญญากาศ

แสดงว่าอายัตที่กล่าวมานั้น อัลลอฮฺบอกเป็นนัยถึงค่าคงที่ของจักรวาลค่านี้
ค่าที่ยอมรับปัจจุบันคือ
                                                                                   
C = 299,792.458 km/s


คำว่า "นูร" ซึ่งแปลว่าแสงนั้น มีกล่าวอยู่หลายต่อหลายแห่งในกุรอานและฮาดิษ
"นูร" ในที่นี้อาจจะมีนัยไปถึงคำว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มนุษย์รู้จักในปัจจุบัน

>> ผมงงวิธีคิด

จากคุณ : คลื่นแทรก

_____________________________________________________________________

...ตอบคุณคลื่นแทรก...

ผมเข้าใจว่าค่าที่ทำให้คุณคลื่นแทรกไม่สามารถคิดคำนวณค่าความเร็วของแสง  C ออกมาได้ก็เนื่องจากค่าของ รัศมีวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลก
ที่กำหนดให้ในโจทย์นั้นไม่ถูกต้องครับ ซึ่งเขาให้ตัวเลขมาคือ r = 84,264 กิโลเมตร  ซึ่งทางเวปอาจจะพิมพ์ตัวเลข 3 ข้างหน้าตกไปนะครับ  ค่าที่ถูกต้องน่าจะเป็น

รัศมีวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลก  r  =  384,264 กิโลเมตร
( ดู National Geoghaphic สุริยจักรวาล หน้า 64 )

คุณจะได้ระยะทางเชิงเส้นของวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกทั้งหมดใน 1 เดือน 
s = 2pix(384,264 )  = 2,413,177.92  กิโลเมตร / เดือน

นั่นคือค่าของความเร็วเฉลี่ย V ของดวงจันทรที่โคจรรอบโลกประมาณ    = 2,413,177.92 กิโลเมตร  / ( 27.32166 วัน  x 23.933 ช.ม.)  =
3,690.4222  กิโลเมตร  / ช.ม. 

[ เมื่อ 23 ช.ม. 56 นาที 4.0906 วินาที = 23.933 ช.ม.
และ ค่าของความเร็วเฉลี่ย V ที่เวปคำนวณได้ = 3,682.07 กิโลเมตร  /ช.ม.]


หลักการให้ยึดสูตรฟิสิกส์   
ระยะทาง (S) =  ความเร็วที่ใช้ในการเคลื่อนที่ (V) x เวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่(t)


1.พิจารณาด้านซ้ายของสมการ   

ระยะทางในการเคลื่อนที่ของแสงใน 1 วัน = ความเร็วแสง
(C หน่วยเป็น เมตร/วินาที) x เวลา 1 วัน(t หน่วยเป็นวินาที = 86,164.0906 วินาที )

2.พิจารณาด้านขวาของสมการ   ระยะทางเชิงเส้นที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปได้ทั้งหมด
ในระยะเวลา 1,000 ปี  =  ความเร็วเชิงเส้น ( v  หน่วยเป็น กิโลเมตร/ ช.ม. )
x ระยะเวลา 1,000 ปี ( T หน่วยเป็น ช.ม. และ 1 เดือน = 655.71986 ช.ม.)

เนื่องจากดวงจันทร์และโลกมีการหมุนอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก 

ดังนั้น ความเร็วที่เกิดขึ้น
จึงเป็นความเร็วสัมพัทธ์เชิงเส้น  v = V cos @   
เมื่อ @ คือ มุมสัมพัทธ์ของความเร็วขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก
ในที่นี้มีค่า = 26.92848 องศา   ( ดูหนังสือกลศาสตร์วิศวกรรม พลศาสตร์ )


จากระยะทางในการเคลื่อนที่ของแสงใน 1 วัน   = ระยะทางที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปได้ทั้งหมดในระยะเวลา 1,000 ปี

จะได้               

Ct   =   12,000 เดือน x ( 655.71986 ช.ม./เดือน) x V cos(26.92848 องศา)
x 86,164.0906 วินาที
[ ในที่นี้ผมขอใช้ค่า ของความเร็วเฉลี่ย V ที่เวปคำนวณได้ = 3,682.07
กิโลเมตร  /ช.ม  นะครับ ]

ดังนั้น ค่าของความเร็วของแสง  C  =  299,792.5 กิโลเมตร/ วินาที

จากคุณ : ชญานนท์

วัลลอฮุอะลัม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 11, 2009, 11:53 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ก.ย. 11, 2009, 01:15 AM »
0
 salam

ขอบคุณครับที่ช่วยนำเสนอสิ่งดีดีให้กับพี่น้อง

วัสสาลาม
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ก.ย. 11, 2009, 01:21 AM »
0
salam

"เกี่ยวกับการคำนวณความเร็วไปของเทวทูตที่จะเดินทางไปหาอัลเลาะฮฺ"

ความว่า "พระองค์บริหารงานจากฟากฟ้าสู่แผ่นดิน หลังจากนั้นจะขึ้นไปยังพระองค์ภายใน 1 วันซึ่งระยะเวลา ของมันเท่ากับ 1000 ปี จากจำนวน ที่พวกเจ้าเคยนับ" 
(กุรอาน  As-Sajdah  32:5)

>> ประมาณว่าเทวทูตเดินทางในระยะทางที่มนุษย์ต้องใช้เวลาบนโลกมนุษย์
ประมาณ 365,000 วัน (1000 ปี) ถึงจะถึงที่หมาย แต่เทวทูตใช้แค่ 1 วันเท่านั้น

>> ความเร็วที่ใช้คือเท่าไหร่ ??


ความว่า "และพวกเขา ที่เร่งต่อเจ้าให้มีการลงโทษโดยเร็ว
และอัลลอฮฺจะไม่ผิดสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน
และแท้จริงวันหนึ่ง ณ องค์อภิบาลของเจ้านั้น เหมือนดังพันปีตามจำนวนที่พวกเจ้านับ"
22:47


คำว่า "นูร" ซึ่งแปลว่าแสงนั้น มีกล่าวอยู่หลายต่อหลายแห่งในกุรอานและฮาดิษ
นูร ในที่นี้อาจจะมีนัยไปถึงคำว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มนุษย์รู้จักในปัจจุบัน








"นูร" ในที่นี้อาจจะมีนัยไปถึงคำว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มนุษย์รู้จักในปัจจุบัน

__________________________

จากคำพูดดังกล่าวนั้น

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือหนึ่งในคุณสมบัติของ"แสง"

ซึ่งธรรมชาติของ “แสง” แสดงความประพฤติเป็นทั้ง “คลื่น” และ “อนุภาค”
เมื่อเรากล่าวถึงแสงในคุณสมบัติความเป็นคลื่น เราเรียกว่า “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” (Electromagnetic waves)  

เมื่อเรากล่าวถึงแสงในคุณสมบัติของอนุภาค เราเรียกว่า “โฟตอน” (Photon)
เป็นอนุภาคที่ไม่มีมวล

(จากหนังสือฟิสิกส์กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)


ดังนั้น...บางสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง
เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น มีทั้งที่มองเห็นได้และมองไม่เห็น
แต่มันมีพลัง เช่น หากเราเอามือไปแหย่ที่ปลั๊กไฟ รับรองว่าเราต้องโดนไฟดูดแน่ๆ
ซึ่งเราย่อมสัมผัสถึงพลังของมันได้แม้จะมองไม่เห็นตัวของพลังงานไฟฟ้าที่ว่า
ด้วยตาเปล่าก็ตาม...

แต่ถ้าเรารู้ว่าการที่เราไปแหย่ปลั๊กไฟแล้วจะโดนดูดและอาจถึงตายได้
เราก็ไม่ควรแหย่หรือล้อเล่นกับมันใช่มั้ยคะ...

และก็มีหลายคนที่ต้องเสียชีวิตเพราะความประมาทจากการล้อเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น
ทั้งๆที่รู้ดีว่าสิ่งนั้นมีพลังรุนแรงแค่ไหน...

นี่แค่สัญลักษณ์หนึ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการสื่อให้เรารับรู้ถึงมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่
แห่งพระองค์ และยังมีสัญลักษณ์อีกมากมายที่เรายังไม่รู้
หากพระองค์ทรงประสงค์ เราจะได้รับการเรียนรู้จากพระองค์
เพราะความรู้ทั้งมวลเป็นของพระองค์(ขอพระองค์ทรงอภัย)

เราจึงสรุปง่ายๆไม่ได้ว่่า...อะไรที่เรามองไม่เห็นแล้วจะไม่มี
แล้วที่คนอื่นมองเห็นและสัมผัสได้แต่เรามองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้คือความเท็จ

สายตาของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัดที่แตกต่่าง แต่ละคนยังมีระดับการมองเห็นไม่เท่ากัน
บางคนสายตาสั้น บางคนสายตายาว เราจะวัดอะไรจากการมองอย่างเดียว
ย่อมมิได้...เพราะยังมีปริิศนาและสิ่งเร้นลับอีกมากมายที่เรายังไม่รู้และไม่เห็น

และ"อัลเลาะฮฺเท่านั้นที่รู้จริงในทุกสิ่ง"

และ"แสง"มิใช่มีเพียงแต่สิ่งที่มีอุณหภูมิสูง ดังเช่น ดวงอาทิตย์ และไส้หลอดไฟฟ้า
จึงมีการแผ่รังสี หากแต่สิ่งที่มีอุณหภูมิต่ำดังเช่น ในร่างกายมนุษย์ และน้ำแข็ง
ก็มีการแผ่รังสีเช่นกัน เพียงแต่ตาของเรามองไม่เห็นเท่านั้น
นี่คืออีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่องค์อภิบาลทรงชี้ทางให้แก่มนุษย์ผู้ตรึกตรอง

หากผิดพลาดประการใดในการนำเสนอ โปรดท้วงติงด้วยนะคะ

วัลลอฮุอะลัม

^_________^

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 12, 2009, 12:02 AM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ก.ย. 11, 2009, 03:04 AM »
0

ข้อมูลเกี่ยวกับดวงจันทร์

ระยะจุดใกล้โลกที่สุด: 363,104 กม.
ระยะจุดไกลโลกที่สุด: 405,696 กม.
กึ่งแกนเอก: 384,399 กม.
เส้นรอบวงของวงโคจร: 2,413,402 กม.
ความเยื้องศูนย์กลาง: 0.0549
เดือนทางดาราคติ (Siderial month) : 27.321582 วัน (27 วัน 7 ชม. 43.1 นาที)
เดือนจันทรคติ (Synodic month) : 29.530588 วัน (29 วัน 12 ชม. 44.0 นาที)
เดือนอะโนมาลิสติก: 27.554550 วัน
เดือนดราโคนิก: 27.212221 วัน
เดือนทรอปิคัล: 27.321582 วัน
อัตราเร็วเฉลี่ยในวงโคจร: 1.022 กม./วินาที
อัตราเร็วสูงสุดในวงโคจร: 1.082 กม./วินาที
อัตราเร็วต่ำสุดในวงโคจร: 0.968 กม./วินาที
ความเอียง: 5.145 องศา กับสุริยวิถี (ระหว่าง 18.29 องศา
และ 28.58องศา กับระนาบศูนย์สูตรโลก)
ลองจิจูดของจุดโหนดขึ้น: ถอยหลัง 1 รอบใน 18.6 ปี
ระยะมุมจุดใกล้โลกที่สุด: ไปข้างหน้า 1 รอบใน 8.85 ปี
ดาวบริวารของ: โลก

http://th.wikipedia.org/wiki/ดวงจันทร์


ตะลึงตึงกับความเร็วแสง ! (Speed of Light: Surprise!)

จากข้อมูลของ

- US National Bureau of Standards
ความเร็วแสงในสูญญากาศ = 299792.4574 +/- 0.0011 km/s.
- British National Physical Laboratory
ความเร็วแสง = 299792.4590 +/- 0.0008 km/s

เฉลี่ยกันก็ได้ประมาณ= 299792.458 km/s

ในกุรอาน ความเร็วแสงในสูญญากาศ คือ

จากซูเราะฮฺ อัสซัจญดะฮฺ
[Quran 32.5]
(Allah) Rules the cosmic affair from the heavens to the Earth.
Then this affair travels to Him a distance in one day, at a measure of
one thousand years of what you count.

ความว่า

"พระองค์ทรงบริหารกิจการจากชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน แล้วมันจะขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่ง
ซึ่งกำหนดของมันเท่ากับหนึ่งพันปีตามที่พวกเจ้านับ"

มุสลิมมีศรัทธาว่ามลาอิกะฮฺ หรือ มลัก เป็น สิ่งถูกสร้างบังเกิดมาจากรัศมี
(low mass creatures) มีความเร็วในการเคลื่อนที่แตกต่างกันไป

ในโองการกล่าวถึงมลัก (เทวทูต) ผู้นำรายงานขึ้นไปสู่พระองค์
(ดูว่าทำไมสำนวนอาหรับอ้างอิงกับระยะทางได้อย่างไรได้ที่ภาคผนวก [1] )
และกล่าวถึงความเร็วหรือเวลาที่ใช้ในการเดินทางเป็น ความเร็ว เท่ากับ หนึ่งวัน
ใช้เวลาหนึ่งพันปี จากสำนวนกุรอานนี้ทำให้เราอยากลองหาดูว่ามลักเดินทาง
ด้วยความเร็วเท่าใดจากสมการ เมื่อให้ระยะทางเท่ากัน

ระยะทาง = ความเร็ว x เวลา   = >   ความเร็ว = ระยะทาง / เวลา

เราก็จะลองคำนวนเล่นดูได้ว่าความเร็วของมลักจากการเดินทางเป็นเท่าใด


จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว

วัลลอฮุอะลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 12, 2009, 12:06 AM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged