จากบทความที่ว่า
มุสลิม ใช้ระบบ Sidereal (สัมพันธ์กับดวงดาวอื่น)
เพื่อกำหนด เวลาโคจรของดวงจันทร์ lunar month (T), และใช้ค่านี้ในการพิสูจน์
ดังนั้นเวลาที่เอามาคำนวณ คือ
**23 h 56 min 4.0906 sec = 86164.0906 sec
**27.321661 days = 655.71986 hours
_________________________________________________________
เราต้องกลับไปดูว่าSidereal Mont คืออะไร แล้วได้มาอย่างไง
"Sidereal month"
The period of the Moon's orbit as defined with respect
to the celestial sphere (known as esthers) is known as a sidereal month
because it is the time it takes the Moon to return to a given
position among the stars (Latin: sidus): 27.321661 days
(27 d 7 h 43 min 11.5 s). This type of month has been
observed among cultures in the Middle East, India, and China
in the following way: they divided the sky into 27 or 28 lunar mansions,
identified by the prominent star(s) in them.
_______________________________________________
แล้ว lunar mansion คืออะไร
lunar mansion is one of the 27 divisions of the sky,
identified by the prominent star(s) in them, used in Jyotisha.[1]
Lunar Mansions and Signs in Cosmic Perspective.
Here we have various mansions assigned to classifications:
และจาก "used in Jyotisha"
"Jyotisha" คืออะไร
In the astrological literature of India the 27 or 28 divisions of the sky
are referred to under diverse terms: nakshatras, stars, constellations,
asterisms and most recently, lunar mansions. The correct term today is
lunar mansions because the ancient nakshatras once identified
as single stars or asterisms no longer align well with today's 27
equal divisions of the ecliptic. Their meanings have changed,
sometimes drastically. That contemporary authors recognize
the evolution of the nakshatras or lunar zodiac is reflected
in such titles as Mansions of the Moon:
The Lost Zodiac of the Goddess (Kenneth Johnson, 2002)
and The 27 Celestial Portals (Prash Trivedi, 2004).
และ
The ancient 28 nakshatras have evolved into something entirely
different from their original form when they were linked to one
or more of India's ancient deities. This is why I am undertaking
a review of the literature from the time the mansions
or nakshatras were first mentioned in relation to astrological use.
Principally I'm focusing on recent years
because this is when most of the innovation has taken place.
และ The ancient 28 nakshatras คืออะไร
Each of the nakshatras is governed as 'lord' by one of the nine graha
in the following sequence: Ketu (South Lunar Node), Shukra (Venus),
Ravi or Surya (Sun), Chandra (Moon), Mangala (Mars),
Rahu (North Lunar Node), Guru or Brihaspati (Jupiter),
Shani (Saturn) and Budha (Mercury).
This cycle repeats itself three times to cover all 27 nakshatras.
The lord of each nakshatra determines the planetary period
known as the dasha , which is considered of major importance
in forecasting the life path of the individual.
ที่มา:
http://en.wikipedia.org/wiki/Month#Sidereal_monthhttp://en.wikipedia.org/wiki/Lunar_mansionhttp://en.wikipedia.org/wiki/Jyotishahttp://www.snowcrest.net/sunrise/AANakshatra%20History.htm_______________________________________________________________
ที่พี่ต้องเอาภาษาอังกฤษ(ที่พ่ีเองก็อ่อนหัดนัก)มาอ้างอิง
เพราะว่าหาในภาษาไทยแล้วไม่เจอ เลยต้องพึ่งวิกิฯในภาษาอื่น
แล้วจะเอาตำราภาษาญี่ปุ่นที่พี่เรียน(ซึ่งถนัดกว่าอังกฤษนิดนึง)มาแปะด้วยก็ไม่ได้
เลยต้องยกตามความเข้าใจของพี่
ดังนั้นพี่ขอสรุปตามความสามารถที่จะเข้าใจในภาษาอังกฤษ
บวกกับพื้นความรู้ที่เรียนมา(แค่หางอึ่ง)ว่า
ในอารยธรรมชาวเมโสโปเตเมีย ได้แก่ ชาวอินเดีย ชาวบาบิโลเนีย ชาวคาลเดีย
และชาวอียิปต์ มีความเจริญทางวิชาดาราศาสตร์
เมื่อก่อนชาวอียิปต์โบราณมีความชำนาญในการวัดตำแหน่งของดวงดาว
และบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่น่าสนใจบนท้องฟ้าไว้ประมาณ2500 ปีก่อนคริสตกาล
ชาวอียิปต์หาได้ว่า 1 ปีมี 365 วัน แบ่งออกเป็น 12 เดือน เดือนหนึ่งมี 30 วัน
ยกเว้นเดือนสุดท้ายมี 35 วัน และยังพบว่าทุก ๆ 4 ปี จะมีวันขาดหายไป 1 วัน
ความรู้ทางดาราศาสตร์ของอียิปต์ถูกนำไปเกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นส่วนใหญ่
มีความเชื่อว่า ท้องฟ้า โลกและอากาศ เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้น
ส่วนชาวจีนนั้นสามารถหาได้ว่า 1 ปี มี 365 วัน เมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตกาล
มีการสร้างปฏิทินช่วยในการทำนายการเกิดอุปราคา
ซึ่งชาวจีนโบราณถือว่าการเกิดสุริยุปราคา จะต้องมีการเซ่นไหว้เพื่อเอาอกเอาใจ
พระผู้เป็นเจ้า และชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่ทราบว่าดวงจันทร์เคลื่อนที่จากทิศตะวันตกผ่านกลุ่มดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้าไปยังทิศตะวันออก ใช้เวลาครบรอบประมาณ 28 วัน
ดังกล่าวนั้นจะเห็นได้ว่า
Sidereal Mont นั้นคือ การที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่จากทิศตะวันตก
ผ่านกลุ่มดาวต่างๆบนท้องฟ้าไปยังทิศตะวันออก ใช้เวลาครบรอบประมาณ28วัน
ส่วนของชาวอินเดียโบราณคือ 27หรือ28 วัน ซึ่งคือค่่าของจำนวนวันในหนึ่งเดือน
เมื่อเทียบกับดวงดาวอื่นๆ ซึ่งถ้าถามว่่ามีดาวอะไรบ้างที่มีชื่อเสียง
(the prominent star(s)) ก็คือ Jyotisha
และ Jyotisha คืออะไร
Jyotisha คือการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ผ่านดวงดาวต่างๆจนครบรอบ27วัน
แล้วดาวที่ว่ามีชื่อเสียงตามหลักของอินเดียโบราณ (The ancient 28 nakshatras)
มีดังนี้
1. Ketu (South Lunar Node)
2.Shukra (Venus)
3.Ravi or Surya (Sun)
4.Chandra (Moon)
5.Mangala (Mars)
6.Rahu (North Lunar Node)
7. Guru or Brihaspati (Jupiter)
8.Shani (Saturn)
9.Budha (Mercury)
สรุปตามความรู้ที่พี่ศึกษามาก็คือ
Sidereal Mont = 27.321661 days (27 d 7 h 43 min 11.5 s)
(จากบทความด้านบน)
ดังนั้น
Sidereal (เทียบกับดวงดาวอื่นหรือทางดาราคติ)
คือ 27.321661 days = 655.71986 hours
เนื่องจากดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านดวงดาวต่างๆจากทิศตะวันออก
ไปยังทิศตะวันตกครบรอบในเวลา28วันตามจีนโบราณ
และ27หรือ28วันตามอินเดียโบราณนั่นเอง
ส่วนทศนิยมที่ตามหลังมานั้นเกิดจากการนำความรู้และทฤษฎีของชาวจีนโบราณ
กับอินเดียโบราณมาคำนวณตามหลักการและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งเป็นค่าในปัจจุบันที่มีความละเอียดมากขึ้น
(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกหลายปีข้างหน้าจะยังเท่าเดิมอีกมั้ย)
นั่นคือความคาดเคลื่อนที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อวิทยาศาสตร์
และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
เสริมอีกนิด
ตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้านั้นจะมีตำแหน่งที่ค่อนข้างแน่นอน
ทั้งนักดาราศาสตร์และโหราศาสตร์จึงใช้ตำแหน่งของดวงดาวในการศึกษา
และการที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านดาวต่างๆไปพร้อมๆกับโคจรรอบดวงอาทิตย์
ในขณะที่โคจรรอบโลกและหมุนรอบตัวมันเองไปด้วยนั้น
ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆบนท้องฟ้า เกิดการนับจักราศี
การแบ่งว่าเดือนไหนราศีอะไร การแบ่งฤดูกาล ฤดูไหนอยู่ระหว่างเดือนอะไร
แล้วเดือนไหนคือเดือนแรกแห่งการเริ่มต้นศักราชนั้น
ก็จะใช้ตำแหน่งของกลุ่มดวงดาวมาเป็นตัวกำหนด
เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อโลกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
และดาวที่ยึดนั้นไม่ใช่แค่เพียงดาวเคราะห์อย่างเดียว
แต่หมายรวมไปถึงกลุุ่มดาวต่างๆบนท้องฟ้าด้วย
ซึ่งหากสังเกตุเราจะเห็นว่า การนับจักราศีนั้นจะคาบเกีี่ยวกับเดือนในทางสุริยคติ
(ที่บ้านเราและตะวันตกทั่วไปนับกัน)
ซึ่งว่ากันตามหลักกันแล้ว หากให้แม่นยำและละเอียดกว่านั้น
คือการนับตามจันทรคติ(อย่างที่อิสลามและประเทศจีนใช้กัน)
เรื่องความต่างของการนับวันตามสุริยคติและจันทรคตินั้นจำได้ว่าเคยอ่านมาแล้ว
จากทั้งในหนังสือและในเนต
แต่ขอหาหลักฐานแน่นๆก่อนนะว่าเขาคำนวณกันอย่างไร ทำไมถึงได้ค่่าดังข้างบน
แล้วประวัติเกี่ยวกับการเกิดการนับเดือนแบบสุริยคติที่ตะวันตกนับกัน
มันน่าเชื่อถือและแม่นยำสักแค่ไหน แล้วทำไมอิสลามและจีนถึงได้นับแบบจันทรคติ
ซึ่งมันมีจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ขอพี่ไปค้นก่อนแล้วจะนำมาเสวนาต่อนะคะ
บอกได้แค่เพียงว่า นับแบบอิสลามนั้นดูแม่นยำและละเอียดกว่ามาก
แต่เอาลิงก์นึงมาฝากให้อ่านไปพลางๆก่อน
http://www.halalthailand.com/olips/index.php?page=content&category=15&subcatname=&subcat=&id=511สุดท้าย
สิ่งที่นำเสนอไปนั้น เป็นเพียงแค่สิ่งที่พ่ีเรียนรู้และศึกษามาเท่านั้น(ซึ่งมันน้อยนิดนัก)
ย่อมมีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา ทางที่ดีอิลฮามควรจะถามอาจารย์ท่านอื่นๆด้วย
อย่างน้อยหลายหัวก็ดีกว่าหัวเดียว...
หากได้ความว่าอย่างไรก็อย่าลืมเอามาฝากพี่บ้าง
ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน
เพราะหากสังเกตุกระทู้ที่พี่นำมาโพสและอ้างอิงไปนั้น
ส่วนใหญ่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายๆแหล่งตามหลักวิทยาศาสตร์
ซึ่งเรารู้ดีว่าวิทยาศาสตร์นั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ที่ว่ากันตามเหตุและผลที่ปัญญามนุษย์พอไปถึงเท่านั้น
หากมีทฤษฎีที่สมเหตุสมผลกว่ามาหักล้างในภายหลัง ทฤษฎีเก่าก็เป็นอันล้มเลิกไป
ทว่า อัลกุรอานมิใช่เช่นนั้น
วิทยาศาสตร์เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในอัลกุรอาน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่อัลกุรอานเป็น...
เมื่อความจริงประจักษ์แก่สายตา เราทั้งหลายก็จะรู้ว่าสัจธรรมนั้นมีแค่หนึ่งเดียว
และหากสังเกตุ เราจะเห็นว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อในอัลเลาะฮฺตาอาลา
ไม่เชื่อในอัลกุรอาน และมีหลายคนที่ปฎิเสธอัลกุรอานตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน
กล่าวหาว่่าอัลกุรอานเป็นแค่กวีที่นบี ซอลลอลลอฮุอาลัยอิวาซัลลัมแต่งขึ้น
โดยมิยอมลองอ่านและไตร่ตรองดู
แต่ทว่า สิ่งที่พวกเขาค้นพบในภายหลังจากอัลกุรอานถูกประทานลงมา
สิ่งที่พวกเขาพยายามทดลองและค้นหาด้วยสติปัญญาและความรู้ของเขา
ใช้สิ่งที่เขาเรียกว่าตรรกวิทยา และคิดค้นเครื่องมือต่างๆมาหาข้อพิสูจน์ความจริง
หากสิ่งเหล่านั้นที่เขาค้นพบกลับถูกจารึกเอาไว้ในอัลกุรอานแล้ว
ยิ่งพวกเขาค้นหา ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเท่่าใด
พวกเขาก็จะยิ่งรู้ว่ามีสิ่งหนึ่ง และสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นสัจธรรม
และมีมาก่อนที่พวกเขาจะได้เรียนและได้รู้เสียอีก
เพราะความรู้ทั้งมวลที่พวกเขาได้รับล้วนมาจากอัลเลาะฮฺตาอาลาทั้งสิ้น
ซึ่งพระองค์เท่่านั้นที่รู้จริงยิ่งกว่าใคร
และเป็นเจ้าของความรู้อย่างแท้จริง...
ซึ่งความจริงที่พวกเขากำลังค้นหาอยู่นั้นก็คือการเดินทางกลับมาสู่อัลกุรอาน
ที่พวกเขาเคยปฏิเสธมาตลอด...
แล้วท้ายที่สุด สัจธรรมก็มีแค่หนึ่งเดียว นั่นก็คือ...อัลอิสลาม...
หากผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะด้วยนะคะ
วัลลอฮุอะลัม
วัสลามุอาลัยกุม
^_________^