เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

บิดอะฮ์ของวาฮาบีย์

(1/39) > >>

คนอยากรู้:
Tweet
อัสลามูอาลัยกุมฯ

พี่น้องครับ .เป็นที่ทราบกันมาตั้งแต่อดีตแล้วว่า ก่อน ปีฮิจเราะที่300ปีถัดมา นั้นบรรดาผู้มีความรู้ด้านฟิกฮ์ในสมัยนั้น ต่างก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยนักปราชญ์มุสลิมทั่วโลก  ไม่ว่า

ท่านอีหม่าม ฮะนาฟี  ท่านอีหม่ามมาลิกี ท่านอีหม่าม ชาฟีอี ดาวุดซอฮีรีย์ ท่านอีหม่ามอัชเชารี ท่านอีหม่ามฮัมบาลี  ฯลฯและบรรดานักฟิกฮ์ที่สืบเจตนารมณ์ยุคหลังๆก็มีมากเช่นผู้ที่ตักลีดตามทัศนะของท่านอีหม่ามชาฟีอี ไม่ว่า อีหม่ามฆอซาลี  ฮีหม่ามรอฟี     อีหม่ามนาวะวีย์   อีหม่ามอิบนุฮะญัร-อัลฮัยตามี  อีหม่ามรอมลี  เป็นต้น

ท่านเหล่านี้คือ ผู้ที่มีความรู้ทั้งในด้านฟิกฮ์และอากีดะซึ่งเป็นที่รู้จักยอมรับในชื่อเสียงของบุคคลผู้ทรงเกียตริเหล่านี้...

หลักการสำคัญของของผู้รู้เหล่านั้นคือ

ยึดตาม กิตาบุลลอฮ์ และซุนนะนบี เป็น2สิ่งแรก

ซึ่งทัศนะท่านเหล่านั้นต่างก็ดำเนินชีวิตที่ สอดคล้องกับ สิ่งที่ท่านนบีใช้ ก่อนที่ท่านจะจากเราไปคือซึ่งท่านกล่าวว่า  ..หลังจากฉันจากไปแล้ว...ทั้งหลายก็จะพบความขัดแย้งมากมาย....และฉันจะทิ้งสิ่งทั้งสองไว้ คือ อัลกรอาน และซุนนะชของฉัน....เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่หลงทาง.........และจงปฏิบัติมัน.....บุคอรี..

แต่บางอย่างที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับศาสนาโดยตรง   กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจุบันหรืออดีตก็ตาม โดยบางครั้งไม่มีในสมัยท่านนบี ...บรรดาผู้รู้เหล่านั้นก็ต่างค้นคว้าและสืบเสาะ จากการกระทำของบรรดาซอฮาบะที่ดี จากตาบีอีน จากตาบีอีตตาบีอีน หรือ จากบุคลที่ชาวสลัฟที่ดี
...ในการแก้ปัญหาศาสนาของพระองค์เกิดทางตัน.จนไม่สามารถแก้ไขได้..

จะเห็นว่าจากบรรดาเจ้าของทัศนะที่กล่าวมาแล้วนั้นล้วนไม่ได้คิดหรือสร้างเหตุผลขึ้นมาเองเลย แต่ตรงกันข้าม พวกเขารอบคอบในการค้นคว้าและวินิจฉัย...

เช่น สิ่งใดที่ไม่มีจากอัลกรุอ่าน พวกเขาก็ค้นหาจากอัลฮาดิสหรือซุนนะของท่านฉนั้นการที่นักมุฮาดีษีนทำการวิจัยฮาดีสนั้นถึงว่าเขามากด้วยความพยายามที่จะค้นหาความจริงกับศาสนาของพระองค์ด้วยความอิคลาสใจ...

ตัวอย่าง
ท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)เมื่อ ท่านพบปัญหาสักอย่างที่ไม่สามารถค้นหามาจากอกีตาบุลลออ์และซุนนะบีได้แล้ว สิ่งที่ท่านทำต่อไปคือ..อิจมะฮ์มุตาญิด...แต่ถ้าไม่มีสิ่งนั้นท่านก็จะใช้หลักการเปรียบเทียบ..(กิยาส)  ว่าสามารถกระทำได้หรือไม่ท่านอีหม่ามฮัมบาลี (รฮ)ก็เช่นกัน สิ่งใดที่ไม่มีพบจากกีตาบุลลออ์และซุนนะบี  ท่านก็จะเอาคำฟัตวาของสาวกนบี ถัดจากสองสิ่งนั้น รองลงมาคือ ฮาดีสมุรซาลและฮาดีสดออีฟ.และถัดมาคือ การกิยาส..


เราจะพบว่า...ถ้าสิ่งใดที่ไม่ปรากฏข้อห้ามข้อใช้ อย่างชัดเจน แล้ว ท่านเหล่านั้นจะทิ้งปัญหานั้นให้พ้นไปโดยให้ผ่านมาถึงมือเราเลย  แต่ทุกอย่าง ต้องได้รับการตรวจสอบและค้นคว้าเสมอ
......................................................................................................

คนอยากรู้:
ฉนั้น การที่มีทัศนะใหม่บางทัศนะอ้างถึง.การไม่ยอมรับความคิดเห็นผลงานของเขาโดยไม่รับทัศนะจากผู้รู้ทั้ง4 ของบรรดาอุลามะในยุคก่อน300ปีนั้น
....
จึงไม่แปลกเลยที่เราขอกล่าวว่า นั้นคือ..บิดอะฮ์ที่เกิดขึ้นในยุคหลังกับปฏิเสธผู้รู้หรืออุลามะในอดีต ...และแท้จริงเขาเป็นคนหนึ่งที่ค้าน กับซุนนะท่านนบี ที่กล่าวว่า...  อุมะของฉันดีที่สุดก็คือ ในยุคของฉัน  และถัดมา และรองลงมา..
บรราดาผู้มีความรู้ส่วนมากไม่มีใครปฏิสธว่า ..100ปีแรกนั้น คือตั้งแต่สมัยท่านนบีและบรรดาซอฮาบะที่ใช้ชีวิตอยู่....และ100ปีถัดมาคือ บรรดาผู้ทีมาทันซอฮาบะคือตาบีอี...และ100ปีหลังสุดคือ บรรดผู่ทีมาทันตาบีอีนคือเหล่าตาบีอิตตาบีนหรือคนสลัฟ...ดังนั้น รายชื่อของ อีหม่ามดังกล่าวที่มีอายุ300ปี ขึ้นไปนั้นย่อม ไม่มีใครปฏิเสธถึงความปรัเสริฐของพวกเขาเช่นกัน  คือเจ้าของทัศนะหรืออีหม่ามทั้ง4...

....แต่หลังจากนั้นประมาณ 400ปี..สเมือนเป็นการทดสอบของอัลลออ์ตะอาลา..

จู่ๆก็มีสำนักความคิดใหม่..ที่อุตริกรรมขึ้นมาโดยอุลามะยุคหลังท่านหนึ่งในประเทศซีเรีย ดินแดนที่ท่านมุอาวิยะปกครองในอดีต ท่านผู้นี้คือ อะหมัด ตะกียะยุดดีน......บินอับดุลลาห์..
ในตระกูล..อิบนุตัยมียะ...ชื่อนี้มาจากพี่ชายของเขาที่ชื่อว่า มุฮำมัด บินอัลคอดาร..โดยเอาตระกูลนี้จากการเส้นทางที่เดินทางไปทำฮัจย์ชื่อว่า ตัยมาฮ์....และหลังจากกลับจากทำฮัจย์ เขามีลูกสาวคนหนึ่งชื่อตัยมียะ....ดังนั้นเชื่อสายและตระกูลจึงถุฏเรียกว่าตัยมียะ..ตั้งแต่นั้นมา

อะหมัด ตะกายุดีนหรือท่านตัยมียะนั้น เกิดที่หมู่บ้าฮาเราในปาเสตไตน์ ..วันที่10 เดือนรอบีอุลเอาวัล คศ.661

ตอนเด็กๆก็เรียนหนังสือจากพ่อของเขาชื่อ ซีฮาบุดดีน..ซึ่งเป็นอุลามะคนหนึ่งที่สังกัดมัสหับฮัมบาลี(รฮ)ในสมัยนั้นและปู่ของเขาที่ชื่อว่ามัญดุดีดีนก็เช่นเดียวกัน

อายุ7ขวบ ครอบครัวของท่านก็ได้ย้ายไปอญุ่ที่เมืองดาซิก(ซีเรีย)เพราะหมู่บ้านของเขาโดนคุกคามจากพวกตารตาฮ์ (จีนมองโกลจากแผ่นดินใหญ่)ซึ่งได้ยึดแบคแดดก่อนหน้านั้นแล้ว..


ก่อนหน้านั้นเป็นที่ทราบแล้วว่า ในดามซิกนั้นมีมุสลิมทั้ง3มัสหับ คือ ฮัมบาลี ชาฟีอี และมาลีกี  ..เมื่อครอบครัวของท่านได้อพยพมา   ซึ่งพ่อของท่านก็พยายามหางานทำจนในที่สุดก็ได้เป็นครูสอนศาสนาแห่งหนึ่งและตัวท่านอิบนุตัยมียะก็เรียนอยุ่ที่นั้นด้วย...

และท่านมีความจำและฉลาดดีมาก ในที่สุดก็เป็นถึงระดับอุลามะในมัสหับฮัมบาลีตามรอยปู่และพ่อของเขา..ท่านยังเก่งในด้านฟิกฮ์และอูซุลลุดดีน และเตาฮีดอีกด้วย..

แต่มาตอนหลังท่านได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก ทัศนะของ มุซับบีฮะและมุญัสสิมะมากเกินไปโดยที่พยายามและเน้นโดยศึกษาคุณลักษณะของอัลเลาะจนถึงขั้นเลยเถิด..และฟัตวา.ว่าอัลลออ์นั้นมีรูปร่างคล้ายมนุษย์..

แม้ว่าท่านจะยึดฟิกฮ์ของทัศนะฮัมบาลีก็ตาม  แต่หลายๆอย่างที่ท่านไม่เห็นด้วย และมีความเห็นแตกต่างกับเจ้าของทัศนะฮัมบาลีและอุลามะก่อนไม่ว่าปู่และพ่อของเขาเองจนบางครั้งมีความขัดเเย้งกัน

ในบางครั้งเขาเองยังออกฟัตวา แบบไม่อยู่ในร่องรอยของทัศนะที่เขาตักลีด..ในด้านอุซุลฟิกฮ์นั้น เขายังคงยึดกับมัสหับฮัมบาลีของเขา   ทั้งนี้เพราะเขาไม่มีความรู้พอในด้านนี้..

(ดูหนังสือ อิบนุตัยมียะที่เขียนโดย  ลูกศิษย์คือ ดร.มุฮำมัดยุซุฟ มูซา หน้า168-170)

คนอยากรู้:
ท่าน อิบนุ บาตูเตาะห์ซึ่งเป็นนักท่องเทียวมุสลิมคนหนึ่ง ท่านได้กล่าวในหนังสือชื่อ เราะละอิบนุ บูตาเตาะ  เล่มที่1 หน้า 57 ว่า ...

ในเมืองดามซิกนั้นมีผู้นับถือมัสหับฮัมบาลีท่านหนึ่งที่เก่งแย่งใหญ่มากด้าฟิกฮ์หมาถึงอิบนุตัยมียะ  แต่น่าเสียดายที่เขานั้นเป็นผู้ "ฟีอักลีฮู ชัยอุน"(สติไม่ค่อยสมบุรณ์)

ซึ่งเขาได้ยืนบนมิมบัรหรือที่สั่งสอนที่โอ่โถง ...แต่เขากลับฟัตวาบางอย่างผิดแปลกไปจากนักวิชาการฟิกฮ์ท่านอื่นในมัสหับเดียวกัน...   จนบางครั้งได้มีผู้ไปฟ้องร้องต่อท่านผู้ครองเมืองคือท่านนาซิร ขณะนั้นปกครองเมืองเมอซีร..ตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอียิปต์..

และครั้งหนึ่งท่านถูกนำตังไปยัง ผู้พิพากษา ชื่อ ซะรอฟุดดีน ซะวาวี ผู้เป็นนักกฏหมายสังกัดมัสหับฮัมบาลี.....

โดยเขาได้สอบถามทุกประเด็นที่มีผู้ฟ้องมา แต่ท่านอิบนุตัยมียะกล่าวเพียงชาฮาดะว่า  ลาอีล้า ฮาลิ้ลัลลอฮ์  
จนในที่สุดท่านก็ถูก...จองจำในคุกเป็นเวลาหลายปี..จนในที่สุดแม่ของเขาได้ยื่นร้องต่อศาลและศาลได้ปล่อยท่านออกไป..

หลังจากประธานศาลคือท่าน อิบนุ มัคลุฟก็ได้สอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองโดยกล่าวหาจะว่าอย่างไร  ท่านกล่าวเพียงว่า อัลหัมดูลิ้ลลาห์.พร้อมกับซอลาวัตนบีจนดัง.

เช่นเดียวกับที่ท่านปราศัยบนมิมบัร  ท่านประธานศาลเลย  ตะคอกกลับว่า ...สถานที่นี้ไม่ใช่มัสยิดและที่ปาฐกาถา.. แต่นี่คือศาลที่ท่านจะต้องตอบและชี้แจงมาเท่านั้น...

คนอยากรู้:
พี่น้องครับ

นี้คือเรื่องเล่าแบบย่อๆตามประศาสตร์ความจริง อีกมุมมหนึ่งที่ถูกบันทึกสืบตกทอดกันมา  

ถึงความเป็นมาของ บิดอะดอลาละ ด้านหลักการยึดมั่นของทัศนะใหม่แบบวะฮาบีย์ที่ขึ้นเริ่มครั้งแรกว่า มาจากใคร...

ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาหลังทัศนะของอิหม่ามทั้ง4 ..ประมาณ400ปี  โดยท่านผู้นี้..และก็สืบทอดๆกันมาจนถึงปัจจุบันนี้   และได้ขยายพันธ์แตกหน่อแตกก้านสาขา มายังเมืองไทย....

จนได้รับการชื่นชอบจากพี่น้องเราบางคนที่ไม่มีความรู้พอในการตักลีดและเชื่อแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุและที่มาของประวัติศาตร์หรืออาจจะได้อีกอย่างกล่าวว่า ...ตักลีดแบบตาบอดหูหนวก  ก็คงไม่ผิดอะไร.....

แต่ที่เลยเถิดถึงขนาดไม่ยอมรับแนวความคิดของทัศนะของบรรดาผู้รู้เช่นอีหม่ามทั้ง4และบรรดาลูกศิษย์ในอดีตนั้น  มันเป็นสิ่งเลวร้ายยิ่งนัก..กลับการต่อต้านและคัดค้านและเตะถ่วง..การอิตญาด มุตะญิดและการอิตมาอะของท่านผู้รู้เหล่านั้น  ทั้งที่อัลลออ์นั้นทรงยุติธรรมกับบ่าวของพระองค์เสมอไนการเสียสละในหนทางของอัลลออ์ตะอาลา  ...

อัลกรุอานทรงยืนยันในเรื่องนี้ไว้..ถึงการที่บ่าวผู้หนึ่งผู้ใดที...เสียสละในหนทางอัลเลาะไม่ว่าการค้นคว้าการหาหลักและเหตุผลของงานศาสนา ย่อมมีผลตอบแทนในสิ่งนั้นเสมอ..

พระองค์กล่าวว่า...วามัยยะมันมิสกอลาซัรรอติลคอยรอยยะเราะ..

..ใครประกอบกิจการงานที่ดีไม่ว่าแค่เพียงธุลีเดียว พระองค์ก็จะตอบแทนความดีนั้นให้เห็น.

และอีกโองการที่ว่า... อินคอยรอยว่าคอยรอน..

...ใครประกอบความดีใดๆ ก็ได้ความดีนั้นๆ..

ฉนั้น..เป็นไปได้อย่างไรที่ผลงานที่สอดคล้องกับกีตาบุลลออ์และซุนนะบีของอุลามะเหล่านั้นจะโดนแช่เเข็งหรือโดนเตะทิ้ง...

.เหมือนที่อุลามะในทัศนะวะฮาบีย์บางคนทิ้ง..ขวางความรู้ความคิดเห็นหรือผลงานของเขาเหล่านั้น แบบไม่ใยดี ..แล้วกลับมาชื่นชอบทัศนะใหม่ที่มาทีหลัง ว่า ถูกต้องที่สุด..

จนมันได้กลายเป็น...บิดอะดอลาละที่ล่มหลง.แบบตะอัศศุบ..ในทัศนะตนเองแบบสุดโต่ง แบบไม่น่าให้อภัย  และคิดว่า  ทัศนะใหม่ของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง  ....นะอูซุบิ้ลลา... ..

นูรุ้ลอิสลาม:
บังคนอยากรู้ครับ  หากเราศึกษาแนวทางของวะฮาบีย์จริง ๆ นั้น  มันน่ากลัวดว่าที่คิด  แต่วะฮาบีย์เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยจะรู้แนวทางของตนสักเท่าไหร่  และหากวะฮาบีย์ไม่มีแนวทางที่บิดอะฮ์จริง  คงไม่มีนักปราชญ์ร่วมสมัยต้องเคยตอบโต้กลุ่มวะฮาบีย์หรอกครับ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version