เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
บิดอะฮ์ของวาฮาบีย์
คนอยากรู้:
เกี่ยวกับความเข้าใจของวะฮาบีย์ที่กล่าวหาว่าอัลลออ์นั้นทรงมีทิศและสถานที่
ก่อนอื่นเรามาดูคำนิยามของคำว่า สถานที่(มะกัน)และทิศ(ญิหะฮ์)
1. ท่านอัรรอฆิบ อัลอัศฟะฮานีย์ ( 502 ฮ.ศ.)กล่าวว่า
المكان عند أهل اللغة الموضع الحاوى للشىء
"มะกัน ตามทัศนะของนักปราชญ์ภาษาอาหรับนั้นคือ สถานที่ห้อมล้อมให้กับสิ่งหนึ่ง" ดู หนังสือ อัลมุฟร่อดาด ฟี ฆ่อรีบุลกุรอาน หน้า 471
2.ท่านอัลฟัยรูซฺอาบาดีย์ (817 ฮ.ศ.) กล่าวว่า
المكان : الموضع ، ج : أمكنة وأماكن
"มะกัน คือสถานที่ที่มีตั้งอยู่และแน่นอน พหูพจน์ คือ อัมกินะฮ์ และ อะมากิน" ดู หนังสือ อัลกอมูส อัลมุฮีฏ หน้า 1594
3.ท่านอัลลามะฮ์ อัลบายาฏีย์ อัลหะนาฟีย์ ( 1098 ฮ.ศ.) กล่าวว่า
المكان هو الفراغ الذى يشغله الجسم
" มะกัน คือ ที่ว่างที่ร่างกายต้องการอยู่กับมันและต้องพึ่งพามัน" ดู หนังสือ อิชาร๊อต อัลมะรอม หน้า 197
4. ท่านชัยค์ ยูซุฟ บิน สะอีด อัลซิฟะตีย์ กล่าวว่า
قال أهل السنة : المكان هو الفراغ الذى يحل فيه الجسم
"อะฮ์ลิสซุนนะฮ์กล่าวว่า มะกาน นั้นคือ ที่ว่างซึ่งสิ่งที่เป็นร่างกายอาศัยอยู่ในมัน" ดู หนังสือ หาชิยะฮ์ อัซซิฟะตีย์ นะวากิฏ อัลวุฏุอ์ หน้า 27
ฉนั้น"มะกัน คือ..สถานที่หรือตำแหน่ง ซึ่งมีมวลสารหนึ่งได้อยู่บนขนาดของมัน และทิศก็คือ.สถานที่บ่งบอกในสิ่งดังกล่าวนั้น" ดู ฟุรกอนุลกุรอาน ของท่านอัลบัยฮะกีย์ หน้า 62
ดังนั้น การถ่ายทอดคำนิยามของสถานที่จากบรรดานักปราชญ์ภาษาอาหรับและบรรดานักวิชาการนั้น คือหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ท่านนบี (ซล)และบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่าน เชื่อและศรัทธาว่า อัลเลาะฮ์ (ซบ)
ทรงมีโดยไม่มีสถานที่ พระองค์ทรงไม่อยู่บนบัลลังก์และไม่อยู่ในฟากฟ้าหรือบนฟากฟ้า
เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า อัลกุรอานนั้นถูกประทานลงมาด้วยกับภาษาอาหรับ ดังที่อัลเลาะฮ์ (ซบ)ทรงตรัสว่า
بِلِسَانٍ عَرَبيّ ٍمُّبِينٍ
"ด้วยภาษาอาหรับอันชัดเจน" อัชชุอะเราะ 195
ท่านนบี (ซล)เป็นผู้ที่รู้ยิ่งเกี่ยวกับ..ภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาเดิมของท่าน ดังนั้น สิ่งดังกล่าวจึงทำให้การยึดมั่นของพวกอัลมุญัสสิมะฮ์ด้วยกับความหมายแบบผิวเผินของบางอายะและบรรดาหะดิษที่มีความหมายคลุมเคลือต้องตกเป็นโมฆะไป
เพราะฉะนั้นบรรดาตัวอย่างนี้ จึงไม่ถูกเข้าใจแบบความหมายผิวเผิน ด้วยความเห็นพร้องของนักปราชญ์สะลัฟและคอลัฟ เนื่องจากพวกเขาศรัทธาว่า เป็นไปไม่ได้ที่อัลเลาะฮ์จะอยู่ในสถานที่
หลังจากที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็ประจักษ์แก่ท่านผู้อ่านได้รู้ว่า อัลเลาะฮ์ (ซ.บ)นั้น
-สำหรับพระองค์นั้น ไม่ได้อยู่ในสถานที่ใด ไม่ว่าจะเป็นบรรดาสถานที่สูงหรือสถานที่ต่ำ หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็แสดงว่าสถานที่นั้นได้ห้อมล้อมอัลเลาะฮ์ ( ซ.บ)
และเมื่อพระองค์ถูกห้อมล้อมด้วยสถานแล้วนั้น แน่นอนว่า...มันจะต้องมีขนาด และรูปร่าง
และนี่ก็ย่อมเป็นหนึ่งจากบรรดาลักษณะของวัตถุและบรรดามัคโลค การที่อัลเลาะฮ์(ซบ)ทรงมีคุณลักษณะหนึ่ง ด้วยกับคุณลักษณะของมนุษย์นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้สำหรับอัลเลาะฮ์ (ซบ)
ดังนั้น ถือว่าเป็นความถูกต้องในการศรัทธาของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่เชื่อในความบริสุทธิ์ของอัลเลาะฮ์ (ซบ) จากสถานที่และทิศโดยแน่นอน
สำหรับเรื่องของทิศนั้น
เป็นที่รู้ว้า พวกมุญัสสิมะฮ์(วะฮาบีย์บางกลุ่ม)ที่มีความเชื่อคล้ายกับพวกดังกล่าว ในยุคปัจจุบัน พยายามที่จะสร้างความสับสนให้กับผู้คนทั้งหลาย โดยพวกเขากล่าวว่า "อัลเลาะฮ์ทรงมี อยู่ในทิศหนึ่งที่อยู่ไกลโพ้นจากโลกนี้ หรืออยู่นอกโลก
ฉนั้น ก่อนที่เราจะชี้แจงข้อเท็จจริงกับสิ่งดังกล่าว เราก็ขอกล่าวถึงความหมายของคำว่าทิศตามทัศนะของนักปราชญ์ภาษาอาหรับและบรรดานักปราชญ์พอสังเขป
8.บรรดาอุลามาอ์ได้ให้ความหมายของ "ทิศ" ว่า
أن الجهة أطراف الإمتدادات
"แท้จริง ทิศ นั้น คือ บรรดาด้านต่างๆ ที่แผ่ไกลออกไปโพ้น" ดู หนังสือ ตุสตูรุลอุลามาอ์ เล่ม 1 หน้า 288 ตีพิมพ์ ดารุลกุตุบอัลอิลมียะฮ์
..นี่คือ อะกีดะของบรรดาผู้รู้ในอดีตที่พวกเขาเป็นชนส่วนใหญ่มีความเชื่อและศรัทธาแบบนี้ ซึ่งแตกต่ากับชาววะฮาบีย์อย่างเห็นได้ชัด
นูรุ้ลอิสลาม:
จริง ๆ ตามหลักการแล้ว เราต้องชี้แจงเรื่องอะกีดะฮ์ก่อนข้อปลีกย่อย แต่วะฮาบีย์พยายามเผยแพร่ปัญหาคิลาฟิยะฮ์ในเชิงข้อปลีกย่อย เพื่อโปรโหมตแนวทางของตนเอง โดยนำมาเป็นแกนหลัก ในการแบ่งแยกกลุ่มบิดอะฮ์และซุนนะฮ์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว วะฮาบีย์มีอะกีดะฮ์ที่บิดอะฮ์ แต่พวกเขาไม่ต้องการนำเสนอมาพูด เกรงว่าบิดอะฮ์ของตนเองจะโผล่ ;D
คนอยากรู้:
พี่น้องครับ
ดังนั้นเป็นที่รู้ดีว่า..ชาววะฮาบีย์ยะในเมืองไทยบางกลุ่มนั้นไม่เข้าใจในคุณลักษณะของอัลลอฮ์ จึงพยายามที่จะยัดเยียดความเข้าใจจของตนเองให้กับผู้คนเอาวาม โดยการอ้างถึงความเชื่อของคนสลัฟที่ตนคิดว่า มันสอดคล้อง กับแนวทางของตน
ฮาดิสหนึ่ง ที่ท่านนบีได้ถามผู้หญิงคนหนึ่งในการมีของอัลลอฮ์ ถึงการเชื่อว่าพระองค์อัลลออ์ทรงมีหรือไม่ และที่นางได้ชี้ ว่าอัลลออ์นั้นทรงอยู่เบื้องบนนั้น ซึ่งท่านนบีก็ไม่ได้กลบ่าวว่านางแต่อย่างใด นั้น
ฉนั้นการที่วะฮาบีย์บางกลุ่มเข้าใจว่า หลักฐานนี้ เป็นสิ่งยืนยันต่อหการมีที่อยู่ของอัลเลาะฮ์บนฟากฟ้านั้นเอง
การเข้าใจแบบนีร้ถือว่า ผิดพลาด และท่านนบีก็ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ด้วย แต่ความเป็นนบีที่ทรงฉลาด และมีไหวพริษ ท่านนบีก็ไม่ได้ว่ากล่าวนางตอบในสิ่งที่นางเข้าใจ..แต่สำหรับท่านนบีนั้น ท่านจะเข้าใจหรือปักใจเชื่อว่าอัลเลาะห์อยู่บนฟากฟ้าตามที่นางผู้นั้นเข้าใจกระนั้นหรือ .......ซึ่งเป็นไปไม่ได้..
เป็นที่ทราบดีว่า อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ไม่ทรงถูกกำหนดระยะเวลาและสถานที่อยู่..และไม่มีทิศทาง และไม่มีสถานที่สำหรับพระองค์และพระองค์ไม่ต้องการพึ่งพาสถานยที่เช่นเดียวกัน
ฉนั้น การเข้าใจในเรื่องนี้นั้น ต้องปราศจากสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และธรรมชาติที่ไม่ดีที่เกิดจากจิตใจอยู่ก่อนแล้ว อันเป็นผลทำให้เกิดความห่างไกลจาก พระองค์อัลเลาะฮ์ (ซ.บ.)
จากคำพูดที่ว่า
لَوْلاََمَياِدْينُ النُّفُوْسِ مَا تَحَقَّقَ سَيْرُ السَّائِرِيْنَ ، إِذْ لاَ مَسَافَةَ بَيْنَكَ وَبَيْنَهُ حَتَّى تَطْوِيَهَا ِرحْلَتَكَ ، وَلاَ قُطْعَةَ بَيْنَكَ وَبَيْنَهُ حَتَّى تَمْحُوَهَا وُصْلَتُكَ
" หากไม่มีสนามแห่งอารมณ์ใฝ่ต่ำของจิตใจแล้ว การเดินทางของผู้เดินทางก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีระยะทางระหว่างท่านกับพระองค์ จนพาหนะของท่านจะต้องตัดผ่านมันไป และไม่มีการตัดขาดระหว่างท่านกับพระองค์ จนการติดต่อสัมพันธ์ของท่านลบมันออกไป "
ดังนั้น ผู้ใดที่ทำการก็ตามที่มีความเข้าใจไม่ถูกต้องและกล้าสารภาพผิดในสิ่งที่ตนเข้าใจผิดพลาด ต่อคุณลักษณะและอัตมันของอัลเลาะฮ์ (ซ.บ.)สิ่งนั่นคือ เขากำลังการมุ่งไปสู่ความโปรดปราน และความพึงพอพระทัยของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.)นั้นเอง
แต่ถ้าหากเขายังมีตัวกั้นขวางที่มาจากความบกพร่องและความโสมมที่ใฝ่ต่ำโดยใช้สติปัญญาของเขามาตัดสิน แน่นอน คำว่า "การเดินทางไปสู่ด้วยการรู้จักคุณลักษณะของอัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) " ก็ไร้ความหมาย
เนื่องจากว่าตัวกั้นขวาง(ญิฮาบ)ระหว่างเขา นั้นมีอยู่ตลอด เขาก็ไม่สามารถเข้าใจในสิ่งนี้ได้..
อัลเลาะฮฺ(ซ.บ.) ทรงให้เกียรติแก่มนุษย์ ทรงสร้างเขาให้มีรูปทรงที่สวยงาม ทรงอำนวยประโยชน์แก่เขามากมายจากโลกนี้ และทรงประกาศความรักที่มีต่อเขาด้วยถ้อยคำที่สูงส่งอันนิรันดร์ ว่า
فَإِذَا سَوَّيْتُهُ وَنَفَخْتُ فِيْهِ مِنْ رُّوْحِىْ فَقَعُوْا لَهُ سَاجِدِيْنَ
" ต่อมาเมื่อข้าได้สร้างเขา(อาดัม) จนเสร็จสมบูรณ์แล้วและข้าได้เป่าวิญญาน (ที่ข้าเนรมิตขึ้นตามความประสงค์)ของข้า เข้าไปในตัวเขา ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลาย จงน้อมลงสุญูดให้เกียรติแก่เขาเถิด" อัล-ฮุจญรฺ 29
จากคำดำรัสของพระองค์นั้น จึงจำเป็นแก่มนุษย์ โดยยอมจำนนท์ต่อพระผู้ทรงสร้าง ด้วยความเป็นทาสบ่าว และต้องแสดงความเป็นทาสต่อพระองค์ด้วยการชูโกร กตัญญูรู้คุณต่อเนี๊ยะมัตต่างๆ ที่พระองค์ทรงประทานให้ และต้องอดทนต่อการกำหนดสภาวะของพระองค์เมื่อมีภัยมาประสบ และต้องคิดเสมอว่าคุณลักษณะของพระองค์นั้น จะไม่เหมือนและจะไมพึ่งพามัคโลกใดๆ
เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงสร้างสิ่งนี้มาก็ด้วยอำนาจของพระองค์ทีมี แม้ว่าพระองค์จะกล่วในอัลกรุอานหลายดองการด้วยกันว่าพระองค์สร้างมนุษย์จากมือก็ตาม แต่สิ่งนีเราจะไปเข้าใจว่าเป็นมือจริงตามเชิง๓ษานั้นก็ไม่ได้เช่นกัน แต่คำพูดของพระองค์นั้นเป็นกาลามุ้ลลออ์อย่างหนึ่งที่สามารถเปลี่ยแปลงได้ก็..อีกอย่างเพื่อเป็นการ..ง่ายในการสื่อความหมายของพระองค์นั้นเองกับมนุษย์
ดังนั้นเราอย่าได้เป็น กลุ่มที่คล้อยตามอารมณ์นัฟซูโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้ถึง และไม่อยากเรียนรู้ในคุณลักษณะของอัลเลาะ
ตามหลักการ ของ วาฮาบีย์นั้น ที่จะไม่ให้เยาวชนของเขาเรียนรู้ถึงซีฟัตของพระองค์เลย
เพราะเขาถือว่าเป็น..บิดอะในเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ยอมเรียนรู้เรื่องนี้นั้น มันคือบิดอะนั้นเอง
ที่ไม่รับรู้คุณลักษณะใดๆของพระองค์...ซึ่งอารมณ์ชั่วร้ายจะสามารถสร้างความคิดล่อลวงกับเขาได้..........
อัลเลาะฮฺได้ทรงตรัสยืนยันเอาไว้ว่า
فَرِيْقٌ فِيْ الْجَنَّةِ وَفَرِيْقٌ فِى السَّعِيْرِ
"มีบางกลุ่มที่อยู่ในสรวงสวรรค์และอีกบางกลุ่มที่อยู่ในนรก" อัชชูรอ 7
เมื่อ เราพิจรณาก็จะพบว่าวะฮาบีย์นั้น จะไม่ค่อยมีเกียตริณ.อัลเลาะห์ เพราะเขาตีค่าความเข้าใจในชาติและซีฟัตของพระองค์อย่าง..ไร้ค่า และไม่รับรู้มันด้วยกับนัฟซุที่ใฝ่ต่ำของพวกเขา....
..
อัลเลาะห์กล่าวว่า
مَا كَانَ اللهُ لِيَذَرَ الْمُؤْمِنِيْنَ عَلىَ مَا أَنْتُمْ عَلَيْهِ حَتَّى يَمِيْزَ الْخَبِيْثَ مِنَ الطَّيَّبِ وَمَاكَانَ الله ُلِيُطْلِعَكُمْ عَلىَ الْغَيْبِ
" หาใช่ว่าอัลเลาะฮฺจะทรงทอดทิ้งบรรดาผู้มีศรัทธาให้ประสบกับภาวะที่พวกเจ้ากำลังประสบอยู่ จนกว่าพระองค์จะแยกสิ่งโสโครก(คนเลว)ออกจากสิ่งที่ดี(คนมีอิหม่าน) และพระองค์จะไม่ให้พวกเจ้ารู้สิ่งที่เร้นลับ(คือสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของบรรดาบ่าวของพระองค์ว่า มีศรัทธาหรือไม่ )" อาละอิมรอน 179
จึงเป็นที่ทราบว่า ชาวอะลิสซุนนะนั้น เขาคือบรรดาผูที่ศรัทธาที่พระองค์จะไม่ทอดทิ้งให้พวกเขา...เข้าใจในสิ่งที่ผิดพลาดคุณลักษณะของพระองค์และพระองค์ จะทรง
แยกสิ่งที่โสกโครกออกจากสิ่งดี นั้นก็คือ ความคิดใฝ่ต่ำของบางกลุ่มที่ตีค่าของอัลเลาะห์แบบบิดเบือนและเบี่ยงเบน
วะฮาบีย์นั้นไม่แตกต่างอะไรกับ คนตาบอดหรือคนมีสมองแต่ไร้ความคิดและพิจรณา เขาละทิ้งอุลามะที่เก่งวและรอบรู้ เขาละทิ้งความรู้ อีหม่ามทั้ง4 ด้วยเหตุผลที่ อ้างว่า มัสหับนั้นเป็นบิดอะ เพราะอีหม่ามืทั้ง4 เป็นผู้ริเริ่มมัสหับขึ้นมานั้นเอง..
นี่คืออารมณ์ที่ใฝ่ต่ำของวะฮาบีย์และชาววะฮาบียะในเมืองไทย..ที่ทำลายคุณลักษณะของพระองค์อย่างไม่น่าให้อภัยยิ่งนัก และถือว่าเป็น..บิดอะทีร้ายแรง
คนอยากรู้:
จากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเราสามารถสรุปได้ว่า
เรื่องความเข้าใจในคำว่าบิดอะของ กลุ่มวะฮาบีย์นั้น พวกเขาเข้าใจผิดมาตลอด และเลยเถิดออกไปไกลกับความเข้าใจของผู้รู้ในอดีต
เป็นที่น่าสังเกตุว่า อุลามะของผู้ตักลีด ทั้ง4มัสหับไม่มีใครเลยที่ฮุกมว่า ...สิ่งใดก็ตามที่นบีไม่ได้กระทำ และถ้ามีใครมากระทำแม้ว่าจะเป็นสิ่งดีและไม่ขัดกับหลักคำสอนของศาสนา ...ทุกอย่านั้นคือบิดอะ.............
จะมีก็เพียงอุลามะของวะฮาบีย์เท่านั้นที่กล้าฮุกมกับบรรดาอุลามะของอัลเลาะที่พวกเขาทุ่มเทค้นคว้างานศาสนยาโดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆเป็นการตอบแทน..
แต่ถ้าเราพิจราณาด้วยความเป็นธรรมของนักปราชญ์ที่มีทัศนะต่อเรื่อง.นี้นั้นเราก็จะพบว่า
บรรดานักปราชญ์อิสลามให้คำนิยามของซุนนะฮ์ว่า "คือสิ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ได้พูดกระทำและยอมรับ"บรรดานักปราชญ์ไม่ได้นำการ "ทิ้งของท่านนบี"หรือ "การไม่ได้ทำ"ของท่านนบี(ซ.ล.)เข้าไปอยู่ใต้คำว่าซุนนะฮ์เนื่องจากว่ามันไม่ใช่ "หลักฐาน" ( دليل )เพราะฉะนั้น การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่กระทำ ย่อมไม่ใช่ซุนนะฮ์และนำมาเป็นหลักฐานไม่ได้
และบรรดาฮุกุ่มนั้นคือ (ขิฏ๊อบ)คำบัญชาของอัลเลาะฮ์บรรดานักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามกล่าวว่าฮุกุ่มก็คือ..สิ่งที่หลักฐานจากอัลกุรอานซุนนะอัลอิจญฺมะและกิยาสมาบ่งชี้ถึงมันโดยที่การละทิ้งหรือการไม่ได้กระทำนั้นก็ไม่ใช่หนึ่งจากสี่หลักฐานที่กล่าวมาดังนั้นการที่ไม่ได้กระทำจึงไม่ใช่ "หลักฐาน"ที่จะนำมาอ้าง
และการละทิ้งนั้นก็คือ...การที่ไม่ได้กระทำและการที่ไม่ได้กระทำก็หมายถึงการที่ไม่มี"หลักฐาน" ( دليل )มาระบุดังนั้นการละทิ้งหรือการไม่ได้กระทำนั้นย่อมไม่ได้ชี้ถึงฮารอมนอกจากมีหลักฐานมาบ่งชี้ชัดว่าฮารอมจากอัลกุรอานซุนนะอิจญฺมะและกิยาส
และการที่พวกเขาอ้างว่า สะละฟุศศอลิหฺไม่เคยกระทำมันและ"ไม่มี"หะดิษหรือร่องรอยมารายงาน..ในเรื่องดังกล่าวของการกระทำจากท่านนบี...แต่เขาลืมไปคิดไปว่า แม้ว่าการไม่มีร่องรอยการกระทำในอดีตมากก่อนก็ตาม ก้ไมใช้เป็นตัว ระบุห้ามจากการกระทำดังกล่าวเลยที่จะบอกว่าสิ่งนั้นเป็นบิดอะและเป็นฮารอม
บรรดาผู้รู้ยุคหลังๆ ของทัศนะวะฮาบียะบางกลุ่ม บางท่าน ได้เลยเถิดในการอ้างหลักฐานที่คลุมเคลือ
โดยทำการหุกุ่ฮารอมหรือกล่าวหาว่า สิ่งที่ไม่มีในสิ่งที่ไม่มีในสมัยท่านนบีนั้น...เป็นอุตรกรรมบิดอะฮ์ลุ่มหลงในเรื่องของศาสนา.ด้วยสิ่งที่ท่านนบี กล่าวว่า..
فإذا نهيتكم عن شيء فأجتنبوه ، وإذا أمرتكم بأمر فأتوا منه ما أستطعتم
"ดังนั้นเมื่อฉันห้ามพวกท่านจากสิ่งหนึ่งพวกท่านก็จงห่างไกลมันและเมื่อฉันใช้พวกท่านด้วยกับสิ่งหนึ่งพวกท่านก็จงทำมันเท่าที่พวกท่านสามารถ"รายงานโดยบุคคอรีย์และมุสลิม
.
วะฮาบีย์นั้นไม่ยึดตามคำพูดของอุลามะที่ขัดแย้งกับทัศนะตน ดังนั้นมันก็คือบิดอะที่เกิดขึ้นกับกลุ่มวะฮาบีย์ที่ปฏฺเสธผู้รู้ในทัศนะอื่นและในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับทัศนะตนเอง
ท่านชัยค์ อัลฆุมารีย์กล่าวว่า "การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ละทิ้งการกระทำสิ่งหนึ่ง หรือบรรดาสะละฟุสซอและหฺละทิ้งไม่ได้กระทำมัน โดยไม่มีหะดิษ หรือคำกล่าวรายงานของซอฮาบะฮ์ มาระบุห้ามสิ่งที่ถูกทิ้งนั้น มันไม่ได้หมายถึงฮะรอมหรือมักโระฮ์ทำสิ่งนั้น " (ดู หุสนุด ตะฟะฮฺฮุม วัดดัรกฺ หน้า 12ของท่าน ชัยค์ อัลฆุมารีย์ )
ดังนั้น การทิ้งการกระทำนี้ มีหลายประเภท อาธิ เช่น
ท่าน อบู อัลฟัฏลฺ อัลฆุมารีย์ กล่าวว่า
"การละทิ้งการกระทำเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีหลักฐานมาระบุว่าสิ่งที่ถูกทิ้งนั้นหะรอม ย่อมไม่เป็นหลักฐานชี้ว่าสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่หะรอม แต่จุดมุ่งหมายนั้นก็คือ การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งการกระทำดังกล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่อนุญาติให้ละทิ้งการกระทำได้ และส่วนการที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งการกระทำ ที่เป็นสิ่งที่หะรอมนั้น ไม่ได้หมายถึงว่า เพราะท่านนบี(ซ.ล.)ได้ละทิ้งมัน แต่เป็นเพราะว่า มีหลักฐานมาระบุถึงการห้ามต่างหาก "ดู หุสนุด ตะฟะฮฺฮุม วัดดัรกฺ หน้า 15
จากตัวอย่างที่เราได้กล่าวมานั้นเราจะเห็นว่าการที่ท่านนบีได้ทิ้งหรือไม่ได้กระทำสิ่งหนึ่งนั้นไม่ได้ชี้ถึงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ฮารอม
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นสามารถสรุปได้ว่า "การทิ้ง" (ไม่ได้กระทำ)มีสองประเภทใหญ่ๆคือ
1.การทิ้งที่มีจุดมุ่งหมาย ( ترك مقصود )ซึ่งนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามได้ให้สำนวนว่า "การละทิ้งเชิงการมี" ( الترك الوجودى )คือท่านนบี(ซ.ล.)ได้ทิ้งการกระทำสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้เคยมีการกระทำมันมาแล้วหรือท่านนบี(ซ.ล.)ได้หยุดกระทำกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งที่ท่านนบี(ซ.ล.)กระทำได้
2.การละทิ้ง(การกระทำ)ที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย ( ترك غير مقصود )ซึ่งนักปราชญ์มูลฐานนิติศาสตร์อิสลามได้ให้สำนวนว่า"การละทิ้งเชิงไม่มี" ( الترك العدمى )คือสิ่งที่ท่านนบีไม่เคยกระทำและไม่เคยกล่าวมันโดยที่ไม่ได้นำเสนอหุกุ่มออกมาเนื่องจากไม่มีความต้องการหรือมีนัยยะให้กับการหุกุ่มสิ่งดังกล่าว
ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วการทิ้งการกระทำที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย ( ترك غير مقصود )นั้นย่อมไม่เหมาะสมที่จะนำมาเป็น"หลักฐาน"( دليل )ได้ในแง่ของหลักการศาสนา
ในแง่หลักการของศาสนาก็คือคำตรัสของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ที่ว่า
وما أتاكم الرسول فخذوه وما نهاكم عنه فأنتهوا
"สิ่งใดที่รอซูลนำมาให้กับพวกท่านนั้นพวกท่านจงยึดมันและสิ่งใดที่ร่อซูลห้ามพวกท่านจากสิ่งนั้นพวกท่านจงก็ยุติ"อัลหัชรฺ
ฉนั้นวะฮาบีย์นั้นไม่เข้าใจในเรื่องบิดอะ แต่ขณะเดียวกันเขากลับเข้าใจในการบิดเบือนต่อความหมายของคำๆนี้ เท่านั้น
เปรียบสเมือนว่า มีคนตีกลองมาแต่ไกลแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าดังจากไหนและใครเป็นผู้ตี ..
ฉันใดก็ฉันนั้น บิดอะฉบับวะฮาบีย์นั้นยังคงมีตลอดตราบใดที่เขาเองไม่เข้าใจในนิยามคำว่า..บิดอะ ที่อุลามะเขาให้ความหมายว่า และตราบใดที่วะฮาบี..แปลความหมายคำๆนี้โดยอาศัยการเข้าใจของตนเองแล้วทำการฮุกมบรรดาอุลามะและผู้ที่ตามอุลามะว่า ตกนรก ตราบบนั้น ความขัดแย้งก็ยังไม่สิ้นสุด วัลอิยาซุบิ้ลลา
คนอยากรู้:
ดังนั้น ปัญหา การโจมตีหรือกล่าวหา ในเรื่อง บิดอะ ของวาฮาบีย์บางกลุ่มในเมืองไทย..ไม่ว่าในสื่อด้านใดก็ตาม ล้วนสร้างความ..สับสนให้กับผู้ที่ปฏิบัติคุณธรรมในมัสหับอัชชาฟีอี(รด)เป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะผู้ที่ตักลีด ตามอุลามะมัสหับชาฟีอี(รด) เช่น ท่าน อีหม่ามนาวาวีย์ อีหม่ามหะญัร อับดลุ บินสลามฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้ ได้เดินตามความเข้าใจตรงกับ อีม่ามชาฟีอี ที่กล่าวว่า บิดอะนั้นมี ...2ประเภท..
ซึ่ง ท่านอีม่ามชาฟีอี(รฮ)เองก็อ้าง ตามคำพูดของซอฮาบะของท่านนบี(ซล)คือท่านอุมัร(รด)อีกที
ในขณะเดียวกัน กลุ่มวะฮาบีย์บางกลุ่มในเมืองไทยนั้น นั้นกลับไม่ยอมรับในสิ่งที่ บบีรดาอุลามะของท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ) ที่พวกเขาเข้าใจว่า บิดอะนั้นถูกแบ่งเป็น 2 อย่างชัดเจนจึงถือว่า
ฉนั้น เราจึงสามารถสรุปการกระทำของชาววะฮาบียะในเมืงไทยได้ว่า..แท้จริงเขาเองนั้น ได้ฮุกมต่อซอฮาของท่านนบี(ซล)คือท่านอุมัร(รด)ด้วยเช่นกัน....
..ท่านอุมัรได้กล่าว เกี่ยวกับ(การรวม)ละหมาดตะรอวิหฺ ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"
หมายความว่า"การ(รวมตัว)ละหมาดตะรอวิหฺ(20 ร่อกะอัต)ในคืนร่อมาฏอนนี้ คือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเมื่อมีการกระทำขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิ่งที่กล่าวมา " และสายรายงานนี้ ซอเฮี๊ยะห์ ดู หนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์ เล่ม1 หน้า 468 - 469
เมื่อเป็เช่นนี้คำนิยามบิดอะฮ์นั้นก็ได้ถูกจำกัดความขึ้นจากความรู้ของบรรดาอุลามาอ์ซึ่งมีความเข้าใจตรงกัน
เช่นท่าน อิมามอัช-ชาฟิอีย์ (รด.)ท่านเองได้แบ่งมันออกเป็น 2 ประเภท.
คือ.สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ คำพูดที่ถูกรายงานมา และอิจญฺมาอ์ สิ่งนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
และ สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่จากคุณงามความดี ที่ไม่ขัดกับอันหนึ่งอันใด(ที่กล่าวมาแล้ว)นี้ และนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่โดยไม่ถูกตำหนิ
ท่านอิบนุ หัซมิน (ร.ห.) เสียชีวิตปี 456 ฮ.ศ.แม้ว่าในบางเรื่องท่านเองไม่เห็นด้วยกับท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)เช่น ในเรื่องผู้ที่ขาดละหมาดโดยเจตนานั้นท่านกล่าวว่าเขานั้นเปฌ็นก่าเฟรและท่านกล่าวว่า เมื่อขาดละหมาดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องชดใช้.ซึ่งในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นขัดแย้งกับทัศนะของอีหม่ามทั้ง 4 .แต่ตัวท่านนั้นสังกัดมัสหับชาฟีอี(รฮ)และบางครั้งก็มัสหับฮัมบาลี(รฮ)..แต่ในเรื่องความเข้าใจในคำนิยามว่า..
บิดอะนั้น ท่านเข้าใจในสิ่งที่ท่านอีม่ามชาฟีอีกล่าวอย่างชัดเเจ้ง..
ท่านอิบนุ หัซมินกล่าวว่า
"บิดอะฮ์ในศาสนานั้น คือทุกสิ่งที่ไม่เคยมีระบุไว้ในอัลกุรอานและในคำสอนจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) นอกจากว่าส่วนหนึ่งมีบิดอะฮ์ที่เจ้าของผู้กระทำจะถูกตอบแทนและได้รับการผ่อนปรนให้ทำตามได้ตามเจตนาอันดีงามของเขา ดังนั้น ส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ์ คือ สิ่งที่ผู้กระทำจะได้รับผลตอบแทน และมันจะเป็นสิ่งที่ดีโดยที่มีรากฐานเดิมที่อนุมัติให้กระทำได้ ตามที่ได้มีรายงานจากท่านอุมัร (ร.ฏ.) ว่า
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"
คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติความดีงามและมีตัวบทกล่าวไว้ อย่างคลุม ๆ ถึงการส่งเสริม(สุนัต)ให้กระทำ ถึงแม้ว่า การปฏิบัตินั้น จะไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในตัวบทก็ตาม และอีกส่วนหนึ่งเป็นบิดอะฮ์ คือสิ่งที่ถูกตำหนิและผู้ปฏิบัติตาม จะไม่ได้รับการผ่อนปรน นั่นก็คือสิ่งที่มีหลักฐานมายืนยันว่ามันใช้ไม่ได้และผู้ที่ปฏิบัติก็ยังคงยืนกรานกระทำมัน
...ดังนั้น ..การที่พี่น้องวะฮาบีย์บางกล่มในเมืองไทย ขึ้นเวทีปราศัยหรือโฆษณาตามสื่อสิ่งพิมต่างๆนั้นโดยโจมตีและกล่าวหาบิดเบือนต่อท่านว่า อุมัร(รด)ว่า ท่านไม่ได้กล่าวในสิ่งนี้
نعمت البدعة هذه
"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้" ..ซึ่งสิ่งที่ชัดเจนคือมันคือความจริงนั้นก็ยังวเป็นหลักฐานอยู่วันยังคำตามลายลักษณ์ตัวอักษรที่ท่านกล่าวไว้..ตลอดจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าวะฮาบียะบางกลุ่มจะบอกว่า สิ่งที่ท่านอุมัร(รด)นั้นกล่าวว่ามันคือเป็นการฟื้นฟู
นีคือตัวอย่างที่วะฮาบีเมืองไทยที่อ้างว่าเขาคือกลุ่มซุนนะที่น่านับถือ ซึ่งเขาอ้างนักหนาว่า เพราะกลุ่มเขานี้เองที่ยืนหยัดในการมั่นไว้โดยอัชซุนนะของท่านนบี(ซล)
ในความเป็นจริงพวกเขานั้รนคือตัวทำลายอัชซุนนะนบีอย่างชัดแจ้ง..และพวกเขานั้นเองที่กล้าฮุกมต่อบรรดาซอฮาบะบางท่านของท่านนบี(ซล)..ที่ยอมรับในสิ่งที่ท่านคุลีฟะอัรรอซัดีนกล่าว..และบรรดาซอฮาบะผู้ที่เห็นดีด้วยกับท่านอุมัร(รด)รวมทั้ง อุลามะที่โลกยอมรับจากทัศนะทั้ง4เช่นอีม่ามชาฟีอี(รฮปและบรรดาผู้ตามมัสหับของท่าน(ชาวชาฟีอียะทั้งหลาย)..
นี่ต่างหากเล่า ที่เป็น บิดอะดอลาละ ของวะฮาบีย์ ที่ศาสนาห้ามไว้
ดัง ที่เช่นท่าน อิมามอัช-ชาฟิอีย์ (รด.)ได้กล่าวไว้ว่า.
-สิ่งใดก็ตามที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ คำพูดที่ถูกรายงานมา และอิจญฺมาอ์ สิ่งนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง
...ตรงนี้เอง ที่ทัศนะวะฮาบีย์ได้อุตริกรรมขึ้น เพื่อมุ่งโจมตีกับบรรดาซออาบะของท่านนบีและอุลามะของมัสหับชาฟีอี..ซึ่งไม่มีมัสหับใดเขาทำกันและสนับสนุนในสิ่งที่ศาสนาได้ห้ามปรามไว้..วัลอิยาซุบิ้ลลามีนซาลิก..
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version