พี่น้องที่รักทั้หลายครับ
หลายๆอย่างที่เราได้ประสบและได้ค้นพบในผู้ที่มีทัศนะแบบวะฮาบีย์ หรือผู้ที่อ้างว่า ยึดตามกีตาบุลลอฮ์ซุนนะบี จริงไล้ว มีนเป็น แค่ลมปากของพวกเขาเท่านั้น หรือเพียงแค่ ท..เอาสโลแกนมาอิงเท่านั้น ..
ตัวอย่างข้างล่างนี้
สิ่งที่ผมจะนำมาบอกกับพี่น้องหลายๆคนที่ยังไม่เข้าใจของคนกลุ่มนี้ ที่มักอ้างว่า ตามซุนนะในความเป็นจริงแล้ว เขาคือกลุ่มที่ทำบิดอะดอลาละอย่างชัดแจ้ง..ไม่ใช่บิดอะหาซานะ.
....ซึ่งพวกเขานำมาเป็นหลักฐานในการปฏิบัติอ้ามั้ล ทั้งที่เป็นสิ่งที่ท่านนบีได้ตำหนิไว้ ว่า กุ้ลลูบิดอะดอลาละ..บิดอะที่ลุมหลงนั้นคือการหลงผิด
....กรณีศึกษาจากเวปมรดกฯ ครับ เรามาลองพิจารณาคำตอบของครูอะสัน ต่อไปนี้พร้อมๆกันครับ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่อง การเอามือกอด อกหลังเงยจากรุกั๊วะ ซึ่งไม่มีหลักฐานจากซุนนะฮ์ใดมาระบุเจาะจากอัลกรอ่านและอัลฮาดิสซักบทเดียวว่า "เมื่อเอี๊ยะติดาลเงยขึ้นมาจากการรุกั๊วะ ท่านนบีใช้ให้เอามือกอดอก"
ดูอีกครั้งครับ ที่คุณอิควานคนเดิมถามครูอะสันเจ้าเก่า
...การกอด-อกหลังเงยจากรุกัวะ เป็นทัศนะของอีหม่ามหรือเชคท่านใดบ้างค่ะ แล้วทัศนะของอุลามาอฺส่วนใหญ่เป็นอย่างไรค่ะ ขอบคคุณค่ะ
ครูอะสันตอบ โดยอ้างถึง.เช็คอิบนุอุษัยมีนกล่าวว่า .........
الذي يظهر أنّ السنة هو وضع اليمنى على ذراع اليسرى لعموم حديث سهل بن سعد الثابت في البخاري " كان الناس يُؤمرون أن يضع الرجل يده اليمنى على ذراعه اليسرى في الصلاة " فإنك إذا نظرت لعموم هذا الحديث " في الصلاة " ولم يقل في " القيام " تبيَّن لك أن القيام بعد الركوع يُشرع فيه الوضع ؛ لأنَّه في الصلاة تكون اليدان حال الركوع على الركبتين ، وفي حال السجود على الأرض ، وفي حال الجلوس على الفخذين ، وفي حال القيام ويشمل ما قبل الركوع وما بعد الركوع يضع الإنسان يده اليمنى على ذراعه اليسرى
هذا هو الصحيح
ที่ปรากฏชัดเจนว่า แท้จริงตามสุนนะฮนั้น คือ การวางมือขวาบนข้อศอกของมือซ้าย ตามความหมายกว้างๆ ของหะดิษ สะฮ บุตร สะอฺ ที่ปรากฏในอัลบุคอรี ระบุว่า "ปรากฏว่าบรรดาผู้คนได้ถูกใช้ คือ ให้วางมือขวาของเขาบนข้อศอกของเขา ข้างซ้าย ในละหมาด" ดังนั้น เมื่อท่านพิจารณาในความหมายโดยกว้างๆของคำว่า " ในละหมาด"(في الصلاة ) โดยไม่ได้กล่าวคำว่า "ในการยืน(في القيام ) ก็จะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ท่านว่า " การยืนหลังจากรุกัวะ ก็มีบัญญัติให้วาง(มือ)ในนั้น เพราะว่าในละหมาด ขณะที่รุกัวะ สองมือจะอยู่บนหัวเข่าทั้งสอง ,ในขณะสุญูด จะอยู่บนพื้น ,ในขณะนั่ง จะอยู่บนขาทั้งสอง และในขณะยืน โดยจะครอบคลุม สิ่งที่อยู่ก่อนรุกัวะและหลังจากรุกัวะ โดยวางมือขวางของเขาบนข้อศอกด้านซ้าย นี้คือ ความถูกต้อง
" الشرح الممتع " ( 3 / 146 ) .
จากตรงนี้ เราสรุปได้ว่า เมื่อตอนที่ยืนละหมาดหลังตักบีร สุนัตให้เอามือกอด - อก ตามที่มีหะดิษต่าง ๆ มากมายที่มาระบุในฮุกุ่มดังกล่าว แต่ไม่มีหะดิษสักตัวบทเดียวมาระบุเจาะจงว่า เมื่อเอี๊ยะติดาลเงยขึ้นมา สุนัตให้เอามือกอด - อก แต่บังอะสันกลับนำหลักฐานแบบ อุมูม (ครอบคลุมนำมาเสนอ) แล้วไม่ตรงกับประเด็นเรื่องเอี๊ยะติดาลเงยขึ้นมาจากรุกั๊วะด้วย ทั้งที่มีหลักฐานอื่น ๆ มากมายมาระบุเจาะจงว่า การยืนกอด - อก นั้น ตอนที่ยืนหลังทำการตักบีร แล้ว
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สิ่งผมมา นั้น ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า คำฟัตวาของเช็คอุษัยมีนและเช็คบิลบาซด้วย นั้นมันสำคัญกว่าซุนนะท่านนบี(ซล)ไปเสียแล้วหรือ ... ...
... ที่ผมยกประเด็นมาเป็นกรณีศึกษานั้น เพราะว่า บังอะสันได้ตอบคำถามไป โดยนำฟัตวาของชัยค์ อุษัยมีน โดยยอมรับหลักการในนั้น อันเนื่องจากว่า บังอะสันวะฮาบีย์ไม่ยอมรับในทัศนะของนักปราชญ์ส่วนใหญ่ที่เป็นทัศนะญูมฮูร ที่ "คุณอิควานคนเดิม" ถามมาด้วยนะครับ เพื่อยืนยันในทัศนะของตนเองที่มีต่อ
ญูมฮูร เหล่านั้น
แต่นี่กลับไม่ ดูซิครับพี่น้อง..อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับสำหรับวะฮ่าบีย์
และผมขอพูดต่อว่า..บิดอะวะฮาบีญืนั้นร้ายแรงกว่าที่คิด ไว้ ในเรื่องการละหมาดชดใช้เช่นกัน
...เวลามีหลักฐาน เปะๆจากท่านนบีที่กล่าวว่า "หนี้ของอัลเลาะฮ์สมควรชดใช้นั้น" ซึ่งบรรดาอุลามะต่างๆก็รู้ว่าในความหมายว่า หนี้ นั้นมันหมายถึงละหมาดด้วย...แต่ครูอะสันกลับละทิ้งมัน ไปเอาคำพูดของ อิบนุตัยมียะ
ซึ่งพวกเขาทำบิดอะโดยการไม่ยอมรับในสิ่งที่ท่านร้อซุ้ลนำมาบอกแล้วไม่ยอมรับที่เป็นวายิบจากมติของปวงปราชญืที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตน.............ซึ่งถ้าเราจะเรียก..ให้ตรงกับนิยามคำว่าบบิดอะแล้วก็คงไม่ผิด
ท่านนบี(ซล) กล่าวว่า...กุ้ลลู บิดอะดอลาละ ทุกบิดอะที่ลุ่มหลงนั้นคือการหลงผิด มาวันนี้วะฮาบีย์ล่มหลง ในคำพูดของท่านอิบนุตัยมียะอย่างตะอัสสุบที่ถูกฝังอย่างสุดลิ่มในหัวหมองของพวกเขา..