เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

บิดอะฮ์ของวาฮาบีย์

<< < (4/39) > >>

คนอยากรู้:

--- อ้างจาก: "asanmd" ---อัสสลามุอะลัยกุ้ม ท่านอาจารย์คนอยากรู้
    ยังไฟแรกเหมือนเดิมนะครับ :lol:  :lol:
--- End quote ---


วะอาลัยกุ้มมุสลิมครับ
ฮ้าๆๆไฟแรงครับ..แต่เอไฟแรกนี้เป็ยังไงครับ  ครู asanmd

al-azhary:
ยินดีต้องรับการมาเยือนของ บังอะสัน หมัดอาดัม ครับ :oops:

คนอยากรู้:
ฉนั้น   บิดอะ ที่ทัศนะของวะฮาบีย์คิดประดิษฐ์ขึ้นนั้นมีมากมาย ที่ บรรดาอุลามะทั้งอดีตและปัจจุบันไม่ยอมรับ...ในความคิดเห็นของอุลามะของพวกเขาก็ล้วนมีแนวคิดที่สอดคล้องกัน...

เป็นที่รู้ว่า การที่วะฮาบีย์ไม่ยอมรับ ในเรื่องซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลเลาะทุกประการนั้น

ก็ เพราะว่าทัศนะ วะฮาบีย์ไม่ยอมรับการตะวีลความหมายในอัลกรอานนั้นเอง


ดังนั้น   สิ่ง ท่านอีหม่าม อบูฮาซัน  อัลอัชฮารีย์ ซึ่งท่านเป็นอุลามะท่านหนึ่งที่ใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลที่อยู่ในยุค 300ปี.ที่ท่านนบี(ซล)ได้กล่าวถึง..ความประเสริฐของคนในยุคนั้น ไว้ในฮาดิสขิองท่าน..
ท่าน เสียชีวิต ฮศ.324

ท่านเป็นผู้ที่ได้รับแนวความรู้ มาจากบรรดาตาบีอีนตาบีอีนที่มีความรู้และเป็นคนดี และท่านยังเป็นอุลามะ ในมัสหับของอัชชาฟีอี(รฮ)และมีอากีดะแนว อาชาอิเราะ

ในการที่ท่านเรียนรู้และศึกษาคุณลักษณะของอัลเลาะจากสิ่งอัลลอฮ์ได้ บอกไว้ ในอัลกุอ่าน และให้เราได้รับรู้ คุณลักษณะและซีฟัตวายิบสำหรับพระองค์ 7 ประการนั้น

นอกจากนี้ ท่านนอีหม่าม อัล-มุติรีดียะเป็นอีกผู้หนึ่งที่ ส่งเสริมในเรื่องการเรียนรู้ บรรดาซีฟัตต่างๆจต่อจากท่านอะบูฮาซัน อัลอัชฮารีย์ จาก7 ประการเป็น13ประการ รวมทั้งหมด 20 ประการ เพื่อให้เราได้ศึกษาเข้าใจคุณลักษณะของอัลเลาะ(ซบ)เท่าทีสามารถ....  

แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ท่านทั้ง 2 ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้คุณลักษณะอัลลอฮ์นั้นจะจบเพียงแค่นี้ เหมือนบางทัศนะที่โจมตีมัศนะของเราว่า แนวคิดที่อันตรายและบิดเบือน

ในเรื่องนี้ ทางทัศนะวะฮาบียะถือว่า ท่านทั้ง2 นั้น  และรวมถึงผู้ตามหรือเรียนรู้ในส่งนี้นั้น
เป็นบิดอะเบี่ยงเบนจากอัลอิสลาม ดูหนังสือ หลัการศรัทธาอะลิสซุนนะเล่มสีเขียว แปลโดย นายมุฮำมัด เหมอนุกุล ซึ่งที่ไม่มีในสมัยท่านนบี  

..และจากตำราของวะฮาบีย์หลายเล่ม ก็พากันฮุกมแนวความคิดของท่านด้วยว่า เป็นบิดอะและฟาซิก บางก็ว่าเป็นมุนาฟิก



ก่อนอื่น เรามารู้จัก คำว่าบิดอะเสียก่อน  ว่า บรรดาอุลามะที่มีความรู้ในเรื่องนี้เขาให้ความหมายว่าอย่างไร

นิยามบิดอะฮ์ตามทัศนะของบรรดาอุลามาอ์

 บรรดาอุลามาอ์  ได้จำกัดคำนิยามคำว่า "บิดอะฮ์" ไว้มากมาย

 1. อิมามอัช-ชาฟิอีย์ (ร.ฏ.)

 สิ่งต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น  มี 2 ประเภท

(1)  สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่  ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์  คำพูดที่ถูกรายงานมา  และอิจญฺมาอ์  สิ่งนี้ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง

(2)  สิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่จากคุณงามความดี  ที่ไม่ขัดกับอันหนึ่งอันใด(ที่กล่าวมาแล้ว)นี้  และนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่โดยไม่ถูกตำหนิ

ท่านอุมัรได้กล่าว  เกี่ยวกับ(การรวม)ละหมาดตะรอวิหฺ ว่า

نعمت البدعة هذه

"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี  คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"

หมายความว่า"การ(รวมตัว)ละหมาดตะรอวิหฺ(20 ร่อกะอัต)ในคืนร่อมาฏอนนี้  คือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  และเมื่อมีการกระทำขึ้นมาแล้ว  ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิ่งที่กล่าวมา "  และสายรายงานนี้ ซอเฮี๊ยะห์   ดู  หนังสือ มะนากิบ อัช-ชาฟิอีย์  เล่ม1 หน้า 468 - 469

 ท่านอบู นุอัยม์  ได้นำเสนอรายงานอีกสายรายงานหนึ่ง  ไว้ในหนังสือ  หิลยะตุลเอาลิยาอ์  เล่ม 9 หน้า 113  ว่า

 "ท่านอิมามอัช-อัชชาฟิอีย์  กล่าวว่า  บิดอะฮ์นั้น  มี 2  ประเภท

1.บิดอะฮ์ที่ถูกสรรเสริญ  ดังนั้น  สิ่งที่สอดคล้องกับซุนนะฮ์  ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกสรรเสริญ  
2.บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ  และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์  ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกตำหนิ

 และอิมามชาฟิอีย์  ได้อ้างหลักฐานด้วยคำกล่าวของท่านอุมัร(ร.ฏ.) เกี่ยวกับ ละหมาดตะรอวิหฺในเดือนรอมฏอนที่ว่า

  نعمت البدعة هذه

"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี  คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"

คนอยากรู้:
3.  อิมาม อัลอิซฺซุดดีน  บิน อับดุสลาม  เสียชีวิตปี 660 ฮ.ศ.

 ท่านกล่าวว่า "บิดอะฮ์คือสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนในยุคสมัยของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)  และมันก็ถูกแบ่งออกเป็น  บิดอะฮ์วายิบ  บิดอะฮ์หะรอม  บิดอะฮ์สุนัต  บิดอะฮ์มักโระฮ์  และบิดอะฮ์มุบาห์"

และวิถีทางที่จะทราบถึงสิ่งดังกล่าวก็คือ  การนำเอาบิดอะฮ์ไปวางไว้บนหลักเกนฑ์ต่าง ๆ ของชาริอะฮ์ (เกาะวาอิดอัชชะรีอะฮ์) เพราะถ้าหากบิดอะฮ์ได้เข้าไปอยู่ในหลักการต่าง ๆ ที่เป็นวายิบ  มันก็เป็นบิดอะฮ์วายิบ

 และหากมันเข้าไปอยู่ในหลักการที่หะรอม  ก็เป็นบิดอะฮ์หะรอม  และหากมันเข้าไปอยู่ในหลักการต่าง ๆ ที่สุนัต  ก็เป็นบิดอะฮ์ที่สุนัต  และถ้าหากมันเข้าไปอยู่ในหลักการที่มักโระฮ์  ก็เป็นบิดอะฮ์มักโระฮ์  
และถ้าหากมันเข้าไปอยู่ในหลัการที่มุบาห์  ก็เป็นบิดอะฮ์มะบาห์

และนี่คือ ตัวอย่างของ..บิดอะฮ์ที่หะรอม เกี่ยวกับมัสหับต่างที่ออกจากอัลอิสลาม

(1)  มัซฮับอัลก๊อดรียะฮ์

(2)  มัซฮับอัลญับรียะฮ์

(3)  มัซฮับอัลมุรญิอะฮ์

(4)  มัซฮับอัล-มุยัสซิมะฮ์ !!! (พวกที่เชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีคุณลักษณะคล้ายหรือเหมือนกับมนุษย์และสิ่งที่ถูกสร้าง  เช่นพวกเขากล่าวว่า อัลเลาะฮ์ทรงนั่งสัมผัสอยู่บนบัลลังก์  อัลเลาะฮ์มีการเคลื่อนย้ายจากฟากฟ้าชั้นบนมาสู่ชั้นล่าง  เชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงมีมือที่อยู่ในความหมายที่มนุษย์เข้าใจกันทั่วไป  เป็นต้น)

ความเชื่อเช่นนี้ มีในมัสหับชีอะเป็นส่วนมากเพราะพวกเขามีแนวทางวการศรัทธาคล้ายกับ พวกมุตะซ๊ละ  ...แต่ในทัศนะวะฮาบีย์นั้น บ่างครั้งอากัดะของเขาก็มีสิ่งเหล่าสนี้มาปะปน

และบางที่บิดอะฮารอมนั้น อาจจะจัดรวมกับ...พวกชีอะในปัจจุบันก็เป็นไปได้..

คนอยากรู้:
มื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พี่น้องทั้งหลายครับ...สิ่งที่ทัศนะใหม่ ยึดเดินตามความคิดอุลามมะในสายของเขาเพียงอย่างเดียว โดยปัดความรู้ของอุลามะในทัศนะอื่นนั้น มันเป็นการบังควรรู้ไม่

บิดอะดาลาละอีกอย่างหนึ่งในทัศนะของวะฮาบีย์ที่ผมจะกล่าวคือ

บิดอะที่เขานั้น ปฏิเสธิหรือไม่ยอมรับการมุตะญิดอิตญาด บางอย่างของ ท่านอีหม่ามทั้งบรรดาของอุลามะใน มัสหับดังกล่าว ด้วยเหตุผลที่เขาอ้างว่า

-อุลามะ ไม่ใช่อัลลออฮ์และรอซุ้ล
-อุลามะไม่มีสิทธิชี้ขาดในปัญหาศาสนา
-อุลามะไม่ใช่เป็นผู้กำหนดเรื่องวฮุกมต่างๆในศาสนา
-อุลามะไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังในสิ่งที่เขาพูด
-อุลามะนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มมีสิทธิชี้นำ.ในปัญหาศาสนา

ที่กล่าวมานี้ ล้วนชี้เราเห็นและพอสรุปได้ว่า  ทัศนะใหม่หรือทัศนะวะฮาบีย์นั้น ปฏิเสธความการออกความเห็นใดๆบรรดาผู้รู้ หรืออุลามะ โดยเฉพาะสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับแนวทางของตนแล้ว เขาจะไม่รับและปรับทัศนะใดต่อมัสหับนั้นๆ

พี่น้องทั้งหลายครับ  
แท้จริง อำนาจและปรีชาญาณต่างๆและมหาบริสุทธิ์นี้เป็นของพระองค์เพียงผู้เดียว..ซึ่งเราไม่สิทธิใดๆในการเรียกร้อง เว้นแต่ พระองค์จะทรงเมตตา....

และตัวอย่างที่ผมยกมานี้ เพียงอยากจะบอกและสื่อให้พี่น้องต่างมัสหับได้รู้ว่า

 บางข้อความในอัลกรุอ่านนั้นมีทั้งข้อความที่ชัดเจน ที่เมื่อศึกษาหรืออ่านแล้วก็สามารถที่จะทำความเข้าใจได้โดยพื้นฐานและสติปัญญาที่อัลลอฮ์(ซบ)ให้มาโดยไม่ต้องตีความใดๆ และส่วนข้อความที่มีความหมายคลอบคลุมหรือยากในการตีความนั้น ซึ่งมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆท่านๆที่ไม่มีความรู้หรือคนอาวามนั้น ไม่มีความสามารถที่ทำความเข้าใจได้

โดยต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ในวิชชาการด้านๆนั้น และมันก็ไม่พ้นบรรดาผู้ที่ทุ่มเทและเสียสละในการศึกษาหาคำตอบในข้อความนั้น

---หลังจากพ้นยุคท่านนบีไปแล้ว ถัดมาก็ยุคของ คอลีฟะทั้ง4 รวมทั้งซอฮาบะที่ที่พระองค์ฯสั่งให้ท่านนบีมาบอกและให้การรับรองว่าได้เข้าสวรรค์ ซึ่งมีมากกว่า10 ท่านทั้ง ซอฮาบะ ผู้หญิงและผู้ชาย
 
นั้นก็คือ บุคคลที่เคยอยู่คียงข้างกับท่านนบีไม่ว่าในสนามรบหรือนอกสนามรบซึ่งมีมากมายและหลายวัยวุฒิด้วยกัน และเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นซอฮาบะที่ปฏิบัติตามคำสอนคำใช้จากอัลกรุอ่านและถือแบบฉบับความเป็นอยู่เฉกเช่นท่าน นบีมาตลอด หมดจากยุค ซอฮาบะ บรรดาผู้ที่เกิดมาทันยุคซอฮาบะก็คือ ตาบีอีน ซึ่งก็ได้ถ่ายทอดและยึดการกระทำต่อๆกันมาจนถึงยุค ตาบีอิต ตาบีนหรือจนถึงยุคของสลัฟ -----

 อัลลอฮ์(ซบ)นั้น ไม่เคยที่จะละทิ้งบ่าวของพระองค์ให้อยู่อย่างไร้สาระเลย โดยในแต่ละยุคนั้นพระองค์จะต้องส่งคนที่มีความรู้ความสามารถเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้ทำหน้าที่แจกแจงแตกต่างกันไป โดยเฉพาะคำดำรัสของพระองค์ในคัมภีร์นั้นที่มีบางข้อความในสมัยท่านบีหรือสมัยซอฮาบะอาจจะยังไม่เกิดข้อพิพาทกับเหตุการณ์ที่พระองค์ให้เกิดขึ้น

ดังนั้นคนไม่มีความรู้ไม่สามารถชี้แจงได้ นั้นจำเป็นต้องพึ่งพา ผู้ที่มีความรู้มากกว่าตน ซึ่งในอายะในกรุอานก็มีบอกแลฃะเตือนเราเสมอว่า และเมื่อเจ้าสูไม่รู้ ดังนั้นเจ้าจงสอบถามผู้รู้เถิด และแน่นอนเหลือเกินว่าบคลลเหล่านั้นต้องเป็นผู้รู้ที่พระองค์ตักดีร์หรือต้องการให้เขาได้เข้าใจกับสิ่งนั้นที่คลุมเครืออยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้หาหมายถึงว่า ศาสนาของพระองค์ไม่สมบูรณ์หรือว่าท่านบีบกพร่องแต่อย่างใดไม่ แต่เราต้องยอมรับว่าปัญหาหรือเหตุการณ์บางอย่างนั้นไม่มีในสมัยท่านนบี ดังนั้นเมื่อสิ่งนั้นที่มันเกิดขึ้นหลังยุคท่านนบี ยุคซอฮาบะทั้ง4 ยุค ซอฮาบะ ยุคตาบีอีน ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

พระองค์ก็ไม่ได้จำกัดคนเก่ง แต่อย่างใด แต่ก็ไมใช่ว่า..เราผู้ตามมัสหับจะ เอาเขาเหล่านั้นจะเทียบเป็นภาคีต่อท่านนบีของอัลลออ์ แต่อย่างใด ก็หาไม่

 เพราะนบีนั้นเป็นผู้ทมี่ได้รับการเลือกเฟ้นจากพระองค์ และท่านเป็นผู้มะซูม

 แต่บุคคลหลังจากท่านนั้นย่อมมีทั้งผิดและถูก(อุลามะ) ตราบใดที่อัลลอฮ์ทรงสร้างคนกอรามัตในวิชานั้นๆที่ตามความประสงค์ พระองค์ก็ย่อมมีความสามารถจะสร้างบรรดาผู้ที่มีความรู้เก่งๆได้ซึ่งมีเห็นจนถึงปัจุบันนี้

แม้ว่าจะเป็นคนต่างศาสนิก ซึ่งชำนาญในวิชาการด้านใดๆก็มีเยอะเเยะไป

ดังนั้นความเมตตาของพระองค์ในโลกนี้ไม่สิ้นฉันใด ริสกีของมนุษย์ก็ไม่สิ้นสุดด้วยฉันนั้น

ซึ่งเป็นที่ก็ยอมรับแล้วว่า สติปัญญาแต่ละคนนั้นยอมไม่เท่าเทียมกัน

ดังนั้น อัลลอฮ์(ซบ)ผู้ทรงเมตากรุณายิ่งและทรงรอบคอบในการรักษาศาสนาของพระองค์ ให้ยาวนานจนถึงยุคสุดท้าย ด้วยพระประสงค์ของพระองค์ที่ต้องการ(ตักดีร์)ให้เกิดผู้ทีมีความรู้ที่ดีเลิศในแต่ละยุคมาโดยไม่ว่างเว้น เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้ค้นคว้าหาความจริงในสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในคัมภีร์และศึกษาถึงพลานุภาพของในวิชาการของพระองค์ในแต่ละทัศนะนั้นเขาต่างดึงหลักฐานมาจากตัวบทอัลกรุอ่าน มาเป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่มีหรือหาไม่พบ ก็เอามาจากคำสอน(อัลฮาดีส)ของท่านนบี มาเป็นหลักฐาน

เช่น คำสั่งในอัลกรุอานบางตอนที่กล่าวถึงสิ่งมึนเมาทีว่า ----จงกล่าวเถิดว่า สิ่งมึนเมาทั้งหลายนั้น เป็นสิ่ง ฮาราม----

คำว่า...สิ่งที่มึนเมานี้.. มันเป็นอย่างไรละ ก็เมื่อ เหล้า กัญชา เฮโรอีน ฯลฯเหล่านี้ ก็คือ สิ่งที่ทำให้มึนเมา และใน เนือสัตว์บางชนิดทั้งในทะเล และบนบก ที่ไม่มีห้ามรัปทานในอัลกรุอานและคำสอนของท่านนบี ยังทำให้มึนเมา อาเจียน ก็มากมาย ในยอดไม้หรือผักบางชนิดเมื่อรับประทานไปแล้ว มันก็ยังทำให้มึนหัว ถึงขนาดเป็นลมเป็นแล้งและออกอาการเป็นไข้ก็มี

ในขณะที่บางคนไม่มีผลกระทบอะไรกับสิ่งเหล่านั้น...อยากถามว่าส่งเหล่านี้มันไม่เคยเกิดในสมัยท่านนบี และความแตกต่างด้านภูมิศาสตร์นั้นไม่สามารถนำมากิยาสหรือเปรียบเทียบได้เพราะเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดในสมัยซอฮาบะสมัยตาบีอีน สมัยตาบีอิตตาบีอีนและยุคสลัฟนั้นมัน ไม่มีในสมัยท่านนบีเลย ดังนั้นการที่เหล่าบรรดาซอฮาบะหรือผู้รู้ ในยุคต่างหลังท่านนบี ที่เขาวินิจฉัยหรือตีความแล้วนำมากิยาส มันเท่ากับว่าที่ผลงานของผ๔เร้เหล่านั้นมันผิดหมด เพราะตราบใดที่มีบางทัศนะอ้างว่า ที่ท่านกระทำอยู่นั้น เป็นสิ่งผิด  สิ่งนี้เท่านั้ยที่ถูก

เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้ว ..ความคิดเห็นของท่านผู้รู้เหล่านั้น..ก็โดนปฏิเสธทันที เพราะเมื่อมีผิดมีถูก...เช่น การยกมือละหมาดซุบฮิ ที่พี่น้องในทัศนะของอัชชาฟีอี ปฏิบัติกันมานาน

แล้วจู่ๆมีบุคคลหนึ่ง บอกว่าที่ท่านทำมานั้น ผิดและหลงทางนั้น ..

อยากทราบว่า  คำพูดเช่นนี้สมควรหรือไม่ ในการตัดสินปัญหาบางประเด็น ในเรื่อง.คีลาฟ

ในที่สุด ผู้ที่เคยปฏิบัติสิ่งนั้นมาก็ชักไม่แน่ใจ ในสิ่งที่ผู้รู้ในทัศนะของตังเองชี้นำ จนถึงกับละทิ้งและยอมรับว่า ที่ตัวเองกระทำมานั้น ผิด จริง ..

เมื่อเป็นดังนี้ ก็แสดงว่า บรรดาผู้รู้หรือเจ้าของมัสหับหรือบรรดาผู้รู้ในมัสหับเหล่านั้น ก็เสนอในสิ่งที่ผิดมาให้กับเขามาตลอด..ใช่หรือไม่..

ฉนั้น มันจึงเป็นดาบสองคมในการที่มีบางคนไปฮุกม ต่อ ผลงานการวินิจฉัยของอีกทัศนะหนึ่งว่า..ผิดหรือบิดอะ..ผมจึงขอบอกว่า จงยอมรับในสสิ่งที่เขาผู้รู้มากกว่าเรากระทำเถิด เพราะเรานั้นไม่สามารถชี้ผิด-ถูกได้อย่างชัดเจน แต่การที่ใครออกความเห็นในเรื่องใดๆ และแนะนำว่า สิ่งนั้นถูกผิด นั้น ...จริงๆแล้วเขาก็ยึดเอาทัศนะของตัวเองนั้น..แหละในการตัดสิน..เช่นกัน

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version