เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
บิดอะฮ์ของวาฮาบีย์
คนอยากรู้:
วกกลับมาเรื่องปัญหา บุหรี่ ที่ผมนำมาเป็นกรณีศึกษา
ใน สมัยท่านนบีนั้น บุหรีแบบปัจจุบันนั้นไม่มี และเมื่อไม่มีสิ่งนี้เป็นตัวอย่างให้เราไว้เป็นหลักฐาน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้เราๆท่านๆที่ไม่ความรู้ทำอย่างไรดีละครับ
จะฮูกมกันอง หรือว่าจะให้อุลามะเป้นผู้ฮุกมดีละครับ ก็ในเมื่อไม่มีบุหรีอย่างปัจุบันในสมัยท่านบี
ซึ่งจะฮุกมว่า ฮาราม ห้ามกินหรือฮาลาลให้ก็ไม่ได้
เพราะมันไม่มีให้เปรียบเทียบให้เห็นนี่ครับ
หรือจะให้เราๆท่านการออกความเห็นกันเอง ได้หรือครับ
ดังนั้น ปัญหาบ่างอย่าง มันต้องอาศัยบรรดาผู้รู้หรืออุลามะ นี้แหละที่สามารถวินิจฉัยในเรื่องดังลกล่าวได้ว่า บุหรี่ในปัจจุบันนี้ เข้าข่ายของมึนเมาหรือไม่ และมึนเมาระดับไหน ขาดสติเลยหรือว่ายังครองมีสติ ได้หรืไม่ อย่างไร
ดังนั้น เมื่อมาถึงยุคสลัฟของอีหม่ามทั้ง 4 ซึ่งต่างก็วินิจฉัยซึ่งก็ไม่พ้นการกิยาสหรือการอนุมาน
คำนี้ออกมา ซึ่งพี่น้องก็รู้อยู่แล้ว ใมสหับทั้ง4 นั้นฮูกมออกมาไม่เหมือนกัน บางทัศนะบอกว่า
บุหรี่นั้น อันตราย และเป็นของมึนเมา มากและเป็นสิ่งเสพติดเป็นต่อร่างกายเลย ฮูกมออกเป็น ฮาราม
แต่บางทัศนะอ้างว่า ..บุหรี่นั้นมีอันตรายน้อย และสามารถเลิกได้ เลยฮุกมเป็นแค่ มักโระ
ตัวอย่างเหล่านี้ถามว่า.. บรรดาผู้รู้ทั้งหลายไม่ว่ายุคซอฮาบะจนถึงยุคสลัฟนั้นที่ บอกว่า ฮารามบ้างมักโระบ้าง เขาผิดหรือไม่.
และอีกตัวอย่าง
จากฮ่าดีสที่รายงานบันทึกจาก ท่านบุคอรีย์ ที่ว่า -----ท่านอบูฮูรอยเราะ(รด)กล่าว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ตรัสว่า...เมื่อบุคคลใดอาบน้ำละหมาด ก็จงสูดน้ำเข้าจมูก แล้วสั่งออก และบุคลลใดทำการชำระด้วยก้อนหิน ก้จงทำเป็นจำนวนคี่และเมื่อบุคคลใดตื่นนอน ก็จงล้างมือของเขา 3 ครั้ง ก่อนที่จะเอามือจุ่มลงในภาชนะ เพราะไม่มีใครรู้ว่า มือของเขาได้ค้างแรมอยุ่ที่ไหน
และจากท่าน มุสลิมก็เช่นกัน -----ท่านอบูฮูรอยเราะ(รด)กล่าวว่า.. ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ตรัสว่า...บุคคลใดอาบน้ำละหมาด ก็จงสูดน้ำด้วยรูจมูก หรืออีกรายงานของท่านหนึ่งว่า ก็จงสูด แล้วสั่งออก และบุคคลใดทำการชำระด้วยก้อนหิน ก้จงทำเป็นจำนวนคี่และเมื่อบุคคลใดตื่นนอน ก็จงล้างมือของเขา 3 ครั้ง ก่อนที่จะเอามือจุ่มลงในภาชนะ เพราะไม่มีใครรู้ว่า มือของเขาได้ค้างแรมอยุ่ที่ไหน ซึ่งรายงานสอดคล้องกันทั้งบุคอรีย์และมุสลิม
---ความหมายนี้โดยสรุป ว่าอิสลามนั้นได้สอนมารยาทไว้อย่างดีดดยมีเป้าหมายให้ประกรอยุ่กันอย่างมีความสุข และสุขภาพดี ดังนั้นคำว่า..ผู้ใดอาบน้ำละหมาด ก็จงสูดน้ำเข้าจมูก แล้วสั่งออก อย่างน่มนวล และหากใช้ก้อนหินเช็ดเพื่อชำระปัสสวะหรืออุจาระนั้น ก็ให้ทำเป็นจำนวนคี่จนสะอาด หรือเมื่อตื่นนอนก็จงล้างมือก่อน3ครั้ง ก่อนจะจุ่มมือลงในภาชนะทีมีน้ำ เพื่อเอาน้ำละหมาด เพราะขณะนอนนั้นเราไม่รู้สึกตัว และคำว่าค้างแรมนั้น ก็ต้องอาศัยความหมายจากผู้มีความรู้ว่ามันหมายถึง มือของเรานั้นมันไม่รู้ไปกระทบหรือจับในส่วนไหนของร่างกาย แต่ถ้าไม่ตีความหรืออ้างตามตัวอักษรก็จะ ไม่เข้าใจว่าว่าเอามือไปพักแรมหมายถึงอะไร---
-
1.ในเรื่องการอาบน้ำละหมาดนี้โดย..สูดน้ำเข้าจมูกนั้น แนวทางของอีหม่ามอะหมัด ถือว่าเป็นวายิบโดยอ้างถึงฮาดีสว่าเป็น ....คำสั่ง...
แต่นักวิชาการที่เหลือส่วนใหญ่ถือว่า เป็นสุนัติ โดยอ้างถึง...บางฮาดิสที่ไม่ได้เจาะจงหรือบังคับในเรื่องนี้..ซึ่งถือว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น
2.เรื่องจำนวนคี่ในการเช็ดด้วยก้อนหินนั้น ท่านอีหม่ามฮานาฟี(รด)และท่านอีหม่ามมาลีกี(รด)
ถือว่าไม่บังคับได้บังคับในจำนวนอาจจะเป็นคี่1หรือ 3 หรือ5 ก็ได้ แต่ส่วนท่านอีหม่ามชาฟีอีและอีหม่ามฮัมบาลี(รด)ถือว่า อย่างน้อยต้อง 3 ครั้ง และถือว่าเป็นวายิบ
3.การล้างมือหลังจากตื่นนอนนั้น อีหม่าฮับาลีถือว่าเป็นวายิบ โดยที่ท่านอ้างและตีความหมายคำที่ว่า ---ไม่มีใครรู้ว่า มือของเขาไปค้าแรมอยู่ที่ไหน.---และต้องเป็นเวลากลางวันคืนเท่านั้น...
ส่วนนักวิชาการที่เหลือหรือส่วนใหญ่(ญุมฮุร)ถือว่าเป็นสุนัติเท่านั้น โดยที่ท่านเหล่านั้นถือว่าเป็นคำสั่งที่สนับสนุนที่สื่อให้เห็นว่าการล้างมือนั้น เป็นเพียงสุนัต ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ เพราะคำว่า ไม่มีใครรู้นั้น คือเเหตุผลที่คลุมเคริอ และเพียงสงสัยถึงหรือคาดคะเเนการกระทำของบุคคลนั้นๆเท่านั้นเอง
และที่เขากิยาสหรือวินิจฉัยไปนั้นเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร หรือเพื่อบารมีและเกียรติของตัวเอง
หรือเพื่อความสะดวกในศาสนาของประชาชาติของท่านนบี (ซล) และแก้ปัญหาทางตันในประเด้นของศาสนา
ฉนั้นผู้ที่ปฏิเสธบางทัศนะทที่ว่า อุลามะนั้นไม่จำเป็นในการยึดถือตามในความคิดเห็นของเขานั้น ดดยสิ่งเขากล่าวออกมาบ่อยครั้ง ในการต่อต้านความเห็นของบรรดานักวิชาการเหล่านั้นคือ เขากล่าวว่า ผู้ที่ตามคำวินิจฉัยของบรรดผู้รู้หรืออุลามะนั้น เท่ากับ เขาก้าวลำหน้าอัลลออ์และรอซุ้ลของเขา วัลอิยาซุบิ้ลลา...
การพูดเช่นนี้ ของทัศนะวะฮาบีย์นั้นถือว่า เป็นบิดอะดอลาละ อย่างน่าเกลียด
ทั้งที่ ในอัลกรอานและอัลฮาดิสก็ไม่เคยสอนให้เราปฏิเสธความรู้ของบรรดาผู้รู้ที่เขามีความรู้มากกว่าเราเลย..แต่มี เฉพาะวะฮาบีย์เท่านนั้นที่กล้าละทิ้งในสิ่งนี้...
--------------------------------------------------------------------------------
คนอยากรู้:
ในบางครั้ง ผู้คัดค้านและเชิงตั้งคำถามกับเราในการตามทัศนะว่า..
ท่านอิหม่ามทั้ง4 เขาเคยสั่งให้คุณตักลิดไหม.
ซึ่งคำถามแบบนี้ เป็นคำถามของผุ้ที่โง่ และเขลาในปัญญา เรื่องทัศนะนั้นเราๆท่านๆก็รู้ว่าไม่มีใครบังคับให้ต้องจำกัดในแนวหนึ่งแนวใด แต่จงเลือกจากทัศนะที่ท่านนั้นสามารถปฏิบัติได้ โดยไม่ยากลำบาก
เป็นที่น่า รังเกีจยที่เขากล่าวว่า พวกมีที่ตามทัศนะนั้นเปรียบเหมือน พวกบาทหลวงชาวคัมภีร์ได้
โดยเหตุผลที่เขากล่าวว่า หากพวกเราเชื่อว่าหุกุมที่เกิดจากการอิจญติฮาดของอิหม่ามทั้งสี่ ที่ไม่มีในอัลกุรอ่านและหะดิษ แล้วพวกคุณเอามาเทียบกับหุกุมอัลลอฮและรอซูล ในด้านที่ว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตาม พวกคุณก็คือ ผู้ที่ยกเอาอิหม่ามทั้งสี่นั้นเป็น ชุเราะกาอ(ภาคี)กับอัลลอฮ
--จากคำพูดข้างบน ที่เราได้นำบทสนทนาที่ผ่านมา..จะชี้เห็นว่าทัศนะวา.ฮาบีย์นั้นจะปฏิเสธในความเห็นหรือการมุตญิดอิตติญาตใดของบรรดาผู้รู้นั้นๆ
ดังข้างถามข้างล่างที่เขาถามเราว่า หุกุมของอิหม่ามทั้งสี่ทีไม่มีในอัลกุรอ่านและหะดิษ วาญิบต้องปฏิบัติตามไหม ? ให้มาด่วน
ซึ่งเราก็ได้ชี้แจงและตอบแบบสรุปๆว่า บรรดาอิมามห้าม บรรดาสานุศิษย์ของท่านที่เป็นมุจญฮิดในการตักลีดโดยไร้หลักฐาน แต่ไม่ได้ห้ามผู้ที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ในการตักลีดตามดังที่อิมามมาลิกได้กล่าวยกเว้นเอาไว้ เป็นต้น บรรดาอิมามทั้งสี่ ได้ทำการอิจญฺฮาดที่อยู่ในกรอบของศาสนา อยู่ในกรอบหุกุ่มของอัลเลาะฮ์และร่อซูลเท่านั้น ไม่มีผู้ใดที่ทำการวินิจฉัยโดยออกนอกกรอบของหลักการอิสลาม ดังนั้น สิ่งที่บรรดาอุลามาอ์มุจญฺฮิด ไม่ว่าจะเป็นซอฮาบะฮ์ ตาบิอีน ตาบิอิดตาบิอีน(เช่นอิมามทั้ง 4)นั้น หากว่าพวกเขาเหล่านั้น ได้ทำการวินิจฉัยหุกุ่มที่ไม่ได้ถูกระบุไว้ชัดเจน (الظنى) ก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องตามเป็นรายบุคคลโดยเฉพาะ แต่หากเราสมัครใจเลือกตาม(โดยไม่เชื่อว่าจำเป็นต้องตามอิมามคนนั้นคนนี้เป็นการเฉพาะ) ก็ถือว่าไม่เป็นไร หากหุกุ่มของบรรดาอุลามาอ์
มุจญฺฮิดดังกล่าว ไม่ขัดกับหลักการของศาสนา
ดังนั้น การที่เราในฐานะ ไม่ใช่นักมุจญฺฮิด ก็ไม่ได้นำเอาบรรดาอิมามนักมุจญฺฮิดเหล่านั้น เป็น ชุเราะกาอ์(ภาคี)กับอัลเลาะฮ์ เลยแม้แต่น้อย แต่เราตามคำวินิจฉัยที่มาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ และตามหลักการของศาสนา เราตามอิมามมุจญฺฮิด ไม่ใช่เพราะตัวของมุจญฺฮิด แต่เราตามคำวินิจฉัยที่อยู่ในหลักการของศาสนาจากนักมุจญฺฮิด ดังนั้น นักมุจญฺฮิด ไม่ว่าจะเป็นซอฮาบะฮ์ ตาบิอีน และตาบิอิดตาบิอีนนั้น แม้ตัวจะตาย ตามความรู้และการวินิจฉัยของพวกเขาไม่ตาย
และที่สำคัญ เราไม่เคยกล่าวว่า หุกุ่มของอิมามทั้งสี่นั้น วายิบตาม แต่เรากล่าวว่า ผู้ที่ไม่รู้นั้น ต้องตามถามและตามผู้ที่ทรงความรู้ และเราไม่เคยกล่าวว่า อิมามทั้งสี่นั้น วายิบต้องตาม แต่เรากล่าวว่า อนุญาติให้ตามพวกเขาได้ในสิ่งที่เป็นสัจจะธรรม
คนอยากรู้:
แต่ที่เรา หมายความนั้นก็คือ..ว่าเรื่องอิบาดะฮนั้น ต้องมาจากอัลลอฮและท่านรอซูล จะเป็นวาญิบ หรือ สุนัต มีวิธีการอย่างไร เวลาใหน เท่าไหร่ แบบใด ทั้งหมดนี้ ต้องมาจากอัลลอฮและรอซูล เพราะเรื่อง อิบาดะฮนั้น ถูกจำกัดสิทธิ เฉพาะอัลลอฮและรอซูลเท่านั้น ส่วนมนุษย์มีหน้าที่ปฏิบัติตามเท่านั้น
ในเรื่องประเด็น การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์ ตามแนวทางของสะลัฟนั้น ต้องทำการเทียบเคียงกับหุกุ่มที่มาจากอัลเลาะฮ์และร่อซูล(ซ.ล.) การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์ต้องมีเงื่อนไขและกฏเกนฑ์อย่างเข้มงวด ไม่ใช่จะกิยาสได้ตามอำเพอใจ
คำนิยามตามหลักศาสนา ของ "กิยาส" คือ " การทำการเทียบเคียง (อนุมาน) สิ่งที่หนึ่งที่ไม่ได้ถูกระบุตัวตามหลักศาสนาเอาไว้ (เทียบเคียง) ด้วยกับสิ่งหนึ่งที่ได้ถูกระบุหุกุ่มของมันไว้(คือมีหลักฐานระบุไว้ชัดเจนแล้ว) โดยทั้งสอง มีลักษณะร่วมกัน ในเหตุผลของหุกุ่มนั้น ( علة الحكم )
และเราอยากจะชี้แจงว่า "การเทียบเคียง" (กิยาส) ณ ที่นี้ คือการ เผยให้เห็นหรือทำให้ปรากฏถึงหุกุ่ม ไม่ใช่เป็นการ สร้างหุกุ่มขึ้นมาใหม่ และอีกความหมายก็คือ "การเทียบเคียง" (กิยาส) ของนักปราชน์ผู้วินิจฉัยนี้ คือ การทำให้ปรากฏหรือเผยให้ทราบถึง หุกุ่มที่มีอยู่ในสิ่งที่ไม่มีตัวบทมาระบุ ให้เหมือนกับหุกุ่มของสิ่งที่มีตัวบทระบุชัดเจนแล้ว โดยทั้งสองมีเหตุผลของหุกุ่มเดียวกัน"
เช่นท่านร่อซูล(ซ.ล.) ได้วางแบบอย่างแนวทางในการกิยาสเทียงเคียงหุกุ่มให้แก่เราว่า
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้กล่าวกับสตรีคนหนึ่งว่า
أرأيت لو كان على أمك دين فقضيته أكان ينفعها ذلك ؟ قالت نعم قال فدين الله أحق بالوفاء
"เธอลองบอกมาซิว่า หากมารดา(ที่เสียชีวิตไปแล้ว)ของเธอมีหนี้สินอยู่ แล้วเธอก็ชดใช้หนี้สินนั้น ดังกล่าวนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับมารดาของเธอหรือไม่? นางกล่าวตอบว่า ค่ะ (เป็นประโยชน์) ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า "ดังนั้นหนี้ของอัลเลาะฮ์ย่อมสมควรกว่า ด้วยการชดใช้" รายงานโดย อิมาม อัลบุคอรีย์และมุสลิม
เราลองมาพิจารณาคำสอนและแบบอย่างของท่านร่อซูล(ซ.ล.) ที่ท่านได้ทำการ ตอบคำถามสตรีผู้นั้นด้วยการกิยาส คือ ท่านได้กิยาส หนี้ที่มีต่ออัลเลาะฮ์ ( دَيْن الله ) ด้วยกับ หนี้สินที่มีต่อมนุษย์( دين العباد ) ด้วยกัน โดยมีเหตุผลของหุกุ่มที่ว่า ทั้งสองนั้น จำเป็นต้องชดใช้ ( وجوب الوفاء )
อีกตัวอย่างเช่น ท่านอุมัรได้ถามท่านร่อซูล(ซ.ล.) เกี่ยวกับการจูบ(ภรรยา)ของผู้ที่ถือศีลอด โดยไม่มีการหลั่ง ท่านร่อซูล(ซ.ล.)ก็ตอบแก่ท่านอุมัรว่า
أرأيت لو تمضمضت بماء وأنت صائم ؟ فقال عمر : لا بأس بذلك ، فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم : ففيم ؟
"ท่านเห็นว่าอย่างไร หากท่านได้ทำการบ้วนปากด้วยน้ำ โดยที่ท่านทำการถือศีลอด ? ท่านอุมัรกล่าวว่า "ดังกล่าวนั้น ไม่เป็นไร" แล้วท่านร่อซูล(ซ.ล.) จึงกล่าวว่า "แล้วในเรื่องของมันนั้นจะเป็นอะไรเล่า"
จากคำกล่าวของท่านร่อซูล(ซ.ล.) เราจะพบว่า ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ได้ทำการ กิยาสการจูบในขณะที่ถือศีลอด ด้วยกับการบ้วนปาก(การเอาน้ำเข้ามาปาก)ในขณะที่ถือศีลอด ซึ่งไม่ทำให้เสียศีลอด โดยที่ทั้งสองมีเหตุผลเป็นเพียงแค่สื่อที่อาจจะทำให้เสียศีลอดเท่านั้นเอง(คือทั้งสองไม่ทำให้เสียศีลอด) คือการจูบนั้นเป็นสือหรือบทนำในการร่วมประเวณี และการบ้วนปากก็เป็นสื่อที่จะทำให้น้ำเข้าไปในลำคอและลงสู่ภายใน แต่ทั้งสองก็ไม่ทำให้เสียศีลอด
ท่านอุมัรได้ทำการเอา หนทางซาตฺอิรกฺ ไปกิยาสกับหนทางก่อร๊อน
อิมามทั้งสี่ ได้ทำการกิยาสในเรื่องซะกาต (เราไม่ได้พูดว่าเรื่องซะกาต จะมีผลดีแก่คนจนหรือไม่อย่างไร อันนี้ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นนั้น เราคุยเรื่องการกิยาสในเรื่อง(อิบาดะฮ์)ซะกาต)
อุลามาอ์ได้ลงมติเอาไว้ว่า หุกุ่มการเสียอุมเราะห์จาการร่วมประเวณี โดย ไปกิยาส กับหุกุ่มเรื่อง ฮัจญฺ (ซึ่งทั้งสองก็เป็นเรื่องอิบาดะฮ์)
อุลามาอ์ได้ลงมติ โดยเอาหุกุ่มเรื่องนิฟาส ไปกิยาส กับเรื่องเฮด (ซึ่งทั้งสองก็เป็น أمر تعبدى เรื่องอิบาดะฮ์)
และอีกมากมายที่เราได้ทำการยกตัวอย่างไป โปรดกลับไปทบทวน แล้วอัลเลาะฮ์จะทรงชี้นำ
ขอให้พี่น้องวะฮาบีย์โปรดจำไว้เถิดว่า
1.เรื่องการกิยาสนั้น ไม่ใช่จะกระทำกันง่ายๆ ตามอำเพอใจ ซึ่งต้องมีเงื่อนไขอย่างรัดกุ่มเลยทีเดียว โดยที่บรรดานักปราชน์ได้วางกฏเกนฑ์และเงื่อนไขต่างๆเอาไว้มากมาย ซึ่งเราไม่สามารถจะนำมากล่าวได้ทั้งหมด เพราะจะทำให้แตกประเด็นมากขึ้นไปอีก แต่ผมจะยกบางเงื่อนไข เพื่อผู้อ่านจะได้เข้าใจดังนี้ครับ 1. การกิยาสนั้น จะไม่ต้องไปขัด หรือค้านกับ อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ เช่น การอนุญาติให้ละทิ้งหมาดในขณะเดินทาง โดยไปกิยาส(เทียบเคียง) กับการอนุญาติให้ละศีลอดได้ในขณะเดินทาง โดยอ้างว่า ทั้งสองอยู่ในสภาพของการเดินทาง ซึ่งการกิยาสแบบนี้ ถือว่าเป็นการกิยาสที่โมฆะ เนื่องจากบรรดานักปราชน์ต่างลงมติว่า ไม่อนุญาติให้ทำการละทิ้งละหมาดในขณะที่เดินทาง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะกล่าวไม่ได้ว่า การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์นั้น คือการบัญญัติหุกุ่มขึ้นมาใหม่ หรือ ทำตนเทียบเท่าร่อซูล(ซ.ล.) เนื่องจากการกิยาสต้องไม่ขัดกับอัลกุรอานและคำกล่าวของร่อซูล(ซ.ล.) เพราะการกิยาส ต้องอิงเทียบ หรือพาดพิงไปยังหุกุ่มที่มาจากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ และการกิยาสก็เป็นหลักฐานรองลงมาในระดับที่ 4 ซึ่งจะทำอย่างไร ก็ไม่เทียบเท่า หลักฐานจากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจมาอ์
ดังนั้น เมื่อมีอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ มาระบุถึงหุกุ่มใดหุกุ่มหนึ่ง ก็ไม่สามารถใช้กิยาสได้ ซึ่งหากทำากรกิยาสโดยขัดกับอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น ก็ย่อมถือว่า เป็นการกิยาสที่ไม่ถูกต้องและอาจจะถูกกล่าวหาว่า บัญญัติหุกุ่มขึ้นมา ฉะนั้น การกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์หรือไม่ใช่เรื่องอิบาดะฮ์ หากว่าได้ทำการกิยาสโดยมีความถูกต้องตามเงื่อนไขแล้ว ก็ไม่มีอุลามาอ์สะละฟุสศอลิหฺท่านใด กล่าวว่ามันคือการเทียบกับร่อซูล (ซ.ล.) หรือวางบทบัญญัติขึ้นมาในศาสนา
2. การกิยาส ต้องเป็นสิ่งที่ มีเหตุผลเกิดขึ้นมา ( معقول المعنى ) ซึ่งเหตุผลนี้ เขาเรียกว่า (العلة ) ดังนั้น องค์ประกอบหนึ่งของการกิยาส ก็คือ ต้องมี เหตุผลของหุกุ่ม (علة الحكم) ฉะนั้น เราจะทำการกิยาสในเรื่องอิบาดะฮ์ที่ไม่สามารถรู้เหตุผลนั้น ย่อมไม่ได้ เช่น จำนวนร่อกะอัตของละหมาด 5 เวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้ ว่าทำไมถึงต้อง มี 4 ร่อกะอัต มี 3 ร่อกะอัต ซึ่งเราจะทำละหมาดสุนัตขึ้นมาเอง โดยมี 3 ร่อกะอัต ด้วยการนำมากิยาสกับละหมาดมัฆริบนั้น ย่อมไม่ได้เด็ดขาด เพราะ 3 ร่อกะอัตนั้น เป็นสิ่งที่หาเหตุผลไม่ได้
อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่นการ ยกหะดัษเล็ก และหะดัษใหญ่ ด้วยน้ำสะอาด ซึ่งเราจะเอาน้ำส้ม หรือน้ำมุสตะมัลที่ใช้แล้ว มาทำการยกหะดัษ โดยกิยาสว่า น้ำสะอาดก็เป็นของเหลวและน้ำส้มก็เป็นของเหลว แล้วนำมายกหะดิษนั้น ย่อมไม่ได้ เนื่องจากว่า หะดัษ นั้น เป็นสิ่งที่เราไม่ทราบว่าต้องล้างมันเพราะเหตุใดเพราะมันไม่มีตัวตน ? แต่มันเป็นหุกุ่มหนึ่งที่หลักศาสนากำหนดขึ้น แต่หะนะฟีย์ เอาน้ำส้ม และน้ำมุสตะมัลที่ใช้แล้ว มากิยาสกับ น้ำสะอาดได้ เกี่ยวกับกรณี การเปลื้องหรือล้างนะยิสสิ่งสกปรก โดยน้ำสะอาด และน้ำส้มนั้น สามารถเปลื้องสิ่งสกปรกออกไปได้ เนื่องจากสิ่งสกปรกนั้น เป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร และปลดเปลื้องมันออกไปได้อย่างไร ?
และเช่น เราจะเอาสิ่งหนึ่งไปกิยาส กับ พิกัตของซะกาต หรือ จำนวนพิกัตของกัฟฟาเราะห์(เสียค่าปรับ) หรือจำนวนร่อกะอัตของละหมาดห้าเวลานั้นไม่ได้ เนื่องจากทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นหุกุ่มที่สติปัญญาไม่สามารถรับรู้ถึงเหตุผลของมันได้เลย
ถือว่าเป็นการถามที่ไม่ถูกต้องตามแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ วัล ญะมาอะฮ์ และไม่เข้าใจเรื่องการกิยาสที่สะลัฟได้ทำแบบฉบับเอาไว้..
สรุปแล้ว
แนวทางของทัศนะวะฮาบีย์ที่บิดอะเห็นได้อีกอย่างคือ การไม่ยอมรับความคิดเห็นของบรรดาอีหม่ามและบรรดาอุลามะที่สังกัดมัสหับ..ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นั้นเอง
คนอยากรู้:
ที่ผมได้ยกตัวอย่าง ทั้งหมดนั้น
ล้วนเป็นบิดอะดอลาละของทัศนะวะฮาบีย์ทั้งสิ้น
ไม่ว่า..
-บิดอะดอลาละ ในอะกีดะ ที่เริ่มมาจากท่าน อิบนุตัยมียะ ที่ท่านเข้าใจ คุญลักษณะของ อัลลออ์ที่ผิดพลาดจนมาถึงผู้เป็นศิษย์ตักลีดมาจนถึงปัจจุบัน
-บิดอะดอลาละ ที่ทัศนะวะฮาบียืไม่ยอมรับในสิ่งที่บรรดาซออาบะของท่านนบีบางท่านกระทำ
-บิดอะดอลาละ ในด้านไม่ยอมรับผลงานการอิตญาด มุตะญิดของบรรดาความรู้ของอิหม่ามทั้ง4 และบรรดาอุลามะที่อยู่ในแนวทางทัศนะ
-บิดอะดอลาละที่วะฮาบีย์ไม่ยอมรับการตามหรือยึดทัศนะของผู้ที่ไม่รู้(เอาวาม)
-บิดอะดอลาละที่วะฮาบีย์ไม่ยอมรับในการแบ่งซีฟัตหรือคุลักษระของอัลเลาะในแนวทางอาชาอีเราะ
-บิดอะดอลาละต่อมา ที่ผมจะนำเสนอคือ..บิดอะในการศรัทธาที่วะฮาบีย์ส่วนมากมีแนวทาง..ศรัทธาแบบ...มุตาซีละ...
ก่อนอื่น ของบอกกับพี่น้องว่า บรรดาอุลมะด้านเอียะติกอดในมัสหับชาฟีอี ได้แบ่งการศรัทธาออกเป็น4 แนวทาง
1. การศรัทธาแบบ ยับบารียะ
2. การศรัทธาแบบมัวะตะซีละ
3. การศรัทธาแบบอะลลิสซุนนะวัญญะมาอะ
4. การศรัทธาแบบอะลิ้ลกะซัฟ
แนวทางทั้ง4 นั้นล้วนเป็นแนวทางการศรัทธาทั้งสิ้น และแต่ละเเนวทางนั้นมีการศรัทธาที่แตกต่างกันออกไป และในคำว่า การศรัทธานั้นก็มีหลายชื่อเรียก แล้วแต่ใฝนแต่ละที่แต่ละกลุ่มจะมีความถนัดหรือเรียกกันในชือใด
เช่นถ้าภาษาไทยเราก็เรียกว่า การศรัทธา อาหรับ ก็เรียกว่า อูซุลุดดีน หรือทันสมัยสักนิดก็จะเรียกว่า อะกีดะ ก็แล้วแต่ความถนัดกันไป
ความจริงแนวทางหรือมัสหับนั้นอยู่ในหมู่ของหมวดวิชา ฟิกฮ์ ซึ่งก็สามารถแบ่งออกเป็น4 แนวทางหรือ4 มัสหับ คือ
1.มัสหับฮานะฟี
2.มัสหับมาลีกี
3.มัสหับชาฟีอี
4.มัสหับฮัมบาลี
การศรัทธาในแนวทางของมัวตะซีละนั้น แตกต่างจากการศรัทธาแบบยับบารียะอย่างสิ้นเชิง
พวกเขามองว่า การกระทำต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นบนโลกนี้นั้น เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากน้ำมื่อมนุษย์ทั้งสิ้น จริงอยู่ว่า อัลลออฮ์เป็นผู้สร้างมนุษย์และมัคโล๊กต่างๆมา แต่หลังจากนั้นมนุษย์เป็นผู้กระทำทั้งสิ้น มิได้เกี่ยวพันไปถึงอัลลออ์เลย มนุษย์เป็นของใหม่ที่ถูกสร้าง และเมื่อสร้างเป็นรูปร่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยให้กำลังและความสามารถต่างๆ ดังนั้น การกระทำต่างๆนั้นก็มาจากมนุษย์เท่านั้น อัลลอฮ์มิได้มีส่วนในการกระทำด้วย
ดังนั้น ความสามารถต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับมนุษย์เอง โดยที่เขามีความเชื่อว่า งานทุกอย่างจะสำเร็จลงได้ นั้นก็เพราะ มนุษย์เท่านั้นเป็นผู้กระทำ มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถด้วยกับตัวมนุษย์เอง และอัลลออฮ์ไม่เกี่ยวด้วยความสำเร็จใดกับงานนั้นๆ ไม่ว่างานด้านดีหรือด้านชั่ว เกิดมาจากมนุษย์เป็นผู้กระทำทั้งนั้น
เช่น เชื่ออว่า ถ้าใคร อยากรวยก็ต้องขยันทำมาหากิน (จึงจะรวยได้)
ถ้าเรามนุษย์อยากรู้ก็ต้องเรียน
อยากอิ่มก็ต้องกิน ซึ่งในทั้งสองเหตุผลนั้นจะมีการผูกมัดกันตลอดจนแยกไม่ออก
โดยเอาความขยันเท่านั้นไปผูกมัดกับความรวย โดยลืมคิดไปว่าบางคนขยันแทบตายแต่ก้ไม่รวยซะที เอาการรู้ไปผูกมัดกับการเรียน เอาการกินไปผูกมัดกับอิ่ม เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นต้องมีเหตุและผล จึงต้องเอาทั้งสองมาผูกมัดกันหมด ผูกมัดและเชื่อไปถึงว่า เมื่อฉันทำอิบาดัตแล้ว อัลลออ์จะต้องตอบแทนฉันด้วยสวรรค์เท่านั้น ...นะอูซุบิลลา..
การศรัทธาของชนกลุ่มนี้มีความเชื่ออย่างสูงในหลักคำสอนของท่านนบีโดยเฉพาะอัลฮาดีส
หรือสิ่งที่ถูกถ่ายทอดมาจากท่านนบี ฉนั้นสิ่งใดที่ท่านบีไม่กระทำหรือไม่มีในหลักฐานที่เขาค้นคว้ามา สิ่งนั้นเขาถือว่า ห้ามกระทำ และถือว่าเป็นบิดอะ การศรัทธาดังกล่าวจะมุ่งหลักฐานจากอัลฮาดีสหรือการกระทำจากท่านบี มาเป็นข้ออ้างตลอด ทั้งนี้เพราะเขาเน้นหรือเอาการยึดมั่นในหลักชารีอัตของท่านบีเป็นหลัก และเอาฮะกีกัตของอัลลออ์เป็นรอง ซึ่งตรงข้ามกับการศรัทธาของยับบารียะที่เอาหลักฮะกีกัตเป็นหลักแต่เอาชารีอัตเป็นรอง..
อีกอย่างหนึ่งว่าแนวทางนี้มความเชื่อว่า เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถือว่าทุกอย่างเป็นสิ่งตายตัว จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกบันทึกตายตัวในกระดาน เลาฮิลมะฟูด มนุษย์แต่ละคนได้ถูกบันทึกไว้หมด ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเรื่องบุญวาสนา ริสกีต่างๆ การเกิด การตาย เมื่อพระองค์ทรงบันทึกแล้ว พระองค์จะไม่เปลียนแปลใดๆ คือเปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นเอง
คนอยากรู้:
การศรัทธาในแนวทางของมัวตะซีละนั้น[
color=darkred เชื่อว่า ความสามารถต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับมนุษย์เอง โดยที่เขามีความเชื่อว่า งานทุกอย่างจะสำเร็จลงได้ นั้นก็เพราะ มนุษย์เท่านั้นเป็นผู้กระทำ มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถด้วยกับตัวมนุษย์เอง และอัลลออฮ์ไม่เกี่ยวด้วยความสำเร็จใดกับงานนั้นๆ ไม่ว่างานด้านดีหรือด้านชั่ว เกิดมาจากมนุษย์เป็นผู้กระทำทั้งนั้น
..สำหรับ การศรัทธาแบบนี้นั้น บางกลุ่มของทัศนะใหม่หรือวะฮาบีย์นั้นมีความเชื่อเช่นนี้
เช่น การเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านนบีพูดไว้อย่างไรแล้ว ทุกอย่างอัลลอฮ์จะตอบสนองตามที่ท่านนบีพูดไว้...ไม่ว่าคำพูดจาก อัลฮาดิส หรือ การกระทำใดก็ตามที่ท่านนบีทำไว้..พวกเขาจะเอาชารีอัตหรือการกระทำภายนอกของท่านนบีมาตัดสิน เกณท์ต่างๆของมนุษย์ด้วยกัน
เช่นคำพูด ที่เขามักอ้างถึท่านนบีว่า ...กุ้ลลู บิดอะดอลาละ ทุกๆบิดอะนั้นคือการหลงผิด
วากุ้ลดอลาลิ้น ฟิ้นนาส ..และการหลงผิดนั้นจะสู่ไฟนรก..
พวกเขาฮาดิสที่รายงานอ้างถึงท่านนบี มาชี้แนะหรือมาตัดสิน ว่าใครก็ตามที่ทำบิดอะนั้นต้องตกลงนรก เสมอ ..เพราะนบีพูดไว้..
จริงๆแล้วความเชื่อตรงนี้เป็นเพียง การศรัทธาด้านอะกีดะเท่านั้น ว่า ผู้ทำบิดอะนั้น จะต้องเชื่อว่า การกระทำอย่างนี้นั้น ต้องตกนรก..แต่จะลงนรกหรือไม่นั้น พระองค์เท่านนั้นเป็นผู้ตัดสิน...
โดยบางครั้งนั้น พวกเขาเองนั้น ในบางคน ก็ ไม่ได้เข้าใจว่า บิดอะนั้นเป็นอย่างไร และความหมายที่ถุกต้องคืออะไรกันแน่...
และความเข้าใจ ระหว่างเรากับท่านนบีนั้นตรงกันหรือไม่..ก็ในเมื่อคำๆนี้ ท่านนบีก็ไม่ได้ขยายความและยกตัวอย่างเอาไว้ บรรดาผู้เจริญรอยตามก็ไม่ได้อธิบายอะไรไว้..
แต่สิ่งนี้ บรรดานักวิชาการถัดมานั้นได้วางขอบเขต คำๆนี้ไว้ ฉนั้น นักวิชาการนั้นเราก็วายิบต้องเชื่อเขา แต่ไม่ใช่เอาความเชื่อตรงนี้ไปเทียบเท่ากับอัลลออ์และรอซ้ลของพระองค์ แต่เชื่อด้วยเหตุผลที่เรานั้นก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้
ระหว่าง ศัพท์ที่ถูกตั้งชื่อเรียกขึ้น กับความเข้าใจของอัลลออ์และท่านบีนั้นจะมีความหมายตรงกันหรือไม่..เราๆท่านๆก็ไม่มีใครพูดได้....
ฉนั้นตรงคำๆนี้นั้นต้องมีการให้ความหมายจาก ผู้รู้ ก่อน เพราะผู้รู้นั้น เป็นการสร้างสรรค์ของพระองค์เช่นกัน...
ศาสานานั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของใคร และสิ่งใดที่อัลลอฮ์ดำรัสไว้ เราก็ต้องเชื่อฟังแต่ไม่ใช่ฟังแล้วไม่เข้าใจ แบบปล่อยเอาไว้ ตรงนี้ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง ข้อคงวามหรือคำบางในอัลกรุอานก็ต้องอาศัยการตีความเพื่อให้ความหมาย..จากบรรดาผู้รู้ แต่สำหรับทัศนะใหม่นั้น ฮาดิสที่เกี่ยวกับความรู้ของอุลาะของอัลลออ์นั้นเขาจะนำมาใส่ใจ ไม่ว่าจะสายสืบฮะซัน หรือดออีฟก็ตาม..ยิ่งดออีฟด้วยแล้วทัศนะใหม่นั้นจะไม่นำมันมาพินิจพิจารณาไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ
พวกเขาจะเชื่อว่าสิ่งใดทีถูกรายงานและอ้างถึงท่านนบีแล้ว เขาถือว่าสิ่งนั้รนถูกต้องหมดเพราะได้ผ่านขบวนการและขั้นตอนการไตร่ตรองเรียบร้อยแล้ว..ดังนั้น พวกเขาเขามีความเคร่งครัดในหลักชารีอัตของท่านนบีมาก...เสมือนว่า จะเอาคำพูดท่านนบีนั้นไปผูกมัดกับอัลลอฮ์ไม่ให้หนีสิ่งที่ท่านนบีได้กล่าวไว้ให้จงได้
การคิดแบบวางกรอบเช่นนี้กับพระองค์นั้น อุลามะด้านอุซุลฯถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะไปบังคับหรือตั้งเงื่อนไขไว้กับคำพูด โดยลืมไปว่า พระองค์นั้นไม่อยู่ในพันธสัญญาของใครทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงของพระองค์นั้นกระทำได้ เสมอเมื่อพระประสงค์ของพระองค์เกิดขึ้นเพียงพระองค์กล่าวว่า กุ้น ..ทุกอย่างก็จะบังเกิดขึ้น
เราจะเห็นว่า พวกวะฮาบีย์บางกลุ่มนั้น เขามีความเชื่อว่า เมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ถือว่าทุกอย่างเป็นสิ่งตายตัว จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว
โดยที่เขาอ้างว่า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกบันทึกตายตัวในกระดาน เลาฮิลมะฟูด มนุษย์แต่ละคนได้ถูกบันทึกไว้หมด ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเรื่องบุญวาสนา ริสกีต่างๆ การเกิด การตาย เมื่อพระองค์ทรงบันทึกแล้ว พระองค์จะไม่เปลียนแปลใดๆ คือเปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นเอง [/color][/quote]
พี่น้องครับ การศรัทธาของวะฮาบีย์นั้นคล้ายกับการศรัทธาแบบแนวของพวกมุตะซีละ
และถือว่าส เป็นบิดอะดอลาละ ที่ไม่เคยมีในสมัยท่านบี และแบบอย่างซอฮาบะแต่การศรัทธานี้นั้น มาจากแนวความคิดของ ท่าน ดาวุดซอฮีรี
การศรัทธาของชนกลุ่มนี้มีความเชื่ออย่างสูงในหลักคำสอนของท่านนบีโดยเฉพาะอัลฮาดีส
หรือสิ่งที่ถูกถ่ายทอดมาจากท่านนบี ฉนั้นสิ่งใดที่ท่านบีไม่กระทำหรือไม่มีในหลักฐานที่เขาค้นคว้ามา สิ่งนั้นเขาถือว่า ห้ามกระทำ และถือว่าเป็นบิดอะ การศรัทธาดังกล่าวจะมุ่งหลักฐานจากอัลฮาดีสหรือการกระทำจากท่านบี มาเป็นข้ออ้างตลอด
ทั้งนี้เพราะเขาเน้นหรือเอาการยึดมั่นในหลักชารีอัตของท่านบีเป็นหลัก และเอาฮะกีกัตของอัลลออ์เป็นรอง ซึ่งตรงข้ามกับการศรัทธาของยับบารียะที่เอาหลักฮะกีกัตเป็นหลักแต่เอาชารีอัตเป็นรอง..
โดยลืมไปว่า ตราบใดที่หลักการศรัทธาไม่ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติอีบาดะที่ท่านกระทำอยู่นั้นก็สูญเปล่าไปด้วย เช่นกัน เพราะไม่เข้าใจและไม่รู้จักกับสิ่งบุคคลที่ท่านถวายหรือนมัสการอยู่ทุกเวลา มันก็ปล่าวประโยชน์ในงานนั้น เปรียบสเมือน เรามอบสิ่งของให้กับคนที่เขาไม่มีความต้องการ หรือไม่ตรงกับเป้าหมาย ของผู้รับนั้นเอง..
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version