เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

บิดอะฮ์ของวาฮาบีย์

<< < (7/39) > >>

อัล-อุม:
บังคนอยากรู้ครับ...
สบายดีไหมครับอย่าหายไปนานละ

น้องอัล-อุมคิดถึง555

คนอยากรู้:
พี่น้องครับ..ต่อไปเรามาดู ในหัวข้อเรื่อง บิดอะของวะฮาบีย์ในข้อต่อไปครับ

บิดอะ ถัดมาของวะฮาบีย์คือ..

บิดอะลุ่มหลงที่มาจากการไม่เข้าใจในคำว่าบิดอะ


 หลายๆครั้ง ที่เรามักจะได้ยินคำว่า บิดอะ แต่เรากลับไม่รู้ความหมายของมันว่าด้วยคำกล่าวท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

 (  كل بدعة ضلالة )  

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

จริงๆแล้วอุลามะหรือ  ผู้รู้ส่วนมากเขาหมายถึงอะไร และจริงหรือวะฮาบีย์ถึงมักอ้างว่า..คนที่ทำบิดอะนั้น ห้ามพูดคุยหรือปรองดองเรื่องใดๆกับเขา...
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนั้น วะฮาบีย์ส่วนมากจึงไม่จะเชื่อฟังและทำตามในตัวขแองผู้นำ หรือท่านจุฬา คนปัจจุบัน


ด้วยกับคำพูดอิบนุกุดามะฮ ที่กล่าวว่า...

 كان السلف ينهون عن مجالسة أهل البدع ، و النظر في كتبهم

"ปรากฏว่าชาวสลัฟ พวกเขาห้ามนั่งร่วมกับชาวบิดอะฮ และดูหนังสือพวกเขา"

 الآداب الشرعيّة ، لابن مفلح : 11/232 ].

โดยเขาให้ความหมายคำว่า"นั่งร่วม คือ การเข้านั่งร่วมกับพวกที่ทำบิดอะฮ ในทัศนะของวะฮาบีย์

โดยเขาลืมคิดไปว่า พี่น้องมุสลิมนั้นห้ามตัดญาติและห่างไกลจากพวกเข่าคนหนึ่งคนใด  ตราบใดที่เขามยังเป็นมุสลิมอย่างน้อนการนั่งร่วม เพื่อปรึกษาหรือชี้แจงและตักตือนนั้นในความจริงแก่พวกเขาและหวังที่จะให้พวกเขาละทิ้งบิดอะฮนั้น   จริงๆแล้ว คือ มันเป็นสิ่งจำเป็นมาก และเป็นหน้าที่ของผู้รู้และมุสลิมทุกๆคน...แต่วะฮาบีย์นั้น เมื่อสิ่งใดที่เขาไม่เห้นด้วยกับการกระทำที่ค้านกับทัศนะของตน  เขาจะถือว่า สิ่งนั้นคือ  บิดอะ..และต้องหลีกหนีให้ไกล..

ในคำสอน ของอัล อิสลามนั้นสอนให้คนหลีกเลี่ยงผู้ที่ทำบิดอะฮ์นั้น ตามความหมายของผู้รู้ส่วนมากหรือผู้รู้ในอะลิอสซุนนะ หรือจากแนวทางผู้รู้ของ(มัสหับทั้ง4)

ไม่ใช่ ตามทัศนะของผู้รู้ในทัศนะของวะฮ่าบีย์ที่เป็นกลุ่มส่วนน้อย
แต่ต้องเป็นบิดอะฮ์ในความหมายตามทัศนะของอิสลามในชนส่วนมาก  
เนื่องจากผู้รู้ วะฮาบีย์บางคนเลยเถิดในเรื่องการกล่าวหาและฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมสในทัศนะอื่นผู้อื่น  
ดังนั้นบิดอะฮ์ตามทัศนะของวะฮาบีย์   ไม่สามารถนำมายึดเป็นหลักการได้กับมติของผู้รู้ในความหมายกับว่า บิดอะกับ มุสลิมไทยทั่วโลกได้

พี่น้อง ครับถ้อยคำ

لا إله إلا الله محمد رسول الله.... นั้นสูงส่งยิ่งนัก และบรรดานบีของพระองค์ก็สูงส่งถัดมาเช่นกัน ตามแนวการศรัทธาของรูกนอีหม่าม6ข้อ

ฉนั้น  วะฮาบีย์นั้น นอกจากจะไม่เข้าใจคำว่าلا إله إلا الله محمد رسول الله...แล้ว..ก็ยังไม่ยอมเข้าใจ ในชารีอัตตัวท่านนบี..
ซุนนะนบี นั้นนอกจาก การกระทำต่างๆที่ให้เราได้เห็นนั้นยังมี การนิ่งเฉยและการยอมรับแล้ว ซึ่งเรา ก็ไม่อาจจะมองออกเป็นอาการกริยาได้ และก็ปฏฺเสธไม่ได้ว่า บางครั้ง การนิ่งหรือสงบนั้นเป็นซุนนะของท่านเช่นกัน..

วะฮาบีย์ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านนบีกล่าว
(  كل بدعة ضلالة )  

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง" ..ว่าบิดอะที่ว่านั้นหมายความว่าอย่างไร..

ตรงนี้..อุลามะส่วนมากบอกว่า สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นคือบิดอะทุกชนิดที่ดอลาละ และการดอลาละนี้แหละจะนำไปสู่ไฟนรก..ยันหันนัม..

 เช่นในบางครั้ง วะฮาบีย์ชอบยกคำอ้างของท่าน อิบนุกุดามะฮ์ และท่านอิบนุมุฟลิหฺ

โดยที่ตนเองก็ไม่รู้ว่า สิ่ง  ที่ท่านอิบนุมุฟลิหฺและท่านอิบนุกุดามะฮ์กล่าวถึงนั้น เป็น การกระทำบิดอะของพวกใหนและทำอย่างไร  ท่านจึงห้ามเราคบหาคนพวกนี้..?

บางครั้ง หาได้เป็นอย่างที่ เป็นพวกบิดอะฮ์ที่วะฮาบีย์เข้าใจกันเอง.

 แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของวะฮาบีย์สลัฟพันธ์เทียมนั้น เลยยกมาอธิบายให้เข้าข้างตนเองเพราะมันสอดคล้องกับสิ่งที่ตนฮุกมผู้อื่นอยู่อย่างเหมาะเจาะแบบนี้

ฉนั้น ผู้ที่กระทำการอย่างนี้ ก็เป็นคนที่อยู่ในขอบข่ายที่มุสาไม่มีอะมานะฮ์ในการอ้างอิง..


แต่ในบางครั้ง การยกคำอ้างของผู้รู้ในวะฮาบีย์นั้น ..กลับ เป็นหนามยอกอกวะฮาบีย์เสียเอง ..

เช่น การที่ท่านอิบนุมุฟลิหฺ กล่าวว่า การละหมาด แล้ว...มอบผลบุให้แก่มัยยิดนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้...นั้น  มันเป้นสิ่งที่ขัดแย้งกับทัศนะของวะฮาบีย์อย่างเบ้อเร้อเห้อ.....ดังหลักฐานข้างล่างที่ว่า.  
ท่าน อิบนุ มุฟลิหฺ (ศิษย์ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์) กล่าวไว้ว่า

وأى قرب فعلها من دعاء واستغفار وصلاة وصوم وحج وقراءة وغير ذلك وجعل ثواب ذلك للميت المسلم نفعه ذلك . قال أحمد : الميت يصل إليه كل شيء من الخير للنصوص الواردة فيه ولأن المسلمين يجتمعون فى كل مصر ويقرؤون ويهدون لموتاهم من غير نكير، فكان ذلك إجماعا وكالدعاء والإستغفار حتى لو اهداها للنبى صلى الله عليه وسلم، جاز ووصل اليه الثواب، ذكره المجد


" ไม่ว่าอิบาดะฮ์ใด ที่กระทำขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการดุอา อิสติฆฟาร การละหมาด การถือศีลอด การทำฮัจญฺ การอ่านอัลกุรอาน และอื่น ๆ จากสิ่งดังกล่าว และเอาผลบุญดังกล่าวนั้น มอบฮะดียะฮ์ให้แก่มัยยิดมุสลิม เขาย่อมได้รับผลประโยชน์จากสิ่งดังกล่าว ท่านอิมามอะหฺมัด กล่าวว่า ผู้ตายนั้น (ผลบุญ)ทุกๆ สิ่งจากความดีงามจะถึงไปยังเขา เพราะมีบรรดาตัวบทได้รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเพราะบรรดามุสลิมีนในทุกเมือง ได้ทำการรวมตัวกัน และพวกเขาทำการอ่านอัลกุรอาน และพวกเขาก็ทำการฮะดียะฮ์(มอบผลบุญของทุกๆ สิ่งจากความดีงาม) ให้แก่บรรดาผู้ตายของพวกเขา โดยไม่ได้รับการตำหนิเลย ดังนั้น ดังกล่าวย่อมเป็นมติ(อิจญฺมาอ์) และเช่นการขอดุอา และการอิสติฆฟาร นั้น หากแม้ว่า จะฮาดิยะฮ์มอบแก่ท่านร่อซูล(ซ.ล.) ก็ถือว่าอนุญาติ และผลบุญก็ถึงไปยังเขา . ซึ่งได้กล่าวมันโดยท่านอัลมุจญฺ" ดู หนังสือ อัลมุบดิอ์ ชัรหฺ อัลมุกเนี๊ยะอฺ ของท่าน อิบนุ มุฟลิหฺ เล่ม 2 หน้า 254

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ทราบว่า วะฮาบีย์ปลายแถวนอกคอก..อย่างมุรีดและเชคริดอ และคนอื่นๆจะกล้าฮุกมบรรดาอุลามะที่เป็นลูกศิษย์ของท่านอิบนุตัยมียะที่เป็นชื่นชอบของวะฮาบีย์ หลายๆคน ว่า ท่านนั้นทำบิดอะฮ์หรือเป็นพวกบิดอะในความเข้าใจของตนหรือเปล่า?

คนอยากรู้:
พี่น้องครับ

เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว   ผู้รู้ที่ดีใจเป็นธรรมนั้นเขาต้องจะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ดูก่อนว่า
หะดิษบทนี้นั้นท่าน นบีหมายถึง พวกบิดอะฮ์ใหน?  
และเป็นพวกบิดอะฮ์ตามที่ท่านนบี(ซ.ล.)และซอฮาบะฮ์เข้าใจหรือไม่

ไม่ใช่ว่า พอเห็นหะดิษที่ฉันชอบแล้วก็แอบอ้างคำพูดพร้อมสอดเเทรกสิ่งที่ตนเห็นดีด้วย เหมือนกับนิสัยที่ตนชอบกระทำบิดอะในทำนองนี้มาเสมอ
ซึ่งยากทีจะแก้ได้ กับบิดอะที่วะฮาบีย์อุตริกรรมขึ้นมากับความเข้าใจในตัวบทหะดิษ ...

หรือว่าหะดิษ ดังกล่าวข้างบนนั้นมันเป็นแค่ความเห็น ตามทัศนะที่วะฮาบีย์เข้าใจเท่านนั้น


ซึ่งถ้าเป็นเข้าใจในความหมายของคำว่าบิดอะฮ์ตามทัศนะที่วะฮาบีย์เข้าใจล่ะก็  

ท่าน ชัยคุลอิสลาม อิบนุหะญัร อัลอัสก่อลานีย์ ,
ท่านอิมาม อัศสายูฏีย์ , ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ,  
ท่านอิบนุรอญับ , ท่านอบูชามะฮ์ ,
ท่านอิบนุกะษีร ,
ท่านอัซซะฮะบีย์ ,
และบรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามอีกมากมาย ที่ทัศนะว่า..การทำเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.)นั้นสามารถกระทำได้

คงต้อง ถูกอัลเลาะฮ์สาปแช่ง  มะลาอิกะฮ์สาปแช่ง และบรรดามนุษย์ทั้งหลายสาปแช่ง  ตามทัศนะของวะฮาบีย์!!  ซุบหานัลลอฮ์ !!

ผมขอกล่าวว่า
لا إله إلا الله محمد رسول الله เพียง2สิ่งนี้เท่านั้น ที่อะกีดะของเราจะต้องเป็นหนึ่ง..

หรือว่าความเข้าใจของผมจะผิดพลาด ถ้าผมอยากจะบอกว่า..
ตัวอักษารที่อ่านและเขี่ยนว่า มูฮำมัดนั้น ที่แท้จริงนั้นมันคือ รูปร่างของมนุษย์หรือนูรของมุฮำมัดนั้นเอง..โดยสามารถ จะเขียนได้ใกล้เคียงที่สุดในแนวนอนโดย4ตัวอักษร เปรียบมาจากธาตุ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ  ซึ่ง4 ธาตุเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประกอบตัวในการสร้างให้เป็นมนุษย์ขึ้นมา..
แต่ผมคงจะโดน ฮุกมจากวะฮาบีย์ว่า  อุตริกรรมอีกเช่นเคยฮ้าๆๆ

คนอยากรู้:
ในบางครั้งวะฮาบีย์ก็ยกคำอ้างของท่านอัศเศาะบูนีย์ได้เล่าถึงชาวอะฮลิส
สุนนะอ ว่า
و يبغضون أهل البدع الذين أحدثوا في الدين ما ليس منه ، و لا يحبونهم ، و لا يصحبونهم )

พวกเขาโกรธชาวบิดอะฮ ซึ่งพวกเขาอุตริสิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา สิ่งซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งจากมัน ,พวกเขาไม่รักและไม่เป็นมิตรกับพวกเขา
 . [ عقيدة السلف أصحاب الحديث ، للصابوني ، ص : 118


ด้วยการแปลคำพูดของท่านอัศศอบูนีย์ ว่า

ما ليس منه

"สิ่งซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งจากมัน"

คำว่า " منه " ว่า "ส่วนหนึ่งจากมัน"  โดยใช้ความหมาย  من  นี้ للتبعيض  "คือให้ความหมายเพียงบางส่วน"  ถือไม่ถูกต้องและแปลผิด  เพราะ من ตัวนี้ للبيان  "ซึ่งหมายถึง อุตริกรรมสิ่งที่ไม่มี(พื้นฐาน)มาจากศาสนา" แล้วถ้าหากกระทำขึ้นใหม่มาโดยที่มีพื้นฐานของศาสนาล่ะ  แน่นอนว่า  ท่านอิบนุรอญับ กล่าวว่า มันเป็น "ซุนนะฮ์"
มีรายงานจากท่านหญิง อาอิชะฮ์ (ร.ฏ.)ท่านกล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)  

من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد                                                                  
หมายความว่า "ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่  ในการงาน(ศาสนา)ของเรานี้  กับสิ่งที่ไม่มีมาจากมัน(คือจากการงานของเรา)แล้ว   สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ"  (รายงานโดย บุคอรีย์ หะดิษที่ 2698 และมุสลิม  หะดิษที่ 1718)

ในสายรายงานหนึ่งของ มุสลิม  กล่าวว่า

من عمل عملا ليس عليه أمرنا فهو رد                                                                  
ความว่า "ผู้ใดที่ปฏิบัติ  งานหนึ่งงานใดขึ้นมา  ที่การงาน(ศาสนา)ของเรา  ไม่ได้ครอบคลุมถึงมัน  สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ" (รายงานโดยมุสลิม  หะดิษที่  1718)

จริงๆแล้ว ท่านนบี(ซ.ล.)  ไม่ได้กล่าวเลยว่า  

من أحدث فى أمرنا هذا فهو رد                                                                    

"ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงาน(ศาสนา)ของเรานี้  มันย่อมถูกปฏิเสธ"

และท่านนบี(ซ.ล.)ก็ไม่ได้กล่าวว่า

من عمل عملا فهو رد                                                                      

"ผู้ใดที่ปฏิบัติ  การกระทำอันใดอันหนึ่งขึ้นมา  มันย่อมถูกปฏิเสธ"

หะดิษนี้  จำต้องเอาหะดิษที่มีคำจำกัดความหมาย.มาทอนความหมายแบบ
กว้าง  ของหะดิษนี้ (มุตลัก) เพราะ บรรดาอุลามาอ์ผู้เคร่งครัดในกลุ่มนักปราชญ์แห่งมูลฐานนิติบัญญัติอิสลามได้  กล่าวว่า  "หากปรากฏว่ามีหะดิษที่อยู่ในความหมายแบบกว้าง ๆ ( มุฏลัก) และในตัวบทหะดิษเดียวกันนี้  ก็มีความหมายที่บ่งถึงการจัดกัดความ( ( มุก๊อยยัด )   ก็จำเป็นจะต้องตีความกับความหมายแบบกว้าง ๆ นี้  ให้อยู่บนความหมายแบบจำกัดความ ( حمل المطلق على المقيد ) โดยที่ไม่อนุญาติให้ปฏิบัติตามหะดิษที่มีความหมายแบบกว้าง ๆ นี้  

เมื่อเป็นนี้  เราจึงเข้าใจหะดิษนี้ได้ว่า  

من أحدث فى أمرنا هذا ما هو منه فهو مقبول                                                            

"ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่  ในการงานของเรานี้  สิ่งที่มีมาจากการงานของเรา  สิ่งนั้นย่อมถูกตอบรับ"

من عمل عملا عليه أمرنا فهو مقبول                                                              

 "ผู้ที่ปฏิบัติ  กับการปฏิบัติหนึ่ง  โดยที่การงานของเรา(มีรากฐาน)อยู่บนมัน  การปฏิบัตินั้นย่อมถูกตอบรับ"
********************************************
 
 สำหรับความเข้าใจของวะฮาบีย์นั้นเขาคิดว่า  "บิดอะฮ" นั้น ไม่ดีทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นบิดอะฮระดับไหน  ใหญ่ หรือ เล็ก  ล้วนแล้วไม่ดีทั้งสิ้น  คนที่กระทำเช่นนี้..ที่อยู่ของมันก็คงจะไม่แคล้ว  ไฟนรกอย่างแน่นอน..55

วะฮาบีย์นั้นส่วนมากจะฮุกมพี่น้องมุสลิมไม่เลือกหน้าไม่ว่าจะเป็นอุลามะหน้าไหนก็ตาม

อย่าเช่นท่านอิบนุหะญัร อัลอัสก่อลานีย์  หรือท่านอิมามซายูฏีย์ และ ท่านอิมามอันนะวาวีย์ซึ่งได้ร่วมปรากฏตนในเมาลิดรำลึกถึงท่านนบี(ซ.ล.)
คงจะไม่แคล้วพ้นการฮูกมของวะฮาบีย์อย่างหลีกเลบี่ยงไม่ได้

.เอ..ถ้าเป็นเช่นนั้นวะฮาบีย์ ที่ชื่อ เชค ริดอ คงจะฮุกมผู้ที่ละหมาดในมัสยิสอัลที่เป็น มุบัลลิค (ลูกคู่) ที่มัสยิดหะรอม  ที่ชอบกล่าวว่า "ร๊อบบะนาละกัลฮัมด์" นั้น คงเป็นบิดอะฮ์ เช่นกัน ก็คงตกนรกอีกคนแน่ฮ้าๆๆๆ
แถมมีการละหมาด ตารอเวียะ20รอกาอัตและยังบิดอะเพิ่มคำว่า  صلاة القيام أثابكم الله  อีกด้วย..

สงสัย  มุบัลลิก ที่กล่าวว่าเช่นนี้ คงทำบิดอะฮ์ต่อศาสนาตัวเองและฝ่าฝืนท่านนบีที่ไม่เคยทำ และไม่เคยใช้ มาก่อน
แล้วเช่นนี้ เขาต้องลงนรกหรือเปล่าครับ??

สงสัยสวรรค์คงเหงา เพราะมีแต่วะฮาบีย์  
ผมขอกล่าวคำว่า لا إله إلا الله محمد رسول الله วะฮาบีย์มันช่างอุตรกรรมที่ลุ่มหลงเหลือเกิน ในการสร้างบิดอะแบบฉบับ วะฮาบีย์ด้วยการ ฮุกมมวลมนุษยชาติซึ่งเป็นอุมมะของท่านรอซุ้ลอย่างน่าเกลียดยิ่งนัก..

คนอยากรู้:
พี่น้องครับ

แต่เมื่อมีการถามว่า.... การรวบรวมอัลกุรอ่านเป็นบิดอะหรือไม่ ..ก็ในเมื่อ วะฮาบีย์อ้างว่า สิ่งไหนที่ไม่มีในสมัยท่านนบี (ซล)แม้ว่าจะเป็นเรื่องความดีในเรื่องศาสนาก็ตามสิ่งนั้นจะถูกผลัก  เพราะการกระทำนั้นท่านบีไม่รับรองและไม่รู้ไม่เห็น..

วะฮาบีย์กลับตอบว่า..
 การรวบรวมอัลกรอานนั้นเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเพื่อปกป้องสัจธรรมอิสลาม เป็นสิ่งที่เป็นวายิบ ไม่ใช่บิดอะอ  และยังอ้างถึงว่า การรวบรวมอัลกุรอ่าน เป็นการกระทำของเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ที่ท่านนบี  สอนให้อุมมะฮยึดเอามาเป็นแบบอย่าง ...

นี้แหละครับ ไม้เด็ดของวะฮาบีย์..ด้วยการก้าวล้ำอัลลอฮ์และรอซุ้ล ในการอ้างในสิ่งข้างบนว่า ..เป็นวายิบ..วะฮาบีย์ นั้นสามารถกำหนดวายิบฮานรามได้ตามใจตนชอบ..
ครั้งหนึ่งผมเคยสนทนาเริ่อง..การที่จะออกฮูกมต่างๆในสิ่งที่ไม่มีในสมัยท่านนบีนั้น บรรดาอุลามะที่มีความรู้นั้นสามารถใช้ผลการอิติญาด มุตะญิดได้  เช่น ในบรรดาผู้รู้มัสหับทั้ง4 นั้น..ที่กล่าวว่า ..การละหมาดนั้น..จำเป็นหรือวายิบต้องอ่าน..ฟาตีหะ...ซึ่งสิ่งเหล่านี้บรรดาอุลามะมีมติด้วยกัน..

แต่วะฮาบีย์กลับกล่าวว่า ..จะอ่านหรือไม่ก็ตามได้ทั้งนั้น อุลามะเหล่านั้นเพราะเราไม่ใช่เป็น อัลลอฮ์และท่านนบี..

แต่มาถึงยกนี้ วะฮาบีย์กลับมาตั้งฮุกมเสียเองว่า การรวบรวมอัลกรุอานนั้นเป็นวายิบไม่ใช่บิดอะ..แม้ว่าไม่มีบอกในอัลกรุอ่านและท่านนบีไม่ได้สั่งก็ตาม....นะอูซูบิ้ลา..
 

ท่านนบี ศอลฯกล่าวว่า

عليكم بسنتي وسنة الخلفاء الراشدين المهديين من بعدي ، تمسكوا بها وعضوا عليها بالنواجذ ، وإياكم ومحدثات الأمور ، فإن كل محدثة بدعة ، وكل بدعة ضلالة ) أخرجه أحمد 4/126 ، والترمذي برقم 2676


..พวกท่านมีหน้าที่ปฏิบัติตามสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของฉัน และบรรดาเคาะลิฟะฮผู้ชี้ทางที่ถูกต้อง ผู้ได้รับทางนำหลังจากฉัน จงยึดถือมัน และจงกัดกรามต่อมัน(หนักแน่นอดทน) และพึงระวังสิ่งที่ถูกอุตริขึ้นใหม่ในศาสนา และแท้จริงทุกสิ่งอุตริขึนใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ และทุกบิดอะฮ นั้น เป็นการหลงผิด" - บันทึกโดยอะหมัด และ อัตติรมิซีย์

วะฮาบีย์นั้น พยายามเหลือเกินที่จะบอกว่า  การรวบรวมอัลกุรอานเป็นวายิบซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอับอายด้วยความเขลาของเขาที่กล่าวเช่นนี้

และถ้ามันเป็นสิ่งวายิบจริง วายิบ  ท่านบีก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็น ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งนี้ ..และก็ต้องโดนฮูกมว่า ทำบิดอะและต้องลงนรก เพราะไปขัดคำสั่งใช้ของอัลเลาะฮ์..นี่ขนาดท่านนบี ยังไม่ร฿เลยหรือว่า การรวบรวมอัลกรอานเป็นวายิบ...ท่านจึงได้ปล่อยมาถึงมือ คุลีฟะคนที่ 3 คืออุสมาน..

ถ้าเช่นนั้นจริง
ท่านอบูบักร์ ท่านอุมัร ท่านอุสมาน ท่านอะลี(รด) ไม่รู้เลยหรือ..ว่ามันป็นสิ่งวายิบที่ต้องกระทำและต้องพลอยรับแบบภาระมาเกือบ30-40ปี

พี่น้องครับ
อัลเลาะฮ์ไม่ได้สั่งใช้ให้รวบและนบีไม่ได้สั่งใช้ให้รวบรวมเป็นเล่มเลย  มีแจ่วะฮาบีย์สลัฟจอมปลอมเท่านั้น ที่บอกว่าและนำมาบัญญัติว่าเป็น "วายิบ"   การกล่าวว่า...วายิบ..ต้องรวบรวมอัลกุรอานเพราะอัลเลาะฮ์ใช้และร่อซูลใช้นั้น ย่อมเป็นการกล่าวอ้าง ..ที่ตอแหล ตลบตะแลงและโง่เขลาแบบลาที่ขาดสติ
เพราะอัลเลาะฮ์และร่อซูลไม่เคยสั่งให้กระทำมาก่อนเลย..  

แต่การที่ท่านอุมัร(รด)เห็นความสำคุญของการกระทำดังกล่าวนั้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และที่ท่านอบูบักร์ไม่คิดอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าท่าน..จะฝ่าฝืน..แต่ด้วยอำนาจของพระองค์ที่จะทรงฮีดายะให้ใครก่อน
และหากเป็นสิ่งจำเป็นอันเนื่องมาจากอัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ไม่ได้สั่งนั้น ซึ่งการกระทำของท่านซอฮาบะนั้นก็ถือว่า เขาเรียกว่า "บิดอะฮ์ที่ดี ที่สมควรจะกระทำหรือส่งเสริมมัน หรือเรียกอีกแบบว่า "ซุนนะฮ์(แนวทาง)ที่จำเป็น..
*******************************************
..
เมื่อเป็นเช่นที่วะฮาบีย์เข้าใจว่า...การกระทำใดๆก็ตามที่ไม่มีในสมัยท่านนบีนั้นเป็นบิดอะและไม่ถูกตอบรับแล้ว..

แล้วบรรดาคอลิฟะฮ์อัรรอชิดีน เขาทำการรวบรวมอัลกุรอานนั้น
เขาใช้หลักฐานอะไรมาเป็นบรรทัดฐานหรือ  ก็ในเมื่อคอลิฟะฮ์อัรรอชิดีนทั้ง4 ไม่เคยแอบอ้างตนเองว่า ...สิ่งที่ตนเองทำขึ้นโดยที่ท่านนบีไม่เคยทำนั้น "เป็นสุนัต"..หรือวายิบ.ก็ไม่มี เพราะนบีไม่เคยสั่งใครไว้เลย
แต่บรรดาคอลิฟะฮ์อัรรอชิดีนได้กระทำนั้นขึ้น เนื่องจากพิจารณาจากหลักการและเจตนารมของอิสลาม  เกรงว่าอัลกุรอานและสูญหายอันเนื่องจากบรรดานักอ่านถูกฆ่าตายในสงครามที่รบกับพวกตกมุรตัด  

ท่านอุมัรได้เล็งเห็นถึงกรณีดังกล่าว คือในการรวบรวมอัลกุรอาน  เลยไปปรึกษาท่านอบูบักร  แต่ในช่วงแรกท่านอบูบักรก็ไม่เห็นด้วยโดยท่านอบูบักรกล่าวว่า "ท่านจะให้ฉันกระทำในสิ่งที่ท่านนบีไม่เคยกระทำหรอ?"  แต่ท่านอุมัรก็พยายามทบทวนให้คำปรึกษากับท่านอบูบักร ดังนั้น อัลเลาะฮ์จึงเปิดใจให้ท่านอบูบักรทำการรวบรวมอัลกุรอาน  แล้วท่านอบูบักรและท่านอุมัร จึงเรียกตัวท่านซัยด์ บิน ษาบิต มา เพื่อรับคำสั่งการรวบรวมอัลกรุอาน

จะเห็นว่า การที่ท่านซัยด์ บิน ษาบิตจึงกล่าวถามว่า "ท่านทั้งสองจะใช้ให้ฉันกระทำสิ่งที่ท่านนบีไม่เคยกระทำหรือ?" [/b]..

แต่ไม่มีเคยมีซอฮาบะท่านใดกล่าวว่า ท่านนั้นกระทำการบิดอะ หรือเป็นซุนนะท่านนบีกระทำหรือเป็นสิ่งวายิบที่อัลเลาะฮ์ใช้ .แต่ทุกคนพากันปฏิบัติตามในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย..

จะมีก็เพียงวะฮาบวม สเลียมพันธ์ทัพ  เท่านั้นที่กล่าวอ้าง..

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version