เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

บิดอะฮ์ของวาฮาบีย์

<< < (8/39) > >>

คนอยากรู้:
จะเห็นว่า
 มีบรรดาหลายหะดิษที่กล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์  ซึ่งบางหะดิษกล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์โดยให้ความหมายที่ครอบคลุม( อุมูม )  แต่บางหะดิษกล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์โดยมีความหมายที่เจาะจงถ้อยความ( ตัคซีซ )

ดังนั้น  ส่วนหนึ่งจากหะดิษที่ให้ความหมายในเรื่องบิดอะฮ์โดยความหมายที่ครอบคลุม  คือ  หะดิษของท่าน ญาบิร บิน อับดุลเลาะฮ์  เขากล่าวว่า  ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

أما بعد: فإن خير الحديث كتاب الله وخير الهدى هدى محمد وشر الأمور محدثاتها وكل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

 ความว่า" จากนั้น  แท้จริงถ้อยความที่ดีที่สุด คือกิตาบุลเลาะฮ์  แต่ทางนำที่ดีที่สุด  คือทางนำของมุหัมมัด  แต่บรรดาการงานที่ชั่วที่สุด  คือบรรดาสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่  และทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น  เป็นบิดอะฮ์  และทุกๆ บิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"  ( รายงานโดยมุสลิม  หะดิษที่  867  อิมามอะหฺมัด  รายงานไว้ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 310   ท่านอันนะซาอีย์  รายงานไว้ในสุนันของท่าน  เล่ม 3 หน้า 188  และท่านอื่นๆ )

      คำว่า"บิดอะฮ์" ในหะดิษนี้  ครอบคลุมถึง  บิดอะฮ์เดียว หรือหลายๆ บิดอะฮ์  และครอบคลุมถึงบิดอะฮ์หะสะนะฮ์(ที่ดี) และบิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์(น่ารังเกียจ)

 มีหะดิษอีกส่วนหนึ่งที่รายงานด้วยถ้อยคำที่เจาะจงและทอนความหมายของคำ"บิดอะฮ์"  คือคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

من ابتدع بدعة ضلالة لا يرضاها الله ولا رسوله كان عليه مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزارهم شيئا

       ความว่า" ผู้ใดที่อุตริทำบิดอะฮ์อันลุ่มหลง  ที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ไม่พอใจ  แน่นอน  เขาย่อมได้รับบาปเหมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติมัน  โดยที่บาปของพวกเขาดังกล่าวจะไม่ทำให้สิ่งใดลงน้อยลง  จากบรรดาบาปของพวกเขา"  อิมาม  อัตติรมีซีย์  กล่าวว่า  หะดิษนี้  หะซัน ( ดู  อัล-อาริเฏาะฮ์ เล่ม 10 หน้า 148)  

       ในหะดิษนี้  ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้เจาะจงและทอนความหมายของคำว่า "บิดอะฮ์ที่หะรอม" นั้น  คือบิดอะฮ์อันน่ารังเกียจที่ไม่สอดคล้องกับหลักชาริอะฮ์

       ฉะนั้น  ตามหลักอุซูล ( อัลกออิดะฮ์ อัลอุซูลียะฮ์) คือ  เมื่อมีตัวบทที่รายงานมาจากหลักการของชาเราะอฺ  โดยมีถ้อยคำที่ครอบคลุม ( อาม ) และถ้วยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ )  ก็ให้นำเอาถ้อยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ )มาอยู่ก่อนในการนำมาพิจารณา  เนื่องจากในการนำถ้อยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ ) มาอยู่ก่อนนั้น  ทำให้สามารถปฏิบัติได้ทั้ง 2 ตัวบทไปพร้อมๆ กัน  ซึ่งแตกต่างกับการที่  เอาถ้อยคำที่ครอบคลุม ( อาม  ) มาอยู่ก่อน  เนื่องจากจะทำให้ยกเลิกหรือละทิ้งกับตัวบทที่ให้ความหมายเจาะจงไป ( ดู  ชัรหฺ อัลเกากับ อัลมุนีร เล่ม 3 หน้า 382)

       ฉะนั้น  จุงมุ่งหมายของคำกล่าวท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

 (  كل بدعة ضلالة )  

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

      หมายถึง  บิดอะฮ์อันน่ารังเกียจ  คือ  สิ่งที่อุตริขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่มีหลักฐานจากชาเราะอฺ  ไม่ว่าจะด้วยหนทางที่ครอบคลุมหรือเจาะจง

       และหลักการนี้  ก็อยู่ในนัยยะเดียวกับคำกล่าวของท่านร่อซูลุเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

كل عين زانية

      " ทุกๆสายตานั้น  ทำซินา" ( นำเสนอรายงานโดย อิมามอะหฺมัด ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 394 - 413   อบูดาวูด ได้รายงานไว้ใน สุนันของท่าน หะดิษที่ 4173   อัตติรมิซีย์  หะดิษที่ 2786   ท่านอันนะซาอีย์  เล่ม 8 หน้า 135  และท่านอัตติรมิซีย์กล่าว  หะดิษนี้  หะซันซอเฮี๊ยะหฺ  

      ดังนั้น  ถ้อยคำของหะดิษนี้ไม่ใช่หมายถึงทุกๆสายตานั้นทำซินา   แต่ทุกๆสายตาที่มองสตรีโดยมีอารมณ์ใคร่ต่างหาก  คือสายตาที่อยู่ในความหมายของซินา  (ดู หนังสือ  อัตตัยซีร บิชัรหฺ อัลญาเมี๊ยะอฺ อัศซ่อฆีร  ของท่าน อัลมะนาวีย์  เล่ม 2 หน้า 216)

       ท่านอัล-หาฟิซฺ  อิมาม  อันนะวะวีย์ (ร.ฏ.) กล่าวว่า
" คำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า  (  كل بدعة ضلالة ) " ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง" นั้น  

คืออยู่ในความหมายของ คำคลุมที่ถูกเจาะจง (คือถ้อยคำที่มีความหมายที่ครอบคลุมแต่ถูกเจาะจงหรือทอนความหมายด้วยหะดิษอื่น)  
จุดประสงค์ของท่านนบี(ซ.ล.) ก็คือ บิดอะฮ์ส่วนมากนั้นลุ่มหลง ในลักษณะจุดมุ่งหมายจากคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.)ก็คือ ส่วนมากของบิดอะฮ์(นั้นลุ่มหลง)
   และเช่นเดียวกันกับบรรดาหะดิษต่างๆที่มีหลักการเหมือนกับหะดิษนี้   และได้ทำการสนับสนุนกับสิ่งที่เราได้กล่าวมาแล้ว  โดยคำกล่าวของท่านอุมัร(ร.ฏ.) เกี่ยวกับละหมาดตะรอวิหฺ  ที่ว่า

نعمت البدعة هذه

"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี  คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"  

        และการที่หะดิษมีความหมายที่ครอบคลุมที่ต้องถูกเจาะจง (คือถ้อยคำที่มีความหมายที่ครอบคลุมแต่ถูกเจาะจงหรือทอนความหมาย)นั้น  ก็จะไม่ไปห้ามกับคำกล่าวของร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า (  كل بدعة ) "ทุกบิดอะฮ์"  โดยตอกย้ำด้วยคำว่า ( كل ) "ทุกๆ"  แต่จะต้องทำการเจาะจงหรือทอนความหมายของคำว่า ( كل ) "ทุกๆ" นี้ด้วย   กล่าวคือ ( ความหมายที่ครอบคลุมนี้คือ "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง"  โดยทำการเจาะจงหรือทอนความหมายด้วยหะดิษอื่น  จึงได้ความว่า  มีบิดอะฮ์อื่นที่ไม่ได้อยู่ในความหมายของบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง   ซึ่งเหมือนกับคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ที่ว่า ( تدمر كل شيء ) " มันเป็นลมที่จะทำลายทุกๆสิ่ง" (นอกบ้านเรือนของพวกเขาเป็นต้น)  (ดู  ชัรหฺ ซ่อเฮี๊ยะหฺ มุสลิม  ของอิมาม อันนะวะวีย์  เล่ม 3 หน้า 423) ..



ฉนั้น เราจะเห็นว่า วะฮาบีย์นั้นจะกระทำบิดอะเรื่อยมาโดยอ้างหลักเกินของตัวองมาตลอด  แต่น่าสงสาร ความคิดบิดอะในงวะฮาบีย์เกี่ยวกับหะดิษนั้น

กลับไม่เป็นที่ยอมรับของปวงปราญช์สมัยแล้วสมัยเล่า ..เพราะเป็นการสร้างฮุกมเพื่อ กมตัวเองเท่านั้น..

sufriyan:
สลามครับ บังๆทั้งหลาย และคุณอัชฮารี งั้นเดี๋ยวผมจะติดตามเฝ้าดูแถวๆไกล้ๆผมบ้างละกันครับ มีอะไร จะมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

คนอยากรู้:
:o หรือว่าความเข้าใจของผมจะเป็นบิดอะที่ลุ่มหลง.อีกคน
ถ้าผมอยากจะบอกว่า..

ตัวอักษรที่อ่านและเขี่ยนว่า มูฮำมัด..นั้น ที่แท้จริงนั้นมันคือ รูปร่างของมนุษย์หรือนูรของมุฮำมัดนั้นเอง..โดยสามารถ จะเขียนได้ใกล้เคียงที่สุดในแนวนอนโดย4ตัวอักษร เปรียบมาจากธาตุ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ซึ่ง4 ธาตุเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประกอบตัวในการสร้างให้เป็นมนุษย์ขึ้นมา..
แต่ผมคงจะโดน ฮุกมจากวะฮาบีย์ว่า อุตริกรรมอีกเช่นแน่ อะกึยๆๆๆ/size]

อัล-อุม:
อืมเข้ามา อ่าน..นะครับ..แฮ้ะๆๆๆๆ

คนอยากรู้:
:oops: และต่อไปเรามารู้จักบิดอะของวะฮาบีย์ ในหลักการแบ่งเตาฮีดออกเป็น3ประเภท

เป็นที่รู้ว่า ...ทัศนะของกมมูดอหรือวาฮาบีย์นั้นจะแบ่งเตาฮีดออกเป็น3 ประเภท  และบรรดาพวกวะฮาบียะหรือกลุ่มผู้รู้ของทัศนะนี้  ...พวกเขาจะทำการแบ่งเตาฮีดออกเป็น3ประเภท
1.เตาฮีดอัล-รูบูบียะ
2.เตาฮํ อัล-อูลูฮียะ
3.เตาฮีดอัล-อัสมาวัตซีฟัต.

ซึงการแบ่งดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นบิดอะที่ลุ่มหลงของทัศนะวะฮาบีย์วึ่งใช้เป็นที่สอนเรียนของโรงเรียนวะฮาบีย์ส่วนใหญ่

ที่ ไม่มีในสมัยท่านนบีและซอฮาบะ   ตาบีอีน    ตาบีอีต      ตาบีอีนและสลัฟแต่อย่างใด.แต่วะฮาบียะทำการแบ่งเอาเองโดยกหลักฐานจาสกอะยะกรุอ่านที่ 39//62ว่า..อัลเลาะฮ์นั้นผู้ทรงบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง
และอายะที่ว่า ..
แท้จริงองค์อภิบาลของพวกเจ้าทั้งหลายคือ อัลเลาะฮ์ ผู้ทรงบันดาล(สร้าง)

ฟากฟ้าและแผ่นดินใน6วัน หลังจากนั้นพระอง๕ได้ทรงประทับบนบรรลังค์ และบรหารจัดการทุกสิ่ง  10//3จากหนังสือของวะฮาบีย์เขียนโดย อับดุลกอเดร บินอะหมัด อัล-ไซน์..
ซึ่งการแบ่งดังกล่าวถือว่ามีความผิดมากกับทัศนะของอุลามะและมติปวงปราชญ์ทั่วโลก[/u][/u][/color][/size]

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version