เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

บิดอะฮ์ของวาฮาบีย์

<< < (9/39) > >>

คนอยากรู้:
การแบ่งเตาฮีด

การแบ่งเตาฮีดของทัศนะวะฮาบีย์นั้น แตกต่างกับการแบ่งเตาฮีดของมุสลิมชาวอะลิสซุนนะส่วนใหญ่ของโลกทีมีมา ตั้งแต่ยุคซอฮาบะ ของท่านนบี(ซล)

ในเรื่องหลักการศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีความเชื่อในเอกภาพต่ออัลเลาะเหมือนๆกัน เพียงแต่หลักฐานทาง  ด้านลายลักษณ์อักษรในด้านความเชื่อในสมัยนั้น หาได้ไม่มากนัก ในด้านการจัดเก็บหรือการบันทึกข้อมูลทางความเชื่อนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่านั้นสมัยนั้น ยังไม่มีความสมบุรณของอุปกรณ์และเครื่องมือในการจัดเก็บ

แต่การจัดเก็บจะอยู่ในรูปของการท่องจำไว้ในสมอง  

ดังนั้น..ความเชื่อที่เป็นลายลักษร์อักษรเหล่านั้นเลยไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นตัวอักษรแบบทุกวันนี้ ..จึงเป็นเป้าหมายของนักวิชาการสมัยใหม่ที่..เขาไม่ให้การนยอมรับว่า  แท้จริงแล้ว แนวทางความเชื่อเรืองเตาฮีดส่วนมากแล้ว ใน ความเชื่อที่ตรงและสอดคล้องกันตลอด..

ว่ากันว่า การจดบันทึกที่สมบูรน์นั้นเริ่มตั้งสมัย ราชวงค์อับบารียะตั้งแต่นั้นมา

ยังไรก็ตาม

 บรรดาผู้รู้ตั้งแต่อดีตนั้น เป็นหลักฐานหรือตัวอย่างที่ดีในการสืบค้นถึง  การกระทำต่างๆที่เกี่ยวกับงานศาสนาของเขาในอดีตได้ดีกว่า.เหตุผลอื่นๆ.. หรือเกือบจะกล่าวได้ว่า ...การกระทำของผู้รู้ก่อนๆบางอย่างนั้นชี้ให้เห็นถึงที่มาของการกระทำของคนในสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ คนที่มีความรู้ที่ดีในยุค 300ปี...เช่นอีหม่ามทั้ง4..

ซึ่งแนวทางการศรัทธาต่อเอกภาพของอัลเลาะของคนเหล่านั้น มีลักษณะไปทิศทางเดียวกัน...เช่น ลูกศิษย์ของอีหม่ามฮานาฟีที่มีชื่อเสียงและเป็นอุลามะใหญ่คนหนึ่งที่ชื่อ อัลมุตะรียะ ช่วยกันค้นคว้าหาหลักฐานจากอัลกรุอ่านกับบรรดาลูกศิษย์ของท่านอีหม่ามชาฟีอิ โดยพยายามหาหลักฐานที่มาเกี่ยวกับซีฟัตหรือคุณลักษณะของอัลเลาะในอัลกรุอาน ซึ่งจากเดิม นั้นซีฟัตสำหรับอัลเลาะห์ที่ท่าน ฮะซัน อัลอัศฮารีย์ค้นคว้านั้นมีเพียง7คุณลักษณะ แต่จากการรวมมือช่วยเหลือกันศึกษาเกี่ยวกับการรู้จักในเอกภาพอัลเลาะนั้น จากบรรดาลูกศิย์ของิหม่ามทั้ง2นั้น เป็น20ข้อ

คนอยากรู้:
ตรงนี้เราจะเห็นว่า บรรดาผู้รู้ในอดีตนั้นมีความเข้าใจตรงกัน ในแนวทางอาชาอิเราะ..ที่บอกว่า เรามุสลลิมนั้นต้องเรียนรู้ คุณลักษณะของอัลเลาะทั้20ประการ  ก่อน เพราะมันจำเป็นในการุ้จักกับพระเจ้าของเราทุกคน

แต่เมื่อมีนักวิชาการสมัยใหม่ หลัง400ปีถัดมา ความคิดที่เป็นบิดอะของนักวิชาการสมัยใหม่ในทัศนะของวะฮาบียะ นั้นเริ่มทำการค้นคิดบิดอะในแบบฉบับของวะฮาบีย์โดยการปรุงแต่งหลักสูตรและตำราต่างๆ.. ในหลักการแบ่งเตาฮีดออกเป็น3ประเภทโดยที่จะไม่ให้มีความเหมือนกับ..แนงวทางเดิม ที่มีมาในอดีต..

ในที่สุดพวกเขาก็ได้สูตรสำเร็จรูปในการค้นคิดบิดอะดอลาละตัวใหม่ขึ้นนั้นคือ..การแบ่งเตาฮีดออกเป็น3ประเภท

1.เตาฮีดอัล-รูบูบียะ

2.เตาฮีด อัล-อูลูฮียะ

3.เตาฮีดอัล-อัสมาวัตซีฟัต.

ซึงการแบ่งดังกล่าวนั้นถือว่า

เป็นบิดอะที่ลุ่มหลงของทัศนะวะฮาบีย์ที่ไม่เป็นที่รู้จักมาคุ้นของอุลามะในอดีตที่เป็นทั้ง ซอฮาบะ ตาบีอีน ตาบีอิตตาบีอีนและคนสลัฟ

สิ่งเหล่านี้ เป็นการคัดค้านกับความรู้ของอุลามะในอดีตอย่างสิ้นเชิงซึ่งการแบ่งดังกล่าวถือว่ามีความผิดแผกกับทัศนะของอุลามะและมติปวงปราชญ์ส่วนใหญ่ของทั่วโลก..ที่พวกเขานั้น จะมีลักษณะความเชื่อในเอกภาพต่ออัลเลาะในแนวทางหรือเส้นทางเดียวกัน..โดยไม่ขัดแย้งกัน..

ดังนั้น..เราจึงกล่าวได้ว่า  การแบ่งเตาฮีดของวะฮาบีย์นั้นเป็น บิดอะที่ลุ่มหลง

และเป็น อุตริกรรมหรือสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ ที่ไม่มีในสมัยท่านนบี

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

من ابتدع بدعة ضلالة لا يرضاها الله ولا رسوله كان عليه مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزارهم شيئا

ความว่า" ผู้ใดที่อุตริทำบิดอะฮ์อันลุ่มหลง ที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ไม่พอใจ แน่นอน เขาย่อมได้รับบาปเหมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติมัน โดยที่บาปของพวกเขาดังกล่าวจะไม่ทำให้สิ่งใดลงน้อยลง จากบรรดาบาปของพวกเขา" อิมาม อัตติรมีซีย์ กล่าวว่า หะดิษนี้ หะซัน ( ดู อัล-อาริเฏาะฮ์ เล่ม 10 หน้า 148)

...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว  ตำรับตำราของทัศนะวะฮาบีย์ที่ใช้สอนเรียนในหนังสือของเขานั้น ก็เป็นการอุตริขึ้นมาทั้งสิ้น เพื่อ ที่จะสอนให้ผู้ที่อยู่ในแนวทางเดียวกับตนได้เข้าใจ ในสิ่งเดียวกัน  ถือว่า เป็นการโง่งมงายยิ่งนัก.

พวกเขาไม่ได้เข้าใจในคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) หรือไรที่ว่า

( كل بدعة ضلالة )

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

หมายถึง บิดอะฮ์อันน่ารังเกียจ คือ สิ่งที่อุตริขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่มีหลักฐานจากชาเราะอฺ ไม่ว่าจะด้วยหนทางใดๆ

--เมื่อสิ่งที่ตนประดิษฐ์ขึ้นมาแล้วอ้างว่า ดีนั้น .ไม่ได้มีการรยอมรับและผ่านการรับรู้มาจาก บรรดาผู้รู้ในอดีตมาก่อนนั้น

ย่อมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับความคิดสมัยใหม่ของทัศนะหลังนี้..นะอูซูบิ้ลลา..

คนอยากรู้:
เราจะเห็นว่า ทัศนะของวะฮาบีย์นั้น จะไม่ยอมให้ความหมายใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขากล่าวว่า คำว่าบิดอะนั้นมีอย่างเดียว โดยอ้างหะดิษที่ท่านนบีกล่าวว่า..
( كل بدعة ضلالة )

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

ในความเป็นจริงนั้น ..ท่านนบีหมายถึง บิดอะที่ลุ่มหลงที่ไม่มีจากกีตาบุลลอฮ์และซุนนะนบีมาก่อน..โดยหมายถึง บิดอะฮ์อันน่ารังเกียจ คือ สิ่งที่อุตริขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่มีหลักฐานจากชารีอัตหรือการปฏฺบัติของท่าน ( ไม่ว่าจะด้วยหนทางที่ครอบคลุมหรือเจาะจง)

ซึ่งเราจะเห็นจากหะดิษที่ให้ความหมายในเรื่อง..บิดอะฮ์..โดยความหมายที่ครอบคลุม

คือ หะดิษของท่าน ญาบิร บิน อับดุลเลาะฮ์ เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

أما بعد: فإن خير الحديث كتاب الله وخير الهدى هدى محمد وشر الأمور محدثاتها وكل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

ความว่า" จากนั้น แท้จริงถ้อยความที่ดีที่สุด คือกิตาบุลเลาะฮ์ แต่ทางนำที่ดีที่สุด คือทางนำของมุหัมมัด แต่บรรดาการงานที่ชั่วที่สุด คือบรรดาสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ และทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์ และทุกๆ บิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"
จาก รายงานโดยมุสลิม หะดิษที่ 867

และจากรายงานของท่านอิหมามอะหฺมัด ที่รายงานไว้ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 310
และหลักฐานจากท่านอีหม่ามอันนะซาอีย์ รายงานไว้ในสุนันของท่าน เล่ม 3 หน้า 188 และท่านอื่นๆ )

โดยให้ความหมายของ คำว่า"บิดอะฮ์" ในหะดิษนี้ ครอบคลุมถึง บิดอะฮ์เดียว หรือหลายๆ บิดอะฮ์ และครอบคลุมถึงบิดอะฮ์หะสะนะฮ์(ที่ดี) และบิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์(น่ารังเกียจ)

มีหะดิษอีกส่วนหนึ่งที่รายงานด้วยถ้อยคำที่เจาะจงและทอนความหมายของคำ"บิดอะฮ์" คือคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

من ابتدع بدعة ضلالة لا يرضاها الله ولا رسوله كان عليه مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزارهم شيئا

ความว่า" ผู้ใดที่อุตริทำบิดอะฮ์อันลุ่มหลง ที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ไม่พอใจ แน่นอน เขาย่อมได้รับบาปเหมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติมัน โดยที่บาปของพวกเขาดังกล่าวจะไม่ทำให้สิ่งใดลงน้อยลง จากบรรดาบาปของพวกเขา" อิมาม อัตติรมีซีย์ กล่าวว่า หะดิษนี้ หะซัน ( ดู อัล-อาริเฏาะฮ์ เล่ม 10 หน้า 148)

ดังนั้นสิ่งที่ทัศนะวะฮาบีย์ไม่ยอมรับว่า บิดอะนั้นมีทั้ง บิดอะที่ดีและบิดอะที่เลวนั้น แท้จริงเขานั้นเป็นผู้ฉ้อฉล และไม่ยอมรับ ในหะดิษที่ท่าน ญาบิร บิน อับดุลเลาะฮ์ ที่ท่านมุสลิมนำมารายงานและอีกยังไม่เข้าใจในในความรู้ของอุลามะกับ สิ่งที่ท่านอีม่ามอะหมัดและท่านอันนาซะอีย์กล่าวในสุนันของท่าน..

เป็นที่ทราบดีว่า บรรดาผู้รู้และอุลามะรุ่นก่อนนั้นย่อมมีความเข้าใจในเรื่องบิดอะไปในทิศทางเดียวกัน  ยังคงมีแต่ทัศนะวะฮาบีย์เท่านั้นที่ไม่ยอมเปิดตาเปิดห๔กับสิ่งที่บรรดาผู้รู้ของอัลลอฮ์ให้ความกระจ่าง


และบรรดาผู้รูเหล่านั้น ไม่ได้เป็นผู้โง่เขลาเลยที่ได้แยกแยกในคำว่าบิดอะนั้น ซึ่งแบ่ง 2ประเภท  

คือ บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ที่ ต้องไม่ไปขัด หรือ ค้าน กับตัวบทหนึ่ง จากบรรดาตัวบทของศาสนา  เช่นอัลกุรอาน  หะดิษ และอิจญฺมาอฺ และในขณะเดียวกัน..บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ต้องไม่ทำให้มีการยกเลิก หรือลบล้าง ซุนนะฮ์ใด ซุนนะฮ์หนึ่งของศาสนา

อิมาม อัลฆ่อซาลีย์ได้กล่าวไว้ว่า "บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนินั้น คือสิ่งที่ไปคัดค้านกับซุนนะฮ์ที่มีอยู่เดิม หรือเกือบจะทำการเปลี่ยนซุนนะฮ์นั้น"    

เช่น การซิกิรในการำลึกถึงอัลลออ์(ซบ) โดยการนับด้วยลูกตัสเบี๊ยะหฺ ซึ่งตามทัศนะของเรา(อัชชาฟีอี)นั้น มันคือบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  กล่าวคือ เช่น เราได้ถูกใช้ให้ทำการ ตัศเบี๊ยะหฺ หนึ่งร้อยครั้ง  โดยที่การนับจำนวนนั้น ต้องมีสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือนับ ที่มาช่วยกำหนดจำนวนนั้นไว้ และท่านร่อซูลก็ไม่ได้สอนเราไว้ว่า ให้เรากำหนดนับมันอย่างไร และไม่ได้กำหนดเครื่องมือในการใช้นับ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า สิ่งใดก็ตามที่ ที่ช่วยในการนับได้ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่สุนัต เพราะหลักการแห่งนิติศาสตร์อิสลาม (อัลกออิดะฮ์)ได้กำหนดไว้ว่า

ما لا يتم الواجب إلا به فهو واجب                                                                                

 "สิ่งหนึ่ง ที่วายิบจะไม่สมบูรณ์ นอกจากด้วยกับมัน ดังนั้น มันย่อมเป็นสิ่งที่วายิบด้วย"
เพราะฉะนั้น  สิ่งหนึ่ง ที่ศาสนาได้ส่งเสริมจะไม่สมบูรณ์ นอกจากด้วยกับสิ่งนั้น  แน่นอน  สิ่งดังกล่าวก็ย่อมเป็นสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมด้วย"

       ฉะนั้น ผู้ใดที่ต้องการจะซิกิร ด้วยจำนวนดังกล่าว ก็สุนัตให้เขา เอาสิ่งหนึ่งมาช่วยนับการซิกิรกับจำนวนที่ถูกใช้ ไม่ว่าจะเป็นการนับด้วย ลูกตัสเบี๊ยะหฺ ก้อนหิน ปมเชือก หรืออื่นๆ  ถือว่าได้ทั้งหมด

และได้มีรายงานจากท่านร่อซุลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ว่า ท่านได้ทำการตัสเบี๊ยะหฺด้วยการนับด้วยข้อของนิ้วมือ หลังละหมาด และนบีก็ส่งเสริม

ซึ่งมีรายงานเช่นกัน
จากท่านอบี อัดดัรดาอ์ ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ท่านสะอัด บิน อบีวักก๊อซ และท่านอบี ซ่อฟียะฮ์  ว่าพวกเขาได้ทำการตัสเบี๊ยะหฺ ด้วยเมล็ดอินทผาลัม และลูกหิน  

ดังนั้น หากเรามีเครื่องมืออื่นอีก ในการนับการซิกิร ก็ถือว่าให้กระทำได้ เนื่องจากมันไม่ได้ไป ค้านกับซุนนะฮ์ หรือไปทำลายหลักการของซุนนะฮ์ท่านนบี(ซ.ล

ดังนั้น การกระทำเหล่านี้..ไม่ได้เป็นบิดอะอย่างที่วะฮาบีย์เข้าใจเลย  แต่ยนั้นคือซุนนะของท่านนบีเช่นกัน

ฉนั้นคำว่าบิดอะในฮาดิษ..นั้นถ้าเราพิจรณาที่มานั้นเป็นแค่ฮะดิส ระดับฮาซันเท่านั้นและในขณะเดียวกัน อุลามะบางท่านกล่าว่ามันเป็นแค่ดออีฟแค่นั้น


แต่สำหรับทัศนะใหม่แบบวะฮาบีย์นั้น พวกเขาฮะดิสที่ไม่ใช้ซอเหียะประเภทนี้ กับเราผู้ที่อยู่ในมัสหับชาฟีอี(รฮ)...ทั้งที่ ในความจริงพวกเขามักอ้างว่า

การกระทำใดๆก็ตามหรือจะฮุกมอะไรก็ตามตัวบทฮะดิสนั้นจะต้องซอเหียะเท่านั้น
มาวันนี้วะฮาบีย์มาแนวใหม่เพื่อที่จะฮุกมเรา(มัสหับชาฟีอี) โดยการอ้างในตัวบท ทแค่ระดับ ฮะซันคำว่า ทุกๆบิดอะคือการหลงผิด  และการหลงผิดจะนำสู่ไฟนรก..

ทุกครั้งที่ขึ้นบรรยาย  พวกเขาช่างไม่ยุติธรรมต่อผู้รู้ในมัสหับทั้ง4เลย  ที่พวกเขาไม่ยอมเอาความเข้าใจของผู้รู้ที่ต่างทัศนะกับตนมารับฟัง  ตรงกันข้ามพวกเขาจะรับฟังเฉพาะผู้รู้ในทัศนะเขาเท่านั้น

คนอยากรู้:
:o

ฉนั้น ด้วยฮาดิสฮะซันนี้เอง วะฮาบีย์จึงกล้าที่จะฮุกมพี่น้องมุสลิมที่มีทัศนะต่างจากตนว่าเป็นชาวอะลุ้ลบิดอะ..ทั้งที่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าความหมายที่แท้จริงของฮาดิสนี้ท่านนบีหมายความว่าอย่างไร

 كل بدعة ضلالة )

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

ทั้งที่อุลามะส่วนมากทั้ง4มัสหับต่างก็เข้าใจว่า สิ่งท่านนบีกล่าวนั้นหมายถึง บิดอะฮ์อันน่ารังเกียจ คือ สิ่งที่อุตริขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่มีหลักฐานจากการกาะทำ ไม่ว่าจะด้วยหนทางใดๆ ..

ไม่ใช่ทุกๆบิดอะ ตามที่ผู้รู้ในทัศนะของวะฮาบีย์เข้าใจเลย..

ubaid:
มันเป็นเรื่องที่อธรรมที่สุด การที่ใครบ้างคนกุคำพูดหนึ่งหรือทัศนะหนึ่ง แล้วพาดพิงคำพูดนั้นหรือทัศนะนั้นถึงคนๆหนึ่ง ทั้งๆที่เขาไม่ได้กล่าวหรือยึดถือแต่ประการใด หนึ่งในคำพูดที่อุปโลกขึ้นนั้นคือ

1. การกล่าวว่าพวกวะหะบีย์ (ศัพย์ที่บางคนพาดพิงถึงบางกลุ่ม ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้ยอมรับแต่ประการใด) ว่า พวกเขานั้น ((ไม่ยอมรับทัศนะจากผู้รู้ทั้ง4 ))
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว พวกเขายอมรับทัศนะของอุละมาอฺทั้งสี่ และอุละมาอฺอื่นๆก่อนหน้าท่านและหลังจากท่าน เพราะความรู้ศาสนาจะถ่ายทอดสู่ชนรุ่นหลังได้อย่างไร หากไม่มีพวกท่านเหล่านั้น ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ยึดติดกับมัซฮับทั้งสี่หรือยึดติดกับอุละมาอฺคนใดคนหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่ไม่ยอมรับทัศนะของพวกท่าน เพราะท่านนบีให้ปฏิบัติตามท่าน ไม่ใช่ให้ปฏิบัติตามมัซฮับใดมัซฮับหนึ่ง มัซฮํบใดพ้องกับซุนนะฮฺของท่านนบีในปัญหาหนึ่งๆ เราก็ปฏิบัติตามมัซฮับนั้น
ส่วนการกล่าวคำพูดเช่นนั้นลอยๆโดยไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าจะกล่าวขึ้นมาเอง หรือตักลีดเขามา เช่นนี้จะเรียกว่าอย่างๆไร

2. การกล่าวว่าพวกวะหะบีย์หรือแนวคิดของอิบนุตัยมียยะฮฺ คือแนวคิดของ มุชับบิฮะฮฺ หรือ มุชัสสิมะฮฺ นี้ก็แล้วไปใหญ่
กล่าวขึ้นมาลอย โดยไม่มีหลักฐาน การที่พวกเขายอมรับว่าอัลลอฮฺมีพระหัตถ์ มันก็ไม่จำเป็นว่าพระหัตถ์ของอัลลอฮฺจะต้องเหมือนกับพระหัตถ์ของท่าน ๆ แต่ทว่าพวกเขายอมรับว่าพระองค์มีพระหัตถ์ แต่พระหัตถ์ของพระองค์ไม่เหมือนกับมัคลูก ไม่มีการเปรียบเทียบ
ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวของท่านอิบนุตัยมิยะฮฺเอง ในหนังสือของท่านหลายๆเล่มเช่นในหนังสือ อัตตัดมุรียยะฮฺ มีอยู่บทหนึ่งท่านจะตอบโต้ของพวกมุชัสสิมะฮฺและมุชับบิฮะฮ (อัตตัดมุรียยะฮฺ หน้า 35,มักตะบะฮฺ อัลอุบัยกาน)
และท่านกล่าวในตอนหนึ่งว่า ((และแนวทางของพวกเขา(สลัฟ) รวมถึงการยอมรับในพระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ พร้อมกับปฏิเสธการเหมือนกับมัคลูก และยอมรับโดยไม่มีการเปรียบเทียบ .... )) (อัตตัดมุรียยะฮฺ หน้า8)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version