เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
บิดอะฮ์ของวาฮาบีย์
คนอยากรู้:
ขอบคุณ คุณismail มากครับ
ที่นำเหตุการณ์เก็บตกมาเล่าให้ฟัง..ยังไงเราๆก็ต้องช่วยๆกันนะครับ ลัทธิบิดอะของวะฮาบีย์นั้นจะเริ่มจากการ เข้าสู่ประตู ฟัตวา อันดับแรก บนพื้นฐานที่ตนเข้าใจแลบะสอดคล้องกับแนวทางของตนโดยอ้างคำพูดของรู้ที่ตนเห็นว่ามันสอดคล้องมาเป็นเป้าหมายในการล่อเป้าขยายวงเพื่อฮูกมทัศนะของอุลามะในอดีต
คนอยากรู้:
พี่น้องทั้งหลายครับ..ณ.วันนี้..ผมพอจะสรุปสั้นๆได้ว่า..
ทัศนะวะฮาบีย์(หรือกมมุดอหรือนักวิชาการสมัยใหม่ๆ)นั้นคือทัศนะที่ไม่เอาอุลามะในแต่ละมัสหับในสิ่งที่พวกเขาเห็นว่ามันขัดเขาแย้งกับความคิดเห็นในอุลามะในทัศนะของเขา...
..ฉนั้นการที่มีผู้กล่าวว่า.
..การไม่มีมัสหับเป็นที่ยอมรับของนักปราชญ์ความหมายสิ่งนี้คือ..มันสำหรับผู้ที่มีความสามารถวินิจฉัยปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเองและรู้ดีในทุกๆทัศนะอย่างดีเยี่ยม แต่มัสหับต่างๆที่มีอยู่นั้น อนุญาตให้คนเอาวามหรือผู้ไม่รู้ทำการตามมุฟตีเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย..และเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาผู้ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องศาสานา มาก่อนเลย
แต่ที่เป็นบิดอะดอลาละคือคนที่ไม่เห็นด้วยในการมีทัศนะให้ตามนั้นถือว่า เขาคือผู้ที่ปฏิเสธความรู้ของท่านเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งเป็นที่อันตรายสำหรับผู้ที่คัดค้านพี่น้องมุสลิมที่ไม่มีความรู้ในวิชาศาสนาเลยไม่ให้ตักลีดตามมัสหับหนึ่งมัสหับใด หรือพยายามชี้นำหรือบิดเบือน...โดยการห้ามคนเอาวามคนที่ไม่มีความรู้พอไม่ให้ทำการตักลีดตามมัสหับ
ในความเป็นจริงเป้นที่รู้ว่า..ความสามารถในการเรียนรู้ และสติปัญญาของเขาเหล่านั้น อัลลออ์(ซบ)ให้ไม่เท่าเทียมกันแต่วะฮาบีย์และชาววะฮาบียะไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ซึ่งพวกเขานั้น..ต้องการให้ทุกคนที่เป็นมนุษย์มีความรู้เท่าเทียมกันหมดโดยที่ลืมตัดดีร์ของอัลลออ์อย่างสิ่นเชิง
ดังนั้น ผู้ที่ไม่มีความรู้นั้นจะให้เขาเข้าใจอัลกรุอ่านและอัลฮาดิสอย่างท่องแท้เช่นผู้รู้กว่าได้อย่างไร..จะให้เขาวินิจฉัยและตีความหมายกระนั้นหรือ..อย่างนี้อิสลามก็เสียหาย..
ฉนั้นผู้รู้นั้นจำต้องตามถ้าเขามีความรู้ความสามารถมากกว่าเรา
แต่ไม่ใช่ว่าจะยึดคนเหล่านั้นเหนืออัลลออ์และเทียบเท่าท่านร้อซุ้ล ซึ่งตรงนี้มันคนละเรื่องกันระหว่างการตามผู้ที่มีความรู้กับคนที่อัลลออ์ประสงค์ให้กับเขา..และไม่ใช่เป็นเรื่องผิดในหลักการแต่อย่างใดเลย..
ดังนั้นบิดอะอย่างน่าเกลียดที่เกิดขึ้นกับทัศนะใหม่อย่างวะฮาบีย์และพวกวะฮาบียะที่เขาเหล่านั้นห้ามผู้ที่เอาวามตักลีด..ตามมัสหับหนึ่งมัสหับใด และเขามักอ้างว่า..มัสหับนั้นเป็นบิดอะ..
จะเป็นไปได้อย่างไรก็ในเมื่ออดีตที่ผ่านมาตั้งฮิจเราะ80ปีกว่าจนท่านอีม่ามฮานาฟีเสียชีวิตมัสหับก็เริ่มเกิดมาตั้งแต่นั้น..และสืบทอดกันมา..ถ้าอย่างนั้นคนในสมัยดังกล่าวก็ผิดพลาดหมดและทำบืดอะหมด..ตามความคิดของพวกวะฮาบียะสมัยหลัง
และจริงๆความคิดที่ฮุกมเรื่องมีมัสหับนั้น เพิ่งเกิดชัดเจนในยุคหลังของปีฮิจเราะที่900 -1000กว่าปีนี่อง..โดยการคัดค้านของนักวิชาการสมัยใหม่ เช่นท่านอิบนุ อับดุลวะฮาบ..
เป้นไปได้อนย่างไร.ที่เขากล่าว ประนามการมีมัสหับของชนรุ่นก่อนอย่างน่าอนาจใจ..วัลอิยาซุบิ้ลลา..
ในความเป็นจริงการคัดค้านหรือต่อต้านหรือการห้ามไม่ใหมีหรือการไม่มีการมีมัสหับต่างหากละที่..น่าจะถูกฮุกมว่าเป็นการทำบิดอะดอลาละ. ...
.
คนอยากรู้:
และถ้าเราได้อ่านหนังสือที่ชาววะฮาบีย์ทำการหยิกแจกนั้น
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้..มีการโจมตีและไม่เห็นด้วยกับผู้ที่มีมัสหับทุกประเภท..ไม่ว่า คนเอาวาม คน อาลิม คนยาเฮล..ฯลฯหนังสือดังกล่าวเขียนโดย อุลามะวะฮาบีย์ชื่อ อัลมะซุมีย์ 1ในผู้ตักลีดชาววะฮาบียะในมัสหับของท่าน มูฮำมัด บิน อับดุลวะฮาบ ผู้เคลื่อนไหวแนวลัทธิใหม่นี้.
ซึ่งได้เกิดปัญหาต่างๆที่กล่าวมานี้มากมาย ซึ่งจะนำมากล่าวบอกที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นที่เดียวที่ผมไว้ใจและที่สำคัญคือ
เขาคือชาวอะลิสซุนนะที่ท่านนบีกล่าวไว้..ในการดำเนินชีวิตและหลักการด้วยเหตุผลตามบรรชนยุคสลัฟอันประเสริฐ ไม่ใช่แอบอ้างหรือเลียนนแบบในสิ่งที่ตนเห็น..ว่ามันสอดคล้องกับแนวทางของตนเท่านั้น แต่เวปนักเรียนซุนนะฯนี้คือ..การยอมรับต่อความรู้ของบรรดาปวงปราชญ์ของโลกที่อุลามฮ์ะรุ่นก่อนเขายอมรับกัน ...โดยไม่แยกแยะว่า..แนวทางนั้นผิดหรือแนวทางนี้ถูก..แต่เขาให้เกียรติ..ผุ้รู้เหล่านั้นโดยไม่กล่าวทับถม..แม้ว่า เขาคือผู้ตักลีดตามทัศนะนั้นก็ตาม..
และสิ่งผมจะนำมาบอกนั้นสร้างความไม่สบายใจต่อบังและคนอาลิมคนอื่นๆมาก
..ไม่ว่า การปฏิบัติที่แหวกแนวจากบรรดาคนอาลิมรุ่นก่อนๆที่เขาไม่เคยกระทำอะไรกันในอดีตหลายร้อยปีมาแล้ว..
..พี่น้องทั้งหลายครับ
ชาวบ้านบางคนน่าสงสารมากเลยครับ..ที่เขาเดินตามแนวทางนี้ แล้วพากันทิ้งแบบฉบับของบรรพบุรุษที่ประเสริฐในอดีตอย่างน่าใจหาย..เช่น..การทิ้งละหมาดอย่างจงใจ...โดยเขาอ้างว่า สามารถเตาบัตได้เมื่อมีใจสำนึก ..
โดยอ้างถึง..ทัศนะของเขาเมื่อทิ้งละหมาดแล้วก็ไม่ต้องชดเชยใดๆแต่ให้ เตาบัตก็พอทำให้ผู้ไม่รู้แถวบ้านเช่น ชาวประมงและกลุ่มวันยรุ่นหลายคนที่อาศัยในละแวกเดียวกันนี้ จงใจทิ้งละหมาด..เพี่ยงอ้างโองการอัลกรุอ่านที่พระองค์ทรงกล่าวถึงการให้อภัย..สำหรับผู้ที่เผลอเรอจากการละหมาดที่เขาได้พลาดไป..ให้เตาบัตตัวและออกห่างสิ่งนี้..
แต่ไม่เช่นนั้น.ชาวบ้านที่ขาดละหมาดแล้วเตาบัตรซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเช่นนี้มาตลอด....โดยไม่ละหมาดชดเชย เป็นอยู่เช่นนี้.และปฏฺบัติตามๆกันมาเป็นหลายๆปี..มาแล้ว..
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่นำมาเล่าว่า..ชาววะฮาบีย์นั้นชอบสอนชาวบ้านที่ไมรู้ยาเฮล ว่า การขาดละหมาดโดยเจตนานั้นไม่จำเป็นต้องชดเชย..ชาวบ้านที่นั้นเลยขาดและละทิ้งโดยเจตนากับละหมาดนั้นกลายเป็นฮุกมอาดัดไปเลยครับ..เมื่อทิ้งและเตาบัตรเป็นเช่นนี้เหมือนกับว่า เขาเหล่านั้นกำลัง..ล้อเล่นต่อ องค์อัลเลาะอัสวัญญัลละอย่างไม่เกรงกลัวการลงโทษใดๆ
ด้วยเพียงการเข้าใจในเนื้อหาในโองการอัลกรุอานบางความหมายที่ผิดๆและเบี่ยงเบน..โดยเข้าใจและไม่มีก่ารตีความใดๆจากเขา..และไม่ได้ตามความรู้จากบรรดาผู้ที่เข้าใจในเนื่อหาและอรรถรสแก่นแท้ของใจความอัลกรุอ่านแต่พวกเขา ทำเป็นผู้ที่เข้าใจดีกว่าพวกอื่นๆเลย..ให้น้ำหนักว่า เมื่อขาดละหมาดไม่ว่าในกรณีใด ไม่ต้องละหมาดชดเชยมัน...
นี้คือบิดอะดอลาละที่ชาววะฮาบียะ..บางกลุ่มเขาเข้าใจแบบนี้จริงๆที่บังเคยประสพมา ..แถวๆบ้านผม
ถ้าเราค้นจากหลักฐานที่บรรดาอุลามะในมัสหับทั้ง4 และมัสหับชาฟีอีแล้วเราจะพบว่า...
บรรดานักวิชาการส่วนหนึ่งเหล่านั้น มีความเห็นสอดคล้องกันตามฮาดิสข้างล่าง
ว่า การละหมาดชดใช้ เป็นวาญิบสำหรับผู้ที่ลืมละหมาด หรือนอนหลับ โดยอ้างสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
إِنَّهُ لَيْسَ فِي النَّوْمِ تَفْرِيطٌ إِنَّمَا التَّفْرِيطُ فِي الْيَقَظَةِ فَإِذَا نَسِيَ أَحَدُكُمْ صَلَاةً أَوْ نَامَ عَنْهَا فَلْيُصَلِّهَا إِذَا ذَكَرَهَا
"แท้จริงการนอนนั้น ไม่ถือเป็นการละเลย แต่การละเลยนั้น อยู่ที่คนไม่ได้หลับ ดังนั้น เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านลืม หรือ นอนหลับจนไม่ได้ละหมาด เขาก็จงละหมาด เมื่อเขานึกขึ้นได้" ? รายงานโดย อัตติรมิซีย์... และรายงานอีกบทที่ว่า.
عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ قَالَ
قَالَ نَبِيُّ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ نَسِيَ صَلَاةً أَوْ نَامَ عَنْهَا فَكَفَّارَتُهَا أَنْ يُصَلِّيَهَا إِذَا ذَكَرَهَا
รายงานจากอะนัส บุตร มาลิก กล่าวว่า ?ศาสดาของอัลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ?ผู้ใดลืมละหมาด หรือ นอนหลับไม่ได้ละหมาด ดังนั้น การชดใช้คือ ให้เขาละหมาด เมื่อเขานึกขึ้นได้ ? รายงานโดย มุสลิม
**********************************************************************************************************
....และในกรณีที่เกิดความจงใจในการทิ้งละหมาดโดยเจตนาแม้ไม่มีอุปสรรคนั้นก็ตาม..มัสหับทั้ง4 ลงมิติเห็นพ้องว่า(อิตมาฮอะ)จำต้องละหมาดชดเชยกับมัน
فقال ابو حنيفة والشافعي وأحمد ومالك يجب عليه قضاؤها ولا يذهب القضاء عنه إثم التفويت بل هو مستحق للعقوبة إلى أن يعفو الله عنه
وقالت طائفة من السلف والخلف من تعمد تأخير الصلاة عن وقتها من غير عذر يجوز له التأخير فهذا لا سبيل له إلى استدراكها ولايقدر على قضائها ابدا ولا يقبل منه
อบูหะนีฟะฮ อัชชาฟิอี อะหมัดและ มาลิก กล่าวว่า จำเป็นต้องละหมาดชดใช้ และการชดใช้จากมัน ไม่ได้ทำให้พ้นจากความผิดฐานที่ปล่อยเวลา(ละหมาด)ให้ผ่านไป แต่ทว่า เขาสมควรที่จะได้รับการลงโทษ จนกว่าอัลลอฮจะอภัยให้แก่เขา
******************************************** **********************************************************
ส่วนนักวิชาการอีก กลุ่มหนึ่งจากยุคสลัฟและเคาะลัฟ กล่าวว่า ?ผู้ใดเจตนาประวิงเวลาละหมาด จนหมดเวลาของมัน โดยปราศจากเหตุสุดวิสัยที่อนุญาตให้เขาประวิงเวลาได้ ดังนั้น กรณีนี้ ไม่มีหนทางสำหรับเขา ที่จะเอามันกลับคืนมาได้ และไม่สามารถที่จะชดใช้มันได้ ตลอดไป และมันจะไม่ถูกรับรองจากเขา[/color
]- กิตาบุศเศาะลาต วะหุกมุตาริกุฮา เล่ม 1 หน้า 93 ของเช็ค محمد بن أبي بكر أيوب الزرعي أبو عبد الله
وأما التارك للصلاة عمداً، فمذهب الجمهور، أنه يأثم، وأنَّ القضاء عليه واجب. وقال ابن تيمية: تارك الصلاة عمداً لا يشرع له قضاؤها، ولا تصح منه، بل يكثر من التطوع.
และสำหรับผู้ที่ทิ้งละหมาดโดยเจตนา ทัศนะของนักปราชญ์ส่วนใหญ่ ว่า มีความผิดคือเขาทำบาปใหญ่(หรือฟาซิก) และการละหมาดชดใช้นั้น จำเป็น สำหรับเขาเสมอ
แต่ทัศนะของอิบนุตัยมียะฮท่านกล่าวว่า..
?ผู้ที่ทิ้งละหมาดโดย เจตนา ไม่มีบัญญัติใช้ให้เขาละหมาดชดใช้ และ การชดใช้นั้น ใช้ไม่ได้ แต่ทว่า ให้เขาละหมาดอาสา(สุนัต)ให้มากๆ ? ฟิกฮสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 231
ขณะเดียวกันนักวิชาการส่วนน้อยที่สนับสนุนความคิดนี้กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องละหมาดชดใช้ เช่น
1.อัลหะซัน อัลบัศรีย์(1) 2.อิบนุหัซมิน (2) 3. อิบนุตัยมียะฮ (3) 4. เช็ค บินบาซ (4) 5. เช็คอุษัยมีน (4)
......................
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนมากนั้น ไม่ว่าตาบีอีน ตาบีอิตตาบีอีนและจากมัสหับทั้ง4 และคนสลัฟนั้นเขาสนับสนุนให้ละหมาดชดเชยในส่วนที่บกพร่องจนเต็มและก็ละหมาดสุนัตได้
คนอยากรู้:
ส่วนข้อความข้างล่างนี้คือ..ทัศนะของนักวิชาการส่วนน้อยที่ เห็นว่าการละหมาดชดเชยนั้นไม่บังเกิดผลเป็นทัศนะของอุลามะยุคหลังเช่น
ท่านอิบนุหัซมินกล่าวว่า
وأما قولنا: أن يتوبَ من تعمّد تـرك الصلاة، حتى خرج وقتها، ويستغفر اللّه، ويكثر من التطـوع؛ فلقول الّله تعالى: " فَخَلَفَ مِن بَعْدِهِمْ خَلْفٌ أَضَاعُوا الصَّلاَةَ وَاتَّبَعُوا الشَّهَوَاتِ فَسَوْفَ يَلْقَوْنَ غَيّاً * إِلاَّ مَن تَابَ وَآمَنَ وَعَمِلَ صَالِحاً فَأُوْلَئِكَ يَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ وَلاَ يُظْلَمُونَ شَيْئاً " [ مريم: 59،60].ولقوله تعالى:" وَالَّذِينَ إِذَا فَعَلُوا فَاحِشَةً أَوْ ظَلَمُوا أَنْفُسَهُمْ ذَكَرُوا اللَّهَ فَاسْتَغْفَرُوا لِذُنُوبِهِمْ " [ال عمران:135
สำหรับทัศนะของเรานั้น ผู้ที่เจตนาทิ้งละหมาด จนพ้นเวลาไปนั้น ให้เขาเตาบะฮ(สารภาพผิดต่ออัลลอฮ) และขออภัยโทษต่ออัลลฮ และละหมาดสุนัตให้มากๆ เพราะอัลลอฮ ซุบฮานะฮุวะตะอาลาตรัสว่า
ท่านได้ยกโองการที่ว่า..
[19.59] "ภายหลังจากพวกเขาชนรุ่นหลัง ก็ได้สืบต่อมา พวกเขาได้ทิ้งละหมาด และปฏิบัติตามความใคร่ ต่อมาพวกเขาก็จะประสบความหายนะ"
[19.60] "เว้นแต่ผู้ขอลุแก่โทษและศรัทธา และกระทำความดี ชนเหล่านั้นจะได้เข้าสวนสวรรค์และพวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมแต่อย่างใด"
[3.135] "บรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วใด ๆ หรือ อยุติธรรมแก่ตัวเองแล้ว พวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮ์ แล้วขออภัยโทษในบรรดาความผิดของพวกเขา" - ฟิกฮอัสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 231..
แต่ถ้าเราเข้าใจเนื้อหาโองการนี้แล้ว อัลลออ์ไม่ได้เปิดทางไว้สำหรับผู้อธรรมตัวเองเลยสำหรับทั้งละหมาดเพื่อเพียงจะขอเตาบัตตัวเองทีหลังเท่านั้น
ตรงกันข้าม..พระองค์หมายถึง คนมุสลิมที่กระทำบาปมาก่อนโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าละหมาดนั้นวายิบหรือตกหนักบนเขา..ด้วยที่เขาไม่เข้าใจและทำเฉยเมินกับมัน..
แต่หลังจากเขารู้ถึงความสำคัญของมันแล้ว เขาก็กลับเนื้อกลับใจเตาบัตรและจะไม่ทิ้งละหมาดอีกแม้ว่าจะเจตนาหรือไมซึ่งเขานั้นก็จะละหมาดชดเชยให้กับมัน
โดยไม่ปล่อยให้ผ่านไปเพื่อเพียงเตาบัตรอย่างที่ผ่านมาและเขาเหล่านั้นไม่เพียงคิดแต่จะเอาความเข้าใจโองการนี้มาเป็นช่องว่างในการทิ้งละหมาดแล้วมาเจตนาแล้วมาเตาบัตรที่หลังเลย.....
นี้คือความเข้าใจทีถูกต้องของอลามะส่วนมากในอดีต
....สำหรับคนที่ทิ้งละหมาดโดยเจตนา ต่อมาสำนึกผิดกลับตัวต่ออัลลอฮฺ (ซบ) เขาจะต้องชดใช้ละหมาด..
แม้ว่า..ในเรื่องนี้อุละมาอ์มีความเห็นแตกต่างกันเป็นสองทัศนะ คือต้องละหมาดชดใช้ และไม่ต้องละหมาดชดใช้
แต่ทั้งนี้ทัศนะที่มีน้ำหนักถูกต้องนั้น เป็นทัศนะของท่านอีหม่ามทั้ง4 ..
ส่วนทัศนะชัยคุล อิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ หรือแนวทางวะฮาบีย์นั้น จะยึดความเห็นของท่านที่ผู้นี้ว่า ซึ่งได้กล่าวว่า ผู้ที่ทิ้งละหมาดโดยเจตนาจนหมดเวลาละหมาดนั้น การกอดอละหมาดชดใช้ไม่มีประโยชน์อันใดกับเขา ที่เป็นเช่นนี้เพราะอิบาดะฮฺที่มีการเจาะจงเวลานั้น จะต้องปฏิบัติในเวลาของมัน จะทำก่อนหรือทำหลังเวลาที่ถูกกำหนดไว้ไม่ได้ เพราะขอบเขตของอัลลอฮฺ (ซบ) ที่ทรงวางไว้ จะต้องได้รับการพิจารณาและให้ความสำคัญ
เขากล่าวต่ออีกว่า.. ดังนั้นการละหมาดที่พระองค์ได้กำหนดไว้แล้วว่าจากเวลานี้ถึงเวลานี้ นั่นคือตำแหน่งของมัน ละหมาดถูกนับว่าใช้ไม่ได้หากไปกระทำในสถานที่ที่ถูกห้ามละหมาด ในทำนองเดียวกันละหมาดก็จะถูกนับว่าใช้ไม่ได้หากไปกระทำนอกเวลาของมัน
...ทางออกสำหรับผู้ที่ทิ้งละหมาดโดยเจตนาก็คือ.. ให้คนผู้นั้นกลับเนื้อกลับตัว(เตาบัต)และขออภัยโทษ(อิสติฆฟาร)ต่ออัลลอฮฺ (ซบ) ให้มากๆ อย่างเดียวโดยไม่ต้องละหมาดชดเชยแต่อย่างใด และให้ปฏิบัติการงานที่ดี ด้วยสิ่งที่กล่าวมานี้ โดยฝากความหวังไว้กับ พระองค์ว่าจะทรงอภัยและไม่ถือโทษเขาในเรื่องการทิ้งละหมาดโดยเจตนาโดยอ้างโองการข้างบนเป็นโจทย์ฟ้องร้องต่อกับอัลลออ์(ซบ).หากถูกบิดพริ้วสัญญา.
.................................................................
................พี่น้องครับจงพิจารณาและตรึกตรองเถิดครับว่า................
ระหว่าง คำพูดหรือการ อิจติญาต การมุตะญิด และอิตติมาอะหรือหลักกิยาส ของบรรดาผู้รู้ในอดีตจากชนในยุคสลัฟที่มาทันบรรดาผู้รู้ในสมัยตาบีอีตตาบีอีน อย่างเช่นอีหม่ามทั้ง4 คือ อีหม่ามฮานะฟี อีหม่ามมะลิก อีหม่ามชาฟีอี อีหม่ามฮัมบาลี(รฮ) ใครน่าจะเชื่อกว่ากัน ซึ่งท่านเหล่านั้นคือ ผู้ที่ท่านนบีกล่าวถึงความประเสริฐในฮาดิสและรับรองอุมมัติสามศตวรรษหลังที่เขาเหล่านั้นมีความปรัเสริฐที่รนวมทั้งความรู้ที่มประกอบด้วยมันสมองที่พระองค์ให้มา..
ปัจจุบันนี้และตราบทุกวันนี้ความรู้ จาก4มัสหับยังคนยืนหยัดความจริงและความถุกต้องจนตราบวันนี้ถึงกีบามัตอิงชาอัลลอฮ์..
.
ดังนั้นระหว่างความน่าเชื่อถือของคนยุคหลังจาก900-1000ปีมาแล้วนั้น ..ตรงไหนทีมีน้ำหนักมากว่ากัน.ระหว่างการค้นหาความรู้ของคนยุคสลัฟและ...คนยุคหลังพร้อมทัศนะที่เพิ่งเกิดมา...หลังจากบรรดาผู้รู้ที่นามระบือโลกได้จากไปแล้วหลายร้อยปี...
ดังนั้น..ฮาดีสนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความรู้การวินิจฉัยถึงเหตุผลว่า..ยังไงๆต้องชดเชยกับละหมาดที่ได้ทิ้งไปไม่ว่าพี่น้องทจะขาดละหมาดโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม..วัลลออฮูอะลัม..
...ดีที่สุดจากอุมมะของฉัน คือคนในยุคของฉัน (คือศตวรรษที่1)และกลุ่มชนที่ถัดมา(คือศตวรรษที่2)และกลุ่มชนถัดมา(คือศตวรรษที่3..รายงานโดย บุคคอรีและมุสลิม
-------------------------------------------------------------
فقال ابو حنيفة والشافعي وأحمد ومالك يجب عليه قضاؤها ولا يذهب القضاء عنه إثم التفويت بل هو مستحق للعقوبة إلى أن يعفو الله عنه
وقالت طائفة من السلف والخلف من تعمد تأخير الصلاة عن وقتها من غير عذر يجوز له التأخير فهذا لا سبيل له إلى استدراكها ولايقدر على قضائها ابدا ولا يقبل منه
อบูหะนีฟะฮ อัชชาฟิอี อะหมัดและ มาลิก กล่าวว่า จำเป็นต้องละหมาดชดใช้ และการชดใช้จากมัน ไม่ได้ทำให้พ้นจากความผิดฐานที่ปล่อยเวลา(ละหมาด)ให้ผ่านไป แต่ทว่า เขาสมควรที่จะได้รับการลงโทษ จนกว่าอัลลอฮจะอภัยให้แก่เขา
แต่ถ้าเรามองในหลักของฮะกีกัต มนุษย์เรานั้นย่อมบกพร่องเสมอ ในการละเลยหรือลืมละหมาด ไม่ว่ากรณีใดๆ
ดังนั้นนั้นบ่าวผู้รู้ตัวถึงการบกพร่องของตัวเองย่อมไม่กล้าฝ่าฝืนที่จะทิ้งเวลามันไปโดนขาดเยื่อใย โดยไม่สนใจที่จะกอดอมันแม้จะกี่เวลาก็ตาม ..แต่ถ้าหากว่าบ่าวผู้นั้นกลับไม่ยอมหรือละเลยที่จะ
กอดอละหมาดเลย..แต่กลับเตาบัตรซ้ำแล้วซ้ำเล่า..จนประจำ..อยากถามว่าการกระทำเช่นนี้แบบซ้ำซากบ่อยครั้ง..เป็นการต่อบาปหรือเตาบัตกันแน่ และเป็นการพูดที่โกหกต่ออัลเลาะ.ต่างหาก ..และกลายเป็นคนที่แข็งกระด้างวระหว่าผู้ที่ขาดละหมาดแล้วไม่กอดอมันโดยปล่อยให้ผ่านไป..
ด้วยลืมคิดไปว่าเรานั้นเป็นแค่บ่าวหรือทาสผู้ต้อยต่ำเท่านั้น..ทาสไม่มีสิทธิใดๆในการเรียกร้องต่อนาย..
อย่าลืมว่า
การละหมาดฟัรดูนั้นสำคัญกว่าละหมาดสุนัต แต่การละหมาดกอดอฟัรดูนั้น เราต้องกระทำระหว่างเราต่ออัลลออ์โดยเฉพาะเวลาที่นึกออก หรือชดเชยในเวลาของมัน ถึงแม้นว่าจะถูกตามหลักชารีอัต แต่หลักการของฮะกีกัตต่อพระองค์นั้นสูงกว่าอื่นใด
ฮักกุ้ลอัลลออ์นั้นเรามีสิทธิขอ แต่พระองค์จะรับหรือไม่นั้น เรื่องของพระองค์เราไม่มีหน้าที่ในการตัดสินว่าใช้ได้หรือไม่ได้..
ฉนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ..ไม่ว่าการขาดละหมาดของท่านโดยเจตนาหรือไม่นั้น สมควรที่จะละหมาดชดเชยครับ ตามทัศนะของอีหม่ามทั้ง4 .. .
ฉนั้นโองการอัลกรุอานนั้น..เป็นสิ่งตักเตือนสำหรับเราแตะขณะเดียวกันไม่ใช่เป็นตัวสัญญาในการต่อรองกับพระองค์เลย..นะอูซุบิ้ลลามินซาลิก..
คนอยากรู้:
พี่น้องครับ บิดอะของวะฮาบีย์นั้นมีมากมายเหลือเกิน แต่ตัวที่สำคัญนั้นคือการมีอะกีดะต่อองค์อัลเลาะที่ไม่ถูกต้อง
ดังเราจะพบอยู่เสมอว่า บรรดาผู้รู้ในมัสหับวะฮาบีย์บ้าเรานั้น มีความเชื่อที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงตามบรรดาคนรุ่นก่อนในอดีต ตรงกันข้ามอะกีดะของกลุ่มวะฮาบีย์ปัจจุบันนั้น จะอะกีดะเป็นเชิงวิเคราะห์ตามความเข้าใจของอุลามะในสายวะฮาบีย์เช่น ท่านอิบนุตัยมียะ ท่านอิบนุกอยยิม ท่านอัลบานีย์เป็นต้น
ซึ่งเมื่อเราศึกษาอย่างลึกซึ้งก็จะพบว่าสิ่งที่กลุ่มทัศนะวะฮาบีย์เข้าใจในคุณลักษณะของอัลลออ์นั้นมันแตกต่างกับความเข้าใจของบรรดาผู้รู้ในอดีต จนสามารถแยกแยะกันให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ประเด็นหลักก็คือ วะฮาบีย์จะไม่ยอมตีความหรือทำการตะวีลความหมายในสิ่งวที่พระองค์ทรงบอกในอำนาจหรือเดชานุภาพของพระองค์ เช่น คำว่ามือก็คือมือ คำว่านิ้วก็คือนิ้ว ตาก็คือตา ฯลฯโดยให้มันผ่านพ้นไปโดยที่เขาอ้างว่า สิ่งดังกล่าวเป็นแค่เชิงภาษาเท่านั้น แต่ไม่เหมือนมัคโลค ซึ่งพวกเขาอธิบายแบบขัดแย้งกันในบรรดาซีฟัตของพระองค์
ดังนั้น เราผู้อยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ คือผู้ที่ดำเนินอยู่บนแนวทางดังกล่าวนี้ ซึ่งนั่นก็คือหนทางที่เที่ยงตรงและเป็นแนวทางของอัลเลาะฮ์ที่ชัดเจน อัลเลาะฮ์ ซุบหานะฮุวะตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า
وإن هذا صراطى مستقيما فاتبعوا السبل فتفرق بكم عن سبيله
"แท้จริงนี้คือแนวทางของข้า ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงตามมันเถิด และเจ้าทั้งหลายอย่าตามทางอื่นๆ อันมากมาย แล้วพวกเจ้าก็จะเกิดความแตกแยกไปจากแนวทางของพระองค์" อัลอันอาม 153
จากตรงนี้ เราจึงทราบว่า พวกอัลมุญัสสิมะฮ์นั้น หลงทางในเรื่องของอากิดะฮ์ เพราะพวกเขาขัดแย้งกับหลักการของศาสนาและหลักสติปัญญา โดยที่พวกเขากล่าวว่า อัลเลาะฮ์นั่งอยู่บนบัลลังก์
จากการศึกษาของเรานั้น เราจะพบว่าเรื่องอะกีดะของวะฮาบีย์
นั้นมีความเข้าใจที่หลากหลายพอสมควร ดังตัวอย่างที่ผมจะนำมาบอกกับพี่น้องข้างล่างนี้
1.พวกเขาเชื่อและกล่าวว่า อัลเลาะฮ์สถิตอยู่บนบัลลังก์
2.และบางส่วนของพวกเขามีความเชื่อว่า อัลเลาะฮ์ทรงทิ้งที่สถานที่ว่างหนึ่งของบัลลังก์เพื่อให้ท่านนบีมุหัมมัด ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่ง ในวันกิยามะฮ์
3.พวกเขามีความเชื่อว่า อัลเลาะฮ์ทรงมีที่อยู่ในสถานที่หนึ่งบนบัลลังก์ด้วยกับซาตของพระองค์เอง
4.และพวกเขายังกล่าวว่า อัลเลาะฮ์ทรงเคลื่อนไหวทุกคืน โดยพระองค์เคลื่อนลงจากบัลลังก์ ลงมาสู่ฟากฟ้าดุนยา [/
จนกระทั้งพวกเขาบางส่วนกล่าวว่า อัลเลาะฮ์ทรงวางเท้าของพระองค์ในนรกญะฮันนัม แต่ว่าเท้าของพระองค์ไม่ไหม้ - และอื่นๆ มากมาย
และจากบรรดาความเชื่อของผู้รู้ในพวกเขา ที่บ่งถึงความคล้ายคลึงของอัลเลาะฮ์ที่มีต่อมัคโลค และอัลเลาะฮ์ทรงมีรูปร่าง เนื่องจากพวกเขาได้เปรียบเทียบอัลเลาะฮ์ผู้ทรงสร้างกับบรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง โดยพวกเขาเจริญตามกับสิ่งที่คลุมเครือนี้
สรุปได้ว่า
หลักความเชื่อของพวกเขานั้นไม่เหมือนหลักของคนส่วนมากในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
ที่มีหลักศรัทธาที่สติปัญญาสามารถสนับสนุนกับความถูกต้องที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานมาและความซอฮิหฺจากสิ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
และนี่คือบิดอะของวาฮาบีย์ที่ผิดแผกจากชนรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version