
ถึ่งมันจะยาวไปแต่อ่านแล้วได้ประโยชน์
.................
อิสลามกับการท้าทายแห่งยุคสมัย
โดย : อับดุลรอชีด เจะมะ
วิทยาลัยอิสลามศึกษา
มหาวิทยาลัยสงฃลานครินทร์ปัตตานี
ด้วยพระนามของอัลลอฮผู้ทรงเมตตาและทรงปรานียิ่ง
บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮผู้ทรงสร้างและอภิบาลแห่งสากลจักรวาล ศอาวาตและสาลามแด่ท่านรอซูลมุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บรรดาวงศาคณาญาติ ศอฮาบะห์ และแด่บรรดาผู้เจริญรอยตามซุนนะห์ของท่านในทุกยุคสมัยจนกรัทั้งวันกิยามะห์
บทนำ
เมื่อบรรดามาลาอีกะห์ได้รับรู้ว่าอัลลอฮจะทรงสร้างคอลีฟะห์ คือมนุษย์ขึ้นมาเพื่อเป็นผู้แทนของพระองค์ในโลกนี้พวกเขาก็กล่าวว่าพระองค์จะทรงสร้างผู้ซึ่งจะก่อให้เกิดการบ่อนทำลายและการหลั่งเลือดบนพื้นพิภพกระนั้นหรือ อย่างไรก็ตามอัลลอฮได้ทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้(อัลบะเกาะเราะห์:30)
หลังจากมนุษย์ถูกส่งมาใช้ชีวิตในโลกนี้พวกเขาก็ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆมากมายซึ่งโดยภาพรวมแล้วพอที่จะจำแนกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่มคือ
1. กลุ่มชนที่ได้รับทางนำ (ฮิดายะฮ) จากอัลลอฮให้ลุกขึ้นมาสร้างสังคม พัฒนาสังคมให้เป็นสังคมที่ยุติธรรมมีความเจริญรุ่งเรือง และสงบสุขพร้อมทั้งได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮตามที่อัลลอฮกล่าวในอัลกุรอานว่า بلدة طيبة ورب غفور ความว่า “รัฐของสูเจ้าเป็นรัฐที่สมบูรณ์และผู้อภิบาลของเจ้าเป็นทรงอภัยยิ่ง” ชนกลุ่มนี้ประกอบด้วยบรรดาศาสนฑูต (รอซูล) และผู้ปฏิบัติตามรอซูลในยุคต่าง ๆ
2.กลุ่มชนที่ต่อต้านบรรดารอซูลและผู้ปฏิเสธรอซูลในทุกยุคทุกสมัย โดยที่ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างกลุ่มชนที่หนึ่งกับกลุ่มชนที่สองนี้ จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อกลุ่มชนกลุ่มแรกได้รับชัยชนะและได้สร้างสังคมตามแนวทางแห่งการชี้นำจากพระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปผู้ปฏิบัติตามรอซูลมักจะหลงลืมทำให้ฝ่ายต่อต้านมีอำนาจขึ้นมา ดังนั้นอัลลอฮจึงส่งรอซูลท่านอื่นลงมาเพื่อนำระบบสังคมใหม่มาพัฒนาสังคมเพื่อความเหมาะสมกับพัฒนาการด้านวัฒนธรรมของมนุษยชาติในยุคนั้นๆซึ่งการนำระบบใหม่ของท่านรอซูลนั้นจะได้รับการต่อต้านจากผู้คัดค้านทุกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้อัลลอฮกล่าวในอัลกุรอาน ซูเราะห์อัลฟุรกอน อายาตที่ 31ว่า
وكذالك جعلنا لكل نبي عدوا من المجرمين وكفى بربك هادياونصيرا.
ความว่า “และเช่นเดียวกันเราได้กำหนดให้นบีทุกท่านมีศัตรูจากผู้ประพฤติชั่ว/กระท บาป และเพียงพอแล้วสำหรับสูเจ้ามีองค์อภิบาลของเจ้าเป็นผู้นำและให้ความช่วยเหลือ”
ลักษณะการท้าทายจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปพร้อม ๆ กับสังคมก็มีการพัฒนาไปด้วย จนถึงยุคสุดท้ายอัลลอฮก็ส่งรอซูลท่านสุดท้าย คือท่านมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพื่อนำระบบสังคมใหม่มาสถาปนาสังคมอีกครั้งหนึ่งและระบบใหม่นี้เป็นระบบที่สมบูรณ์และครอบคลุม (شاملة كاملة) บังคับใช้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับอนุมัติจนกระทั่งวาระสุดท้ายของโลกมนุษย์ ระบบใหม่นี้เรียกว่า อัลอิสลาม ซึ่งเป็นระบบแห่งการสร้างสรรค์ที่มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนในการสถาปนาความเมตตาแก่ชาวโลกบนพื้นฐานของความยุติธรรม เสมอภาพ และภราดรภาพตามอุดมการณ์ หลักการและคุณธรรมอันเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์ทุกคน
ท่านรอซูลมุหัมหมัดได้ประสบความสำเร็จในการนำอิสลามสู่สังคมอาหรับและความสำเร็จเหล่านั้นได้รับการสานต่อโดยบรรดาซออาบะห์ของท่านและบรรดาผู้ปฎิบัติตามอิสลามในยุคต่างๆจนกระทั้งอิสลามได้รับการตอบรับจากประชาชาติต่างๆทั่วโลกอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันแม้จะดำรงอยู่ภายใต้การท้าทายแห่งยุคสมัยอย่างต่อเนื่องมาตลอดก็ตาม
รูปแบบการท้าทายมีความหลากหลายและรอบด้านตั้งแต่การเจรจาจนกระทั้งการก่อสงครามทั้งด้วยอาวุธ สงครามทางความคิดและสงความทางวัฒนธรรม ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่พวกตะวันตกประสบความล้มเหลว พ่ายแพ้ในสงครามครูเสดนานถึงเกือบ 2 ศตวรรษ ที่พวกเขาพยายามวางแผนทำลายล้างอิสลาม กระทั่งพวกเขามีการค้นคว้าศึกษาวิจัยอย่างละเอียดลออเพื่อหาแนวทางทำลายล้าง อิสลามและประชาชาติมุสลิมในการศึกษาดังกล่าวพวกเขาประสบความสำเร็จในการวางแผนที่รัดกุม ขณะที่พวกเขาได้ทุ่มเทด้วยความมั่นใจและเป็นการปฏิบัติตามแผนที่พวกเขาได้ วางไว้
ท่านอาบูมุญาฮิดได้ศึกษาค้นคว้าแผนการทำลายล้างอิสลามและประชาชาติมุสลิมตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมาปรากฏว่ามีแผนการต่างๆถูกวางขึ้นมาและได้มีการนำไปปฎิบัติการซึ่งพอที่จะประมวลได้ 10 แผนการดังนี้คือ
1. แผนการล้มล้างการปกครองโดยระบอบอิสลาม
2. แผนการลบล้างอัลกุรอ่าน
3. แผนการทำลายระบบจริยธรรม ความคิด ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับพระเจ้าและ
การปล่อยพวกเขาไปตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ
4. แผนการ แผนการทำลายเอกภาพมุสลิม
5. แผนการ สร้างความเคลือบแคลงแก่มุสลิมต่อศาสนาของพวกเขา
6. แผนการ ทำลายเอกภาพของโลกอาหรับ
7. แผนการ สร้างรัฐเผด็จการในโลกอาหรับ
8. แผนการ แยกมุสลิมออกจากการครอบครองอุตสาหกรรม และมอมเมาสินค้าจาก
ตะวันตก
9. แผนการ กำจัดบรรดานักคิดอิสลาม และ ทำลายขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชาติ
มุสลิมให้สิ้นสุดลง
10. แผนการ ทำลายสตรีและขยายสังคมเสรี
สาเหตุของสงคราม
มีทรรศนะต่างๆ หลายทรรศนะที่เราสามารถค้นหาจากประวัติศาสตร์ถึงสาเหตุของสงครามนี้ทำไมที่ พวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) จึงต้องทุ่มเทอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับอิสลาม? เพราะเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลทางการทหารซึ่งพวกเขากำลังจะได้ยึดจุด ยุทธศาสตร์หรือเพราะเหตุผลทางการค้า
หนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยฝ่ายอาณานิคม หรือนักบูรพาคดี หรือนักเขียนในเครือประเทศที่เป็นอาณานิคมเอง ที่ได้รับการศึกษาจากชาติตะวันตก ส่วนใหญ่มักจะเน้นในเหตุผลทางด้านการค้าเป็นเหตุผลหลัก และหนังสือเหล่านี้แหละที่ถูกนำไปบรรจุในการศึกษาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน สถาบันการศึกษา โดยธาตุแท้แล้ว เหตุผลทางประวัติศาสตร์นั้นเป็นเหตุผลจอมปลอมทั้งสิ้น มันมีเป้าหมายเพื่อตบตาประชาชนในอาณานิคมของตนเองให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ มาเพื่อเป็นศัตรู หลังจากที่มีการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วพบว่าข้ออ้างดังกล่าวขัดแย้งกับ ความเป็นจริงทุกประการ จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นธรรมปรากฏว่าการต่อสู้ดังกล่าว นั้นเกิดจากเหตุผลทางศาสนามิใช่เหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด หลักฐานทางประวิติศาสตร์ชิ้นแรกที่เราหยิบยกขึ้นมาได้คือ บทเพลงปลุกใจของชาวอิตาลี ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้
โอ้มารดา...
จงขอพรเถิด อย่าได้ร้องให้เลย
แต่จงหัวเราะและจงมองเถิด
แม่ไม่รู้หรือว่าอิตาลี ได้เรียกร้องฉัน
ฉันจะไปตริโปลี
ด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจ
มาตรแม้นว่าฉันจะได้ถวายเลือดของฉัน เพื่อทำลายล้างอิสลาม
ประชาชาติที่ถูกสาปแช่ง
และเพื่อต่อสู้กับศาสนาอิสลาม
ฉันจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน
หากมีคนถามแม่ว่า ทำไมไม่เสียใจในการจากไปของฉัน
ก็จงตอบเขาไปเถิดว่า เขาจากไปเพื่อต่อสู้กับอิสลาม
โอ้...มารดา เสียงกลองดังขึ้นแล้ว...
มารดาไม่ได้กลิ่นคาวของสงครามดอกหรือ?
โอ้มารดา...
ให้ฉันได้โอบกอดมารดาเถิดและให้ฉัดได้ไปเดี๋ยวนี้เถิด...
นี่คือบทเพลงด้วยเสียงกังวาน เพื่อปลุกกำลังใจกองทัพที่เตรียมพร้อมเพื่อสู่สมรภูมิครูเสด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่น ๆ ที่ยืนยันถึงการต่อสู้ระหว่างตะวันตกกับอิสลาม คือคำปราศรัยของผู้นำของเขาเอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือ ยูเจน รุสโต เขาได้ยืนยันในการปราศรัยของเขาว่า”เราจะต้องมีความสำนึกอยู่เสมอว่า ความขัดแย้งระหว่างเรากับโลกอาหรับไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับประเทศ เท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างอิสลามกับคริสต์ ความขัดแย้งอันนี้เกิดมาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยกลางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เพียงวิธีการเท่านั้นที่แตกต่างกัน...”“เป้าหมายของการล่าอาณานิคมในตะวันออกนั้นก็เพื่อทำลายล้างอิสลามและ เพื่อก่อตั้ง ประเทศอิสราเอล เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีวิธีการอื่นๆ อีกแล้วนอกจากการทำสงครามครูเสดให้ดำเนินต่อไป...”อดีตรัฐมนตรีบริติชที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง คือ มร.แกลดสโตน เคยพูดว่า “การทำลายอิสลามเป็นงานที่ต้องกระทำ”
บรรณาธิการนิตยสาร อัลอะอฺลามุลอิสลามีย์ ได้เขียนว่า “โลกคริสเตียน แม้พวกเขาจะมีพื้นฐานและชาติพันธ์ที่แตกต่างกัน แต่พวกเขา คือ ศัตรูตัวยงที่คอยขัดขวางและทำสงครามกับโลกตะวันออกโดยเฉพาะอิสลาม ประเทศยิวทุกประเทศได้มีข้อตกลงร่วมกันในการที่จะโค่นล้มอิสลาม ในทุกวิถีทางที่พวกเขากระทำได้”
พวกเขาเหล่านั้นมองอิสลามในแง่ความเป็นศัตรูตลอดเวลา จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อคติต่ออิสลาม พวกเขาได้ตกลงกันเป็นปากเสียงเดียวกันที่จะทำลายล้างอิสลามและประชาชาติ มุสลิม ซึ่งตรงกับที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า "และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮฺเท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้" (อัลบะกอเราะ : 120)