بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم
اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛
1. มูลสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น ขี้เป็ด ขี้ไก่ ขี้วัว ขี้ควาย ขี้จิ้งจก ฯลฯ ล้วนเป็นนะยิส มุตะวัสเฏาะฮ์ (นะยิสปานกลาง) เพราะมีตัวบทหะดิษระบุความว่า
عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ الْأَسْوَدِ عَنْ أَبِيهِ أَنَّهُ سَمِعَ عَبْدَ اللَّهِ يَقُولُ أَتَى النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْغَائِطَ فَأَمَرَنِي أَنْ آتِيَهُ بِثَلَاثَةِ أَحْجَارٍ فَوَجَدْتُ حَجَرَيْنِ وَالْتَمَسْتُ الثَّالِثَ فَلَمْ أَجِدْهُ فَأَخَذْتُ رَوْثَةً فَأَتَيْتُهُ بِهَا فَأَخَذَ الْحَجَرَيْنِ وَأَلْقَى الرَّوْثَةَ وَقَالَ هَذَا رِكْسٌ
อับดุรเราะห์มาน บิน อัลอัสวัด รายงานจาก บิดาของเขาว่า แท้จริง เขาได้ยินอับดุลเลาะฮ์(บินมัสอูด)กล่าวว่า "ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ไปถ่ายทุกข์ แล้วท่านได้ใช้ให้ฉันนำหินสามก้อนมาให้ท่าน ดังนั้น ฉันได้พบเพียงหินสองก้อนเท่านั้น และฉันจะหาก้อนที่สาม ปรากฏว่าหาไม่พบ แต่ฉันพบก้อนมูลสัตว์ ฉันจึงจึงนำมันไปให้ท่านนบี ดังนั้น ท่านได้หยิบเอาหินสองก้อนและโยนก้อนมูลสัตว์ทิ้งไป และกล่าวว่า นี้เป็นสิ่งสกปรก(นะยิส)" รายงานโดย อัลบุคอรีย์
คำว่า هَذَا رِكْسٌ "(มูลสัตว์)นี้เป็นสิ่งที่สกปรก" เป็นคำที่ชี้ถึงความหมายอุมูม(ครอบคลุม) ที่ชี้ถึงแก่นแท้ชนิดของทุก ๆ มูลสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นมูลสัตว์ใดก็ตาม (หนังสือ อิอานะฮ์ เล่ม 1 หน้า 135)
ส่วนกรณีที่เราเอามูลสัตว์เหล่านั้น มาทำปุ๋ยสำหรับ การปลูกผัก ต้นไม้ที่ออกผล และอื่น ๆ ก็ถือว่าอนุญาตให้กระทำได้ครับ แต่หากต้นไม้ที่ออกผลแล้ว มักโระฮ์เอามูลสัตว์สด ๆ ใส่ต้นไม้นะครับ เพราะเกรงว่าผลของมันอาจจะตกหล่นลงมาเปื้อน ทำให้จิตใจรังเกียจไม่อยากรับประทานขึ้นมาได้
2. หากเรารับซะก๊าตข้าวสารมาแล้ว ก็อนุญาตให้ทำการขายได้ครับ เนื่องจากซะก๊าตที่เรารับมา เป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองของเราแล้ว ส่วนกรณีออกซะกาตเป็นเงินนั้น นักปราชญ์มีทัศนะที่แตกต่างกัน
ทัศนะที่หนึ่ง : ไม่อนุญาตให้ทำการออกซะก๊าตฟิตเราะฮ์ด้วยการตีราคาเป็นค่าเงิน ซึ่งเป็นมัซฮับของ มาลีกีย์ , ชาฟิอีย์ , และฮัมบาลีย์
รายงานจากท่านอิบนุอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ความว่า "ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กำหนดซะก๊าตฟิตร์ของรอมาดอนไว้หนึ่งซออฺ(หนึ่งทะนาน)จากผลอินทผาลัมหรือหนึ่งซออฺ จากข้าวสาลี เหนือทุกคนที่เป็นเสรีชน หรือเป็นทาส เป็นเพศชายหรือเพศหญิง ที่เป็นมุสลิม" รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
ท่านอิบนุกุดามะฮ์กล่าวว่า "ท่านอิมามอะห์มัด มีความเห็นว่า การจ่ายซะกาตด้วยการตีค่าเป็นเงินนั้น ขัดกับซุนนะฮ์ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และดังนี้ ก็เป็นทัศนะคำกล่าวของอิมามมาลิกและอิมามอัชชาฟิอีย์" อัลมุฆนีย์ 3/65
ทัศนะที่สอง : อนุญาตให้ทำการออกซะกาตด้วยการตีราคาเป็นค่าเงินได้ ซึ่งเป็นมัซฮับของ หะนะฟีย์และมัซฮับอัษเษารีย์ และท่านอื่น ๆ และได้รายงานทัศนะดังกล่าวนี้จากท่าน อุมัร บิน อับดุลอะซีซ , ท่านอัลหะซันอับบะซอรีย์ , และท่านอื่น ๆ
ท่านอิบนุชัยบะฮ์ รายงานจาก เอาน์ ว่า ฉันได้ยินสารของท่านอุมัร บิน อับดุลอะซีซ ได้ถูกอ่านไปยัง อะดีย์ (ซึ่งเป็นเจ้าเมือง) ณ เมืองบัสเราะฮ์ ความว่า "ให้เอาจากบรรดาผู้ที่อยู่ในทะเบียน จากการให้ซะกาตของพวกเขานั้น คือจากทุก ๆ คน ครึ่งเงินดิรฮัม"
รายงานจากท่านอัลหะซัน ท่านกล่าวว่า "ถือว่าไม่เป็นไรสำหรับการจ่ายเงินดิรฮัมในซะกาตฟิตร์"
รายงานจากท่านอะบีอิสหาก ท่านกล่าวว่า "ฉันได้ทราบว่าพวกเขาทำการจ่ายซะกาตรอมะดอน กับบรรดาเงินดิรฮัม ด้วยการตีราคาจากอาหาร"
รายงานจากท่านอะฏออฺ ความว่า "เขาได้ทำการจายซะกาตฟิตร์เป็นเงิน" หนังสือ มุซันนัฟของท่านอิบนุอะบีชัยบะฮ์ 4/37-38
ดังนั้นทัศนะที่ปลอดภัยที่สุดคือ ตามซุนนะฮ์ของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนโดยไม่มีการตีความใด ๆ มาผินหลักการของตัวบทของหะดิษ แต่จะเห็นได้ว่าทัศนะที่สองยังคุณประโยชน์และให้ความสะดวกแก่คนยากจนในปัจจุบันยิ่งกว่า ซึ่งอย่างไรก็ตามทุกมัซฮับอยู่บนความดีงามทั้งสิ้น
وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ