ผู้เขียน หัวข้อ: การศอดดอกัลลอฮฺ  (อ่าน 8280 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การศอดดอกัลลอฮฺ และการซอตละวาต
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: ม.ค. 21, 2007, 01:49 AM »
0
ท่านอัลหาฟิซฺ  อิบนุ กะษีร (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์)  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลบิดายะฮ์ วะ อันนิฮายะฮ์  เล่ม 13 หน้า 119  ว่า
فمن ترك الشرع المحكم المنزل على محمد بن عبد الله خاتم الانبياء وتحاكم إلى غيره من الشرائع المنسوخة كفر فكيف بمن تحاكم إلى الياسا وقدمها عليه من فعل ذلك كفر بإجماع المسلمين قال الله تعالى أفحكم الجاهلية يبغون ومن أحسن من الله حكما لقوم يوقنون وقال تعالى فلا وربك لا يؤمنون حتى يحكموك فيما شجر بينهم ثم لا يجدوا في أنفسهم حرجا مما قضيت ويسلموا تسليما صدق الله العظيم

"ผู้ใดที่ทิ้งหลักการศาสนาอันชัดเจนที่ถูกประทาน ยังท่านนบีมุฮัมมัด บุตร อับดุลลอฮ์  นบีท่านสุดท้าย และทำการตัดสินไปยังสิ่งที่จากบรรดาชะรีอัตต่าง ๆ ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว  เขาย่อมกุฟุร  ดังนั้น  จะเป็นอย่างไรเล่า สำหรับผู้ที่ทำการตัดสินไปยังการเมืองและนำมันมาอยู่ก่อน  ผู้ใดกระทำสิ่งดังกล่าว  เขาย่อมเป็นกาเฟน ด้วยมติของปวงปราชญ์มุสลิมีน  อัลเลาะฮ์  ตะอาลา ทรงตรัสว่า

تعالى أفحكم الجاهلية يبغون ومن أحسن من الله حكما لقوم يوقنون وقال تعالى فلا وربك لا يؤمنون حتى يحكموك فيما شجر بينهم ثم لا يجدوا في أنفسهم حرجا مما قضيت ويسلموا تسليما صدق الله العظيم
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 21, 2007, 05:50 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การศอดดอกัลลอฮฺ และการซอตละวาต
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: ม.ค. 21, 2007, 02:04 AM »
0
เมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วทำไม

ผู้รู้ บางท่าน กล่าวว่าไม่มีหรือครับ ?

แล้วเรื่อง ซอตละวาต พร้อมกันละครับ ?

การที่ผู้รู้บางคน กล่าวว่าไม่มีนั้น  เพราะเขาตักลีด ผู้อื่น  โดยไม่กลับไปหาอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์ และสะละฟุศศอลิหฺ  เขาได้ยินอุลามาอ์ที่เขาชอบ  แล้วก็ฮุกุ่มตักลีดตาม  ดังนั้น  ในประเด็นของ  ซ่อดะก๊อลลัลอฮ์  นี้  คุณ Goddut คงเข้าใจแล้วนะครับ 

ส่วนประเด็นของการซ่อลาวาตหลังละหมาดที่คุณกล่าวมาข้างต้นนั้น  ผมไม่ทราบว่าใครทำกันครับ  ผมเองก็ไม่เคยได้ยินว่า เวลาละหมาดญะมาอะฮ์เสร็จ  จะมีการซ่อลาวาตพร้อมกัน  โปรดเจาะจงประเด็นหน่อยครับ  ว่าซ่อลาวาตอันแบบใหน?  ซึ่งหากคุณถามในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน  เราก็ขอมะอัฟที่จะตอบ  ดังนั้น  ในเรื่องซอลาวาตนี้  โปรดชี้แจงเราด้วยว่า ซอลาวาตแบบจำกัดวิธีการหรือว่าซอลาวาตในรูปแบบกว้าง ๆ  ซึ่งทางพี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  จะทำการตอบให้  หากพวกเรารู้ครับ 

วัสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

aswar

  • บุคคลทั่วไป
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ และการซอตละวาต
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: ม.ค. 21, 2007, 02:47 PM »
+1
อัสสลามุอะลัยกุม

ถามว่าทำไมผู้รู้บางท่านกล่าวไม่มีใช่มั้ยครับ ผมว่ามันเป็นประเด็นรองนะครับ ประเด็นหลักคือ คุณก็เห็นหลักฐานแล้ว
พูดกันตามตรงนะครับ ผมไม่อยากจะว่าใคร เพียงแต่ท่านอาจารย์ที่คุณยกคำตอบท่านมานั้นมักจะชอบใช้เหลือเกินคำว่า
"หลอกชาวบ้าน" ทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ ใช้กับคนที่ท่านมาแย้งเขาในประเด็นที่เห็นไม่ตรงกัน ผมกลัวเหลือเกินว่าสักวัน
จะมีคนพูดกับท่านแบบนี้บ้าง

เหมือนที่คุณอัลอัซฮารีย์บอกแหละครับท่านอาจารย์ตักลีดนักวิชาการบางกลุ่ม คำว่าตักลีดคงไม่ผิดเพราะขนาดคำฟัตวา
ที่คุณยกนั้น 80 เปอร์เซนต์ยังเป็นคำของเชคอุษัยมีนเลยครับ เหมือนกับแปลมาเลยเทียบกันได้ประโยคต่อประโยคเลยครับ

ผมอยากจะพูดอะไรให้คุณ Goddut ฟังอย่างนะครับ ผมไม่อยากให้คนทั่วไปเอาอาจารย์ท่านนี้เป็นหลักการตัดสินทุกๆปัญหา
ในเชิงวิชาการ ผมหมายถึงสิ่งที่เป็นคิลาฟียะฮ์ในสังคมสิ่งที่จะเป็นไม่เป็นบิดอะฮ์(ส่วนเรื่องอื่นที่ท่านสู้เช่นเรื่องประเพณีคริสต์มาส
ไหว้ครู หรือไปประท้วงเดนมาร์ก ฯลฯ ผมชมเชยท่านนะ)เพราะผมได้รับรู้ว่าท่านยังใจไม่กว้างพอกับประเด็นพวกนี้ อย่าหา
ว่าผมว่าท่านเลยนะครับ เพราะผมประสบมาแล้ว ผมเคยเขียนคำถามเข้าไปถามท่าน จริงๆก็ไม่ใช่คำถามหรอกครับ เป็นนะศีฮัต
เสียมากกว่า ในประเด็นที่ท่านตอบในบางคำถามซึ่งในคำตอบของท่านนั้นมันแสดงให้เห็นว่าท่านยังไม่เคยอ่านข้อเขียน หรือ
หนังสือของอีกทัศนะหนึ่งเลย(ซึ่งเป็นทัศนะผู้รู้ส่วนใหญ่) ผมก็แนะนำหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ให้ท่าน แต่ท่านเขียนตอบผมว่า
ในประเด็นนี้นั้นท่านทราบแล้วว่าอะไรผิดอะไรถูก ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องไปหาหนังสือที่ผมแนะนำไปมาอ่าน???
นึกออกไหมครับความรู้สึกผมคือถ้าท่านอ่านหนังสือที่ผมแนะไปท่านก็จะทราบว่าประโยคนั้นประโยคนี้ที่ท่านพูดไปน่ะผิด แต่
ท่านกลับเลือกที่จะไม่รับรู้ ฉะนั้นหลายๆมัสอาละฮ์คิลาฟียะฮ์ที่มีหลายทัศนะนั้นท่านจึงไม่เคยเลือกระหว่างทัศนะหนึ่งกับสอง
แต่ท่านเลือกระหว่างจะยอมรับรู้กับไม่ยอมรับรู้เสียมากกว่า แต่มันหนักตรงที่ว่าท่านฟัตวาปังว่านั่นนี่เป็นบิดอะฮ์ ท่านโยนนรกให้
คนอื่นทั้งที่ท่านก็ทราบดีแก่ใจว่าท่านยังศึกษาไม่ครบถ้วน ท่านหวังว่ามันคงจะถูกเพราะท่านฝากฝังจิตวิญญาณท่านและความเป็น
เอกภาพของสังคมมุสลิมไทยไว้ที่ปลายปากกาของเชคอัลอัลบานีย์ เชคบินบาซ เชคอุษัยมีนที่เพิ่งตายกันไปห้าหกปี แต่ท่านไม่เคย
ยอมที่จะรับฟังบรรดาอุลามาอ์เป็นหมื่นแสนในช่วง 1400 ปีก่อนหน้าคนพวกนี้เลย ไม่แม้แต่จะยอมไปเปิดหนังสือของพวกท่านมาอ่าน
แล้วไหนล่ะครับอะมานะฮ์ทางด้านวิชาการของท่าน???

เรื่องศอดากอลลอฮ์นี้ก็เป็นตัวอย่างเหมือนกัน ท่านบอกไม่มีหลักฐาน"เลย" ผมก็ยกมาให้ท่านปัง เรื่องอื่นๆก็เหมือนเรื่องนี้แหละครับ
ฉะนั้นเรื่องคิลาฟียะฮ์ผมแนะนำอย่าไปถามท่านเลยครับ เหมือนกับเรื่องอะกีดะฮ์เกี่ยวกับศิฟะฮ์อย่าไปถามบัง ผจก.เวปบางท่าน เหมือนกันครับ
อย่าหาว่าโจมตีเลยนะครับท่านเป็นบุคคลของสังคมผมก็ต้องวิจารณ์ท่านไปตามจริงครับ

วัสสลาม

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ และการซอตละวาต
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ม.ค. 22, 2007, 12:14 AM »
0
ผมก็ไม่เข้าใจพวกเขานักหรอกครับ คุณอัสวาร
เพราะผมก็สายเดียวกับคุณแหละ
เออ ฝาก ด้วยนะครับ
ตอนนี้ผมโดนกวนอยู่ เรื่อง เหนียต ละหมาด ที่ muslimthai นะครับ

บางคนก็ว่าคนอื่นเรื่อง ฮะดีสดออีฟ

คือคนจะว่าน่ะครับผมเข้าใจ ที่ผมเข้ามาถามก็เพื่อกันไว้จะได้ตอบมันไปบ้าง lol

ผมละอายใจจริง เฮ้อ
พี่น้องมุสลิมเรา...

วัสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 23, 2007, 07:29 AM โดย Goddut »

ออฟไลน์ salahudin

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 46
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ และการซอตละวาต
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: ม.ค. 22, 2007, 01:17 AM »
0
อัสสลามมุอาลัยกุม (มาครั้งแรก...ตื่นเต้น)
      เกี่ยวกับการซอลาวาตหลังละหมาดก็คือว่า เวลาละหมาดเสร็จใช่ปะ แล้วเราก็ขอดุอาอ์ใช่ปะ บางที่ถ้าอีหม่ามเขาขอให้ เราก็อามีนตาม จนดุอาอ์ท่อนสุดท้าย ทีว่า "วะซอลลอลลอฮุอาลาซัยยิดินามุฮำมาดิว วะอะลา อาลิฮี วะเซาะบิฮี วะซัลลัม วัลฮัมดุลิลลาฮฮิรอบบิ้ล อาละมีน " หรืออะไรทำนองเนี่ยะ และวเราก็จะกล่าว ซอลลอลลอฮกัน
"ซอลลอลลอฮุ อาลา มุฮัมมัด ซอลลอลลอฮุ อาลัย วะซัลลัม ซอลลอลลอฮุ อาลา มุฮัมมัด รอบบิสซอลิอาลัย วะซัลลิม" ไม่รู้ ว่าใช่อันที่คุณ Goddut หมายถึงอะปล่าวนะ ยังงัยก็ฝากด้วยครับ เเบบว่าเคยโดนอันเนี้ยะอ่ะ
                                                                                                               ขอบคุณมากครับ
                                                                                                                     วัสสลาม

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: ก.พ. 06, 2007, 01:08 PM »
0
กระทู้นี้  ชัดเจน  ครับ  ซ่อดะก๊อลลอฮุลอะซีม ไม่เป็นบิดอะฮ์แน่นอน  อัลฮัมดุลิลลาห์

ออฟไลน์ salahudin

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 46
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: ก.พ. 07, 2007, 03:15 AM »
0


ส่วนประเด็นของการซ่อลาวาตหลังละหมาดที่คุณกล่าวมาข้างต้นนั้น  ผมไม่ทราบว่าใครทำกันครับ  ผมเองก็ไม่เคยได้ยินว่า เวลาละหมาดญะมาอะฮ์เสร็จ  จะมีการซ่อลาวาตพร้อมกัน  โปรดเจาะจงประเด็นหน่อยครับ  ว่าซ่อลาวาตอันแบบใหน?  ซึ่งหากคุณถามในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน  เราก็ขอมะอัฟที่จะตอบ  ดังนั้น  ในเรื่องซอลาวาตนี้  โปรดชี้แจงเราด้วยว่า ซอลาวาตแบบจำกัดวิธีการหรือว่าซอลาวาตในรูปแบบกว้าง ๆ  ซึ่งทางพี่น้องอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  จะทำการตอบให้  หากพวกเรารู้ครับ 

วัสลาม

อัสสลามมุอาลัยกุม (มาครั้งแรก...ตื่นเต้น)
      เกี่ยวกับการซอลาวาตหลังละหมาดก็คือว่า เวลาละหมาดเสร็จใช่ปะ แล้วเราก็ขอดุอาอ์ใช่ปะ บางที่ถ้าอีหม่ามเขาขอให้ เราก็อามีนตาม จนดุอาอ์ท่อนสุดท้าย ทีว่า "วะซอลลอลลอฮุอาลาซัยยิดินามุฮำมาดิว วะอะลา อาลิฮี วะเซาะบิฮี วะซัลลัม วัลฮัมดุลิลลาฮฮิรอบบิ้ล อาละมีน " หรืออะไรทำนองเนี่ยะ และวเราก็จะกล่าว ซอลลอลลอฮกัน
"ซอลลอลลอฮุ อาลา มุฮัมมัด ซอลลอลลอฮุ อาลัย วะซัลลัม ซอลลอลลอฮุ อาลา มุฮัมมัด รอบบิสซอลิอาลัย วะซัลลิม" ไม่รู้ ว่าใช่อันที่คุณ Goddut หมายถึงอะปล่าวนะ ยังงัยก็ฝากด้วยครับ เเบบว่าเคยโดนอันเนี้ยะอ่ะ
                                                                                                               ขอบคุณมากครับ
                                                                                                                     วัสสลาม

มันยังไม่จบนา....................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 12, 2007, 10:03 PM โดย al-azhary »

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ และการซอตละวาต
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: ส.ค. 13, 2007, 01:16 PM »
0
เหมือนที่คุณอัลอัซฮารีย์บอกแหละครับท่านอาจารย์ตักลีดนักวิชาการบางกลุ่ม คำว่าตักลีดคงไม่ผิดเพราะขนาดคำฟัตวา
ที่คุณยกนั้น 80 เปอร์เซนต์ยังเป็นคำของเชคอุษัยมีนเลยครับ เหมือนกับแปลมาเลยเทียบกันได้ประโยคต่อประโยคเลยครับ


เรื่องศอดากอลลอฮ์นี้ก็เป็นตัวอย่างเหมือนกัน ท่านบอกไม่มีหลักฐาน"เลย" ผมก็ยกมาให้ท่านปัง เรื่องอื่นๆก็เหมือนเรื่องนี้แหละครับ
ฉะนั้นเรื่องคิลาฟียะฮ์ผมแนะนำอย่าไปถามท่านเลยครับ เหมือนกับเรื่องอะกีดะฮ์เกี่ยวกับศิฟะฮ์อย่าไปถามบัง ผจก.เวปบางท่าน เหมือนกันครับ
อย่าหาว่าโจมตีเลยนะครับท่านเป็นบุคคลของสังคมผมก็ต้องวิจารณ์ท่านไปตามจริงครับ

รับทราบครับท่าน.....อัสวาร

ออฟไลน์ salam

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 4
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ และการซอตละวาต
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: ส.ค. 15, 2007, 03:55 PM »
0


จริงอยู่ทุกๆบิดอะฮ์นั้นเป็นสิ่งที่ท่านนบีไม่เคยทำ แต่ไม่ใช่ทุกๆสิ่งที่ท่านไม่เคยทำจะเป็นบิดอะฮ์ อาทิเช่น การละหมาดหลังจากการอาบน้ำละหมาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านบิลาลกระทำเป็นประจำ กระทั่งท่านนบีกล่าวถามท่านว่า ?ท่านบิลาลบอกฉันเถิดว่าท่านทำเช่นไร ฉันจึงได้ยินเสียงเดินของท่านในสวรรค์? ท่านบิลาลกล่าวตอบว่า ?ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากละหมาดตามที่จะสะดวกทำได้หลังจากอาบน้ำละหมาดทุกครั้ง? ซึ่งท่านรอซูลก็ยอมรับในการกระทำนี้ของท่าน แต่กระนั้นก็ไม่เคยมีรายงานว่าท่านรอซูลจะละหมาดหลังจากอาบน้ำละหมาดเยี่ยงที่ท่านบิลาลกระทำ ผลลัพธ์ที่ได้ของหะดีษนี้คือ การละหมาดหลังอาบน้ำละหมาดนั้นเป็นสิ่งที่ดี ?แต่? ท่านรอซูลไม่เคยกระทำ ฉะนั้นจึงอนุมานได้ว่า ?ไม่ใช่ทุกอย่างที่ท่านรอซูลไม่เคยทำจะเป็นบิดอะฮ์เสมอไป? เพราะบางอย่างท่านยอมรับเช่นเรื่องนี้เป็นต้น



ออฟไลน์ salam

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 4
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: ส.ค. 15, 2007, 04:18 PM »
0
จากข้อความข้างต้น  แม้ท่านนบีไม่เคยทำหรือปฏิบัติเป็นแบบอย่างไว้  แต่หากท่านยอมรับหรือไม่มีคำสั่งห้ามการกระทำใดๆ (โดยเฉพาะอิบาดะฮฺที่เป็นพิธีกรรม) เมื่อท่านได้พบเห็นแล้ว  ก็ถือว่าสิ่งนั้นสามารถกระทำได้  เพราะได้รับการรับรองแล้วจากท่านนบี  แต่หากการกระทำใด (อิบาดะฮฺที่เป็นพิธีกรรม) ที่ท่านนบีไม่เคยทำเป็นแบบอย่างไว้  และไม่เคยรับรองหรือ ยอมรับการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใด เนื่องจากท่านไม่ได้พบเห็นหรือไม่ได้รับรู้การกระทำดังกล่าว  การกระทำดังกล่าวนั้นจะเป็นที่อนุมัติให้กระทำได้อย่างไรกัน   

   "[b]ตามหลักการอุศูลุลฟิกฮ์แล้วการไม่เคยกระทำการใดของท่านรอซูลนั้นบ่งบอกในเชิงของหุก่มได้อย่างเดียวนั่นก็คือ ?สิ่งที่ท่านไม่เคยกระทำนั้น เราสามารถดำเนินตามท่านโดยการไม่กระทำเช่นกันได้? ส่วนจะกล่าวหาว่าสิ่งนั้นเป็นหะรอมนั้นก็ต้องยกหลักฐานมาพิสูจน์ เพราะสิ่งที่ศาสนาใช้นั้นต้องมีการ ?เรียกร้อง? طلب  หากเป็นการ ?เรียกร้องให้กระทำ? สิ่งๆนั้นก็จะวาญิบ หรือซุนนะฮ์ แล้วแต่สำนวนของการเรียกร้อง ส่วนหากเป็นการ ?เรียกร้องให้ละทิ้ง? สิ่งๆนั้นก็จะเป็นหะรอม หรือมักรูฮ์ แล้วแต่สำนวนของการเรียกร้อง ซึ่งการเรียกร้องให้ทำ หรือให้ทิ้งนั้นล้วนแล้วแต่มีสำนวนเฉพาะของมัน ซึ่งโดยส่วนมากจะมาในประโยคคำสั่ง ซึ่งไม่มีนักวิชาการท่านใดนับ ?การไม่เคยกระทำ? เป็นสำนวนที่บ่งบอกถึงการหะรอมสิ่งนั้นๆ ซึ่งตัวอย่างหะดีษที่ยกไปก็ชัดเจน[/b][/b]"

  ถ้าเป็นเช่นนี้  หากเราอยากจะกุนูตในเวลามักริบเป็นการเฉพาะ (กุนูตในละหมาดเวลานี้เพียงเวลาเดียวทุกครั้งเมื่อทำละหมาด)  แทนการกุนูตในเวลาซุบฮิ  แม้นบีไม่เคยกระทำไว้เป็นแบบอย่าง  แต่ท่านก็ไม่เคยสั่งห้ามไว้เลยว่าห้ามกุนูตในเวลาดังกล่าว  เราสามารถจะกระทำเช่นนี้ได้หรือไม่ครับ

  ที่ถามเช่นนี้ไม่ได้มีเจตนาจะก่อกวนนะครับเพียงต้องการความชัดเจนในมาตรฐานการวินิจฉัยว่าการกระทำใดสามารถกระทำได้และการกระทำใดที่เรียกว่า "บิดอะฮฺ" ที่หลงผิด

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: ส.ค. 15, 2007, 05:56 PM »
0
  ถ้าเป็นเช่นนี้  หากเราอยากจะกุนูตในเวลามักริบเป็นการเฉพาะ (กุนูตในละหมาดเวลานี้เพียงเวลาเดียวทุกครั้งเมื่อทำละหมาด)  แทนการกุนูตในเวลาซุบฮิ  แม้นบีไม่เคยกระทำไว้เป็นแบบอย่าง  แต่ท่านก็ไม่เคยสั่งห้ามไว้เลยว่าห้ามกุนูตในเวลาดังกล่าว  เราสามารถจะกระทำเช่นนี้ได้หรือไม่ครับ

  ที่ถามเช่นนี้ไม่ได้มีเจตนาจะก่อกวนนะครับเพียงต้องการความชัดเจนในมาตรฐานการวินิจฉัยว่าการกระทำใดสามารถกระทำได้และการกระทำใดที่เรียกว่า "บิดอะฮฺ" ที่หลงผิด

กุนูตในเวลาละหมาดมัฆริบนั้น  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เคยกระทำไว้เป็นแบบอย่างนะครับ  แต่ทว่านักปราชญ์แห่งโลกอิสลามถือว่าเป็นหลักการที่ถูกยกเลิกไปแล้ว 

การเจาะจงกระทำอิบาดะฮ์ใดเป็นการเฉพาะนั้น  ต้องมีหลักฐานมารับรองนะครับ  กล่าวคือ  หากอ้างว่าหลักการของศาสนาระบุเจาะจงให้กระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้  ต้องมีหลักฐานมารับรอง   แต่การกระทำใดที่ไม่ได้อ้างว่านบีได้เจาะจงให้กระทำ  โดยที่กระทำไปนั้นเพราะมีหลักฐานแบบมูลรวมได้รับรองเอาไว้  ก็ถือว่าให้กระทำได้  ตราบใดที่ไม่ไปขัดกับหลักฐานของศาสนาข้ออื่น ๆ

ส่วนการกุนูตเวลาละหมาดมัฆริบเป็นการเฉพาะนั้น   ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้อธิบายวิธีละหมาดมัฆริบไว้แล้ว  โดยนิ่งจากการใช้ให้กุนูตเฉพาะในละหมาดมัฆริบ

ان السكوت فى مقام البيان يفيد الحصر

"แท้จริง การนิ่ง ในสภาพที่จะต้องอธิบายนั้น ย่อมหมายถึงการจำกัดแค่นั้น"

เคยมีคนถามผมว่า

ฉันจะเพิ่มเติม ดุอาอิฟติตะห ที่แต่งขึ้นเอง หรือ การเศาะละวาตให้แก่บรรดารซูลยี่สิบห้าท่าน หรือ ตะฮลีล ในละหมาด จะได้หรือไม่ ?

เราขอตอบว่า

การแต่งดุอาอ์อิฟติตาห์ขึ้นมาใหม แล้วไปเพิ่มนั้น ย่อมไม่ได้ เพราะมันจะไปทำลายหรือยกเลิกซุนนะฮ์เดิม และเกือบจะเปลี่ยนแปลงซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.)ที่มีแต่เดิม ส่วนการเศาะละวาตบรรดาร่อซูล และตะฮลีล นั้น หากไปเพิ่มตอนอ่านอัลฟาติหะฮ์คงไม่ได้แน่นอน และ หากไปเพิ่มซ่อลาวาตและตะฮ์ลีล ตอนร่อกั๊วะ สุยูด ก็เป็นการขัดกับสิ่งที่ร่อซูลได้ บะยาน(อธิบาย) และหัสรฺ(จำกัดไว้แล้ว) ดังนั้น การเพิ่มเติมสิ่งที่กล่าวมานั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเกือบจะเป็นการเปลี่ยนแปลงและขัดกับหลักการเกี่ยวกับเรื่องละหมาด

และการเพิ่มดุอาอ์ที่เราต้องการขอหลังจากอ่านตะชะฮุดนั้น กระทำได้อย่างไม่ต้องสงสัย จะอ่านดุอาเป็นภาษาอาหรับอย่างไรก็ได้ เพราะท่านนบี(ซ.ล.) ได้บอกไว้แบบเปิดกว้าง(มุฏลัก) จะขอให้ได้ภรรยาดี ๆ สวย ๆ ก็ไม่แปลก หากเราเลือกจะขอกับอัลเลาะฮ์อย่างนั้น

อีกสักตัวอย่างหนึ่ง เช่น มีสายรายงานที่หะซัน ว่า มีคนหนึ่งได้จาม ต่อหน้าท่านอิบนุอุมัร แล้วกล่าว ซ่อลาวาตท่านนบี (ซ.ล.) หลังจากจาม ท่านอิบนุอุมัรจึงห้ามปรามไม่ให้ทำอย่างนั้น และการที่ท่านอิบนุอุมัรได้ห้ามกระทำอย่างนั้น ก็เพราะว่า ท่านนบี(ซ.ล.)ได้สอนวิธีการกล่าวดุอาอ์หลังจากจามไว้แล้ว คือกล่าวว่า "อัลหัมดุลิลลาห์" แต่การที่เราจะไปกล่าว "ซอลาวาต"แทน ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงซุนนะฮ์หรือเกือบจะเปลี่ยนแปลงซุนนะฮ์ที่มีมาแต่เดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอิบนุอุมัรจึงทำการตำหนิ

แต่การทำอิบาดะฮ์แบบสมัครใจ(สุนัต) ที่อยู่ภายใต้หลักการกว้างๆ (มุฏลัก) และไม่ขัดกับซุนนะฮ์ที่มีระบุไว้แต่เดิมนั้น ย่อมไม่ใช่ปัญหา และคำถามที่ถามมานั้น จะเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ไม่ได้ เพราะขัดกับเงื่อนไขต่อไปนี้

เงื่อนไขที่3 บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ต้องไม่ไปขัด หรือ ค้าน กับตัวบทหนึ่ง จากบรรดาตัวบทของศาสนา และการกระทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ต้องไม่ทำให้มีการยกเลิก หรือลบล้าง ซุนนะฮ์ใด ซุนนะฮ์หนึ่งของศาสนา ซึ่งอิมาม อัลฆ่อซาลีย์ได้กล่าวบ่งถึงไว้ว่า"บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนินั้น คือสิ่งที่ไปคัดค้านกับซุนนะฮ์ที่มีอยู่เดิม หรือเกือบจะทำการเปลี่ยนซุนนะฮ์นั้น"

และสิ่งที่ถามมานั้น อย่าว่าแต่อุลามามุจญฺฮิดเลย ที่ไม่ยอมรับ คนมุก๊อลลิดอย่างเรา ๆ ก็ไม่ยอมรับ ซึ่งมันไปขัดกับเงื่อนไขข้อสี่ที่ว่า

เงื่อนไขข้อที่4 บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่บรรดามุสลิมมีนมีความเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดี คือหลักการที่ว่า บิดอะฮ์จะต้องไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ และคำว่า"บรรดามุสลิมีน" นี้ หมายถึง ปวงปราชน์นักวิชาฟิกห์ ไม่ใช่มุสลิมที่เป็นคนเอาวามทั่วไปๆ ที่ไม่สามารถวินิจฉัยในเรื่องศาสนาได้

ดังนั้น การกระทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือการเกิดบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น จึงไม่สามารถทำกันง่าย ๆ และไม่สามารถเกิดขึ้นกันง่าย ๆ เลย เพราะว่ามันต้องมีหลักการหรือรากฐานศาสนา ต้องไม่ไปทำลายซุนนะฮ์ที่มีมาแต่เดิมและต้องผ่านการยอมรับของนักปราชญ์มุจญฺฮิดด้วย ดังนั้น การที่เราจะคิดและจะทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ขึ้นมาเองนั้นคงยากและโอกาสคงไม่เปิดให้กับพวกเราแน่นอน และเราหวังว่า ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องบิดอะฮ์มากขึ้นนะครับ วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ และการซอตละวาต
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: ส.ค. 15, 2007, 09:33 PM »
0


จริงอยู่ทุกๆบิดอะฮ์นั้นเป็นสิ่งที่ท่านนบีไม่เคยทำ แต่ไม่ใช่ทุกๆสิ่งที่ท่านไม่เคยทำจะเป็นบิดอะฮ์ อาทิเช่น การละหมาดหลังจากการอาบน้ำละหมาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านบิลาลกระทำเป็นประจำ กระทั่งท่านนบีกล่าวถามท่านว่า ?ท่านบิลาลบอกฉันเถิดว่าท่านทำเช่นไร ฉันจึงได้ยินเสียงเดินของท่านในสวรรค์? ท่านบิลาลกล่าวตอบว่า ?ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากละหมาดตามที่จะสะดวกทำได้หลังจากอาบน้ำละหมาดทุกครั้ง? ซึ่งท่านรอซูลก็ยอมรับในการกระทำนี้ของท่าน แต่กระนั้นก็ไม่เคยมีรายงานว่าท่านรอซูลจะละหมาดหลังจากอาบน้ำละหมาดเยี่ยงที่ท่านบิลาลกระทำ ผลลัพธ์ที่ได้ของหะดีษนี้คือ การละหมาดหลังอาบน้ำละหมาดนั้นเป็นสิ่งที่ดี ?แต่? ท่านรอซูลไม่เคยกระทำ ฉะนั้นจึงอนุมานได้ว่า ?ไม่ใช่ทุกอย่างที่ท่านรอซูลไม่เคยทำจะเป็นบิดอะฮ์เสมอไป? เพราะบางอย่างท่านยอมรับเช่นเรื่องนี้เป็นต้น


    สรุปคำพูดของคุณอัสวารก็คือ  หากนบีไม่เคยทำ  ไม่ใช่ชี้ถึงฮะรอมเสมอไป  เพราะสิ่งที่นบีทิ้งนั้น  ไม่ใช่อยู่ในหมวดหนึ่งของซุนนะฮ์ตามทัศนะของนักวิชาการหะดิษ  นอกจากว่ามีหลักฐานอื่นมากำกับห้ามในการละทิ้งนั้น



ออฟไลน์ philosophy

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 94
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: ส.ค. 22, 2007, 07:08 PM »
0
اسلام عليكم
มารยาทในการศ่อลาวาต
 ขอบเขตและมารยาทในการศ่อลาวาต และให้สลามแก่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

การสรรเสริญทั้งมวลนั้นเป็นสิทธิแห่งอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียว ขอพรและสันติจงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งไม่มีนบีใดๆ ภายหลังจากท่านอีก ขอให้พรและความศานตินั้นประสบแด่วงศ์ญาติและมิตรสหายของท่านด้วยเทอญ

แท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงส่งศาสนทูตของพระองค์ คือท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มายังมวลมนุษย์และญินในฐานะเป็นผู้ประกาศข่าวดี เป็นผู้ตักเตือนและเชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ และเป็นดวงประทีปอันเจิดจ้า ทั้งนี้ด้วยการอนุมัติของพระองค์ พระองค์ทรงส่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาพร้อมด้วยแนวทางอันถูกต้อง ด้วยความเมตตาปรานีและศาสนาอันสัจจะ พร้อมกับความผาสุกในโลกนี้และโลกหน้า แน่นอนท่านได้ทำหน้าที่เผยแพร่สาส์นของอิสลาม และปฏิบัติหน้าที่นั้นด้วยความซื่อสัตย์ ได้อบรมและตักเตือนประชากรของท่าน ทั้งยังได้ยืนหยัดและต่อสู้อันจริงจังอีกด้วย ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตอบแทนรางวัลที่ดีงามแก่ท่านโดยครบถ้วนด้วย

การเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การหลีกห่างจากสิ่งที่ท่านห้ามปรามนั้น นับเป็นข้อกำหนดของอิสลามอันสำคัญยิ่งที่มุสลิมทุกคนจะต้องน้อมนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และยังถือเป็นจุดมุ่งหมายแห่งสาส์นของท่านอีกด้วย

การยอมรับและการปฏิญาณในการเป็นศาสนทูตของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ย่อมหมายความถึง การรักใคร่ การดำเนินตามท่าน ซึ่งรวมทั้งการศ่อลาวาต (ขอพร) ให้แก่ท่านในทุกๆโอกาส และในขณะที่กล่าวหรือรำลึกถึงท่าน เพราะดังกล่าวนั้นถือเป็นสิทธิและหน้าที่บางอย่างที่จำเป็นที่เราจะต้องปฏิบัติต่อท่าน ในขณะเดียวกันก็เป็นการสนองคุณต่ออัลลอฮฺที่ได้ทรงประทานความโปรดปรานแห่งพระองค์ ด้วยการส่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมมาเป็นศาสนทูตแก่พวกเรา

ในการศ่อลาวาตให้แก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้นมีประโยชน์มากมาย ส่วนหนึ่งจากบรรดาประโยชน์เหล่านั้น ก็คือ การดำเนินตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเห็นพ้องกับพระองค์และกับบรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์ ในการศ่อลาวาตให้แก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า



"แน่แท้อัลลอฮฺ และมวลมะลาอิกะฮฺของพระองค์ทรงศ่อลาวาตให้แก่นบี โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วทั้งหลาย จงศ่อลาวาต และจงให้สลามแก่ท่านนบี อย่างจริงจังเถิด" (33 : 56)

ประโยชน์อีกประการหนึ่งก็คือ ผู้ที่ศ่อลาวาตนั้นจะได้รับกุศลทวีคูณ และเป็นความปราถนาในการตอบสนองคำวิงวอนของเขา การศ่อลาวาตยังเป็นสาเหตุแห่งการบรรลุถึงความจำเริญ ความรักใคร่ท่าน และความเพิ่มพูนต่างๆ เป็นสาเหตุแห่งการได้รับแนวทางอันถูกต้อง จิตใจเบิกบานและมีชีวิตชีวา

เมื่อบุคคลศ่อลาวาตให้แก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างมากมาย และรำลึกถึงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อยู่เสมอแล้ว ความรักใคร่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะเข้ามาแทนที่จิตใจเขาเลย ไม่มีการเคลือบแคลงสงสัยใดๆในสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นำมา

นอกจากนั้น ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้ส่งเสริมให้ศ่อลาวาตแก่ท่าน โดยมีรายงานปรากฏในหลายฮะดีส ในบรรดาฮะดีสเหล่านั้นก็มีฮะดีสที่รายงานโดยอิมามมุสลิม ความว่า

"แท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า ผู้ใดศ่อลาวาตให้แก่ฉันเพียงครั้งเดียว อัลลอฮฺทรงศ่อลาวาตให้แก่เขาสิบครั้ง?

มีรายงานจากอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า แท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ?พวกท่านอย่าให้บ้านของพวกท่านเสมือนกุโบ๊ร และอย่าให้กุโบ๊รของฉันเป็นที่เฉลิมฉลอง พวกท่านจงศ่อลาวาตให้กับฉัน แท้จริงการศ่อลาวาตของพวกท่านนั้นจะถึงฉัน ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ ณ ที่แห่งใด?

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ยังกล่าวอีกว่า ?ช่างน่าต่ำต้อยเสียนี่กระไร สำหรับบุคคลผู้ที่เมื่อชื่อของฉันถูกกล่าว ณ ที่เขา แล้วเขาไม่ศ่อลาวาตแก่ฉัน? (บันทึกรายงานโดย ติรมีซีย์)

นอกจากนั้นแล้ว การศ่อลาวาตให้แก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังเป็นสิ่งที่ศาสนาใช้ให้กระทำในละหมาด ในขณะที่อ่านตะชะฮฺฮุด และในขณะอ่านคุฏบะฮฺ ในขณะดุอาอฺ ขณะขออภัยโทษ ขณะเสร็จจากอะซาน ขณะเข้า-ออกมัสยิด ขณะกล่าวนามท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และในขณะอื่นๆ อีกมากมาย

การศ่อลาวาตนั้นจะถูกใช้อย่างแข็งขัน ในขณะที่เขียนชื่อของท่านในหนังสือหรือสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ ในจดหมาย บทความ ฯลฯ ทั้งนี้โดยอาศัยเหตุผลต่างๆที่กล่าวมา และให้เขียนคำศ่อลาวาตโดยใช้คำเต็ม เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างจริงจัง และเพื่อผู้อ่านจะได้กล่าวคำศ่อลาวาตนั้นในขณะที่เขาอ่านผ่านไป และการเขียนคำศ่อลาวาตก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่ใช้อักษรย่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงคำศ่อลาวาต เช่น การใช้อักษร ศ็อด หรือ ศ็อลอัม หรือ ซ.ล. หรือ ศ็อลฯ เป็นต้น ซึ่งอักษรย่อเหล่านี้มีผู้เขียนหรือผู้แต่งหนังสือบางคนนิยมกัน การกระทำทำนองนี้ไม่สอดคล้องกับคำสั่งกำชับของอัลลอฮฺที่ตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ?พวกเจ้าจงศ่อลาวาตให้แก่ท่านนบี และสลามอย่างจริงจัง? (33 : 56)

การใช้อักษรย่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงคำศ่อลาวาตในลักษณะดังกล่าวนั้น ไม่บรรลุถึงเป้าหมายและความประเสริฐอันสมบูรณ์ เหมือนอย่างการเขียนว่า ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในลักษณะตัวเต็ม เพราะบางครั้งผู้อ่านอาจไม่ระมัดระวังหรือไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายก็เป็นได้ โดยแท้จริงแล้วการใช้อักษรย่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงคำศ่อลาวาตนั้น เป็นสิ่งที่นักวิชาการไม่ชอบให้กระทำ พร้อมกันนั้นยังได้มีคำเตือนมิให้กระทำดังกล่าวอีกด้วย

ท่านอิบนุซซ่อลาห์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่อ ?อุลูมุลฮะดีส? ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่า ?มุก๊อดดีมะฮฺ อิบนุซซ่อลาห์? กล่าวอยู่ในบทที่ 25 เกี่ยวกับการเขียนและบันทึกฮะดีส ซึ่งมีข้อความระบุว่า

ข้อที่เก้า ?ผู้ที่แสวงหาและรวบรวมวิชาฮะดีส จะต้องระมัดระวังและเอาใจใส่ในการเขียนคำศ่อลาวาต และสลามให้แก่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างสม่ำเสมอขณะที่กล่าวชื่อของท่าน โดยจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในการกล่าวย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะว่าดังกล่าวนั้นจะเป็นประโยชน์อันมหาศาลแก่ผู้ที่แสวงหาฮะดีสและบันทึกฮะดีส ผู้ที่ละเลยจากการกระทำดังกล่าว เขาย่อมถูกห้ามจากการได้รับส่วนดีอย่างมากมาย แท้จริงเราได้เห็นคุณความดีแก่ผู้ที่กระทำเช่นนั้น และคำศ่อลาวาตที่เขาเขียนนั้นเป็นดุอาอฺ ที่จะปรากฏอยู่อย่างมั่นคง ไม่ใช่เป็นคำรายงาน?

ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องบันทึกให้เหมือนกับคำรายงาน ในทำนองเดียวกันกับการกล่าวคำสรรเสริญและสดุดีอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขณะที่กล่าวพระนามของพระองค์ เช่น คำว่า ?อัซซะวะญัล? และคำว่า ?ตะบาร่อกะ วะตะอาลา?

ท่านอิบนุซซ่อลาห์ กล่าวต่อไปว่า ?หลังจากนั้นผู้แสวงหาและบันทึกฮะดีส จงหลีกเลี่ยง ความบกพร่องทั้งสองแบบ คือความบกพร่องในการเขียน โดยใช้เครื่องหมายย่อแทน และบกพร่องในความหมาย คือการเขียนเฉพาะแต่คำศ่อลาวาตโดยไม่เขียนสลาม?

มีรายงานจากฮิมยะห์ อัลกินานีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ฉันเคยบันทึกฮะดีสและฉันได้เขียนขณะกล่าวนามท่านนบีว่า ?ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ? โดยมิได้เขียนคำ ?วะซัลลัม? แล้วฉันก็ได้ฝันเห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า ?มีอะไรเกิดขึ้นแก่ท่านเล่าที่ไม่ศ่อลาวาตแก่ฉันให้ครบถ้วน?? เขาเล่าว่า ?นับแต่บัดนั้นมา ไม่มีครั้งใดที่ฉันเขียน ?ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ? เลยนอกจากฉันจะเขียนต่อให้ครบว่า ?วะซัลลัม?

ท่านอิบนุซซ่อลาห์ กล่าวต่อไปว่า ฉันกล่าวว่า เป็นการน่าเกลียดอีกที่จะกล่าวย่อเพียง ?อะลัยฮิสลาม?

ท่านอัล-ลามะฮฺ ก่อลานีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่อ ?ดัตฮุลมุฆีล? มีข้อความว่า

โอ้ผู้บันทึกฮะดีส จงหลีกเลี่ยงการเขียนเครื่องหมายย่อแทนคำศ่อลาวาตและสลามให้แก่ท่านร่อซูล โดยย่อสองอักษรหรือที่คล้ายกัน ซึ่งทำให้รูปการศ่อลาวาตขาดหายหรือบกพร่อง ดังที่บางคนกระทำกัน พวกเหล่านั้นจะเขียนอักษร ศ็อด หรือ ศ็อลอัม แทนคำว่า ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพราะดังกล่าวนั้นจะทำให้กุศลแห่งการศ่อลาวาตขาดหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากความบกพร่องของการเขียน

ท่านอัสสะญูฎีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไนหนังสือของท่าน ?ตัดรีบุรรอวีย์? ในคำอธิบายหนังสือ ?อัตตักรี๊บ ของ อัลนะวะวีย์? มีข้อความว่า เป็นการน่าเกลียดที่จะใช้อักษรย่อในการศ่อลาวาตและสลามให้แก่ท่านนบี ในที่นี้คือในการบันทึกฮะดีส และในที่อื่นๆที่มีบัญญัติให้กล่าว ศ่อลาวาต ดังที่ปรากฏในซะเราะฮฺมุสลิมและที่อื่นๆ ทั้งนี้เนื่องจากดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ระบุว่า ?พวกเจ้าจงศ่อลาวาตแก่ท่านนบี และสลามอย่างจริงจัง?

มีข้อความอีกตอนหนึ่งที่ท่านสะญูฎีย์ กล่าวว่า เป็นการน่าเกลียดที่จะใช้อักษรย่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงคำ ศ่อลาวาตและสลาม โดยการเขียนอักษรย่อหนึ่งอักษรหรือสองอักษร เช่นกับบุคคลที่เขียนคำว่า ?ศ็อลอัม? หากแต่ให้เขาเขียนศ่อลาวาตและสลาม โดยใช้คำเต็มว่า ?ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม?

เรื่องเหล่านี้ คือสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะกำชับและสั่งเสียแก่บรรดามุสลิม ตลอดจนผู้อ่านผู้เขียนทุกๆท่าน จงได้แสวงหาสิ่งที่ดีเยี่ยมและค้นหาสิ่งมีกุศลเพิ่มมากขึ้น จงหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้เสียหายและก่อให้เกิดความบกพร่องในผลบุญนั้นๆ ด้วย เราขอต่ออัลลอฮฺโปรดประทานความสำเร็จแก่พวกเราทั้งมวลในทุกๆสิ่งที่อัลลอฮฺทรงพอพระทัย แน่แท้พระองค์ทรงเป็นผู้ใจบุญยิ่ง


 

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: ส.ค. 23, 2007, 12:21 AM »
0
ตอบยาวดี ผู้มีความรู้มาช่วยเหลือกันมากมาย

แต่ ผมรู้สึก มีอีกกระทู้ที่ผม เปิดประเด็น นะครับ

เรื่อง ...... ยกมือ ขอดุอา พร้อมกัน แล้วกล่าวอามีน มั้ง...

ออฟไลน์ busy

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 4
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: การศอดดอกัลลอฮฺ
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: พ.ค. 03, 2011, 01:06 PM »
0
ขอค้านด้วยความเคารพนะครับ
ผู้ที่บอกว่าไม่ให้กล่าวศอดะกอลลอฮฺ ไม่ใช่ตักลีดทั้งหมดตามที่อ้างนะครับ
ขอขยายความตามที่ว่ากันมา
จากที่อ่านมา สาเหตที่ระบุว่า ไม่ใช่บิดอะฮฺ เหนได้ว่าอธิบายได้ยาวมาก แต่รู้สึกว่าจะไม่ถูกนัก เนื่องจาก
กรระบุคำนิยามของคำว่าบิดอะฮฺ ไม่ถูกเท่าที่ควร
การเหมารวม สิ่งที่ท่านบิลาลทำ แล้วเอามาอ้างกับเรื่องกล่าว ศอดะกอลลอฮ เปนการกิยาซ มะอัลฟาริก (การเอาคนละเรื่องมาเหมาว่าเป็นเรื่องเดียวกัน)

ขอทีละประเด็นนะครับ
คำนิยามของคำว่า บิดอะฮฺ คือ สิ่งที่ถูกกำหนดให้เป็นเรื่องศาสนา (กำหนดให้เป็นรูปแบบว่าต้องทำกัน) ในสิ่งที่อัลลอฮฺ และท่านนบีไม่ได้บอกไว้

หมายความว่าที่อ้าง สิ่งที่ท่านบิลาลทำ เป็นการอ้างที่ผิด เพราะ การ ละหมาดซุนนะฮฺหลังน้ำละหมาด นั้นเป็นแบบอย่างที่นบีสอนไว้อยู่แล้ว และที่ท่านบิลาลทำ ท่านก็ไม่ได้ออกมาเรียกร้องว่ามันเป็นรูปแบบของศาสนาที่ทุกคนต้องทำ "มันเป็นประจำ"

ส่วนหลักฐานที่ยกมาว่ามีการใช้คำว่า ศอดะกอลลอฮฺ เพราะฉนั้นกล่าวได้หลังการอ่านกุรอาน ก็เป็นการกิยาซมอัลฟาริก อีกเช่นกัน
เพราะ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าคำพูดนี้ พูดได้หรือไม่ เพราะนักวิชาการทุกคนเห็นด้วยอยู่แล้วว่า การพูดคำพูดนี้ไม่ผิด จากหลักฐานทั้งหมดที่มีการยกมา แต่ประเดนตอนนี้ (กรุณา แยกให้ถูก) คือการที่ระบุว่า ต้องทำทุกครั้งหลังอ่านกุรอ่านต่างหากที่เปนประเด็น คิลาฟ

หมายความว่าผู้วิเคราะห์มองปัญหาไม่แตก และจับประเด็นมาเหมารวมกัน

ซึ่งเราจะพบได้ว่าการที่จะระบุว่าให้ทำทุกครั้งหลังอ่านจบ จำเป็นต้องมีหลักฐาน และการไม่พบหลักฐานจะมาอ้างว่ามันน่าจะมี ไม่ได้ เพราะ หากการใช้คำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดี ท่านนบีต้องทำก่อนเรา และบรรดาศอฮาบะฮฺต้องทำก่อนเรา และมันต้องมีสายรายงาน เพราะการอ่านกุรอ่าน อ่านกันประจำ เรื่องที่มีการทำเป็นประจำทำไมถึงไม่มีหลักฐานแม้แต่บทเดียว???
แล้วทำไมไม่มีหลักฐานแม้แต่บทเดียวที่บอกว่านบีพูดว่า "ศอดะกอลลอฮฺ" หลังการอ่านอัลกุรอ่าน? มันหมายความว่าท่านนบีไม่ได้ทำ (เพราะอัลลอฮฺรับรองไว้ว่าจะรักษาศาสนาไว้ ดังนั้นจะไม่มีบทบัญญัติใดหายไปเด็ดขาด) ซึ่งหมายความว่าเรารู้ดีกว่านบีใช่ใหมว่าต้องกล่าวเรารู้ดีกว่าศอฮาบะฮฺใช่ใหมว่าต้องกล่าวหลังละหมาด??? ทำไมไม่มีศอฮาบะฮฺท่านใด พูดถึง "เลย"

ขอสรุปตรงนี้ว่า ในเรื่องนี้สองทัศนะ มีหลักฐาน มีความเห็นกันทั้งคู่
หนึ่ง มองว่ามันฮะรอม (บางส่วนมองว่าเป็นบิดอะฮฺ)
สอง มองว่ามันเปนซุนนะฮฺ
(บางท่านมองว่าเป็นมักรูฮ เพราะสิ่งที่อัลลอฮฺพูดย่อมสัจย์จริงอยู่แล้ว สังเกตจากอายะฮกุรอ่านที่ให้พูดเพื่อประกาศการเป็นมุสลิมก่อน หลังจากนั้นให้ปฏิบัติตาม(เชิญกลับไปดูที่อายะฮฺกุรอานที่ยกมา))
และในการขัดแย้งของนักวิชาการ ให้เลือกทำในสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องที่สุด หากเรามั่นใจว่าเราพร้อมจะเอาสิ่งนั้นไปเสนอให้กับอัลลอฮฺ ผมเลือกทัศนะแรก แต่ผมก็ไม่ได้ประนามทัศนะที่สอง เพราะเหนว่าต่างฝ่ายต่างต้องการความถูกต้อง ไม่ได้ตะแบง (ถ้าตะแบงก็เปนเรื่องของเขากับอัลลอฮฺครับ)
ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
ขอมอัฟ หากสำนวนบางส่วนอาจดูแรงไป แต่อยากจะเสนอข้อมูลให้เป็นธรรมที่สุด
วัลลอฮุอะอลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 03, 2011, 01:17 PM โดย busy »

 

GoogleTagged