ถ้าเป็นเช่นนี้ หากเราอยากจะกุนูตในเวลามักริบเป็นการเฉพาะ (กุนูตในละหมาดเวลานี้เพียงเวลาเดียวทุกครั้งเมื่อทำละหมาด) แทนการกุนูตในเวลาซุบฮิ แม้นบีไม่เคยกระทำไว้เป็นแบบอย่าง แต่ท่านก็ไม่เคยสั่งห้ามไว้เลยว่าห้ามกุนูตในเวลาดังกล่าว เราสามารถจะกระทำเช่นนี้ได้หรือไม่ครับ
ที่ถามเช่นนี้ไม่ได้มีเจตนาจะก่อกวนนะครับเพียงต้องการความชัดเจนในมาตรฐานการวินิจฉัยว่าการกระทำใดสามารถกระทำได้และการกระทำใดที่เรียกว่า "บิดอะฮฺ" ที่หลงผิด
กุนูตในเวลาละหมาดมัฆริบนั้น ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เคยกระทำไว้เป็นแบบอย่างนะครับ แต่ทว่านักปราชญ์แห่งโลกอิสลามถือว่าเป็นหลักการที่ถูกยกเลิกไปแล้ว
การเจาะจงกระทำอิบาดะฮ์ใดเป็นการเฉพาะนั้น ต้องมีหลักฐานมารับรองนะครับ กล่าวคือ หากอ้างว่าหลักการของศาสนาระบุเจาะจงให้กระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องมีหลักฐานมารับรอง แต่การกระทำใดที่ไม่ได้อ้างว่านบีได้เจาะจงให้กระทำ โดยที่กระทำไปนั้นเพราะมีหลักฐานแบบมูลรวมได้รับรองเอาไว้ ก็ถือว่าให้กระทำได้ ตราบใดที่ไม่ไปขัดกับหลักฐานของศาสนาข้ออื่น ๆ
ส่วนการกุนูตเวลาละหมาดมัฆริบเป็นการเฉพาะนั้น ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อธิบายวิธีละหมาดมัฆริบไว้แล้ว โดยนิ่งจากการใช้ให้กุนูตเฉพาะในละหมาดมัฆริบ
ان السكوت فى مقام البيان يفيد الحصر
"แท้จริง การนิ่ง ในสภาพที่จะต้องอธิบายนั้น ย่อมหมายถึงการจำกัดแค่นั้น"
เคยมีคนถามผมว่า
ฉันจะเพิ่มเติม ดุอาอิฟติตะห ที่แต่งขึ้นเอง หรือ การเศาะละวาตให้แก่บรรดารซูลยี่สิบห้าท่าน หรือ ตะฮลีล ในละหมาด จะได้หรือไม่ ?
เราขอตอบว่า
การแต่งดุอาอ์อิฟติตาห์ขึ้นมาใหม แล้วไปเพิ่มนั้น ย่อมไม่ได้ เพราะมันจะไปทำลายหรือยกเลิกซุนนะฮ์เดิม และเกือบจะเปลี่ยนแปลงซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.)ที่มีแต่เดิม ส่วนการเศาะละวาตบรรดาร่อซูล และตะฮลีล นั้น หากไปเพิ่มตอนอ่านอัลฟาติหะฮ์คงไม่ได้แน่นอน และ หากไปเพิ่มซ่อลาวาตและตะฮ์ลีล ตอนร่อกั๊วะ สุยูด ก็เป็นการขัดกับสิ่งที่ร่อซูลได้ บะยาน(อธิบาย) และหัสรฺ(จำกัดไว้แล้ว) ดังนั้น การเพิ่มเติมสิ่งที่กล่าวมานั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเกือบจะเป็นการเปลี่ยนแปลงและขัดกับหลักการเกี่ยวกับเรื่องละหมาด
และการเพิ่มดุอาอ์ที่เราต้องการขอหลังจากอ่านตะชะฮุดนั้น กระทำได้อย่างไม่ต้องสงสัย จะอ่านดุอาเป็นภาษาอาหรับอย่างไรก็ได้ เพราะท่านนบี(ซ.ล.) ได้บอกไว้แบบเปิดกว้าง(มุฏลัก) จะขอให้ได้ภรรยาดี ๆ สวย ๆ ก็ไม่แปลก หากเราเลือกจะขอกับอัลเลาะฮ์อย่างนั้น
อีกสักตัวอย่างหนึ่ง เช่น มีสายรายงานที่หะซัน ว่า มีคนหนึ่งได้จาม ต่อหน้าท่านอิบนุอุมัร แล้วกล่าว ซ่อลาวาตท่านนบี (ซ.ล.) หลังจากจาม ท่านอิบนุอุมัรจึงห้ามปรามไม่ให้ทำอย่างนั้น และการที่ท่านอิบนุอุมัรได้ห้ามกระทำอย่างนั้น ก็เพราะว่า ท่านนบี(ซ.ล.)ได้สอนวิธีการกล่าวดุอาอ์หลังจากจามไว้แล้ว คือกล่าวว่า "อัลหัมดุลิลลาห์" แต่การที่เราจะไปกล่าว "ซอลาวาต"แทน ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงซุนนะฮ์หรือเกือบจะเปลี่ยนแปลงซุนนะฮ์ที่มีมาแต่เดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอิบนุอุมัรจึงทำการตำหนิ
แต่การทำอิบาดะฮ์แบบสมัครใจ(สุนัต) ที่อยู่ภายใต้หลักการกว้างๆ (มุฏลัก) และไม่ขัดกับซุนนะฮ์ที่มีระบุไว้แต่เดิมนั้น ย่อมไม่ใช่ปัญหา และคำถามที่ถามมานั้น จะเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ไม่ได้ เพราะขัดกับเงื่อนไขต่อไปนี้
เงื่อนไขที่3 บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ต้องไม่ไปขัด หรือ ค้าน กับตัวบทหนึ่ง จากบรรดาตัวบทของศาสนา และการกระทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ต้องไม่ทำให้มีการยกเลิก หรือลบล้าง ซุนนะฮ์ใด ซุนนะฮ์หนึ่งของศาสนา ซึ่งอิมาม อัลฆ่อซาลีย์ได้กล่าวบ่งถึงไว้ว่า"บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนินั้น คือสิ่งที่ไปคัดค้านกับซุนนะฮ์ที่มีอยู่เดิม หรือเกือบจะทำการเปลี่ยนซุนนะฮ์นั้น"
และสิ่งที่ถามมานั้น อย่าว่าแต่อุลามามุจญฺฮิดเลย ที่ไม่ยอมรับ คนมุก๊อลลิดอย่างเรา ๆ ก็ไม่ยอมรับ ซึ่งมันไปขัดกับเงื่อนไขข้อสี่ที่ว่า
เงื่อนไขข้อที่4 บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่บรรดามุสลิมมีนมีความเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดี คือหลักการที่ว่า บิดอะฮ์จะต้องไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และอิจญฺมาอ์ และคำว่า"บรรดามุสลิมีน" นี้ หมายถึง ปวงปราชน์นักวิชาฟิกห์ ไม่ใช่มุสลิมที่เป็นคนเอาวามทั่วไปๆ ที่ไม่สามารถวินิจฉัยในเรื่องศาสนาได้
ดังนั้น การกระทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือการเกิดบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น จึงไม่สามารถทำกันง่าย ๆ และไม่สามารถเกิดขึ้นกันง่าย ๆ เลย เพราะว่ามันต้องมีหลักการหรือรากฐานศาสนา ต้องไม่ไปทำลายซุนนะฮ์ที่มีมาแต่เดิมและต้องผ่านการยอมรับของนักปราชญ์มุจญฺฮิดด้วย ดังนั้น การที่เราจะคิดและจะทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ขึ้นมาเองนั้นคงยากและโอกาสคงไม่เปิดให้กับพวกเราแน่นอน และเราหวังว่า ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องบิดอะฮ์มากขึ้นนะครับ วัลลอฮุอะลัม