وعليكم السلام ورحمة الله وبركاته
بسم الله الرحمن الرحيم
الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين
สำหรับมุสลิมที่ต้องการมีอีหม่านที่สมบูรณ์นั้น เขาจะต้องรีบชดใช้(กอฏอ)ละหมาดโดยทุ่มเทเอาจริงเอาจังหาช่วงเวลาชดใช้(กอฏอ)อย่างรีบด่วน จนกระทั่งไม่มีละหมาดชดใช้(กอฏอ)ให้หลงเหลืออยู่ในวันต่อไป ดังนั้น การปล่อยละหมาดกอฏอมาจนถึงเดือนรอมะฏอนนั้น ถือว่าเป็นการละเลยในเรื่องละหมาดอย่างมาก และบางคนละเลยจนกระทั่งจำไม่ได้ว่าละหมาดที่ทิ้งไปหรือขาดไปนั้นเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องทุ่มเททำการละหมาดให้ครบ หากขาดก็ให้รีบชดใช้ครับ
ส่วนกรณีที่น้องริฏวานถามนั้น มีกรณีศึกษาดังนี้ครับ
ผู้ที่ทำการละหมาดสุนัตโดยทำละหมาดฟัรดูยังไม่ครบ กล่าวคือ ยังมีละหมาดฟัรดูที่จำเป็นต้องชดใช้(กอฏอ)อยู่ ดังนั้น หากเขาทำละหมาดสุนัตถือว่าฮะรอม แต่การละหมาดสุนัตนั้นถือว่าใช้ได้(เซาะหฺ) กล่าวคือ การหะรอมนั้นเพราะละเลยไม่กอฏอ(ชดใช้)ละหมาดฟัรดู การชดใช้ละหมาดฟัรดูเป็นสิ่งที่วายิบ ซึ่งหากเราไม่ชดใช้ก็แสดงว่าเราทิ้งสิ่งที่วายิบ ดังนั้น การทิ้งสิ่งที่วายิบย่อมเป็นสิ่งที่หะรอม เพราะฉะนั้น การที่หะรอมนั้นโดยเกี่ยวข้องเพียงเรื่อง "ไม่ทำการชดใช้(กอฏอ)" เท่านั้น แต่ในตัวของละหมาดสุนัตเองนั้น เรากระทำถือว่าใช้ได้และได้รับผลบุญของตัวละหมาดสุนัตนั้น นั่นคือทัศนะที่มีนำหนัก แต่มีนักปราชญ์บางท่าน เช่น ท่านอัซซัรกาชีย์ วินิจฉัยว่า การละหมาดสุนัตถือว่าใช้ไม่ได้ หากยังมีละหมาดฟัรดูที่จำเป็นต้องกอฏอ ดังที่ในหนังสืออิอานะฮ์ได้ให้สำนวนได้ว่า
وأنه يحرم عليه التطوع : أي مع صحته خلافا للزكشى
"แท้จริงหะรอมบนเขา(ที่มีละหมาดขาดอยู่)ทำการละหมาดสุนัต หมายถึง พร้อมกับการละหมาดสุนัตใช้ได้ โดยที่เรามีทัศนะที่ขัดแย้งกับท่านอัซซัรกาชีย์" (ดู รายละเอียด ในหนังสือ อิอานะฮ์ อัตตอลิบีน เล่ม 1 หน้า 39 ดารุลฟิกรฺ)
ดังนั้น การละหมาดสุนัตตะรอวิหฺพร้อมทั้งยังมีละหมาดฟัรดูที่จำเป็นต้องกอฏอ ถือว่าการละหมาดตะรอวิหฺนั้นหะรอม แต่ในตัวของการทำละหมาดนั้น ถือว่าใช้ได้ครับ
กรณีการละหมาดฟัรดูชดใช้โดยตามอิมามที่ละหมาดสุนัต(เช่น ตะรอวิหฺ) นั้น ถือว่าอนุญาตให้กระทำได้ แต่ خلاف الأولى (คิลาฟเอาลา)คือ "ทำขัดกับสิ่งที่ดีกว่า หรือมักโระฮ์แบบอ่อน ๆ ไม่มากนัก" คืออยู่ในกรณีเดียวกันการที่ ผู้ละหมาดกอฏอตามอิมามที่ละหมาดในเวลาหรือกลับกัน และผู้ละหมาดฟัรดูตามอิมามที่ละหมาดสุนัตหรือกลับกัน และผู้ละหมาดตะรอวิหฺตามอิมามที่ละหมาดวิติรหรือกลับกัน เป็นต้น ซึ่งการละหมาดญะมาอะฮ์ในกรณีดังกล่าวนั้น ถือว่าคิลาฟเอาลา (ดู รายละเอียดเพิ่มเติม ในหนังสือ อิอานะฮ์ อัตตอลิบีน เล่ม 2 หน้า 6 ดารุลฟิกรฺ) เพราะว่าหากเราทำละหมาดชดใช้เป็นเอกเทศน์ย่อมดีกว่า แต่หากเราทำละหมาดชดใช้ร่วมเป็นมะมูมตามอิมามละหมาดตะรอวิหฺ ก็อนุญาตให้กระทำได้
หากถามว่า ดังกล่าวนั้นจะได้ผลบุญญะมาอะฮ์หรือเปล่า? ตอบ ได้ผลบุญญะมาอะฮ์ครับ เนื่องจากว่า หากมีสิ่งที่ คิลาฟเอาลาและมักโระฮ์ร่วมอยู่ด้วยนั้น ก็ย่อมไม่ปฏิเสธภาคผลบุญไปเสียทั้งหมดครับ
ท่าน ชัยค์ อัลบุญัยริมีย์ ได้กล่าวฟัตวาวินิจฉัย ว่า
والكراهة لا تنفى الفضيلة والثواب لأختلاف الجهة وإن توقف فى ذلك الزيادى ، بل الحرمة لا تنفى الفضيلة ، كالصلاة فى أرض مغصوبة
"การมักโระฮ์ ไม่ได้ปฏิเสธความดีงามและผลบุญ เนื่องจากมีด้านที่แตกต่างกัน หากแม้นว่าท่านอัซซิยาดีย์ได้นิ่งในกรณีดังกล่าวก็ตาม ยิ่งกว่านั้น การหะรอม ก็ไม่ปฏิเสธความดีงาม เช่น การละหมาดในแผ่นดินที่ถูกโขมยมา" ดู หนังสืออิอานะฮ์ เล่ม 2 หน้า 12
ดังนั้น การละหมาดในแผ่นดินที่โขมยมาถือว่าหะรอมแต่ได้ผลบุญการละหมาด กล่าวคือ หะรอมเพราะละหมาดในแผ่นดินที่ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา แต่ส่วนเรื่องการละหมาดนั้นใช้ได้และได้รับผลบุญ เช่นเดียวกับการโขมยเสื้อผ้ามาสวมใส่ปิดเอาเราะฮ์เพื่อละหมาด ซึ่งการโขมยเสื้อผ้าผู้อื่นมาสวมใส่นั้นฮะรอม แต่ในขณะเดียวกัน การละหมาดย่อมใช้ได้และได้รับผลบุญ
ส่วนการเหนียตละหมาดชดใช้นั้น คือ
"ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูซุบหฺสองร่อกะอัตชดใช้เป็นมะมูมเพื่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา" เป็นต้น
เป็นที่ทราบดีว่า การละหมาดซุบหฺมีสองร่อกะอัต เมื่ออิมามละหมาดตะรอวิหฺให้สลาม เราก็ให้สลามตาม โดยไม่มีปัญหาใด ๆ แต่กรณีที่ต้องชี้แจงอีกสักนิดคือ หากเรากอฏอละหมาดที่เป็น 4 ร่อกะอัต เช่น ซุฮฺริ และ 3 ร่อกะอัต เช่น มัฆริบ เมื่ออิมามละหมาดตะรอวิหฺได้ทำการสองร่อกะอัตแล้วให้สลามนั้น ก็ให้เราทำการขึ้นละหมาดต่อเลย โดยต้องเหนียต مفارقة (มุฟาร่อเกาะฮ์) คือ "เหนียตออกจากการตามอิมามเพื่อให้หมดสถานะของรูปแบบการเป็นมะมูม" ในขณะที่อิมามอยู่ในสภาพของผู้ละหมาด เช่นอิมามให้สลามแล้ว แต่ยังไม่เคลื่อนไหวไปใหน ก็ให้เราทำการเหนียตมุฟาร่อเกาะฮ์ ว่า "ข้าพเจ้าออกจากการเป็นมะมูม" แล้วยืนขึ้นละหมาดกอฏอร่ออะกัตที่ 3 และร่อกะอัตที่ 4 ต่อไปครับ
والله أعلى وأعلم