ตัวละครจำเป็น

[คนอยากรู้]

แต่ถ้าเราเปรียบเทียบ สภาพการกลับไปหาอัลลอฮ์กับการที่เราใช้ชีวิตขณะที่เราเรียน ทั้ง3 หัวข้อนั้น...มันจะเกิดความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด..

ว่า  ...การมุ่งทางสามัญด้านเดียว..กับ  การเลือกเรียนควบคู่ทั้ง2ด้าน หรือ..การเลือกเรียนศาสนาของอัลลออ์ด้านเดียว


ย่อมสามารถเปรียบเทียบอย่างเห็นได้ชัด..กับเป้าหมายของการมุ่งหวัง ของคนที่นับถือศาสนาอิสลามและข้อห้ามข้อใช้ของหลักการ....ที่นอกเหนือคำสั่ง...

1.การมุ่งเรียนด้านโลกหรือสามัญด้านเดียวนั้น....ในเรื่องฮากีกัตความในใจของพ่อแม่นั้นเริ่มเหนียกับเป้าหมายในวัตุถุประสงค์ของอัลลออ์ตะอาลากับบุตรของท่านที่จะคลอดมา   หยาดเหงื่อแรงกายที่ทุ่มเทนั้นเริ่มจะห่างไกลเป้าหมายของพระองค์  เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นที่ถูกใช้ในงานนี้มันย่อมถูกสอบสวนในสิ่งที่ถถูกหยิบยื่นให้นอกจากคำสอนของศาสนา..

ค่อยมาต่อครับ

[คนจำเป็น]

อัสลามุอะลัยกุ้ม ครับ
เพิ่งได้เข้ามาอิ่มเอิบ กับ สาระ ความรู้ ของบังคนอยากรู้ (น่าจะเป็น บังคนแจกความรู้นะครับ)
รู้สึก ได้ แง่ คิด และ เป็นประโยชน์มากมาย ครับ ยิ่งเฉพาะ เกี่ยวกับเรื่องการใส่ใจ ของพ่อแม่


กับเรื่องการส่งเสริมให้เรียนศาสนา ผมเอง มีมุมมอง จากพ่อ คนนึง ถึงลูกสาวของผม
ว่า อยากส่งลูกเรียนด้านศาสนา ให้มาก เท่าที่จะมากได้
ก็คงจะเหมือนพ่อแม่ทั่วไปแหละครับ มองว่า สังคมปัจจุบันเรานี้ มีสิ่งรายล้อมที่เสี่ยงต่อการหลงทางมาก
อยากให้ลูกอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง อยากให้ปลอดภัยจากความมัวหมอง และเดินคนละทางกับเส้นทางสู่นรก
ก็หวังพึ่งความรู้ ความปลูกฝังจากโรงเรียน ให้ลูกได้นำมาใช้และปฏิบัติ


แต่ความคาดหวังจาก ผู้ปกครอง บางครั้ง นั้น ต้องถูกทดสอบอีกครับ
บางครอบครัว ส่งลูกสาว ไปเรียนไกล ๆ ซึ่งนั่น ก็ด้วยเจตนา อยากให้ลูกเรียนกับโรงเรียนดีดี(ตามความคิดของเขา) แต่ความห่างไกลจากการดูแลของพ่อแม่ + กับการทดสอบ ที่ทุกคนต้องเจอ กลับสร้างปัญหาใหญ่
คือ ปัญหาเด็กแอบมีความสัมพันธ์กับเพศชาย ปัญหาเด็กนอกลู่ทาง กับสภาพแวดล้อมของสังคมที่เป็นพิษในปัจจุบัน ซึ่งนั่น  มันคือ ความเสี่ยง ที่ผู้ปกครอง สามารถ ควบคุมได้ หากต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

การเรียนศาสนา นั้น ทำให้เด็กได้รู้และลึกซึ้งกับมัน แต่ ก็ยังต้องมีการกระตุ้น ให้นำมาใช้ จากผู้ปกครองด้วย
หลาย ๆ คนที่จบการศึกษา ณ สถานศึกษาศาสนา
แต่ก็ กลับรู้สึกน้อยใจ กับ วุฒิการศึกษา ที่ไม่สามารถ หางาน อาชีพ ให้ตัวเอง ได้ทำงาน ดีดี ได้
ความรุ้สึกตรงนี้ น่าเสียดายมากครับ
เพราะการที่ได้ไปเรียนศาสนามากมาย แต่ กับ เอาความรู้ นั้น มาเป็นปมด้อยให้กับตัวเอง
การไม่รู้คุณค่าของความรู้ที่ได้มา ว่า เราศึกษามาเพื่ออะไร

เขียนเพลินเลยครับ สรุปคือ การส่งเสริมให้เด็กได้เรียนศาสนานั้นจำเป็นอย่างยิ่งครับ
และต้องย้ำเตือนให้เด็กได้ใช้และปฏิบัติด้วยครับ หน้าที่ของพ่อแม่ ต้องกวดขันกับลูก ๆ ไปจนตายแหละครับ

  วัสสลาม

[คนอยากรู้]

ครับ คุณหนูอยากรู้..ขออัลลอฮ์ชี้นำครับ


..เมื่อมนุษย์คนใดมีความพอใจกับตัวเอง  ว่าสิ่งที่ตนได้ตั้งใจส่งให้กับลูกตัวเองเรียนในสถานที่ไม่มีเรื่องศาสนาเข้าเจือปนเลยนั้รนชนั้นแน่นอนว่า  มันเป็นเรื่องที่เขาความพอใจ  ดังกล่าวไม่ใช่อื่นใด  นอกจากเขาได้คล้อยตามสิ่งที่เขาปรารถนาและเรียกร้อง  และปรรถนามัน  โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เขาพยายามผลักดันนั้น บนเส้นทางที่เขามุ่งหวังนั้น มันรังแต่จะทำให้เขาเกิดความเสียหาย  ซึ่งความเสียหายประการแรกก็คือ... 

การที่เขาพอใจต่อจิตที่ใฝ่ต่ำและพระองค์ไม่ได้ยินดียินร้ายด้วย และบางครั้งเขาแอบอ้างว่า  จิตใจของเขาตัดสินใจดีแล้ว  ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่พยายามสู่ความใฝ่สูง ซึ่งดังกล่าวนี้  ย่อมตรงกันข้ามกับสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญญัติใช้และห้าม  เนื่องจากพระองค์ทรงตรัสว่า

فَلَا تُزَكُّوا أَنفُسَكُمْ هُوَ أَعْلَمُ بِمَنِ اتَّقَى

?ดังนั้น  พวกเจ้าจงอย่ายกยอตัวของพวกเจ้าเอง  พระองค์ทรงรอบรู้แก่ผู้ที่มีจิตยำเกรงยิ่งนัก? อันนัจญฺมุ 32[/color]

ประการต่อมา  ก็คือ  คำกล่าวของท่านนบีกล่าวไว้ว่า
كل بنى أدم خطاء ، وخير الخطائين التوابين

?ลูกหลานอาดัมทั้งหมดย่อมมีความผิด  และบรรดาผู้มีความผิดที่ดีเลิศคือ..ผู้ทำการเตาบะฮ์?  รายงานโดย ท่านอิมามอะหฺมัด , ท่านอัตติรมีซีย์ , ท่านอิบนุมาญะฮ์ , ท่านอัลหากิม  จากท่านอะนัส ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ

ดังนั้น  มนุษย์ย่อมมีความผิดพลาด  เพราะอัลเลาะฮ์ทรงทดสอบเขาด้วยสภาพที่อ่อนแอต่อความดื้อดึงของจิตที่ใฝ่ต่ำ  ซึ่งความอ่อนแอนี้มักได้รับปฏิกิริยาผลตอบรับจากจิตใฝ่ต่ำได้อย่างรวดเร็ว..การที่เขาสำนึกผิดในสิ่งที่เขาได้หลงระเริงกับรสชาติในธรรมชาตินั้น ด้วยการ ยัดเยียดสิ่งนั้นสิ่งนี้ในสิ่งที่พระองค์ไม่เห็นด้วย...นั้นคือการมุ่งหวังในเชิงศึกษาเพียงด้านดุนยาด้านเดียว


อัลเลาะฮ์ทรงตรัส  ความว่า

وَخُلِقَ الإِنسَانُ ضَعِيفاً

?มนุษย์ถูกสร้างมาโดยสภาพที่อ่อนแอ? อันนิซาอ์ 28

ดังนั้น มนุษย์นั้นมีแต่ความอ่อนแอ  ในสิ่งที่ตนตัดสินใจ ที่มีนัฟซุคอยยุยงอยู่ตลอดเวลาของลมหายใจ  และ.ศักยภาพของมนุษย์ยังมีอยู่ในตัวของเขา  ซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาเพื่อจะนำไปสู่ความผิดพลาดในการเดินทางที่ลุ่มหลง

พี่น้องโปรดรู้เถิดว่า ... แท้จริงความรู้นั้นยังคงเป็นเพียงแค่สื่อ  ซึ่งตัวของมันเองไม่ทำให้ถึงสู่เป้าหมายเสมอไป  แต่หากวิชาความรู้ได้ประสบกับบุคคลหนึ่งที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์และเป็นวิชาการที่มาจากศาสนาของพระองค์ และ  มีเป้าหมายที่สูงส่ง  แน่นอน  ความรู้นั้นก็จะเป็นตะเกียงที่จะมาส่องและนำทางเขาไปสู่สัจธรรมและเขาก็จะได้รับความผาสุกทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์ไปพร้อม ๆ กัน....


เป็นที่รู้ว่า ความรู้ที่มุ่งสู่วิชาการในงาน..ดุนยา   ที่รังแต่ สร้างความเสียหายนั้นในกาลเวลาไม่ช้า  ทั้งที่เราๆท่านๆก็รู้กันดีแต่เราก็ยังจะอยากเสี่ยงกับกฏของอัลลออ์อยู่ตลอดเวลา 

และหากความรู้ได้มา มี  เจตนาไม่บริสุทธิ์  และมีเป้าหมายอันตกต่ำ  ดังนั้น  ต่อไปความรู้ก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของเขา  แล้วทำการเรียกร้องเชิญชวนเพื่อสนองเจตนาของเขาที่ไม่บริสุทธิ์และเพื่อเป้าหมายของชั่วช้า  การที่เขาได้รับความรู้ที่มาจากการสอนจากผู้ที่ไม่ใช่ต้นฉบับของความเป็นมุสลิมแล้ว...มันแทบจะไม่มีค่าใดๆเลย   และในบางวิชาการที่เราเรียนเราศึกษากลับเป็นการปฏิเสธในเตาฮีดของอัลลออ์ อย่างน่าอดสู

ฉะนั้น  เมื่อความรู้ที่ไม่ถูกต้อง  ได้ทวีคูณมากขึ้นฉันใด ไม่ว่าความรู้จากวิชาการใดๆที่พระองค์ไม่ยอมรับ ศักยภาพในการงมงายและสร้างความเดือนร้อนแก่ผู้อื่นยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นฉันนั้น.........

ย่อมเป็นความสัจจริงสำหรับผู้ที่กล่าว

?การเพิ่มวิชาความรู้ในของที่ไม่ดีคนหนึ่ง  เสมือนกับการเพิ่มขึ้นของน้ำในรากของต้นไม้ขม  ซึ่งทุกครั้งที่มันเพิ่มทวีคูณฉันใด  ความขม(ของความรู้)  ย่อมทวีคูณฉันนั้น?

ฉนั้น..การมุ่งส่งลูกให้เรียนทางด้านดุนยาเดียวนั้น เขาจะถูกสอบสวนตั้งแต่เจตนาแรก...จนถึงปัจจัยต่างๆที่สนับสนุนเขาในวันนั้น ท่านจะมีแต่ความเศร้าใจกับการมุ่งส่งลูกหรือบุตรเพียงด้านเดียว โดยละทิ้งวิชาการศาสนาของพระองค์อย่างไม่สนใจใยดี..........นี่คืออันตรายที่เรามอบให้กับลูกและสร้างปมมัดตัวเอง  โดยไม่สามารถหนีพันธนาการที่ตนเองได้..เขาย่อมจะต้องได้รับในสิ่งที่ตนขวนขวายไว้...

[นูรุ้ลอิสลาม]

ญะซากัลลอฮ์สำหรับบังคนอยากรู้ครับและคิดว่าบังคงต้องเน้นส่งลูกๆเรียนศาสนาเป็นแน่นอน 

[al-um]

ญะซากัลลอฮ์ เหมือนกันครับ อาแบ

[คนอยากรู้]

...ขอพระอภัยมณี ศรีวรรลาครับ ตั้งจะเอ่ยชื่อคุณ จำเป็น  นะครับแต่ดันมาเพี้ยนเป็นหนูอยากรู้...ไม่น่าละเจ้าตัวตามมาอัดเราถึงที่แนะ...อิๆๆๆ
ครับน้องนุรุ้ลอิสลามและน้องอัล-อุม
...

ฉนั้น..การมุ่งส่งลูกให้เรียนทางด้านดุนยาเดียวนั้น เขาจะถูกสอบสวนตั้งแต่เจตนาแรก...จนถึงปัจจัยต่างๆที่สนับสนุนเขาในวันนั้น ท่านจะมีแต่ความเศร้าใจกับการมุ่งส่งลูกหรือบุตรเพียงด้านเดียว โดยละทิ้งวิชาการศาสนาของพระองค์อย่างไม่สนใจใยดี..........นี่คืออันตรายที่เรามอบให้กับลูกและสร้างปมมัดตัวเอง  โดยไม่สามารถหนีพันธนาการที่ตนเองได้..เขาย่อมจะต้องได้รับในสิ่งที่ตนขวนขวายไว้.....

เงินทุกบาททุกสตางค์ที่หยิบยื่นให้บุตรหลานที่เรียนในวิชาการทางดุนยานั้น   เปรียบเสมือนเราหยิบยื่นสื่อหรืออุปกรณ์ทำร้ายตัวเขาซึ่งผู้เป็นที่เรารักอย่างใจเย็น...และฆ่าเขาทางอ้อม...

   พี่น้องครับ..

ที่เห็นได้ชัดคือ  ถ้าเราจะเปรียบเทียบ ระหว่างสถานศึกษา ที่มุ่งสามัญด้านเดียวกับ สถานศึกษาที่มีการเรียนการสอนวิชาการของศาสนาอิสลามด้วยนั้น ย่อมจะพบข้อแตกต่างกันมาก 

  เราจะสังเกตุว่า  ลูกหลานที่เราส่งในสถานที่ศึกษาของผู้ที่เป็นเจ้าของนั้นเขาไม่ได้เข้าใจในศาสนาของเรา..ซึ่งเรากลับไปไว้วางใจเขา  ให้ดูและลูกเราตั้งแต่อนุบาลหนึ่งอายุ4-5ปี จนถึงเขาจบออกมาอายุ 19-20ปี  ตลอดเวลา15ปี  ที่เขาศึกษาที่นั้น
เราผู้เป็นพ่อแม่พยายามร่วมกันทำผิดกฏต่างๆกับลูกหรือบุตรของเรา .........หลายๆอย่าง..

บาป ประการแรก  คือเราฝ่าฝืนคำสั่งของท่านนบีที่ว่า  และเด็กนั้นเปรียบเสมือนผ้าขาว..ซึ่งเขาจะเป็นยะฮูดีหรือนัศรอนีย์หรือมาญุซีย์นั้น มันเกิดจากการต่อเติม ตกแต่ง แต้มสีให้กับเขาเหล่านั้น   และท่านนบียังเตือนเราอีกว่า..จงศึกษาวิชาการศาสนาจนชีวิต จะถึงหลุมฝังศพ  ........แต่เราผู้เป็นพอแม่ กลับไม่สนใจในคำพูดกับผู้ที่เราเองว่าจะอยู่ในอัชซุนนะของท่าน ที่ว่า เราจะเชื่ออัลลออ์และร้อซุล ตรงกับที่เราได้ปฏิญานว่า ท่านนบีมูฮำมัดเป็นร้อซุ้ลของอัลลออ์เป็นนายของเรา...
เพียงแค่เราคิดหรือมีเจตนาในการกระทำครั้งแรก เราก็คิดผิดเสียแล้ว.....

บาปต่อมา  ปัจจุบันสถานที่ศึกษานั้น มักจะดกำหนดเครื่องการแต่งกายให้กับบุตรหลานของเราเราที่ไม่อยู่ในร่องรอยของคำสอนในอิสลามและนีคือการฝ่าฝืนในคำสั่งของอัลลออ์  และอัลอิสลามของพระองค์...เราละเลยทำไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้อย่างน่าหดหู่...กระนั้นหรือ...

ยังมีอีกมาก ที่จะนำมาบอกครับ..อิงชาอัลลออ์

 

[บุคคลธรรมดา]

 
ญะซากัลลอฮฺ ค่ะบังคนอยากรู้ สำหรับ บทความส่งเสริมการศึกษาด้านศาสนา และ เคลียร์ที่ไปตอบไร ผิด ๆ ด้วย อิ อิ
(เด๋วบังคนจำเป็นเค้าจะงอน)


บาปต่อมา  ปัจจุบันสถานที่ศึกษานั้น มักจะดกำหนดเครื่องการแต่งกายให้กับบุตรหลานของเราเราที่ไม่อยู่ในร่องรอยของคำสอนในอิสลามและนีคือการฝ่าฝืนในคำสั่งของอัลลออ์  และอัลอิสลามของพระองค์...เราละเลยทำไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้อย่างน่าหดหู่...กระนั้นหรือ...


เห็นด้วยกับการพูดถึงเรื่องนี้ค่ะบัง   และ กฏ นี้เหมือนเป็นการพิสูจน์ถึงความแสดงศักยภาพของความศรัทธาที่มีอยู่
ในปัจจุบันนี้ หนูเข้าใจว่า โรงเรียนต่าง ๆ ต่างยอมรับ กับการให้สิทธิแต่งกายให้ถูกหลักการอิสลาม
แต่ก็ยังมีบางโรงเรียนที่คร่ำครึ ไม่เข้าใจ จนทำให้ต้องมีการต่อสู้เล็ก  ๆ จากเด็ก เพื่อ ให้ได้แต่งกายถูกต้อง
ยังมีประเด็น  การแต่งกายในคราบมุสลิม ที่ไม่ถูกต้องอีก
คือ เด็กคลุมฮิญาบ เรียบร้อย แต่ ใส่เสื้อ ฟิตแนบเนื้อ ใส่กระโปรง ผ่า หลัง ถึงไหน ถึงกัน
ซึ่ง ต่างศาสนิก หรือ มุสลิม ด้วยกันเอง อาจเข้าใจว่า แต่งแบบนี้ใช้ได้ เฮ้อ....

[al-azhary]

.บาป ประการแรก  คือเราฝ่าฝืนคำสั่งของท่านนบีที่ว่า  และเด็กนั้นเปรียบเสมือนผ้าขาว..ซึ่งเขาจะเป็นยะฮูดีหรือนัศรอนีย์หรือมาญุซีย์นั้น มันเกิดจากการต่อเติม ตกแต่ง แต้มสีให้กับเขาเหล่านั้น   และท่านนบียังเตือนเราอีกว่า..จงศึกษาวิชาการศาสนาจนชีวิต จะถึงหลุมฝังศพ  ........แต่เราผู้เป็นพอแม่ กลับไม่สนใจในคำพูดกับผู้ที่เราเองว่าจะอยู่ในอัชซุนนะของท่าน ที่ว่า เราจะเชื่ออัลลออ์และร้อซุล ตรงกับที่เราได้ปฏิญานว่า ท่านนบีมูฮำมัดเป็นร้อซุ้ลของอัลลออ์เป็นนายของเรา...
เพียงแค่เราคิดหรือมีเจตนาในการกระทำครั้งแรก เราก็คิดผิดเสียแล้ว.....

บาปต่อมา  ปัจจุบันสถานที่ศึกษานั้น มักจะดกำหนดเครื่องการแต่งกายให้กับบุตรหลานของเราเราที่ไม่อยู่ในร่องรอยของคำสอนในอิสลามและนีคือการฝ่าฝืนในคำสั่งของอัลลออ์  และอัลอิสลามของพระองค์...เราละเลยทำไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้อย่างน่าหดหู่...กระนั้นหรือ...

ยังมีอีกมาก ที่จะนำมาบอกครับ..อิงชาอัลลออ์

ได้แง่คิดสำหรับผู้ปกครองเป็นอย่างมากเลยทีเดียวครับ 

[คนเดินดิน]

;) ;) ;)

อัลฮัมดูลิลลาฮ์

จะมารออ่านบทความดี ๆ ต่อนะพี่น้อง

 

หากผิดพลาดประการใดจงอภัยให้ด้วยนะพี่น้อง

[คนอยากรู้]

.........การส่งบุตรหลานเข้าเรียน ในสถานที่ศึกษาที่มุ่งเรียนด้านสายสามัญด้านเดียวนั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งต้องห้ามหรือฮารามในข้อบัญญัติเลย เพราะในการเรียนรู้ในสาขาต่างๆนั้นล้วนก็มีวิชาการที่ดีที่เป็นคุณประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์มีมาก

ซึ่งวิชาการที่เรียนนั้น ก็มีรากฐานมาจากอัลกรุอ่าน เช่น ด้านสุขภาพอนามัย ด้านการปกครอง ด้านการแพทย์ ด้านการวิทยาศาสตร์ ด้านดาราศาสตร์และด้านจิวิทยา  วิชาช่างต่างๆฯลฯ  แต่บางครั้งวิชาการที่เราเรียนไม่ว่าตำรับตำราที่เราให้บุตรหลานเราไปศึกษานั้นก็ล้วนมาจากแนวคิดของผู้ที่ไม่ใช่ มุสลิม 

ดังนั้น บางวิชานั้นไปค้านกับหลักคำสอนในอัลกรุอ่าน เช่นวิทยาศาสตร์  ซึ่งจะเน้นความขัดแย้งในหลักการยึดมั่น ซึ่งนักวิชาการส่วนมากไม่ว่า ปรัญชา ของอริสโตเติ้ลหรือนักวิชาการคนอื่นๆนล้วนไม่เข้าใจในหลักการของอิสลาม  เช่นวิทยาศาสตร์..หรือการแพทย์นั้น จะสอนให้เชื่อสิ่งที่เห็นด้วยตาและสามารถพิสูจน์ได้เท่านั้น   

แต่ในการยึดมั่นต่อพระเจ้าของผู้นับถืออิสลาม แม้นสิ่งที่ไม่เห็นหรือพิสูนจ์ได้ในดุนยานี้ เป็นสิ่งที่ต้องเชื่อมั่น เช่นในเรื่องการมีของพระเจ้า 

ดังนั้น วิชาการบางสาขานั้นขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับหลักคำสอนของอัลกรุอ่าน   
และ การที่เราหรือผู้ปกครองมุ่งส่งบุตรหลาน ด้านเดียวโดยไม่สนชีวิตความเป็นอยู่และระดับของอีหม่านในการยึดมั่นเรื่องเตาฮีดของพระผู้เป็นเจ้า  แล้ว แน่นอนว่า.............ลูกหลานของเรานั้นกว่าที่เรียนจบจากสถาบันนั้นๆกับระยะเวลา ที่เขาศึกษานั้น อีหม่านในเรื่องการศรัทธาของยิ่งจะหดหายไป เพราะวิชาการที่เพิ่มความคิดความสงสัยในด้านเตาฮีด..ที่มีในตัวบุตรหลานนั้นได้ถูกเข้าแทนที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ...

..ซึ่งเราจะพบว่า ลูกหลานที่จบออกมาจากสถาบันที่ไม่มีการวิชาการศาสนาแล้ว พวกเขานั้นจะละเลยข้อบัญญัติและหลักปฏิบัติในอิสลาม  หรือไม่ก็ อิบาดัตที่เขาทำอาจจะไร้ค่า เพราะการเรียนรู้ของเขาต่อพระเจ้านั้นได้ถูกสลายไปแล้ว 

[คนอยากรู้]

พูดง่ายๆคือ  แม้เขาจะยังคงละหมาดอยู่ เราก็เห็นเพียงเปลือกนอกของเขาว่าเขายังคงมีการสูหยูด รอเกาะฯลฯ เหมือนๆกับเรา  แต่ถ้าพูดเรื่องอากีดะแล้ว เขาอาจจะไม่มีในเรื่องการยึดมั่นในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าเสียแล้วก็ได้.เป้นที่รู้ว่า อีบาดัตใดที่ขาดในเรื่องเอียะติกอดถูกต้องแล้ว ทำไปก็ไร้ผลบุญ 

ฉะนั้น..การทำอีบาดัตแบบนี้นั้นเปรียบเสมือน ผลไม้ที่เน่า แต่นำไปถวายมีแต่เปลือกนอก โดยไม่มีเยื่อใน.....เมื่อเป็นอย่างนี้.อัลลอฮ์นั้นทรงกริ้วบ่าวเช่นนี้อย่างแน่นอน..

กลายเป็นว่า ต้นเหตุเกิดจากผู้ปกครอง คือพ่อและแม่ ที่พยายามสนับสนุนด้วยหลักทรัพย์ที่พระองค์ประทานมาแต่ไปใช้จ่ายในทางที่ผิด...ทั้งที่ กำลังกาย มันสมอง กำลังเงินฯลฯ นั้นล้วนมาจากพระองค์ทั้งนั้น แต่เรากลับมุ่งมาใช้ในทางเดียวและในทางที่พระองค์ไม่ส่งเสริม และไม่ได้ฉุกคิดถึงบุญคุณผู้ที่ประทานโชคต่างๆ(เนียะมัตตุ้ลลอฮ์)ไปในทางที่พระองค์ทรงกริ้ว......

สังคมในโรงเรียนและสถาบันที่ไมเข้มงวดเรื่อง  การพบปะพูดคุยระหว่างหญิง-ชาย  การแต่งกาย   การมีมารยาท การมีคุณธรรมและจริยธรรมแล้ว..มันจะคอยนำพาให้บุตรหลานของเราปฏิบัติตัวสู่สังคมที่เหลวแหลกได้เสมอ

 ปัจจุบันนี้เป็นที่รู้ว่าวัตถุบริโภคนั้นเจริญมาก แต่จิตใจคนตกต่ำลงอย่างมาก นอกจาก.....การแต่งกายของผู้หญิงที่มีการปะปนนั้นย่อมจะสู่ไปสู่การมีเพศจิตสัมพันธ์รักใคร่ในเพศตรงข้าม และกลายเป็นการนำพาในเรื่องซีน่าในที่สุด

[คนอยากรู้]

   :)ยิ่งในสังคมโรงเรียนหรือสถาบันต่างๆที่ไม่มีข้อบัญญัติที่เข้มงวดในเรื่องจริยธรรมและคุณธรรมและการแต่งกายแล้วมันจะเป็นช่องทางที่ไปสู่การยั่งยุทางเพศได้มากขึ้น...

แต่สำหรับผู้ปกครองที่เป็น พ่อแม่ นั้นไม่ได้คิดถึงตรงนี้เลย ว่าการที่ตนเองส่งบุตรหลานตัวเองไปสถานที่แบบนั้น เท่ากับเขาเองเปิดโอกาสให้บุตรหลานและเพื่อนร่วมสถาบันกระทำสิ่งขัดบทบัญญัติศาสนา.และทำลายชะรีอัตและจริยธรรมที่ดีที่ท่านนบีเคยสอนและตักเตือนไว้.....ซึ่งพ่อแม่เช่นนี้..ไม่ได้คำนึง..ถึงผลกระทบที่ตามมาในอนาคตอันใกล้นี้ เพียงแต่มีความคิดลุ่มหลงแค่ดุนยา หวังสิ่งมันให้เรามีความสุขเพียงชั่วครู่ .........พ่อแม่หลายๆท่านต้องพบกับความผิดหวัง ที่ได้ส่งลูกให้ศึกษาในด้านสามัญอย่างเดียว แต่ไม่ได้อะไรเลย งานก็ไม่ได้ทำ   ที่จบมาแล้วก็ทำตัวออกจากหลักคำสอนของศาสนา 

เพราะเขาได้รับความรู้จากแหล่งที่ไม่ใช่หลักคำสอน ดังนั้นเขาก็จะปฏิบัติออกนอกครอบ....วันแล้ววันเล่าที่เขายังกล้าขัดในหลักคำสอนของพระองค์ด้วยการละเลยข้อบัญญัติ..ซึ่งชีวิตเขานั้นก็ยังอยู่กับพ่อแม่ของเขา ซ้ำพ่อแม่ก็ไม่เคยสนใจให้ความรู้ในเรื่องศาสนาต่อลูก...

เมื่อครอบครัวเป็นเช่นนี้  แล้ว  ตรงไหนละที่พระองค์จะพอใจเขา...........แต่ถ้าหากว่าบุตรหลานของเราไดรียนศาสนาควบคู่ไปด้วยอย่างน้อย..ในชีวิตวัยเรียนตั้งแต่อนุบาลจนมัธยมปลาย เขาก็ได้เรียนรู้ในเรื่องศาสนา การแต่งกายก็ถูกต้องในหลักคำสอน..ตลอดเวลาของการศึกษานั้นเขาจะได้ผลบุญควบคู่ตลอดเวลา

  แม้จบออกมาก็ไม่ขาดทุนใดๆ ละหมาดและข้อบัญยัติต่างๆ ก็ยังคงทำด้วยความรู้ที่เขาเรียนมา..พระองค์ก็พอใจพฤติกรรมของเขา  พ่อแม่ก็ไม่ต้องมารับภาระในบาปของเขาที่ไม่ได้ชีแนะ  เพราะเขาเรียนรู้สิ่งต่างๆข้อห้ามข้อใช้แล้ว.....เงินทุกบาททุกสตังค์นั้นย่อมถูกสอบสวนในการนำไปใช้...ที่แน่ๆเมื่อลูกที่อยู่ในการปกครองทำอีบาดัตสม่ำเสมอ..และอ้ามั้ลที่ดีด้วยลูกซอและแล้ว   .ผลบุญก็ย่อมถึงพ่อแม่เช่นกัน.............

 ;Dนี่คือ ข้อแตกต่างคร่าวๆระหว่างการที่ผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานเรียนด้านสามัญทางเดียว เดียวกับ การส่งบุตรหลานเรียนทั้ง ;)
2 ด้าน

[บุคคลธรรมดา]

กลายเป็นว่า ต้นเหตุเกิดจากผู้ปกครอง คือพ่อและแม่ ที่พยายามสนับสนุนด้วยหลักทรัพย์ที่พระองค์ประทานมาแต่ไปใช้จ่ายในทางที่ผิด...ทั้งที่ กำลังกาย มันสมอง กำลังเงินฯลฯ นั้นล้วนมาจากพระองค์ทั้งนั้น แต่เรากลับมุ่งมาใช้ในทางเดียวและในทางที่พระองค์ไม่ส่งเสริม และไม่ได้ฉุกคิดถึงบุญคุณผู้ที่ประทานโชคต่างๆ(เนียะมัตตุ้ลลอฮ์)ไปในทางที่พระองค์ทรงกริ้ว......

...........................................................................

ญะซากัลลอฮฺ บังคนอยากรุ้ค่ะ

มองประเด็นเดียวกันค่ะ ว่า การสนับสนุน ที่ผิด ของพ่อแม่
ที่ต้องการให้ลูกแสวงหา แต่ความสุขสบาย ในดุนยา
ซึงเค้าลืมไปแล้ว ดุนยา นั้น คือ สวรรค์ของกาเฟร
การลืมคำนึงถึง การมุ่งหวังความโปรดปรานต่ออัลลอฮฺ นั้น ขาดทุนอย่างยิ่ง
ใด ๆ ก็แล้ว แต่ ศาสนา ของเรา นั้น ไม่ได้ปิดกั้น หรือ ต้องคอยหยิบยื่นอยู่ตลอดเวลา
ตัวเด็ก เอง ก็ต้องมีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และ มีการซึมซับเองได้บ้างจากรัศมีของอิสลาม

[นูรุ้ลอิสลาม]

เยี่ยมครับ  บางทีคนมีความลำบากมากๆก็อยากให้ลูกๆเรียนสามัญเพื่อจะได้ช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว ทำงานดีๆ แต่ฮิญาบต้องหลุดจากศรีษะ  ละหมาดก็ขาด   

[คนอยากรู้]

พี่น้อง ครับ..


......ปัจจุบันนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วง..มากและเราๆท่านๆต้องนำมาคิดและจะต้องนำมาพิจารณาให้มาก สำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นมุสลิมนั้น ซึ่งทุกคนจะเพิกเฉยหรือละเลยไม่ได้..นั้นก็คือ..คำดำรัสทุกตัวอักษรในพระมหาคัมภีร์อัลกรุอ่านอันศักสิทธิ์  ที่พระองค์ประทานมาให้เรา

ซึ่งในนั้นไม่ใช่..มีเพียงแค่เพื่อการอ่านฟังความไพเราะของน้ำเสียงหรือแค่อ่านเพื่อความปลดเปลื้องความทุกข์หรือความสบายใจในตัวเรา  หรือเพื่อบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น  แต่ในนั้นมีหลายๆอย่างที่สลับซับซ้อนซึ่งพระองค์ทรงบอกเราและรวบรวมความสมบูรณ์ในคำดำรัสตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในคัมภีร์เล่มนี้...

เป็นที่รู้ว่า 

ในคำรัสของพระองค์ในคัมภีร์อัลกรุอานนั้น นอกจากพระองค์จะดำรัส ในเรื่องดาราศาสตร์  ด้านการปกครอง ด้านการแพทย์  ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านอนามัย ด้านจริยธรรม  ด้านมารยาท ฯลฯแล้ว    แต่ถ้าเราทำการค้นคว้าและศึกษาพิจารณาโองการหรือคำดำรัสของพระองค์ที่ถูกตรัสมาเพื่อมวลประชาชาติให้ศรัทธาในเรื่องพระเจ้า..และให้รู้ถึงเป้าหมายในสิ่งที่พระองค์สร้างเรามาแรกๆ ว่าพระองค์มีเป้าหมายอย่างไร 

 หลายๆอายะเราจะพบว่า พระองค์ได้ กล่าวบอกถึงวัตถุประสงค์ให้เรารับทราบ  ในความเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เ ช่น ทรงประทานอายะแรก...ว่าให้เราได้อ่านและศึกษามันและค้นคว้ามัน ดังที่พระองค์กล่าวว่า  ...อิกเราะ? บิสมีร็อบ บีกัล..ลารี..คอลักฯ... นี่คือเป้าหมายที่พระองค์ต้องการให้เรารู้จุดมุ่งหมายที่มาของเรา ..ว่ามาจากไหน ใครเป็นผู้สร้าง... เพื่อเราจะได้เกิดความเกรงกลัวและยอมจำนนในสิ่งที่พระองค์กล่าวบอกและหลังจากนั้นพระองค์มีเป้าหมาย เพื่ออะไร  แต่ถ้าเราค้นคว้าและศึกษาต่อไปอีกเราก็จะพบในสิ่งที่พระองค์บอกในสิ่งที่พระองค์สร้างเรามาอย่างชัดเจนในหลายโองการว่า  ว่า  ..มินคอลัก ตุ้น ญินน่า วัลอิ้นซ่าน อิ้ลลา.ลียะบูดู... ฯว่า..แท้จริงเป้าหมาย คือการที่พระองค์กำเนิดเรามาพื่อให้เรากราบไหว้ต่อพระองค์เท่านั้น .....นี่คือคำตอบที่ชัดเจนจากอีกหลายคำดำรัสของพระองค์...

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เมื่อเราไม่ทำการศึกษาในหนทางของศาสนาของพระองค์วางไว้..แล้วเราจะทำอีบาดีนั้นอย่างไรและจะรู้ได้อย่างไรว่าเราทำถูกต้อง....ถ้าเราไม่ทำการศึกษาหาความรู้ในวิชาการของพระองค์ที่วางไว้...ซึ่งคือ  การที่เราทำการศึกษาแนวทางและด้านวิชาการของมุสลิม ด้วยการเสียสละทรัพย์สมบัติซึ่งก็มาจากริสกีของพระองค์ที่ให้มายังเรา ..เพื่อทำการศึกษาและค้นคว้าอย่างจริงจัง... และสนับสนุนบุตรหลานของเราให้ได้เรียน .. และศึกษาศาสนาของพระองค์ด้วยการส่งเรียนในหนทางศาสนาพร้อมควบคู่วิชาการในดุนยาพร้อมๆกัน...ไม่ใช่มุ่งเพื่องานดุนยาอย่างเดียว.

.ผู้ปกครองเช่นนี้  ถือว่า...เป็นผู้ที่ฝ่าฝืนและกล้าละเลยในคำดำรัสของพระองค์....อย่างน่า หดหู่และน่าเศร้าใจ...และที่นน่ากลัวยิ่งก็คือ ...ถ้าหากการฝ่าฝืนของเขามีจนถึงวันสิ้นลมหายใจ..แล้ว...เขายังคงเป็นแบบนี้..ตลอด
.และอยู่ในสภาพเช่นนี้ ...จนวินาสุดท้าย.........ก็อย่าได้...หวังว่าพระองค์จะพอพระทัย การงานของเขา....ตราบใดที่เขายังไม่สำนึก ความเป็นมนุษย์และต้นตอสาเหตุที่มาของตนเอง.....นะอูซุบิ้ลลามินซาลิค..