^
โดนมาเหนาะๆเรื่องโดนก็อปผลงาน...
อันนี้ก็อปไปโดยไม่เต็มใจให้ก็อป...
หากว่าเต็มใจให้ก็อปเมื่อไหร่ คนก็อปไม่เคยได้คะแนนมากกว่าเลย
สักครั้งเดียวงิ(ไม่ได้โม้) 555...
ก็มีแก้เผ็ดแก้ร้อนแก้คันกันบ้างอ่ะค่ะ...
เพื่อนๆโดนกันมาถ้วนหน้า เรื่องหักมุมหักโค้ง(ยกเว้นหักหลัง)นั้น
ข้าน้อยถนัดนักแล...ไม่เคยงกเลยหากเพื่อนจะมาขอติวด้วย
มีเท่าไหร่ให้หมดด้วยซ้ำ...ไม่มีหมกเม็ด...
แต่เรื่องลอก มันก็ต้องนิดนึง ยอมให้กันไม่ล่่ายยยยยย...
คือลอกได้ แต่อย่่าหวังว่าจะคะแนนนำ...เพราะของแท้อยู่ในหัว
เอาไว้ใส่ก่อนส่ง...และส่งหลังเพื่อนประจำหากว่ามีการลอกกันเกิดขึ้น...
เพื่อนๆในห้องก็รู้ดีในเรื่องนี้ แต่ใครจะทำอะไรได้...
เพื่อนที่ลอกเราเองก็ได้แต่ยิ้มๆ...
แต่ไอ้ที่เคยเจ็บมานี่ไม่ใช่เรื่องลอกเลย แต่เป็นเรื่องของการต่อยอดผลงาน
เมื่อตอนเด็กๆไม่คิดอะไร ใครอยากลอกก็ลอกไป
เพราะยังไงๆ เราก็หมกเม็ดคำตอบสุดท้ายเอาไว้แล้วสองสามข้อ
ที่คิดว่าถูกชัวร์ๆ...แต่พอเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
มันต่างกัน ยิ่งเรียนด้านออกแบบ ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่...
ตอนแรกคิดอะไรก็พูดออกไป ทำออกไปอย่างที่คิด...
เพื่อนถามเราก็ตอบ(แบบว่่าอยากนำเสนอความคิดสุดๆ)
ผลสรุปมีงานออกมาราวกับคู่แฝดของเราเลย...
แล้วกลับกลายเป็นเราที่โดนมองว่าลอกอีกคน
ผลงานเราโดนแบนด้วยสายตาประชาชี
ไม่มีใครพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่สายตาและการกระทำต่างหากที่ฟ้องออกมา
เพราะไม่ได้รับคัดเลือกขึ้นโชว์...แต่คนที่ลอกกลับได้ส่งขึ้นโชว์แทน...
วันนั้นกินข้าวไม่ลง...หมดอาลัยตายอยาก กินลูกท้อแทนข้าว...
จะร้องออกมาดังๆก็ทำไม่ได้หล่าว อายชาวบ้านเค้า...เหอๆ...
แต่ก่อนวันส่งโชว์ผลงานหนึ่งวัน เจออาจารย์บนรถตอนจะกลับที่พัก
อาจารย์บอกว่่าจะเอางานเราขึ้นโชว์ด้วย...อยากให้ตั้งชื่อ
และเขียนรายละเอียดให้หน่อย ทันไหม...ตอนนั้นเย็นแล้ว
พรุ่งนี้จะส่งโชว์...แต่ด้วยว่าความหวังวางอยู่ตรงหน้า
ก็เอาล่ะสิ...พยักหน้าบอกอาจารย์ว่าทัน...แล้วนั่งรถกลับไปมหาลัย
เพืื่อไปขนงานมาสานต่อที่บ้าน คืนนั้นทั้งคืนนั่งแก้งาน
ไม่ได้หลับไม่ได้นอน โดนอะลูมิเนียมบาดจนมือมีแต่แผล...
แต่เจ็บกายไม่สู้เจ็บใจ เพราะสิ่งเดียวที่รู้สึกคือ...ศักดิ์ศรี
เราจะไม่เอางานที่เหมือนคู่แฝดของใครขึ้นไปโชว์เด็ดขาด
วันนั้นงานที่ออกมาแทบไม่เหลือเค้าเดิม จนอาจารย์ทักขึ้นว่า
ทำไมถึงเปลี่ยนผลงานให้ออกมาอย่างนี้...ที่อาจารย์เลือก
เพราะว่าเลือกผลงานนะ...ไม่ได้ดูที่ตัวคนทำ...
ก็เลยบอกอาจารย์ว่า ในเมื่ออาจารย์ให้โอกาสแล้ว
ก็อยากทำให้มันดีที่สุด และนี่คือดีที่สุดสำหรับข้าน้อยแล้ว...
อาจารย์เหมือนจะไม่พอใจที่อยู่ๆเราก็แก้งานโดยพละการ...
ท่านเลยเอาไปโชว์ไว้หลังผลงานของเพื่อนๆ อยู่ในมุมมืด
เจ็บนะนั่นน่ะ...การกระทำมันเจ็บกว่าคำพูดเสมอ...
แต่เข้าใจว่าท่านคงอยากดัดหลังลูกศิษย์อย่างข้าน้อยที่ทำอะไรโดยพละการ
และท่านพูดราวกับคิดว่าข้าน้อยลอกงานคนอื่นแล้วรู้สึกละอาย
เลยแก้งานออกมาอย่างน้ัน...วันนั้นอยากร้องไห้สุดๆ...
ระหว่างที่จัดวางผลงานเพื่อเปิดโชว์ให้คนเข้ามาชมในวันถัดไปอยู่นั้น
ก็มีชายกลางวัยคอยมาเดินดูความเรียบร้อย ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร...
พอสักพัก ท่านให้ปิดไปทุกดวง แล้วให้เราเปิดไฟจากโคมไฟเรา
เพื่อเช็คความสวยงาม...ปรากฎว่าท่านเดินมาถามข้าน้อยว่่า...
คิดได้ไง...คำสั้นๆแต่กินความหมายลึก...ท่านบอกว่่า
ท่านนั่งมองดูงานของแต่ละคนตอนที่มีแสงไฟอยู่...
ของข้าน้อยดูธรรมดา แต่พออยู่ท่่ามกลางความมืดแล้วเปิดไฟสีขาว
ซึ่งเพื่อนๆที่ได้รับเลือกส่งขึ้นโชว์ส่วนใหญ่จะใช้ไฟสีส้ม
เพราะดูนวลตา...แต่ของข้าน้อยเลือกใช้ไฟสีขาวเพื่อสะท้อนแสง
ของอะลูมิเนียม ซึ่งเวลามองด้วยตาเปล่าจะเป็นสีขาวสลับฟ้าคราม
เมื่อถ่ายภาพออกมาจะเป็นสีฟ้า โดยมีแสงพุ่งไปข้างบนเป็นสีขาว
ท่านอ่านชื่อว่า นามิ นามิดะ ก็เลยถามว่าหมายความว่าอะไร
(คนญี่ปุ่นถามความหมายภาษาญี่ปุ่นค่ะ)แต่เข้าใจว่าท่านอยากรู้ความนัย...
ข้าน้อยเลยอธิบายว่า นามิ นั้นคือคลื่น นามิดะคือน้ำตา
ชิ้นงานนี้มีชื่อไทยว่า น้ำตาทะเล และคลื่นก็คือน้ำตาของทะเล
ทะเลที่ไม่มีวันหยุดร้องไห้ ทะเลไม่เคยขาดคล่ืน...
เสียงจากทะเลอาจจะเป็นเสียงของการร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจ
หรือดีใจก็ได้...เราไม่รู้เพราะว่าเราไม่ใช่ทะเล เราได้แต่นั่งมองนั่งฟังเสียงคลื่น
บางคนบอกว่่ามันเศร้า บางคนบอกว่ามันน่าฟังเหมือนเสียงกล่อม...
เมื่อคลื่นยักษ์มา มนุษย์ก็ต้องหลั่งน้ำตากับเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้าง...
แสงที่ส่งออกไปคือแสงแห่งความหวัง สู่แสงแห่งศรัทธา...
เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์สึนามิที่ไทย...
อาจารย์ข้าน้อยก็อยู่ฟังด้วยตอนนั้น ท่านก็เลยขยับผลงานมาวาง
ด้านหน้าเสียเลยคราวนี้...เพราะที่ข้าน้อยพูดไปนั้นเป็น
หัวใจของผลงานที่ไม่เคยได้พรีเซ้นออกไปก่อนหน้านี้เลย...
เพราะเพิ่งคิดได้เมื่อเจอเข้ากับมรสุมของการแก้งานทั้งคืน...
ท่ามกลางความหวังอันน้อยนิดว่าจะแก้ทันส่ง...แต่สุดท้ายก็ทัน...
ผลเลยออกมาว่า ผลงานนั้นได้รับรางวัล โดยที่ข้าน้อยไม่ได้รู้
มาก่อนหน้านั้นเลยว่า การโชว์ผลงานครั้งนั้น คือการแข่งขันระดับภาคด้วย...
และทำให้รู้ว่า ชายกลางคนที่เข้ามาถามนั้นคือคณะกรรมการใหญ่
ในการตัดสิน...ท่านบอกข้าน้อยในวันรับรางวัลว่า...
โคมไฟที่ข้าน้อยทำ ทำให้ท่านนึกถึงแสงแห่งความหวังจริงๆ
แสงสีขาวที่พุ่งขึ้นไปท่ามกลางเกลียวของอะลูมิเนียมที่ขดไปมาคล้ายคลื่นนั่นแหล่ะ
ท่านบอกว่า ปกติโคมไปจะใช้ไฟสีส้ม
นานๆจะเห็นสีนี้ส่งขึ้นโชว์...และเข้ากับอะลูมิเนียมซึ่งเป็นหัวข้อ
และเงื่อนไขของงาน...คือทุกคน(จากมหาลัยข้าน้อย)
จะทำโคมไฟจากอะลูมิเนียมกัน...ส่วนมหาลัยอื่นจะกำหนดต่างๆกันไป
แต่ว่าจะมาแข่งขันร่วมกัน ตอนแรกเราก็คิดว่าแค่โชว์เฉยๆ...
และท่านยังบอกว่า...โคมไฟมันก็เหมือนหิงห้อย(โฮทารุ)
ที่หากส่งแสงยามกลางวันก็ไม่มีอะไรเตะตา ธรรมดา แทบจะมองไม่เห็นตัวมันด้วยซ้ำ
แต่ยามกลางคืนที่ไร้แสงอาทิตย์...แสงมันจะระยิบระยัยสวยงาม...
ไม่เห็นตัวแต่เห็นแสงของมันแทน...
คุณค่าของโคมไฟก็อยู่ที่ตรงนั้น เธอทำมันได้ตรงตามเป้าหมายแล้ว
จากประสบการณ์ครั้งนั้น สอนให้รู้ว่า...
หากเราจะทำอะไรแล้ว...ก็อย่าหมดหวัง
แม้แสงของมันจะริบหรี่แค่ไหนก็ตาม แล้วที่สำคัญ
ผลงานฟ้องความคิด และความคิดก็ฟ้องอยู่ที่ผลงาน
ไม่มีใครจะสานต่อ หรือต่อยอดของงานเราได้ดีเท่าตัวเรา
เพราะเรารู้จักต้นไม้ที่เราปลูกดีกว่าใคร...
และเพราะหากเราปลูกต้นไม้เองได้ ต่อให้เขาเอาต้นไม้เรา
ไปตัดแล้วเสียบยอดใหม่ให้สวยงามสักแค่ไหน...
เราก็สามารถปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่แล้วต่อยอดออกไปได้เท่าที่ใจเราต้องการ...
ปลูกอะไรก็ได้สิ่งนั้น....
ต้นลั่นทมจะเอายอดกุหลาบมาต่อได้อย่างไร...
นอกจากเราจะปลูกลั่นทมแล้วต่อยอดดอกลั่นทมด้วยกันเอง...
หรือต่อให้มีคนรู้ทันแล้วทำอย่างนั้น...เราก็หันไปปลูกอย่างอื่นได้อีก...
เมื่อเราปลูกได้ แต่เขาปลูกไม่เป็น สักวันหากเขาไม่มีต้นให้ต่อยอด
เขาจะไปต่อได้อย่างไร...
แม้ต้นไม้ที่เราปลูกไม่สวยเท่่าต้นที่เขาเอาไปต่อยอด
แต่ต้นไม้ของเราแม้จะไปวางอยู่ตรงไหน โดนใครต่อยอดไปบ้าง
เราย่อมรู้จักมัน และคนต่อยอดก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจเสมอ...
เราควรภูมิใจมากกว่าจะเสียใจ หากต้นไม้ที่เราเพาะพันธุ์กำลังเติบโต
ไม่ว่าจะด้วยมือใครก็ตามที่เอาไปเลี้ยงไปต่อยอดให้สวยงาม...
และเราควรขอบใจที่เขามีส่วนทำให้ต้นไม้ของเราขยายพันธุ์ออกไป...
เพราะผลของมันคือ...กำลังใจและความภูมิใจ...
ปล.เจ้าของลิขสิทธิ์ความรู้และความคิดทั้งมวลเป็นของผู้สร้างที่แท้จริง
นั่นคือ อัลลอฮฺตาอาลา วัลลอฮุอะลัม...
โม้สู่กันฟัง

วัสลามค่ะ