เหมือนกับอยากจะเชื่อ แต่ก้อไม่เชื่ออย่างสุดใจ
มาเล่าต่อนะ...อยากอ่าน....
แล้วเดิมเค้าเป็นวะฮาบีย์ไหมหล่ะ 
ในค่ายเป็นสายเก่าหมดครับ โดยเฉพาะเพื่อนคนนี้ แม้จะไม่ค่อยยุ่งเรื่องสายเก่าใหม่ แต่ก็มั่นใจว่าเป็นสายเก่าแน่นอน
เรื่องที่เกิดขึ้น มันก็คาดเดายากนะ เพราะตอนครั้งแรกที่เกิดขึ้น คือวันที่ 15 เมษา ก่อนกลับค่าย 2 วันนั้น เพื่อนคนนี้ก็เริ่มออกอาการ ครั้งแรกทุกคนคิดว่ามีอาการคล้ายผีเข้า ตอนนั้นรู้กันไม่ถึง 5 คน เพราะคืนนั้นทุกคนต่างวุ้นอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง เนื่องจากคืนนั้นเป็นคืนแสดงกิจกรรมของน้องๆ ในค่ายซึ่งจะมีผู้ปกครองมาชม ดังนั้น คืนนั้น ทุกคนจะมุ่งสนใจที่บนเวทีกันเสียส่วนใหญ่ ผมมารู้อีกที ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนคนนี้ ก็งานเกือบๆ จะสิ้นสุดลงแล้ว อยู่ดีๆ เพื่อนอีกคนที่ผมคบอยู่ด้วย ไปไหนมาไหนด้วยกันนั้น ถามผมว่า รู้ยัง ว่าไอ...(ชื่อเพื่อน) เป็นอะไร ผมก็ตอบว่า เป็นไรอะ จากนั้นเขาก็เล่าอย่างที่ผมบอกไป
เรื่องนี้มันแปลกที่ว่า เขาเปลี่ยนเป็นคนละคนที่ค่อนจะไปในทางที่ดี คือกลายเป็นคนที่พูดแต่เรื่องศาสนา พูดจาฉะฉาน เนื้อหาที่พูดเป็นระบบระเบียบมากๆ ไม่มั่ว ฟังเข้าใจง่าย ต่างจากตอนที่เขาเป็นปกติธรรมดา ที่เวลาคุยมักจะตะกุกตะกักนิดหนึ่ง สายตาลอกแลก แกมยิ้มบ้างเวลาพูด แต่พอมาดูช่วงที่เขาเกิดอาการอย่างว่า กลับกลายเป็นว่าพูดแบบมั่นใจ สายตาจ้องที่ผู้ฟัง กิริยาท่าทางดูมั่นคง และเน้นหนักเรื่องศาสนาอยู่ตลอดเวลา เน้นว่าวันกิยามะฮ์ใกล้เข้ามาแล้ว เรารู้ตัวบ้างไหม วันนี้เรานับสัญญาณวันกิยามะฮ์ได้กี่ประการแล้ว หรือเรากำลังเผลอเรอกันอยู่ เราต้องบริหารเวลาและคงเจตนาไว้ให้มั่น ไม่ปล่อยหรือใช้ไปแบบเปล่าประโยชน์ และอาการเช่นนี้ ไม่ใช่เกิดกับเพื่อนของผมคนนี้เพียงคนเดียว แต่เกิดกับเพื่อนที่เป็นประธานค่ายด้วย แต่คนหลังนี้จะเป็นน้อยกว่าเท่านั้นเอง
สิ่งที่ทั้งสองคนนี้เน้นเหมือนๆ กันก็คือ เรื่องที่ว่าฉันได้รับฮิดายะฮ์จากอัลลอฮฺ ฉันได้รับฮิดายะฮ์จากอัลลอฮฺ บอกสิ่งนี้ให้ชาวบ้านรู้ด้วยนะ ขอร้องนะ ช่วยบอกด้วย ฉันไม่ไหวแล้ว ประการต่อมา ทั้งสองจะเน้นเรื่อง "อินนะมัลอ๊ะมาลุบินนิยาต..." ว่าทุกคนจะทำอะไรต้องมีเจตนาที่แน่วแน่ ไม่ทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน มิฉะนั้น จะทำให้ตัวเองสับสนและอาจจะคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้ ประการต่อมา จะเน้นเรื่อง "วัลอัศริ..." การบริการเวลา และพยายามจะเชื่อมโยมเรื่องนียะฮ์กับวัลอัศริเข้าด้วยกัน ว่ามันเกี่ยวพันอย่างแน่นแฟ้นเพียงใด พร้อมทั้งเน้นว่า เราต้องพัฒนา ปรับปรุงตัวเอง ครอบครัวของเรา สังคมของเราและคนรอบข้างของเรา หากเราทำได้ดังนี้ หากจะตายก็ตายอย่างภาคภูมิใจและคุ้มแล้วที่เกิดกับชีวิตที่อัลลอฮฺให้มา
คืนสุดท้ายก่อนกลับจากค่าย ประธานค่ายได้นอนในมัสญิด ซึ่งรถจะมารับตอนประมาณตีหนึ่งกว่า เมื่อประธานตื่น, ประธานก็เรียกรองประธานซึ่งกำลังจะปลุกประธานละหมาดฮาญัดอยู่พอดี จากนั้นประธานก็เหลือบหันมาเห็นผมพอดีประจวบกับผมเองก็กำลังจะไปหาประธานด้วย จะถามเรื่องละหมาดฮาญัตว่าจะเอาอย่างไรดี จะให้ผมนำหรือใครนำละหมาดดี, ประธานได้เรียกผม ผมก็ไปที่ประธาน, ประธานก็พูดสั่งให้ผมเป็นผู้นำละหมาดฮาญัตและช่วยขอดุอาอฺให้เพื่อนๆ ทุกคนสลามัตในการเดินทางและภยันตรายทั้งหมด จากนั้นประธานก็หันมาคุยกับรองฯ แล้วสั่งรองฯ ว่า กูมีสิ่งหนึ่งที่อยากให้มึงช่วยกูบอกชาวบ้านให้หน่อย กูขอร้อง กูขอร้องจริงๆ นะ ช่วยบอกชาวบ้านให้หน่อย พอได้ยินอย่างนี้ ผมสังเกตเห็นรองฯ ทำหน้าไม่สู้ดีแกมแปลกใจไม่อยากจะฟัง และพยายามเบี่ยงไปเรื่องอื่น พร้อมกับบอกว่า อย่าห่วงเลย มึงไว้ใจกูนะ เออ เดียวกูบอกชาวบ้านให้เอง ด้วยคำพูดของกู มึงไว้ใจกูนะ ก็สามารถบอกชาวบ้านได้ ด้วยความคิดและคำพูดของกูเอง จากนั้นประธานก็แย้งว่า ไม่ได้ มึงต้องบอกตามนี้ ไม่ได้ๆ กูขอร้อง มันช่วยบอกสิ่งนี้ให้ชาวบ้านด้วย กูได้รับฮิดายะฮ์จากอัลลอฮฺ กูได้รับฮิดายะฮ์จากอัลลอฮฺ (พร้อมกับยกมือในลักษณะชี้ด้วยนิ้วชี้เชิงสั่งสอน) จากนั้นผมกับรองฯ ก็เอ่ยถามเกือบจะพร้อมๆ กันว่า มันคืออะไร, ประธานก็ตอบว่า "จงบอกชาวบ้านว่า ผมอดทนกัดฟันต่อสู้เพื่อศาสนาของอัลลอฮฺมาแล้ว หลังจากนี้ ผมจะดูว่าพวกคุณจะอดทนกัดฟันต่อสู้เพื่อศาสนาของอัลลอฮฺได้เหมือนอย่างที่ผมทำหรือไม่" แค่นี้แหละ กูฝากมึงบอกชาวบ้านด้วย ก่อนขึ้นรถ เพราะตะเดี๋ยว กูจะไม่พูดกับใครทั้งสิ้น กูเพลีย กูไม่ไหวแล้ว กูขึ้นรถ กูจะหลับ หลับ หลับยาวไปเลย, รองก็ตอบว่า เออๆ มึงไว้ใจกูเหอะ, ประธาน: มึงอย่าลืมนะ จากนั้นรองฯ ก็ชวนให้ประธานรีบลุกไปอาบน้ำละหมาดเพราะได้เวลาละหมาดฮาญัตแล้ว เราละหมาดกันประมาณเที่ยงคืนโดยมีผมเป็นอิมาม ... (ค่อยมาเล่าต่อ) - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลาม