เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

บันทึกจากความฝัน

<< < (37/39) > >>

Hanata':

--- อ้างจาก: asizsama ที่ พ.ค. 18, 2012, 03:30 AM ---
5.ผมฝันถึงการสู่รบครับ เรื่อง บ้านเรานี้แหละ สือถึงอะไรบ้าง??????


--- End quote ---

เคยฝันเหมือนกัน...เป็นไปได้ไม ที่เรื่องราวแบบนั้นมันฝังใจเรามาตลอด (รึป่าว)

HZN:
http://www.youtube.com/watch?v=DDi-6DsgG-U


เรื่่องของความฝันต่างๆๆ ครับ

คนเดินดิน:
 :salam:

หากอัลลอฮ์จะประทานความฝันให้เราเห็นบางอย่าง

แล้วพระองค์ก็ทรงสอนเราเฉกเช่นเดียวกันที่สอนท่านนบียูซุฟ

นั่นก็เป็นสิ่งที่มิได้ยากเย็นเลย ณ ที่พระองค์

มาชาอัลลอฮ์  ตักบีร(รุสนี)  อัลลอฮูอักบัร  อัลลอฮูอักบัร  อัลลอฮูอักบัร

คนเดินดิน:
รู้สึกเหมือนมีใครกำลังจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

อย่าทำให้ก๊ะหลับนะน้องรัก  เพราะความจริงบางอย่างก็มิบังควรต่อหน้าสาธารณชน

ตอนนี้ก๊ะต้องการเวลาส่วนตัวววววววววว

เข้าใจก๊ะด้วยนะยุวชนที่ร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกส์

nada-yoru:
อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

ตั้งแต่จบม.3 กำลังจะย่างขึ้น ม.4 ตอนนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
ว่าเราจะเลือกเรียนสายไหน จะไปเรียนที่ใด...สับสนมาก
จนได้ฝันเห็นเด็กผู้หญิงเดินมาหาแล้วบอกบางอย่างให้ได้เข้าใจ
จึงเลือกเดินทางที่เลือกเดินมา แล้วก็ไม่เคยฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีกเลย
จวบจนตอนใกล้จะจบม.6 เด็กผู้หญิงคนนั้นกลับมาให้เห็นในฝันอีกครั้ง
ตอนแรกไม่แน่ใจว่าใช่เด็กผู้หญิงคนเดิมรึเปล่า
แต่เพราะท่วงท่าและน้ำเสียงและสิ่งที่ได้รับจากเด็กผู้หญิงคนนั้น
ทำให้อุ่นใจว่า ใช่...เด็กผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามาพร้อมกับบอกว่่า
อย่ากลัวกับสายน้ำข้างหน้าที่นิ่งสนิทจนยากจะหยั่งถึงความลึกนั่น
อย่ากลัวมัน แต่ให้ข้ามมันไป มันไม่ได้น่ากลัวเลย เธอจะมีฉันอยู่ข้างๆ
ฉันจะไปกับเธอ ตอนนั้นได้แต่คิดในใจ เด็กตัวแค่นี้น่ะหรือ
จะมาอยู่ข้างๆ มาเป็นภาระเพิ่มซะมากกว่า แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรออกไป
นอกจากยอมให้เด็กหญิงคนนั้นข้ามน้ำไปพร้อมๆกัน
ตอนนั้นกังวลว่าเด็กคนนั้นจะจมน้ำรึเปล่า เพราะข้าน้อยเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น
จะช่วยตัวเองก็ยังไม่ไหว แล้วจะช่วยคนอื่นได้อย่างไร
แต่แปลกตรงที่ข้าน้อยสามารถอุ้มเด็กหญิงคนนั้นข้ามแม่น้ำไปได้ในที่สุด
แล้วความจริงเมื่อตื่นขึ้นมาพบหลังจากนั้นก็คือ

การได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น...แน่นอนว่านั่นคือ
การข้ามน้ำข้ามทะเลครั้งแรกในชีวิตเด็กบ้านนอก
ที่ต้องผันตัวไปเป็นเด็กนอก...แต่เมืื่อนึกถึงความฝันนั้นก็ทำให้เลิกกลัว
และกล้าที่จะตัดสินไปเรียนต่อ...อยู่โตเกียวได้ปีครึ่งก็ฝันถึงเด็กหญิงคนนั้นอีก
ตอนนั้นข้าน้อยมองหอพักของตัวเองที่เพื่อนร่วมหอพักต่างแยกย้าย
กันไปตามแต่ละที่ของแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกัน เหลือแต่ตัวข้าน้อย
ท่ียังหาที่ไปไม่ได้ และทางเข้าที่พักก็มืดจนไม่แน่ใจว่าจะเก็บของไปหมดรึเปล่า
วินาทีนั้น(ในความฝัน) ข้าน้อยรู้สึกหวาดหวั่น ได้แต่ยืนมองห้องพักขึ้นไป
โดยไม่อาจเข้าไปเก็บของในนั้นได้เลย จนสักพัก เด็กผู้หญิงก็มากุมมือข้างขวา
ของข้าน้อยไว้ แล้วบอกว่า อย่าอาลัยอาวรณ์เลย เราต้องเดินไปข้างหน้า
ที่นี่ก็แค่ชั่วคราว ข้าวของพวกนั้นก็ทิ้งไว้เสียที่นี่ แล้วเดินต่อไป
เดี๋ยวจะไปไม่ทัน คนอื่นเขารุดหน้าไปกันหมดแล้ว...
ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะไปกับเธอ ไม่ทอดทิ้งเธอหรอก เธอจะมีฉันเดินด้วยตลอด
ตอนนั้นที่รู้สึกหวาดหวั่นก็พลันหายไปแทนที่ด้วยความอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ก็เลยจูงมือเด็กคนนั้นเดินไปบนหนทางที่แสนวกวน เจอโน่นเจอนี่
ได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้เจอสังคมที่ไม่เคยเจอ มันคือการเดินทางที่ยาวนานมาก
และได้เจอบ้านในฝัน บ้านที่เป็นของตัวเอง แต่ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง
ไม่มีใครๆอยู่ด้วย...ข้าน้อยจึงต้องตัดใจทิ้งบ้านหลังนั้นมา
เพื่อออกเดินทางกลับบ้านที่มีพ่อแม่พี่น้อง...
จนสุดท้ายเด็กคนนั้นก็พาข้าน้อยมาหยุดอยู่ที่อำเภอที่ข้าน้อยเกิด
พร้อมกับบอกว่า...เขามาส่งข้าน้อยได้แค่นี้ ที่เหลือข้าน้อยต้องเดินไปต่อเอาเอง
เพราะที่นี่คือที่ของข้าน้อย ข้าน้อยย่อมไม่หลงกลับบ้านอย่างแน่นอน..

และเรื่องจริงหลังตื่นมาก็คือ...ข้าน้อยที่ไม่มั่นใจว่าจะสอบเอ็นท์เข้ามหาวิทยาลัย
ที่ญี่ปุ่นได้ ก็ได้ที่เรียน ซึ่งอยู่คนละภูมิภาค ตอนนั้นสอบได้ที่เกียวโต
นั่นจึงเป็นการอพยพอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งสำคัญ เพราะข้าน้อยไปเรียน
ที่มหาวิทยาลัยที่นั่นเพียงลำพัง ไม่มีเพื่อนๆไปเรียนด้วย...
นั่นหมายความว่า จากนี้ไป จะต้องไปเผชิญหน้ากับโลกกว้างข้างนอก
ท่ามกลางคนต่างชาติ ท่ามกลางเจ้าถิ่นอย่างคนญี่ปุ่นแบบร้อยเปอร์เซ็น
สร้างความหวาดหวั่นให้ก็จริง แต่เพราะนึกถึงความฝันนั้น
จึงอุ่นใจมาตลอด...
และก็ไม่ได้ฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีกเลย

จนใกล้จะเรียนจบ ตอนอยู่ปีสี่ เป็นช่วงที่ข้าน้อยเครียดจัด
เจอปัญหาใหญ่ๆหลายด้านรุมเร้าจนหาทางออกไม่ได้
ตอนนั้นนอนหลับไปก็ฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนเดิมเดินเข้ามาหา
ตอนที่ข้าน้อยยืนอยู่บนสะพานเชือกขึงที่น่าหวาดเสียว
โดยด้านล่างเป็นผืนทรายสีขาวสุดลูกหูลูกตาน่าเดิน...
ข้าน้อยตัดสินใจว่าจะลงไปเดินบนผืนทรายดีกว่าที่จะเดินสะพานข้ามไปอีกฟากนึง
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นกลับบอกว่าให้ข้าน้อยเดินไปบนสะพานเชือกที่น่าหวาดเสียวนั้นแทน
พร้อมกับบอกว่า ผืนทรายที่น่าเดินที่ข้าน้อยเห็นอยู่ตอนนี้นั้น แท้จริง
เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน น้ำทะเลก็จะซัดเข้ามาแล้วในน้ำนั้นก็จะมีฉลาม
ที่น่ากลัว...ดังนั้น...อย่าตัดสินว่าอะไรน่ากลัวหรือไม่น่ากลัว
เพียงแค่สายตาที่เรามองเพียงอย่างเดียว แต่ให้มองไปรอบๆให้แน่ใจก่อน
มองให้รอบแล้วจะพบว่า สิ่งที่ตาเห็นมันอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
ดังนั้น จงมั่นใจว่าเชือกที่เรายึดอยู่ขณะเดินบนสะพานนั้นมั่นคงและยึดมันให้แน่น
แม้ขาเราจะก้าวพลาดไปบ้างแต่เราจะไม่ตกลงไปยังด้านล่าง...
และเธอจะมีฉันเดินไปกับเธอ ฉันจะอยู่กับเธอตลอดเส้นทาง...
เด็กหญิงคนนั้นบอกพร้อมกับจับมือข้าน้อยไว้ ข้าน้อยจำได้แม่นว่า
ตอนนั้นเด็กผู้หญิงคนนั้นเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยท่ีสวมชุดสีขาว
ตัวเธอมีแสงรัศมีเรืองรองจนดูอบอุ่นเมื่อยามได้อยู่ใกล้และได้สัมผัสมือ

เมื่อข้าน้อยกับเด็กหญิงเดินไปจนสุดสะพานเชือกอย่างปลอดภัย
ได้อย่างน่าเหลือเชื่อแล้ว...ก็ไปเจอกับน้ำทะเล เราสองคนที่ข้ามน้ำทะเล
นั้นไปด้วยกัน และตอนนั้นข้าน้อยเห็นฉลามมาแต่ไกล
ใจก็เลยหวาดกลัว มือที่ลากตัวเด็กน้อยไว้ก็เริ่มสั่น
บอกกับใจว่า ควรจะปล่อยเด็กน้อยคนนี้เอาไว้แล้วเรารีบว่ายน้ำไปยังฝั่งเลยดีไหม
เพราะถ้าไม่ปล่อย เราอาจจะไม่รอดจากฉลาม มันน่ากลัวเหลือเกิน
แต่พอคิดจะปล่อยเด็กน้อยคนนั้นไป ก็รู้สึกไม่ดีเพราะเราเดินมาด้วยกันตลอด
จะปล่อยไปได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องไปด้วยกัน ตายเป็นตาย...
ก็เลยโอบเด็กหญิงคนนั้นมากอดเอาไว้แน่นพร้อมรับชะตากรรม
และแล้วฉลามตัวใหญ่ที่กำลังโถมเข้ามาก็กลายเป็นปลาตัวน้อยที่กระโดดเล่นน้ำแทน
สร้างความแปลกใจปนโล่งใจให้ข้าน้อย และดีใจที่เราตัดสินใจไม่ทิ้งเด็กหญิงไว้
เลยยังมีเพื่อนเดินทางไปยังฝั่งซึ่งเป็นแผ่นดินใหญ่ด้วยกัน
เมื่อถึงแผ่นดินใหญ่ ใจที่อ่อนล้าเพราะผ่านการเดินทางมานานก็หวังว่าจะได้พัก
ให้หายเหนื่อยเสียหน่อย แต่เปล่าเลย บนผืนดินดังกล่าวมีไดโนเสาร์กินเนื้อ
เดินไปมาให้เห็นอยู่ไม่ไกลนัก มันดุดันและน่ากลัวจนข้าน้อยที่นั่งหมดแรงอยู่
ต้องหันไปมองเด็กน้อยด้วยสีหน้าอ่อนล้า...
เด็กหญิงคนนั้นยิ้มให้พร้อมกับบอกว่า...ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหล่ะ
เมื่อบททดสอบหนึ่งผ่านไป บททดสอบใหม่ก็จะเริ่มขึ้น...
สำคัญตรงที่เราอย่าไปหวาดหวั่นหรือหวาดกลัวกับมัน
แต่ให้เราลุกขึ้นสู้ ให้รู้จักกับมัน เมื่อรู้จักแล้วเราจะหาวิธีจัดการกับมันได้
แล้วเมื่อนั้น เราจะผ่านมันไปได้โดยไม่ลำบาก...อย่ากลัวเลย
เราต้องกล้าที่จะเดินไปเผชิญหน้ากับมัน
นี่คือชีวิตและการเดินทาง...และฉันจะอยู่ข้างๆเธอ เราจะเดินไปด้วยกัน...
นั่นคือฝันที่ทำให้ข้าน้อยตื่นขึ้นมามีกำลังใจที่จะสู้กับปัญหาที่รุมเร้าทั้งหมด
ไม่มีหนีหรือถอยห่างแม้แต่ก้าวเดียว และก็ผ่านปัญหาเหล่านั้นมาได้ด้วยดี
จนมีวันนี้...และตอนทำผลงานจบ ตอนนั้นแน่ใจแล้วว่าตัวเองสอบผ่าน
และเรียนจบแน่ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้กลับไปบ้านอย่างตั้งใจไว้รึเปล่า
เพราะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายที่ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลยสักอย่าง
ความสับสนเข้ามาครอบงำอีกครั้ง...จนทำให้คิดถึงเด็กหญิงคนนั้นขึึ้นมา
และได้ฝันเห็นจริงๆ...ตอนนั้นมีภาพทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าคาที่คมมากๆ
สูงเหนือศีรษะ ขวางกั้นเส้นทางกลับบ้าน...ข้าน้อยมองไปแล้วก็ให้ท้อ
เพราะตอนนั้นมีแค่ตัวเปล่า รองเท้าไม่มีสวมใส่ ในมือไม่มีมีดพร้าหรืออาวุธอะไรเลย
มีแค่มือเปล่าและเท้าเปล่า เลยหวาดกลัวว่าจะเดินผ่าดงหญ้าคาที่แสนคม
ซึ่งด้านล่างอาจมีหนามแหลมๆด้วยก็เป็นได้ได้อย่างไร อยู่ๆก็มีเด็กผู้หญิงคนนั้น
เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ แล้วจับมือข้าน้อยเอาไว้แน่น
พร้อมกับบอกว่า เดินไปเถิด เดินไป อย่ากลัวกับสิ่งที่เห็น
เพราะจริงๆแล้วมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ตาเห็นหรอก
เราต้องลองเดินไปแล้วจะรู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย
หญ้าคาพวกนี้หรือขวากหนามนั้นไม่สามารถทำอะไรเธอได้หรอก
หากเธอกล้าพอที่จะเดินผ่านมันไป และฉันจะไปกับเธอ เราจะเดินไปด้วยกัน
ตอนนั้นก็ได้แต่แอบคิด เด็กผู้หญิงคนนี้มาเป็นภาระให้เราอีกแล้ว
แต่อีกใจนึงกลับรู้สึกอุ่นใจ และความอุ่นใจนั้นทำให้เกิดความกล้าที่จะ
ก้าวเดินฝ่าดงหญ้าคานั้นไป แล้วมันก็ผ่านไปได้โดยไม่ได้เจ็บปวดตรงไหนเลย
แต่หนทางยังไม่สิ้นสุด ต้องเดินข้ามสายธารที่มีโขดหินลื่นอีก
เด็กคนนั้นที่จับมือข้าน้อยไว้ตลอดเวลาบอกให้ข้าน้อยระมัดระวังและ
ให้กำลังใจมาตลอดเส้นทางจนมาถึงสถานที่นึงซึ่งเป็นบ้านเรือนธรรมดาๆ
แตกต่างจากที่ที่จากมา ผู้คนก็ใช้ชีวิตธรรมดาๆ จะมีก็แต่คนกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งกำลังหล่อทองคำทำเป็นสร้อยคอเครื่องประดับ และมีผู้คนมากมายห้อมล้อม
ข้าน้อยมองไปที่นั่นแล้วก็หันมาถามกับเด็กหญิงตัวน้อยว่า
อยากได้สร้อยคอนั้นมั้ย ฉันจะไปเอามาให้...เด็กหญิงคนนั้นส่ายหน้า
พร้อมกับบอกข้าน้อยว่า...อย่าเลย ฉันไม่เคยต้องการมัน
เธอไม่ต้องพยายามเอามันมาให้ฉันหรอก เธอมองไปตรงนั้น
เด็กหญิงคนนั้นชี้ไปที่ตรงสวนผักที่มีเป็ดไก่เดินไปมา
มันทั้งสงบ ร่มรื่นและน่าอยู่ เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายมากๆ
เด็กหญิงคนนั้นบอกข้าน้อยว่า...นี่คือที่ที่เธอจะได้มาอยู่
ถ้าเธออยากมีความสุขก็จงใช้ชีวิตที่นี่อย่างเรียบง่าย
อย่าไปมองในสิ่งที่คนเหล่านั้นห้อมล้อมกัน ลองทำอะไรที่เธอไม่เคยทำดู
เช่นเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ปลูกผักดู แล้วเธอจะมีความสุขกับที่นี่ในช่วงเวลานึง...

หลังจากที่ตื่นมาตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่าสถานที่ดังกล่าวที่ว่ามันมีจริง
บนโลกนี้หรือ...แต่ใครจะเชื่อว่า ตอนนั้นข้าน้อยตัดสินใจว่าเรียนจบแล้ว
ยังไงๆก็ต้องกลับบ้าน และเมื่อได้กลับมาบ้านจริงๆ อุปสรรคที่คิดว่ายาก
ก็ง่ายไปหมด เพียงแค่ตัดสินใจเด็ดขาดและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกๆอย่าง
ที่ขวางทางอยู่...ซึ่งทำให้ได้เจอภาพฝันดังกล่าวที่บ้านเกิดของตัวเอง
บ้านเกิดที่ไม่ได้กลับไปนาน พร้อมกับได้ใช้ชีวิตเรียบง่าย ปลูกผัก เลี้ยงไก่จริงๆ
และเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ

จากวันที่ฝันถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น จนถึงไม่กี่วันก่อนหน้านี้
เป็นระยะเวลาเกือบ 4 ปี ข้าน้อยได้ฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเลยเกือบ 4 ปี
ฝันครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งเลย เพราะจากที่เราเคยจูงมือเดินไปด้วยกัน
ครั้งนี้เป็นข้าน้อยที่อุ้มเด็กน้อยมากอดไว้ด้านหน้าแล้ววิ่งไปบนหนทางด้วยกัน
พร้อมด้วยรอยยิ้ม เส้นทางที่ดูสงบ ปลอดภัย ไม่มีรถราที่น่าหวาดกลัว
ไม่มีสัตว์ประหลาด มีแค่สายลม แสงแดด และอากาศดีๆ

10 กว่าปีกับการฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนนึง มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญสำหรับข้าน้อยเลย
เพราะไม่ได้ฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนนี้บ่อยๆ นานๆถึงจะฝันถึง
และหากฝันถึง นั่นย่อมมีสัญญาณบางอย่างแจ้งให้รู้...ไปตามสถานการณ์นั้นๆ

ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร นอกจากว่า...ต้องรอดูต่อไป...
แต่ก็อุ่นใจที่รู้ว่า เด็กหญิงคนนี้ยังไม่ได้ไปไหนเลย...

เคยเล่าให้พ่อฟังมาตลอด พ่อบอกว่า ฝันที่ดีมาจากอัลลอฮฺ
ให้ขอบคุณอัลลอฮฺเสีย...พระองค์เมตตา ถึงให้เราได้ฝันดีๆ

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

เล่าสู่กันฟังค่ะ...

วัสลามค่ะ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version