ผู้เขียน หัวข้อ: **// อัส-สะละฟีย์ ในทรรศนะของ ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล ก็อรฎอวียฺ //**  (อ่าน 3460 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ budu

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 30
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด


         ท่านชัยค  ยุซุฟ อัล ก๊อรฏอวีย์    อุลามาออาวุโสท่านหนึ่งของขบวนการภราดรภาพมุสลิม ได้กล่าวไว้ใน หนังสือเล่มหนึ่งของท่านที่ชื่อว่า 

“ขบวนการเคลื่อนไหวอิสลามกับการท้าท้ายของยุคสมัย” ในประเด็นที่เกี่ยวกับความจำเป็นต้องรับเอาแนวความคิด สะลาฟีย์ มาใช้

      เนื่องจากลักษณะพิเศษของแนวคิดสลาฟีย์ที่ว่า  “เป็นแบบวิธีทางปัญญาที่วางอยู่พื้นฐานของการใช้ความเข้าใจในบทบัญญัติของอัล กุรอาน   

และข้อแนะนำของซุนนะห์ตามที่เข้าใจโดยชนรุ่นที่ประเสริฐที่สุดของอุมมะฮ  ซึ่งได้แก่ บรรดาเศาะฮาบะฮของท่านนบี ศ็อลล๊อลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะ ซัลลัม

และบรรดาผู้ดำเนินแนวทางของพวกเขาอย่างถูกต้อง”   

            ผู้ปฏิบัติตามแนวทางนี้จะต้องมีคุณลักษณะที่เหมือนกับชนยุคแรกอย่างแน่นอน   นั่นคือมีการส่งเสริมสนับสนุนการยึดมั่นต่อหลักการ

โดยมีการตัดสินอาศัยตัวบท   มีการบ่มเพาะอีหม่านที่ถูกต้องและมั่นคงมีความทุ่มเทความสนใจให้กับเรื่องจิตใจและเนื้อหาสาระที่ไม่สนใจเรื่องรูปแบบ   

ที่ไม่สนใจเรื่องการโต้แย้งที่ไร้สาระ  และให้ความสนใจกับการยึดมั่นต่อกฎเกณฑ์ในเรื่องศาสนา และการสร้างสรรค์ใหม่ของระเบียบกฎเกณฑ์ทางโลก 

มีการส่งเสริมการอิจญติฮาด(วินิจฉัย)  ประณามความไม่ยืดหยุ่นและการตักลีด(การตามอย่างไร้สติ) ส่งเสริมให้มีความสุภาพอ่อนโยนต่อผู้อื่น  และ

รังเกียจผู้ที่มีท่าทีหยาบกระด้าง   

               นี่คือสารัตถะของเหล่าบรรพชนในยุคแรกได้ปฏิบัติมา    นี่คือวิธีทางที่ทำให้พวกเขาได้รับความสูงส่งจากพระผู้เป็นเจ้า  และเป็นมนุษย์ที่

เป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นต่อมา  จนทำให้อัลลอฮ  ตะอาลา  ทรงยกย่องชมเชยคนยุคนี้เอาไว้ในกุรอานนับไม่ถ้วน

 

สองกลุ่มที่สร้างภาพเสียหายให้กับแนวคิดสลาฟียฺ

 
           กลุ่มแรก คือ เป็นกลุ่มที่ถูกผู้คนอ้างว่าเขาคือผู้ที่สนับสนุนแนวความคิดสะลาฟีย์  กลุ่มพวกนี้มีวิธีคิดที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรต่ออุมมะฮเลย

ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้เป็นรูปธรรมได้ พวกเขาใช้เวลาหมดไปกับการโต้เถียงปัญญาหาศาสนาที่เกี่ยวกับประเด็นปลีกย่อยต่างๆที่ดูแล้ว

ไม่มีทางจะลงเอยโดยดีได้ 

              ท่านชัยค ยุซุฟ อัล ก๊อรฎอวีย์กล่าวว่า  “พวกเขาใช้เวลาช่วงกลางวันและไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนตลอดทั้งคืน เพื่อตั้งป้อมโจมตีอย่าง

ไม่ปรานีปราศรัยเล่นงานบุคคลใดก็ตามที่คัดค้านกับความคิดของพวกเขาที่เกี่ยวกับประเด็นใดประเด็นหนึ่ง(ทางฟิกฮ)”  ประการเช่นนี้สร้าง

ความเสื่อมเสียให้กับแนวความคิดสะลาฟีย์เป็นอย่างมากในปัจจุบัน  จนทำให้คนบางคนพูดว่า  พวกสะลาฟีย์คือพวกที่ชอบถกเถียงกันเรื่องศาสนาที่

ไม่มีสาระ

 
            กลุ่มที่สอง คือ เป็นกลุ่มที่ต่อต้านแนวความคิดสลาฟีย์ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวก เซ็คคิวล่าร์(ผู้ที่คิดว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล) 

ที่ออกมาประณามว่าแนวความคิดนี้ล้าสมัย บ้าคลั่ง มักจะมองย้อนไปข้างหลัง ไม่สามารถนำมาปรับใช้กับโลกแห่งยุคสมัยได้  และยึดติดกับรูปแบบเก่าๆ

และพวกเขายังเชื่ออีกว่าแนวความคิดสะลาฟีย์นั้นสวนทางกับการตัจญ์ดีด(การสร้างใหม่) นี่คือความเลวร้ายที่แนวความคิดสะลาฟีย์ได้รับอย่างอยุติธรรม

 
ย้อนมองดูผู้นำ  “สะลาฟีย์” ตัวจริง

               สัญลักษณ์ของแนวคิดสลาฟียฺ คือท่านชัยคุลอิสลาม  อิบน ตัยมียะฮ  และท่านอัล อิมาม อิบน อัล กอยยิม ลูกศิษย์ของท่าน 

ทั้งสองได้เป็นตัวแทนของขบวนการเคลื่อนไหวฟื้นฟูอิสลามในยุคสมัยของท่านอย่างแท้จริง ท่านได้ ต่อสู้กับความเชื่อต่างๆที่จะสร้างความเสื่อมเสีย

ให้กับแนวความคิดและคำสอนอิสลาม และเผชิญหน้ากับการตักลีด และอุดมการณ์ที่ผิดๆที่จะมาครอบงำศาสนาและท่านทั้งสองมีเป้าหมายเพื่อที่

จะให้ผู้คนนั้นมีความเข้าใจศาสนาเหมือนกับคนยุคแรกเข้าใจทั้งทางด้านแนวคิดและทางด้านภาคปฏิบัติ 

              มันอาจจะไม่เป็นธรรมแก่ท่านทั้งสองเลยที่จะพาดพิงแต่วิชาการของท่านอย่างเดียวแต่ละเลยรูปแบบที่เคร่งครัดและการยำเกรงต่อ

พระเจ้าของท่านของทั้งสอง  และเป็นไปไม่ได้ผู้ที่ชอบอ้างงานวิชาการของท่านแต่ละเลยแง่มุมทางด้านภาคปฏิบัติและการสนับสนุนช่วยเหลืองาน

ดะวะฮและการญิฮาด  จนกะทั่งท่าน อิบน ตัยมียะฮกล่าวคำพูดหนึ่งที่เป็นความรู้สึกของท่านว่า     “บรรดาศัตรูของฉันจะสามารถทำอะไรกับฉันได้?

การถูกกักขังของฉันเป็นการแยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษ(เพื่อทำการอิบาดะฮ) การถูกเนรเทศของฉันเป็นการเดินทางเพื่อศาสนา(การแสวงหาความรู้)

และการถูกประหารชีวิตของฉันเป็นการพลีชีพ(ชะฮีด)” 

            ส่วนท่านอิมามมุฮัมหมัด รอชีด ริฎอ ซึ่งเป็นผู้ที่ชูธงสะลาฟียะฮในสมัยของเราท่านเป็นผู้ฟื้นฟูยุคสมัยของเราอย่างแท้จริง มีผลงานทาง

วิชาการออกมาอย่างมากมายและตัฟซีรของท่านที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกก็คือ ตัฟซีรอัล มะนาร  และยังเป็นบรรณาธิการผู้ก่อตั้งและ

เป็นเจ้าของนิตยสาร “อัล มะนาร” อีกด้วย และหนังสือวิชาการอีกมากมาย  อีกทั้งเป็นผู้เริ่มตั้งกฎทองที่ท่าน อิมามหะสัน  อัล บันนา ได้นำไปใช้ในเวลา

ต่อมามีใจความว่า   “เราจะประสานความร่วมมือกันในสิ่งที่เราเห็นพ้องต้องกัน  และให้อภัยแก่กันและกันสำหรับสิ่งที่เรามีความเห็นที่แตกต่างกัน”

ฉะนั้น ผู้ที่อ้างตนเองว่าปฏิบัติตามแนวทางสะลัฟโปรดทบทวนข้อความนี้ด้วย
 

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด

       
“เราจะประสานความร่วมมือกันในสิ่งที่เราเห็นพ้องต้องกัน  และให้อภัยแก่กันและกันสำหรับสิ่งที่เรามีความเห็นที่แตกต่างกัน”

ฉะนั้น ผู้ที่อ้างตนเองว่าปฏิบัติตามแนวทางสะลัฟโปรดทบทวนข้อความนี้ด้วย


 mycool: mycool: mycool: 



(คุณ budu คงงานยุ่ง หายไปน้านนาน ::))

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
นับเป็นบทความที่ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบันและได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

 

GoogleTagged