จากหนังสือ
อัลเมากิฟุชชัรอี มินัตตะบัฆวัตตัคคีน ของ มุหัมหมัด อาลี อัลบารฺ นิโคตินที่มีอยู่ในควันบุหรี่เป็นสารที่ทำให้เสพแล้วติด จากผลการวิจัยของวิทยาลัยราชอาณาจักรด้านการแพทย์ ประเทศซาอุดีฯ พบว่า
ถ้าประชากร 100 คนชอบดื่มเหล้า จะพบว่าประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นผู้ที่ติดเหล้าอย่างงอมแงมจนไม่อาจเลิกได้
แต่ถ้าประชากร 100 คนชอบสูบบุหรี่ จะพบว่า 80-85 เปอร์เซ็นต์กลายเป็นผู้ที่ติดบุหรี่อย่างงอมแงม
ดังนั้นจึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การสูบบุหรี่หรือยาสูบทำให้ติดและเลิกไม่ได้ ทั้งยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังที่บรรดาแพทย์ทั่วทุกมุมโลก
ในปัจจุบันต่างเห็นพ้องและมีมติเป็นเอกฉันท์ เช่นเดียวกับองค์การอนามัยโลกที่ออกประกาศถึงอันตรายของบุหรี่อย่างชัดเจน ทั้งยิงมีระบุที่
ซองบุหรี่ว่า "การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อชีวิต"
ถึงกระนั้นก็ยังมีมุสลิมบางคนที่เกิดความสงสัยในบัญญัติของอิสลามเกี่ยวกับบุหรี่และการสูบจนเกิดการโต้เถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จนบางท่านถึงกับกล่าววา การสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่วาญิบสำหรับเขา ...
และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของหลักฐานและทัศนะของบรรดาอุละมาอฺผู้ทรงคุณวุฒิที่ยืนยันถึงอันตรายของบุหรี่และระบุว่าเป็นสิ่งที่
ต้องห้ามหรือหะรอมในอิสลาม
หลักฐานต่างๆ ที่ห้ามสูบบุหรี่ 1. อัลลอฮฺทรงห้ามมิให้ฆ่าตัวเองทั้งทางตรงและทางอ้อมและห้ามนำพาตัวเองสู่ความหายนะ
ซึ่งมีใจความว่า
"และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ" (อันนิสาอฺ 4 : 29) และความว่า
"และพวกเจ้าจงอย่ายื่นมือของพวกเจ้าสู่ความหายนะ" (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 195) 2. การสูบบุหรี่เป็นการสุรุ่ยสุร่ายที่อัลลอฮฺทรงห้าม
ตามสถิติพบว่า บริษัทผลิตบบุหรี่ในอเมริกาได้ผลิตบุหรี่เป็นจำนวนเงินถึง สามหมื่นล้านดอลลาร์
ต่อปี (Larry White : Merchants of Death, New York, 1988) ในขณะที่อัลลอฮฺทรงตรัสไว้
ความว่า
"และพวกเจ้าจงอย่าสุรุ่ยสุร่าย" (อัลอิสรออฺ 17 : 26) 3. สร้างความเดือดร้อนแก่คนรอบข้างและครอบครัว
อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า
"และบรรดาผู้ที่สร้างความเดือดร้อนแก่มวลชนผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงด้วยสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กระทำ
แน่นอนเขาเหล่านั้นต้องแบกความเท็จและบาปอันชัดแจ้ง" (อัลอัหซาบ 33 : 58) 4. บุหรี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จะเห็นได้จากคราบนิโคตินที่ติดตามไรฟันและส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ดังนั้นบุหรี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม)
อัลลอฮฺ ทรงตรัสไว้ ความว่า
"และพระองค์ทรงห้ามพวกเขาจากสิ่งที่เลวทรามและน่ารังเกียจทั้งหลาย" (อัลอะอฺรอฟ 7 : 15) 5. บุหรี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้อิ่มและไม่ใช่ยารักษาโรค เพราะฉะนั้นการสูบบุหรี่จึงเป็นการเปล่าประโยชน์ และการเปล่าประโยชน์นั้นเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม)
6. บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ในปี 1962 วิทยาลัยการแพทย์แห่งประเทศอังกฤษออกแถลงการณ์ว่า "การสูบบุหรี่มีผลต่อความบกพร่องทางสุขภาพ"
ในปี 1970 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแห่งประเทศอเมริกาออกแถลงการณ์เตือนว่า "บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ"
ในปี 1978 ผู้เชี่ยวชาญแห่งองค์การอนามัยโลกได้ออกแถลงการณ์ว่า "การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักที่ไปทำลายสุขภาพและทำให้เสียชีวิตก่อนวัย"
ฟัตวาและทัศนะของอุละมาอฺที่ห้ามสูบบุหรี่ อุละมาอฺจำนวนมากต่างเห็นพ้องกันว่า ห้ามปลูก ขาย และเสพยาสูบ ในบรรดาอุละมาอฺเหล่านั้น คือ
1. สภาฟัตวาของอัลอัซฮัร กล่าวว่า "บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญและการสัมมนาด้านการแพทย์แห่งโลกต่างมีความเห็นพ้องกันว่า บุหรี่นั้น
เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างไร้ข้อสงสัยว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งในปอด มะเร็งในลำคอ และเป็นอันตราย
ต่อระบบการหมุนเวียนโลหิต.." (หนังสือพิมพ์ไคโร 22 มีนาคม 1979)
2. สภาสัมมนาอิสลามระดับโลกครั้งที่หนึ่ง ณ มหานครมะดีนะฮฺ เมื่อวันที่ 2-5 มีนาคม 1982 ต่างมีมติเห็นพ้องอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า "ห้ามสูบบุหรี่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าด้วยการขบเคี้ยวหรือสูบ และห้ามปลูก กิน ยาย และซื้อ และประเทศมุสลิมจำเป็นต้องประกาศห้ามอย่างเป็นทางการ"
3. สภาฟัตวาของลัจญฺนะฮฺดาอิมะฮฺ แห่งประเทศซาอุดิอารเบีย เลขที่ 187 วันที่ 4/2/1402 ฮ.ศ. กล่าวว่า "บุหรี่เป็นสิ่งที่หะรอม
เพราะมันเป็นสิ่งที่อันตราย และเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ทั้งยังเป็นการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย" (วารสาร อัลญุนดิลมุสลิม ลำดับที่ 32)
4. เชค อับดุลอซีซ บิน บาซ (วารสารมหาวิทยาลับอิสลามมดีนะฮฺ เดือนมุหัรรอม 1391 ฮ.ศ.) 5. เชค มุหัมมัด บิน ศอลิหฺ อัลอุษัยมีน (ตัซกีรุนนุฟูส อันนะบี อัฎรอริชชีชะอฺ หน้า 13-14) 6
. เชค มะหฺมูด ชัล โตต (ฟัตวา ชัลโตต หน้า 384-385) 7. เชค สาบิก (ฟิกฮุสสุนนะฮฺ) 8. เชค ยูซุฟ อัลก็อรฎอวียฺ (อัลหะลาลวัลหะรอม หน้า 62) 9
. เชค อับดุลญะลีล ชะละบียฺ (อัลหุกุมุชชัรอีฟ อัตตัดคีน หน้า 19-21) ฯลฯ