ผู้เขียน หัวข้อ: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**  (อ่าน 7998 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ suyutee

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 7
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

               จากหนังสือ อัลเมากิฟุชชัรอี มินัตตะบัฆวัตตัคคีน ของ มุหัมหมัด อาลี อัลบารฺ

            นิโคตินที่มีอยู่ในควันบุหรี่เป็นสารที่ทำให้เสพแล้วติด จากผลการวิจัยของวิทยาลัยราชอาณาจักรด้านการแพทย์ ประเทศซาอุดีฯ พบว่า

ถ้าประชากร 100 คนชอบดื่มเหล้า จะพบว่าประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นผู้ที่ติดเหล้าอย่างงอมแงมจนไม่อาจเลิกได้

แต่ถ้าประชากร 100 คนชอบสูบบุหรี่ จะพบว่า 80-85 เปอร์เซ็นต์กลายเป็นผู้ที่ติดบุหรี่อย่างงอมแงม

            ดังนั้นจึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การสูบบุหรี่หรือยาสูบทำให้ติดและเลิกไม่ได้ ทั้งยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังที่บรรดาแพทย์ทั่วทุกมุมโลก

ในปัจจุบันต่างเห็นพ้องและมีมติเป็นเอกฉันท์ เช่นเดียวกับองค์การอนามัยโลกที่ออกประกาศถึงอันตรายของบุหรี่อย่างชัดเจน ทั้งยิงมีระบุที่

ซองบุหรี่ว่า "การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อชีวิต"

                ถึงกระนั้นก็ยังมีมุสลิมบางคนที่เกิดความสงสัยในบัญญัติของอิสลามเกี่ยวกับบุหรี่และการสูบจนเกิดการโต้เถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จนบางท่านถึงกับกล่าววา การสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่วาญิบสำหรับเขา ...

                และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของหลักฐานและทัศนะของบรรดาอุละมาอฺผู้ทรงคุณวุฒิที่ยืนยันถึงอันตรายของบุหรี่และระบุว่าเป็นสิ่งที่

ต้องห้ามหรือหะรอมในอิสลาม


หลักฐานต่างๆ ที่ห้ามสูบบุหรี่

1. อัลลอฮฺทรงห้ามมิให้ฆ่าตัวเองทั้งทางตรงและทางอ้อมและห้ามนำพาตัวเองสู่ความหายนะ

ซึ่งมีใจความว่า "และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ" (อันนิสาอฺ 4 : 29)

และความว่า "และพวกเจ้าจงอย่ายื่นมือของพวกเจ้าสู่ความหายนะ" (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 195)


2. การสูบบุหรี่เป็นการสุรุ่ยสุร่ายที่อัลลอฮฺทรงห้าม

ตามสถิติพบว่า บริษัทผลิตบบุหรี่ในอเมริกาได้ผลิตบุหรี่เป็นจำนวนเงินถึง สามหมื่นล้านดอลลาร์

ต่อปี (Larry White : Merchants of Death, New York, 1988) ในขณะที่อัลลอฮฺทรงตรัสไว้

ความว่า "และพวกเจ้าจงอย่าสุรุ่ยสุร่าย" (อัลอิสรออฺ 17 : 26)


3. สร้างความเดือดร้อนแก่คนรอบข้างและครอบครัว

อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ความว่า "และบรรดาผู้ที่สร้างความเดือดร้อนแก่มวลชนผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงด้วยสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กระทำ

แน่นอนเขาเหล่านั้นต้องแบกความเท็จและบาปอันชัดแจ้ง" (อัลอัหซาบ 33 : 58)


4. บุหรี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จะเห็นได้จากคราบนิโคตินที่ติดตามไรฟันและส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง ดังนั้นบุหรี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม)

อัลลอฮฺ  ทรงตรัสไว้  ความว่า "และพระองค์ทรงห้ามพวกเขาจากสิ่งที่เลวทรามและน่ารังเกียจทั้งหลาย" (อัลอะอฺรอฟ 7 : 15)


5. บุหรี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้อิ่มและไม่ใช่ยารักษาโรค เพราะฉะนั้นการสูบบุหรี่จึงเป็นการเปล่าประโยชน์ และการเปล่าประโยชน์นั้นเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม)


6. บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ในปี 1962 วิทยาลัยการแพทย์แห่งประเทศอังกฤษออกแถลงการณ์ว่า "การสูบบุหรี่มีผลต่อความบกพร่องทางสุขภาพ"

ในปี 1970 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแห่งประเทศอเมริกาออกแถลงการณ์เตือนว่า "บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ"

ในปี 1978 ผู้เชี่ยวชาญแห่งองค์การอนามัยโลกได้ออกแถลงการณ์ว่า "การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักที่ไปทำลายสุขภาพและทำให้เสียชีวิตก่อนวัย"


ฟัตวาและทัศนะของอุละมาอฺที่ห้ามสูบบุหรี่

อุละมาอฺจำนวนมากต่างเห็นพ้องกันว่า ห้ามปลูก ขาย และเสพยาสูบ ในบรรดาอุละมาอฺเหล่านั้น คือ

1. สภาฟัตวาของอัลอัซฮัร กล่าวว่า "บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญและการสัมมนาด้านการแพทย์แห่งโลกต่างมีความเห็นพ้องกันว่า บุหรี่นั้น

เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างไร้ข้อสงสัยว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งในปอด มะเร็งในลำคอ และเป็นอันตราย

ต่อระบบการหมุนเวียนโลหิต.." (หนังสือพิมพ์ไคโร 22 มีนาคม 1979)


2. สภาสัมมนาอิสลามระดับโลกครั้งที่หนึ่ง ณ มหานครมะดีนะฮฺ เมื่อวันที่ 2-5 มีนาคม 1982 ต่างมีมติเห็นพ้องอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า

"ห้ามสูบบุหรี่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าด้วยการขบเคี้ยวหรือสูบ และห้ามปลูก กิน ยาย และซื้อ และประเทศมุสลิมจำเป็นต้องประกาศห้ามอย่างเป็นทางการ"


3. สภาฟัตวาของลัจญฺนะฮฺดาอิมะฮฺ แห่งประเทศซาอุดิอารเบีย เลขที่ 187 วันที่ 4/2/1402 ฮ.ศ.  กล่าวว่า "บุหรี่เป็นสิ่งที่หะรอม

เพราะมันเป็นสิ่งที่อันตราย และเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ทั้งยังเป็นการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย" (วารสาร อัลญุนดิลมุสลิม ลำดับที่ 32)


4. เชค อับดุลอซีซ บิน บาซ (วารสารมหาวิทยาลับอิสลามมดีนะฮฺ เดือนมุหัรรอม 1391 ฮ.ศ.)

5. เชค มุหัมมัด บิน ศอลิหฺ อัลอุษัยมีน (ตัซกีรุนนุฟูส อันนะบี อัฎรอริชชีชะอฺ หน้า 13-14)

6. เชค มะหฺมูด ชัล โตต (ฟัตวา ชัลโตต หน้า 384-385)

7. เชค สาบิก (ฟิกฮุสสุนนะฮฺ)

8. เชค ยูซุฟ อัลก็อรฎอวียฺ (อัลหะลาลวัลหะรอม หน้า 62)

9. เชค อับดุลญะลีล ชะละบียฺ (อัลหุกุมุชชัรอีฟ• อัตตัดคีน หน้า 19-21) ฯลฯ

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธ.ค. 30, 2007, 09:46 PM »
0
แล้วถ้าจะกียาสบทลงโทษ จะมีบทลงโทษบนโลกมั๊ยครับ อย่างเช่นถ้ากินเหล้าก็เฆี่ยน40ที
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ julee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ม.ค. 01, 2008, 07:56 AM »
0
อัสสลามุอะลัยกุ้ม

             ที่พี่น้องของเราได้นำเสนอให้กับพวกเราที่เกี่ยวกับเรื่องของบุหรี่ และฮุก่ม

ของมันนั้นเป็นเพียงแค่เพียงทัศนะหนึ่งจากมวลนักปราชญ์อิสลามเท่านั้น

เพราะว่ายังมีอีกสองทัศนะจากมวลนักปราชญ์อิสลามที่พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้

ซึ่งผมจะมานำมาเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้อินชาอัลเลาะห์ หลังจากนั้นเราเอาข้อมูล

ที่ได้มาทั้งหมดมาวิเคราะห์ให้ละเอียด แล้วค่อยมาให้น้ำหนักจะดีใหมคับ

เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มวลบรรดานักปราชญ์มีมุมมองที่แตกต่างกันไป

ยังไงผมก็ขอขอบคุณพี่น้องของเราที่นำเรื่องนี้มานำเสนอนะคับ
الفخر كل الفخر أني اشعري

Al Fatoni

  • บุคคลทั่วไป
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ม.ค. 01, 2008, 01:05 PM »
0
อัสสลามุ อลัยกุม

              ทัศนะที่ผมยึดนั้น มี 2 ทัศนะ คือ บุหรี่หะรอม หากเป็นบุหรี่แบบปัจจุบัน ที่มีแต่สารเสพติดชนิดอ่อนที่มีอันตรายมากๆ ทุกคนคงทราบกันดี เพราะแม้แต่พวกกาเฟรยังเรียกร้องให้เลิก เพราะบอกว่ามีแต่อันตราย กับอันตราย แล้วพี่น้องมุสลิมจะว่าอย่างไรครับกับเรื่องนี้

               ส่วนทัศนะที่บอกว่าบุหรี่นั้น มักโรฮฺ ผมก็เห็นด้วย หากเป็นบุหรี่แบบสมัยก่อน คือ ใบจาก ที่สูบแต่ใบเฉยๆ หรือมีใส้ข้างในนิดๆ พอหอมปากหอมคอ ผมว่ามันอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ปัจจุบัน แบบเทียบกันไม่ติดเลยอะ บุหรี่ปัจจุบันได้รับการรับรองจากแพทย์แล้วถึงอันตรายของมัน เพราะฉะนั้น สำหรับผมมันฟังไม่ขึ้นอะครับ ที่จะเอาคำฟัตวาในอดีตมาใช้กับบุหรี่ของปัจจุบัน ที่เป็นแท่งๆ ในซองอะครับ ราคาแพงๆ นั้น  แต่หากเป็นบุหรี่ใบจาก แล้วมีคนหุกุ่มว่าหะรอม อันนี้ก็น่าจะถกประเด็นกันฟังขึ้นหน่อย

               เพราะฉะนั้น หากท่านสูบบุหรี่ที่ไม่ใช่ใบจาก ที่เป็นแท่งๆ ในซอง ราคาแพงๆ อันนั้นหากหุกุ่มว่าหะรอม ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ  (ส่วนตัวผมเอง หัวปวดประจำหากไปกลิ่นควัน จะอารมณ์ขึ้นมาทันที) กรุณาเลิกเสียเถอะครับ หากแต่เป็นใบจากเสียเองก็เหอะ เลิกเสียดีกว่า นี่รณรงค์กันตรงๆ เลยนะครับ อินชาอัลลอฮฺ

วัสสลามุ อลัยกุม

ออฟไลน์ julee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ม.ค. 01, 2008, 10:41 PM »
0
  อัสสลามุอะลัยกุ้ม
      หลายปีที่ผ่านมา   เราจะพบว่าได้มีรณรงค์ให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่กันในหลายๆประเทศ   ความจริงโทษที่ได้รับจากการสูบบุหรี่นั้นนับว่าเบามากเมื่อเทียบกับสิ่งเสพติดชนิดอื่นๆ เช่น กัญชา  เหล้า  ฯลฯ (ที่ถูกต้องนั้นประชาคมโลกจะมีการรณรงค์ให้เลิกดื่มเหล้าเป็นลำดับแรก)  แต่หากคำนึงถึงผลทางทางอ้อมแล้ว  โทษของบุหรี่ก็ไม่น่าจะมองข้ามได้เช่นกัน   เป็นการยากมากที่จะให้โลกปลอดจากสารพิษตัวนี้  เพราะนอกจากจะเป็นที่นิยมกันแล้วยังเป็นแหล่งที่มาของรายได้ให้กับประเทศผู้ผลิต  หรือรัฐบาลอย่างเป็นกอบเป็นกำ    ผมเห็นด้วยกับโครงการรณรงค์ต่างๆ และต้องการเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นโรงงานผู้ผลิตเลิกทำการผลิตจำหน่ายสู่ท้องตลาด  เพราะผมสงสารผู้ที่ไม่สูบและเคยได้รับภัยจากมันมามากต่อมาก

         ทำไมข้อชี้ขาดของการสูบบุหรี่จึงไม่ตรงกัน (ไม่เป็นเอกฉันท์)  เราต้องย้อนดูความเป็นมาของบุหรี่กันเสียก่อน    ตามการบันทึกของนักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า      ประชาชนชาวแม็กชิกันรู้จักใช้ใบยาสูบกว่า  2500  ปีมาแล้ว     พวกเขาใช้ใบยาสูบนี้โดยใช้กล้องสูบยา (คล้ายกับตัวบารากู่หรือบ้องกัญชาสมัยนี้)   นอกจากนี้ยังใช้ใบยาสูบ  เพื่อเป็นยาดมและเคี้ยวเล่น  (เพื่อให้ร่างกายได้รับสารที่มีอยู่ในพืชชนิดนี้)   ต่อมาการสูบใบยาสูบก็ได้กระจายสู่ทั่วทุกภาคของทวีปอเมริกา   เมื่อโคลัมบัสได้เดินสำรวจอเมริกาปี 1492  เขาพบว่าประชากรของทวีปนี้นิยมสูบใบยาสูบกันมาก  และเขาก็เป็นคนแรกของยุโรปที่ได้ลองสูบยานี้   หลังจากนั้นนักสำรวจดินแดนชาวสเปน  ฝรั่งเศส  ได้ไปถึงดินแดนแถบนี้และได้นำพันธุ์กลับมาปลูกในยุโรป   ในประวัติศาสตร์ยังระบุไว้อีกว่าฑูตของฝรั่งเศสในโปรตุเกส  ชื่อ  Jean  Nicot   ได้ส่งเมล็ดของพืชชนิดนี้กับกษัตริย์ฝรั่งเศสเพื่อรักษาโรคปวดหัวเรื้อรัง        ในปลายศตวรรษที่16  ยาสูบจึงได้กระจายทั่วยุโรปเพื่อใช้ในการดม  เคี้ยว  และสูบ  และชื่อของนิโคตได้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของสารพิษที่มีอยู่ในใบสูบเมื่อมีการวิจัยถึงผลดีผลเสียของบุหรี่ (สารนิโคติน)

         ส่วนบุหรี่มวนที่เห็นในปัจจุบันเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสเปน   โดยประยุกต์มาจากการสูบของชาวคิวบา   ในศตวรรษที่ 19  บุหรี่จึงได้กระจายทั่วยุโรปและมีการตั้งโรงงานผลิตบุหรี่ด้วยเครื่องจักรครั้งแรกในสหรัฐฯ  ปี ค.ศ. 1870  และไม่นานบุหรี่ก็ได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือชาวอัฟริกัน   เอเชีย ด้วยน้ำมือของชาวยิวและคริสต์โดยผ่านทางโมร็อคโคและตรุกี

        ดังนั้น  การหาข้อชี้ขาดของการสูบบุหรี่ซึ่งเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันว่ามีประโยชน์น้อยมากหรือไม่มีเลย   จึงตกเป็นหน้าที่ของนักวิชาการศาสนา   อันเนื่องมาจากไม่มีตัวบทที่กล่าวถึงบุหรี่ไว้โดยเฉพาะ   เพราะบุหรี่ได้กำเนิดขึ้นมาหลังจากสมัยท่านนบี (ซ.ล.)  เป็นเวลาหลายร้อยปีนั่นเอง  เมื่อเป็นเช่นนี้การวินิจฉัยข้อชี้ขาดจึงไม่เป็นเอกฉันท์  ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนักวิชาการเหล่านั้นว่าจะใช้หลักการหรือตัวบทอย่างไรในการพิจารณา   เมื่อประมวลคำวินิจฉัยของนักวิชาการแต่ละท่านแล้วเราสามารถจำแนกตามข้อชี้ขาดได้ 3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้ -
      1.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (حرام)
      2.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบหรี่เป็นสิ่งอนุมัติ  (مباح)
      3.  กลุ่มผู้ที่แยกข้อตัดสิน (ฮุก่ม) ตามสภาพผู้สูบ  ทัศนะนี้มิได้บอกว่า การสูบหรี่นั้นต้องห้ามอย่างเด็ดขาด  หรืออนุมัติอย่างเต็มตัว

       อินชาอัลเลาะห์ครั้งต่อไปผมจะนำมาเสนอคำกล่าวของแต่ละกลุ่มของนักวิชาการ  ทั้งตัวบทหลักฐานและเหตุผลต่างๆ ครับ   วัสลามครับ
الفخر كل الفخر أني اشعري

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ม.ค. 02, 2008, 02:31 AM »
0
       อินชาอัลเลาะห์ครั้งต่อไปผมจะนำมาเสนอคำกล่าวของแต่ละกลุ่มของนักวิชาการ  ทั้งตัวบทหลักฐานและเหตุผลต่างๆ ครับ   วัสลามครับ

เยี่ยมครับ  เราจะรอ ^^
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ julee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ม.ค. 02, 2008, 06:18 AM »
0
  อัสสลามุอะลัยกุ้ม
      1.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (حرام)
      2.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบหรี่เป็นสิ่งอนุมัติ  (مباح)
      3.  กลุ่มผู้ที่แยกข้อตัดสิน (ฮุก่ม) ตามสภาพผู้สูบ  ทัศนะนี้มิได้บอกว่า การสูบหรี่นั้นต้องห้ามอย่างเด็ดขาด  หรืออนุมัติอย่างเต็มตัว
    

อัสสลามุอะลัยกุ้ม

     1.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (حرام)  โดยมีหลักฐานสนับสนุนดังนี้
 จากอัลกรุอาน
              "ويحل لهم الطيبات ويحرم عليهم الخبائث " الاعراف:157
ความว่า    และเขา (มูฮัมหมัด) อนุมัติแก่พวกเขาซึ่งบรรดาสิ่งที่ดี  และออกกฏหมายห้ามพวกเขาบรรดาสิ่งเลาร้ายต่างๆ
    - พวกเขากล่าวว่า   การสูบบุหรี่เป็นการกระทำสิ่งที่ไม่ดีและน่ารังเกียจ เพราะว่าการกระทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม   ดังนั้น  การสูบบหรี่ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม

            النساء:29 " "ولا تقتلوا انفسكم
ความว่า   และพวกเจ้าอย่าได้ฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง

             "ولاتلقوا بايديكم الي التهلكة" البقرة :195
ความว่า   และพวกเจ้าอย่ายื่นมือของพวกเจ้าเข้าไปสู่ความหายนะ

    - พวกเขากล่าวว่า    การสูบบุหรี่เป็นการฆ่าตัวเองและนำตัวเองสู่ความหายนะ  การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกห้าม   ดังนั้น  การสูบบุหรี่จึงเป็นสิ่งที่ถูกห้าม

               وكلوا واشربوا ولا تسرفوا انه لا يحب المسرفين" الاعراف31
 
ความว่า   และพวกเจ้าจงกิน   จงดื่ม   แต่พวกเจ้าอย่าสุรุ่ยสุร่าย  แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงรักบรรดาผู้สุรุ่ยสุร่าย

   - พวกเขากล่าวว่า   การสูบบุหรี่เป็นการกระทำในสิ่งที่สุรุ่ยสุร่าย   ความสุรุ่ยสุร่ายดังกล่าวเป็นที่ต้องห้าม   ดังนั้นการสูบบุหรี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องห้าม

จากอัลหะดีษ

        "نهى رسول{ص} عن كل مسكر ومفتر" رواه احمد عن ام سلمة

ความว่า   ท่านรอซูลได้ห้ามในทุกสิ่งที่ทำให้เกิดการมึนเมาและที่ทำให้อ่อนแอ

      "لاضرر ولاضرار" رواه احمد وابن ماجه باسناد حسن

ความว่า   อย่าก่อเวร (ภัย)  และอย่าจองเวร

    دع ما  يريبك الي مالا يريبك"  رواه احمد والترمذي والنسا ئي

ความว่า   จงละทิ้งในสิ่งที่ทำให้เกิดความสงสัยแก่เจ้าไปสู่สิ่งที่เจ้าไม่มีการสงสัย

      พวกเขากล่าวว่า    การสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรค  ก่อให้เกิดภัย   และยังความเคลือบแคลงหรือสงสัยแก่ผู้เสพเอง    การกระทำดังสิ่งดังกล่าวถูดห้าม   ดังนั้นการสูบบุหรี่จึงถูกห้ามด้วยประการดังกล่าว

             สำหรับในหลักปฏิบัติของนักวิชาการที่กล่าวเช่นนี้บอกได้ว่า  จำเป็น (วายิบ)  ต้องตักเตือนผู้สูบบุหรี่   ผู้ขาย  และต้องไล่อีหม่าม  คนอาซานออกจากมัสยิดหากพบว่ามีกลิ่นบุหรี่จากปากทั้งสอง    เป็นการปฏิบัติตามในสิ่งที่นบีได้กระทำไว้ต่อผู้กินกระเทียม  หัวหอม  และยังคงโชยกลิ่นออกมาจากปากเขา   โดยที่ท่านนบีได้ห้ามเขาในการเข้าไปร่วมเดินไปส่งศพที่สุสานบะเกี๊ยะ

       แต่ข้อชี้ขาดของนักวิชาการสายนี้ถูกค้านจากฝ่ายที่มีความเห็นขัดแย้งในทุกๆ หลักฐานที่อ้างมา  หากใครสนใจก็หาอ่านได้จากหนังสือที่เรียบเรียงเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ
                                                 
        อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะครับ
                                 วัสลาม
الفخر كل الفخر أني اشعري

ออฟไลน์ julee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ม.ค. 03, 2008, 07:50 AM »
0
  อัสสลามุอะลัยกุ้ม
      1.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (حرام)
      2.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบหรี่เป็นสิ่งอนุมัติ  (مباح)
      3.  กลุ่มผู้ที่แยกข้อตัดสิน (ฮุก่ม) ตามสภาพผู้สูบ  ทัศนะนี้มิได้บอกว่า การสูบหรี่นั้นต้องห้ามอย่างเด็ดขาด  หรืออนุมัติอย่างเต็มตัว
    

     อัสสลามุอะลัยกุ้ม
2.   กลุ่มที่กล่าวว่า   การสูบบหรี่เป็นสิ่งที่อนุมัติ(مباح)  โดยอ้างหลักฐานจากอัลกรุอานและเหตุผลดังนี้

   1. หลักฐานจากอัลกรุอานได้กล่าวว่า
                    هو الذي خلق لكم مافي الارض جميعا"  البقرة29
    ความว่า   พระองค์ทรงบันดาลสรรพสิ่งในพื้นพิภพทั้งสิ้นนั้น (เป็นประโยชน์แก่) พวกเจ้าทั้งหลาย

                 โองการนี้ได้บอกถึงเนื้อแท้ของทุกๆสิ่งคือการอนุมัติ  "اباحة"  จนกว่าจะมีหลักฐานหรือตัวบทมายุติการอนุมัติดังกล่าว     หากไม่มีหลักฐานก็ให้คงสภาพเดิมของมันไว้  นั้นคือการอนุมัติการสูบบุหรี่จึงเข้าไปอยู่ในขอบข่ายนี้
2.  ไม่ปรากฏว่าบุหรี่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้สูบทุกคนจนทำให้เราสามารถตัดสินได้ว่า  การสูบบุหรี่นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามต่อมนุษย์ทั้งหมด   เพราะการก่อให้เกิดอันตรายต่อบางคนไม่มีผลต่อการชี้ขาดที่ครอบคลุมทั้งหมด   โดยเขายกตัวอย่างว่า   น้ำผึ้งมีโทษต่อผู้เป็นโรคดีซ่านเสียเป็นส่วนใหญ่  ทั้งๆ ที่มีตัวบทชัดเจนว่ามันเป็นยารักษาโรค ดังนั้นจึงไม่อนุญาติที่บอกว่าบุหรี่ฮะรอมในตัวของมันเอง แต่ทว่าจะตัดสินว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามต่อผู้ทีสูบแล้วเกิดอันตรายต่อตัวเขาเท่านั้นโดยไม่ล่วงล้ำถึงผู้ทีไม่ได้รับโทษจาการสูบบุหรี่อันนั้น

3.  การเปรียบเทียบการสูบบุหรี่กับการกินหัวหอม- กระเทียม ถือว่าใช้ไม่ได้เพราะหัวหอมและกระเทียมมิได้ถูกห้ามในตัวของมันเองแต่ถูกห้ามเพราะสร้างความรำคาญรบกวนผู้อื่นด้วยกลื่นของมัน ดังนั้นหากการสูบบุหรี่ในที่ปลอดคนและกลิ่นควันไม่รบกวนผู้อื่นก็ถือเป็นที่อนุมัติตามหลักฐานดังกล่าว 
                          ติดตามตอนต่อไปนะครับ
                                    วัสสลาม
الفخر كل الفخر أني اشعري

ออฟไลน์ julee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ม.ค. 03, 2008, 10:24 AM »
0
  อัสสลามุอะลัยกุ้ม
      1.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบุหรี่เป็นสิ่งต้องห้าม (حرام)
      2.  กลุ่มที่กล่าวว่า  การสูบบหรี่เป็นสิ่งอนุมัติ  (مباح)
      3.  กลุ่มผู้ที่แยกข้อตัดสิน (ฮุก่ม) ตามสภาพผู้สูบ  ทัศนะนี้มิได้บอกว่า การสูบหรี่นั้นต้องห้ามอย่างเด็ดขาด  หรืออนุมัติอย่างเต็มตัว
    

     อัสสลามุอะลัยกุ้ม
2.   กลุ่มที่กล่าวว่า   การสูบบหรี่เป็นสิ่งที่อนุมัติ(مباح)  โดยอ้างหลักฐานจากอัลกรุอานและเหตุผลดังนี้

   1. หลักฐานจากอัลกรุอานได้กล่าวว่า
                    هو الذي خلق لكم مافي الارض جميعا"  البقرة29
    ความว่า   พระองค์ทรงบันดาลสรรพสิ่งในพื้นพิภพทั้งสิ้นนั้น (เป็นประโยชน์แก่) พวกเจ้าทั้งหลาย

                 โองการนี้ได้บอกถึงเนื้อแท้ของทุกๆสิ่งคือการอนุมัติ  "اباحة"  จนกว่าจะมีหลักฐานหรือตัวบทมายุติการอนุมัติดังกล่าว     หากไม่มีหลักฐานก็ให้คงสภาพเดิมของมันไว้  นั้นคือการอนุมัติการสูบบุหรี่จึงเข้าไปอยู่ในขอบข่ายนี้
2.  ไม่ปรากฏว่าบุหรี่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้สูบทุกคนจนทำให้เราสามารถตัดสินได้ว่า  การสูบบุหรี่นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามต่อมนุษย์ทั้งหมด   เพราะการก่อให้เกิดอันตรายต่อบางคนไม่มีผลต่อการชี้ขาดที่ครอบคลุมทั้งหมด   โดยเขายกตัวอย่างว่า   น้ำผึ้งมีโทษต่อผู้เป็นโรคดีซ่านเสียเป็นส่วนใหญ่  ทั้งๆ ที่มีตัวบทชัดเจนว่ามันเป็นยารักษาโรค ดังนั้นจึงไม่อนุญาติที่บอกว่าบุหรี่ฮะรอมในตัวของมันเอง แต่ทว่าจะตัดสินว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามต่อผู้ทีสูบแล้วเกิดอันตรายต่อตัวเขาเท่านั้นโดยไม่ล่วงล้ำถึงผู้ทีไม่ได้รับโทษจาการสูบบุหรี่อันนั้น

3.  การเปรียบเทียบการสูบบุหรี่กับการกินหัวหอม- กระเทียม ถือว่าใช้ไม่ได้เพราะหัวหอมและกระเทียมมิได้ถูกห้ามในตัวของมันเองแต่ถูกห้ามเพราะสร้างความรำคาญรบกวนผู้อื่นด้วยกลื่นของมัน ดังนั้นหากการสูบบุหรี่ในที่ปลอดคนและกลิ่นควันไม่รบกวนผู้อื่นก็ถือเป็นที่อนุมัติตามหลักฐานดังกล่าว 
                          ติดตามตอนต่อไปนะครับ
                                    วัสสลาม
  อัสสลามุอะลัยกุ้ม
         3. กลุ่มผู้แยกแยะข้อตัดสิน  (ฮุก่ม) ตามสภาพผู้สูบ
                ทัศนะนี้มิได้บอกว่า  การสูบบุหรี่นั้นต้องห้าม(  ฮะรอม ) อย่างเด็ดขาด หรืออนุมัติ (ฮาล้าล)  อย่างเต็มตัว   การตัดสินไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุหรี่เอง  แต่จะตัดสินจากผลที่เกิดขึ้นต่อสูบกับผู้อื่น   ดังนั้น การสูบจึงเป็นที่อนุมัติ "مباح"  ในสภาพหนึ่งและถูกห้ามในอีกสภาพหนึ่ง   บางทีระดับการห้ามอาจถึงขั้นฮะรอมหากส่งผลในทางลบอย่างรุนแรง   หากส่งผลน้อยข้อตัดสึนจะหยุดอยู่แค่น่ารังเกียจ   และในบางโอกาสการสูบบุหรี่อาจเป็นที่ต้องการ   จำเป็นต้องสูบ   สภาพดังกล่าวนี้อาจเกิดขึ้นได้ในขณะที่ไม่มีอะไรรักษาได้นอกจากบุหรี่
              الشيخ يو سف الدجوى    นักวิชาการผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งได้กล่าวว่า      การสูบบุหรี่ในสถานที่ที่มีการเรียนการสอนอัลกรุอานอยู๋ถือว่าต้องห้าม (ฮะรอม) เพราะสร้างความรบกวนและขัดกับมารยาทที่พึงปฏิบัติในการร่วมรำลึกและฟังโอการของอัลลอฮ์      ส่วนในสถานที่อื่นๆ บ้างก็ต้องห้ามบ้างก็ไม่ แต่การไม่ห้ามนั้นไม่ถึงขั้นอนุมัติ  ตามที่มีผู้กล่าวไว้

          ผมต้องการให้เราพักเรื่องข้อตัดสิน (ฮุก่ม)  ไว้ แล้วหันมาพิจารณาในจุดต่อไปนี้ก่อนคือ  เราควรสูบหรือไม่ควร   ประเด็นนี้ก็ให้เราดูผลที่เกิดขี้นต่อสังคมและส่วนตัว
                  ยังไม่จบครับ ติดตามต่อนะครับ  วัสสลาม
الفخر كل الفخر أني اشعري

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ม.ค. 03, 2008, 10:36 AM »
0

          ผมต้องการให้เราพักเรื่องข้อตัดสิน (ฮุก่ม)  ไว้ แล้วหันมาพิจารณาในจุดต่อไปนี้ก่อนคือ  เราควรสูบหรือไม่ควร   ประเด็นนี้ก็ให้เราดูผลที่เกิดขี้นต่อสังคมและส่วนตัว
                 

เห็นด้วยครับ  ^^
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ julee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ม.ค. 03, 2008, 09:24 PM »
0
   
      อัสสลามุอะลัยกุ้ม

  1. ส่วนตัว  เราได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการสูบบุหรี่   ครับผมเชื่อว่าประโยชน์มันก็มีบ้าง  เช่น ในฤดูหนาว  การสูบบุหรี่อาจทำให้เกิดความอบอุ่นต่อร่างกายได้เช่นเดียวกับการดื่มกาแฟ -ชา   ฉะนั้นเราจึงเห็นผู้ที่อยู่ในเขตอากาศหนาวชอบดื่มชา  กาแฟมากกว่าผู้อยู่ในเขตอากาศร้อน   ผมไม่ขอพูดว่าการสูบบุหรี่นั้นทำให้เปลืองเงินเพราะจากการสังเกตดูจะพบว่าทั้งผู้สูบและไม่สูบจะมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าๆกัน  และหากจะให้ผู้สูบเก็บเงินค่าบุหรี่ไว้   ก็เคยมีคำถามย้อนมาจากผู้สูบว่า  (คุณไม่สูบ  คุณเก็บเงินส่วนนี้ได้เท่าไหร่แล้ว )   แต่ผมต้องการให้เรื่องควรหรือไม่นี้ขึ้นอยู่กับตัวและใจของพวกเราเองทุกคน  เราคงรู้ตัวเองดีว่าเราสูบทำไม  และเพราะอะไรจึงทำให้เราต้องสูบ ?   แม้บุหรี่จะไม่ให้โทษทันตาเห็นหรืออาจจะไม่พบอันตรายเลยในผู้สูบคนหนึ่ง   แต่วงการแพทย์ก็ได้ยอมรับว่าบุหรี่ให้โทษต่อร่างกาย  (อันตรายที่เกิดกับผู้สูบเองนั้นคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วจึงไม่ขอกล่าวไว้ในที่นี้)   ดังนั้นตัวเราเองจึงรู้ว่าการสูบของเราควรอยู่ในข้อตัดสิน ( ฮุก่ม ) อะไร  ตั้งแต่เริ่มสูบ   เมื่อสูบแล้ว  หรือเมื่อถึงขั้นเสพติด  เราจะตัดสิน (ฮุก่ม)  ต่อตัวเราอย่างไร

          อีกประการหนึ่งที่สมควรเก็บไปคิด นั่นคือ  พ่อแม่มีความสุขหรือเปล่าเมื่อเห็นลูกๆ สูบบุหรี่  หากเรามีลูกเราจะสนับสนุนให้ลูกเราสูบหรือไม่  พ่อแม่จะเต็มใจให้เงินกับลูกหรือเปล่าเมื่อรู้ว่าลูกนำเงินนั้นไปซื้อบุหรี่ ผมขอให้พวกเราช่วยอธิบายความรู้สึกนี้กันด้วย
            ติดตามต่อไปครับยังไม่จบ

            วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 03, 2008, 10:34 PM โดย al-azhary »
الفخر كل الفخر أني اشعري

ออฟไลน์ abdulkalim bin musa

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 7
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ม.ค. 03, 2008, 10:14 PM »
0
สลามมูอลัยกุมฯ
    ทั้งที่รู้เราก็คนหนึ่งที่สูบบุหรีพยายามกับตนเองหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ อีหม่านเป็นเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ชัยชนะใดไม่ยิ่งใหญ่ เท่ากับชนะใจตนเอง
    แต่ก็เป็นแค่คำพูดปลอบใจตนเอง ณ วันนี้เราก็ยังป็นทาสของบุหรี่อยู่ เขาบอกว่ามันอยู่ที่ใจ แต่หัวใจยังไม่เชื่อมถึงอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ทำอย่างไรชัยฏอน ก็ยังอย่เคียงข้างเราอยู่
    มันค่อยกระซิบบอกเราว่าสูบไปเถอะ ควันมันละเอียดสูบแล้วคลายเครียด  มันโกหก เราก็โกหกตัวเอง โทษโน้น โทษนี้  ที่สุดเราก็หาตัวคนผิดได้แล้ว   มันก็คือตัวเราเอง
    เราจะพยายามต่อไป  ให้มันร้ไปซิว่าเราจะทำไม่ได้
                                                      อับดุลการีม บิน  มูซา  เชียงใหม่

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ม.ค. 04, 2008, 08:11 AM »
0
ตอนแรกพ่อผมสูบสามิต ต่ตอนไปเที่ยวที่อินโดนฯ เห็นบุหรี่แบล็ก(ไอที่เป็นสีดำทั้งแท่ง)ถูกกว่าเลยซื้อมา2แพ็กเลย กลิ่นหอมดีนะครับแต่ควันมันแสบจมูกกว่าสามิต เฮ้อ...หนักใจจริง
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ GeT

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 453
  • اللهم اعط منفقا خلفا
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ม.ค. 08, 2008, 12:01 AM »
0
โอ๋พี่น้องเอ๋ย !
ท่านผู้ดำรงละหมาด
ท่านผู้ดำรงอยู่ในอามั้ลอิบาดะห์
ท่านผู้อยู่ในความเที่ยงธรรม
ท่านผู้ดำรงอยู่ด้วย "ความรู้"
และท่านผู้ดำรงอยู่ด้วยความดีงาม
แต่บังเอิญ ปล่อยให้มารร้าย
เข้ามาแทรกอยู่ใน ร่องกลืบของหัวใจ
และจิตวิญญาณของท่าน
ด้วยวัตถุมีพิษเท่านิ้วก้อย
ที่พี่น้องบาทท่านได้ เสพ-สูบ "ควันพิษ"
เข้าไปทำลายถุงลมเล็ก ๆ และเนื้อเยื้อภายในปอด
ไม่พอ ควันพิษ ที่เข้าแทรกด้วยมาร้าย
ยังสร้างมลพิษ เข้าไปในลมหายใจของคนรอบข้างอีก
ไม่ว่าจะเป็น บุตรน้อย ๆ ภริยาที่ตนบอกรักนักหนา
แต่ที่จริงท่านคือคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ
เห็นแก่ความเพลิดเพลินอารมณ์ชั่วครู่ยาม
แต่มิคำนึงถึงผลสะท้อนที่จะทำลายตัวเอง
และคนรอบข้าง จะได้รับจากการทำร้ายของท่าน
ท่านน่าจะคิดดูใหม่ว่า ตามที่ท่านได้ชื่อว่าท่านดำรง
อยู่ในความดีดังกล่าวนั้น น่าจะทบทวน
และใช้วิจารนญาน "อินชาอัลลอฮ์" เราขอดุอาอ์


โดย: อาจารย์ซากิรีน บุญมาเลิศ
ไซนุลอาบีดีน บินอิสมาแอล รื่นพิทักษ์

ออฟไลน์ abu-khulus

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 76
  • Respect: -3
    • ดูรายละเอียด
Re: **++ บัญญัติอิสลามว่าด้วย “บุหรี่”++**
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: เม.ย. 14, 2010, 01:51 PM »
0
 salam
อาจเป็นกระทู้เก่าเก็บแล้วนะครับ แต่อยากแลกเปลี่ยนข้อมูล

ผมก็เข้าใจครับว่าบุหรี่นั้น มีข้อตัดสินที่แตกต่างกันของอุละมาอฺ แต่พบว่าปัจจุบัน ทัศนะขององค์กลางอิสลามหลายๆ ประเทศจะออกฟัตวาไปในทางที่บุหรี่นั้น หะรอม แม้แต่ สำนักจุฬาฯของไทย ก็ออกฟัตวาว่าบุหรี่นั้นหะรอมเช่นกัน ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะออกฟัตวาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว ส่วนหลักฐานในการตัดสินว่าหะรอม ส่วนใหญ่ใช้หลักฐานตามที่คุณ julee นำเสนอมานั้นแหล่ะครับ โดยส่วนตัวของผมเชื่อว่าที่ทัศนะของสำนักจุฬาฯ และประเทศอื่นๆ ตัดสินออกมาว่าบุหรี่หะรอม ก็เนื่องจากข้อมูลและหลักฐานงานวิจัยทางการแพทย์ ที่ยืนยันถึงส่วนประกอบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ที่พบในบุหรี่ รวมทั้งงานวิจัยที่ยืนยันว่าบุหรี่เป็นสาเหตุหลักและสาเหตุทางอ้อมของโรคร้ายแรงบางชนิด

หลายๆ ท่าน (ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ยังสูบอยู่) มักอ้างถึงคำตัดสินที่บอกว่าบุหรี่นั้นมักโระฮฺ โดยเอาไปกิยาสกับการกินหัวหอม กระเทียม สะตอ ฯลฯ ถ้าเราเอาข้อมูลปัจจุบันมาพูดกันจริง เราก็จะพบว่าการเอาบุหรี่ไปกิยาสกับการกินอาหารที่กล่าวมาข้างต้นนั้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะอาหารที่กล่าวมา (หัวหอม กระเทียม สะตอ ฯลฯ) นั้น มันเป็นไม่มีโทษอะไรต่อร่างกายของเรา ในทางตรงกันข้ามยังมีประโยชน์มากมายด้วย แต่มันมีข้อเสียคือกลิ่นที่รุนแรงสร้างความรำคาญต่อคนรอบข้าง และเป็นอุปสรรคเวลาจะทำอิบาดะฮฺบางอย่าง เมื่อนำมาเทียบกับบุหรี่ จะพบว่ามันไม่ได้มีข้อเสียแค่กลิ่นเหม็นน่ารำคาญเท่านั้น แต่มันยังเป็นพิษต่อร่างกายของเรา แถมยังเป็นอันตรายต่อคนรอบข้างอีกต่างหาก (เมื่อก่อนอาจจะกิยาสได้เพราะอุละมาอฺ ท่านยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับโทษภัยดังกล่าว แต่สำหรับอุละมาอฺปัจจุบัน คงต้องนำข้อมูลเกี่ยวกับโทษของบุหรี่มาพิจารณาด้วย)

ส่วนการที่บอกว่าร่างกายของแต่ละคนมีความต้านทานไม่เท่ากันนั้น ถามว่า เราแต่ละคนรู้หรือไม่ว่าร่างกายเราต้านทานได้แค่ไหน สูบแค่ไหนถึงไม่เป็นอันตราย สูบแค่ไหนถึงจะไม่เป็นโรค หรือถึงแก่ความตาย ผมว่าคงไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างมั่นใจหรอกครับ การเอาประสบการณ์เพียงแค่ปีสองปี มาตัดสินว่าบุหรี่ไม่เป็นอันตรายต่อฉัน มันก็ไม่ได้หมายความว่า ปีหน้าร่างกายของคุณจะยังต้านทานสารพิษที่คุณนำเข้าสู่ร่างกายของคุณได้ แล้วเรารู้หรือไม่ว่าพี่น้องของเราที่กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺแล้ว อันเนื่องมากจากโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ นั้น อาจมีบุหรี่เป็นตัวเร่งด้วยก็ได้ เพราะพบว่าบุหรี่มีผลทางอ้อมต่อโรคบางชนิดด้วย

ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายของเรา ครอบครัวและคนรอบข้างเรา ซึ่งเป็นอะมานะฮฺที่อัลลอฮฺมอบหมายให้เราดูแลอย่างดี การเลิกสูบบุหรี่ก็คือตัวเลือกที่มีน้ำหนักที่สุด

วัลลอฮูอะอฺลัม

(เป็นความเข้าใจส่วนตัว ที่ตกผลึกมาจากข้อมูลหลายส่วน ผิดพลาดอย่างไร ขอให้ผู้มีความรู้ตักเตือนด้วยครับ..วัสตัฆฟิรุลลอฮฺ)


 

GoogleTagged