salam
ได้อ่านหลายๆความเห็นแล้วทำให้มองได้หลายมุมดีค่ะ
บางครั้ง หลายๆคนมักจะเรียกร้องสิทธิต่่างๆที่ตนพึงจะได้
โดยไม่สนใจหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบน่ะค่ะ
ทั้งที่ความจริง สิทธินั้นต้องมาพร้อมกับหน้าที่
บางครั้งเลยดูเหมือน ต้องการสิทธิของตนแต่ละเลยหน้าที่น่ะค่ะ
สังคมเลยดูวุ่นวาย เพราะขาดระบบการจัดสรร การแบ่งปันซึ่งกันและกัน
บางคร้ังแค่คำว่ารักและเข้าใจห่วงใยกัน เราก็เต็มใจและสมัครใจ
ที่จะทำหน้าที่ตามสิทธิ์ที่ได้รับมอบหมายด้วยซ้ำไปค่ะ...
ซึ่งกฎระเบียบของญี่ปุ่นนั้น เขาวางเอาไว้แล้วสั่งใช้อย่างเคร่งครัดน่ะค่ะ
โทษของการฝ่าฝืนนั้นหนักมาก เราจึงไม่ค่อยเห็นข่าวเกี่ยวกับ
การข่มขืนมากนักในประเทศนี้ ทั้งที่เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องการเปิดเสรี
ในเรื่องซีนาอย่างชัดแจ้ง...เพราะว่าโทษนั้นหนักจริงๆค่ะ...ไม่มีหย่อน..
แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียทีเดียว หากที่ญี่ปุ่นเขาไม่ค่อยจะนำเสนอข่าว
ตรงรายละเอียดตรงนั้นมากนัก เพราะว่าข่่าวเหมือนดาบสองคม
อาจจะเป็นการชี้นำหนทางให้กับเด็กที่ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งได้น่ะค่ะ...
ซึ่งไม่ใช่ว่าเขาจะนำเสนอไม่ตรงกับความจริงนะคะ
เพราะข่าวที่ออกทางโทรทัศน์คือความจริง เพียงแต่ออกไม่หมดเท่านั้นเองค่ะ
เพราะเขาก็มีกฎหมายสำหรับเรื่องสื่อ มีการควบคุมสื่ออย่างเคร่งครัดเช่นกันค่ะ
ซึ่งไม่ต่างจากอิสลามเรามากนัก อิสลามเราสำหรับคนต่างศาสนิก
มักมองว่าเคร่งครัดจนเกินไป บทลงโทษก็หนักจนรับกันไม่ได้บ้าง
กฎก็มีเยอะจนยากที่มนุษย์สามัญทั่วไปจะทำได้บ้าง...ซึ่งโด่โด่คิดว่านั่นคือสิ่งที่ดี
เพราะพระเจ้าย่อมรู้ถึงจิตใจมนุษย์...กฎหมายของมนุษย์จึงใช้ปกครอง
ให้มนุษย์ให้อยู่อย่างสงบสุขไม่ได้อย่างแท้จริง....เพราะมนุษย์ก็ย่อมออกกฎ
บางกฎเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อพวกพ้องตัวเอง เพื่อให้ตัวเองพ้นภัย...
ไม่ได้คงไว้เพื่อส่วนรวมมากนักในความเป็นจริง...ผู้ลงโทษก็ยังเป็นมนุษย์ที่ย่อม
อ่อนแอและโน้มเอียงได้เสมอ...
มีสองสิ่งที่ประทับใจในดินแดนญี่ปุ่นคือ...ตอนนั้นลืมกระเป๋าสะพายเอาไว้ในห้องน้ำ
ในนั้นมีทุกอย่าง ทั้งเงิน ทั้งบัตรประจำตัว บัตรเอทีเอ็ม บัตรนักศึกษา
จนแทบจะร้องไห้ เพราะไม่ได้เสียดายตรงเงินเท่าไหร่ แต่ที่ร้อนใจ
เพราะเอกสารสำคัญเกี่ยวกับงานวิจัยที่ต้องส่งวันนั้นก็อยู่ในกระเป๋าใบนั้น
ทุกข์ไหนจะทุกข์เท่าของหายไม่มีอีกแล้วในตอนนั้น...
พอกลับไปดูก็ไม่เห็นแล้ว...ใจหาย เลยวิ่งไปที่ประชาสัมพันธ์ของห้าง
เขาก็ถามรายละเอียดยิบเลย เพื่อยืนยันว่าเราใช่ตัวจริงรึเปล่า
แล้วบอกว่ามีคนเอากระเป๋ามาคืนไว้ที่เขา...ในนั้นมีทุกอย่างครบ
แม้กระทั่งกระเป๋าเงินก็ยังอยู่...แล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้แค่โด่โด่
แต่เพื่อนคนอื่นๆเขาก็เคยทำกระเป๋าหายเช่นกัน...แต่สุดท้ายกลับไปที่เดิม
ปรากฎว่ามันยังอยู่ที่เดิมค่ะ ไม่มีใครสนใจเลยด้วยซ้ำ...ซึ่งเป็นอะไรที่
สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม ความคิดของคนญี่ปุ่น จากที่เคยมองพวกเขา
ในแง่ลบ ก็พยายามมองหาสิ่งดีๆจากประเทศนี้...
เพราะทุกที่ย่อมมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง...อยู่ที่เราจะเลือกมองด้านไหน
หากแต่ในยามที่ต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาใดๆ เราก็จำเป็นต้องมอง
ทั้งสองด้าน มองด้วยหัวใจที่เป็นธรรม ต้องพยายามเข้าไปนั่งตรงกลางใจเขา
แล้วอาจจะทำให้รู้ว่า...จิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนนั้น จริงๆแล้วก็อยากเป็นคนดี
อยากให้คนอื่นมองตัวเองว่าดี อยากเป็นที่ยอมรับของใครๆกันทั้งนั้น...
เพียงแต่สถานการณ์ต่างๆที่เผชิญอาจโน้มนำให้ทำอีกอย่างที่สวนกับจิตใต้สำนึก
นั่นก็คืออารมณ์ใฝ่ต่ำ...พอทำตามอารมณ์นั้นบ่อยๆเข้าก็จะเกิดความเคยชิน
บางคนแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรดี อะไรไม่ดี แต่เมื่อมีใครสักคนที่เปิดโอกาส
ให้เขาให้แก้ไขและปรับปรุง คอยเป็นกำลังใจให้ เชื่อใจเขาว่าเขาทำได้..
คนเขียนก็เชื่อมั่นว่าเขาจะอยากกลับมาทำดีอย่างแน่นอน...
นั่นคือมุมนึงในญี่ปุ่นที่คนเขียนสัมผัสมา...
แล้วอีกอย่างที่ทำให้ยิ้มได้เสมอก็คือ...ภาพของอาจารย์และเพื่อนๆในมหาลัย
ปกติส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะพกปิ่นโตหรือที่เขาเรียกกันว่าเบ็นโตะมาจากบ้าน
อย่างเพ่ือนๆนั้น แม่ก็จะเป็นผู้ทำให้ แม้กระทั่งบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย
ก็พกปิ่นโตมามหาลัยกัน อาจารย์มักบอกว่า อาหารที่ภรรยาทำให้น่าทานออก
ปลอดภัยด้วย เพราะว่าเขารักและหวังดีกับเรา อยากให้เราสุขภาพดี
เขาย่อมทำอาหารดีๆ คัดแต่สิ่งดีๆ ไม่มีสารพิษมาให้แน่นอน บางครั้งยังชวนให้โด่โด่
ทำอาหารไทยแล้วไปทานด้วยกันเลยค่ะ บางวันภรรยาของอาจารย์ก็จะนำปิ่นโต
มาส่งตอนเที่ยงวันบ้าง หากว่าอาจารย์ลืมเอามาในตอนเช้า...
เป็นภาพที่น่ารักสำหรับโด่โด่ไม่น้อยเลยล่ะค่ะ
พอตกเย็นก็รีบกลับ บอกว่าจะกลับไปทานอาหารฝีมือภรรยา...รึถ้าวันใด
มีสอนพวกเราจนสองสามทุ่มก็เห็นอาจารย์ทานแค่ขนมนิดหน่อย
บอกว่่าจะเก็บท้องไว้ทานกับข้าวของภรรยาที่บ้าน สงสัยคงรอแย่แล้วแน่ๆ
พวกเราก็เลยต้องรีบเคลียร์งานกันใหญ่...เพื่อนๆเองก็นานๆจะออกไปทานข้าว
นอกบ้านกัน...ปกติเขาจะกลับไปทานข้าวที่บ้านกันนะคะ
เหมือนเป็นสูตรตายตัวของคนที่นี่เลยค่ะ...บางครั้งเลยแอบคิดว่าคนญี่ปุ่นขี้งก
แต่จริงๆเขาประหยัดค่ะ เพราะเวลาเลี้ยงใครแล้ว เขาก็สุดๆนะคะ
ทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อนๆมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่่า การพกปิ่นโตมาจากบ้านนั้นสะดวก
ถึงเวลาเลิกเรียนหรือเลิกงานก็ทานได้ที่นั่นเลย ไม่ต้องวิ่งหาร้านอาหาร
ไม่ต้องรออาหารมาเสิร์ฟ...ไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถและไม่ต้องผิดหวัง
กับรสชาติอาหาร...เพราะทานของที่บ้านมาตั้งแต่เด็กก็เลยถูกปาก...
ปิ่นโตหรือเบ็นโตะของเขาจะออกแบบรูปทรงแปลกตา น่ารักๆแถมยังน่าพกด้วยค่ะ
ซึ่งจริงๆแล้วบ้านเราเองก็มีสิ่งนี้มาก่อน อย่างสมัยพ่อกับแม่ก็มีการทำปิ่นโตเช่นกัน
เพียงแต่พอเวลาผ่านไป กระแสของสังคมเลยพัดพาสิ่งดีๆเหล่านั้นให้จางหายไป
แล้วให้นิยามสิ่งเหล่านั้นใหม่ว่า ทำแล้วเชย...ล้าหลัง...ล้าสมัย...ไม่ทันโลก...
ซึ่งสำหรับคนเขียนนั้นเชื่อว่า สิ่งดีๆไม่มีคำว่าเชย อยู่ที่เราจะนำมาประยุกต์ใช้
ให้เข้ากับสมัยหรือเลือกที่จะละเลย ขว้างมันทิ้งไป...
ไม่แน่ว่าต่อไปในอนาคต...อาจจะไม่มีคำว่า"ประเทศนั้นประเทศนี้อีกแล้วก็ได้"
เพราะปัจจุบันเกิดการผสมผสานกันระหว่างกลุ่มชน เชื้อชาติ และวัฒนธรรมกัน
จนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน...มนุษย์พูดได้หลายภาษามากขึ้นทุกวัน...
ซึ่งต่อไปอาจจะเหลือแค่วัฒนธรรมเป็นจุดเด่นๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวท่่านั้น
วัฒนธรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่ร่น และร่วมใจกันสืบทอดต่อไปอย่างเคร่งครัด
และเป็นระเบียบ ไม่เอนไหวตามกระแสนิยม...ซึ่งอาจจะเหลือแค่ไม่กี่วัฒนธรรม
และหลักการปฏิบัติเท่านั้น...ซึ่งคนเขียนเชื่อหมดใจว่่าอัลอิสลาม
จะต้องกลับมายิ่งใหญ่อย่างแน่นอนโดยมิต้องสงสัยเลยล่ะค่ะ...
นั่นคือหนึ่งในมุมมองของคนเขียนเท่านั้นเองค่ะ...
ผิดพลาดประการใด โปรดชี้แนะด้วยนะคะ...
ร่ายซะยาวอีกตามเคย...อิอิ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
^_____________^