ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรจากอัล-กรอ่าน (เรื่องเบาๆแต่มีสาระไม่เบา)  (อ่าน 5648 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เด็กท่าเรือ

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • เพศ: ชาย
  • ความยำเกรงนั้น คือ กุญแจแห่งทางที่เที่ยงตรง
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • bantharua

สลามครับพี่น้อง
พอดีเป้นชาว Bloggang.com เลยเข้าไปอ่านเจอเลยเอามาฟากพี่น้องครับ

ทับทิม สมุนไพรจากอัล-กุรอาน


ทับทิม
Punica granatum Linn. Punicaceae
ชื่อสามัญ POMEGRANATE
ส่วนที่ใช้เป็นยา
เปลือกของผลที่โตเต็มที่ มีรสฝาด
ขนาดและวิธีใช้ ใช้เปลือกผลแห้ง 1 ส่วน 5 หรือ 1 ส่วน
4 ของผล ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆ รับประทาน
ครั้งละ 10-20 มิลลิลิตร วันละ 1-2 ครั้ง
หรือใช้เปลือกผลต้มกับน้ำปูนใส ดื่มแต่น้ำ
การรับประทานเช่นเดียวกับที่ใช้ฝนกับน้ำปูนใส

สรรพคุณ
ใช้สำหรับบรรเทาอาการท้องเสีย การที่เปลือกผลของทับทิมช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้
เพราะว่ามีสารแทนนิน ซึ่งเป็นสารฝาดสมาน

ลักษณะ
เป็นไม้พุ่ม แตกกิ่งก้าน โคนต้นมีกิ่งที่เปลี่ยนไปเป็นหนามยาว แข็ง
ใบ เดี่ยว แผ่นใบแคบ ขอบใบเป็นรูปขอบขนาน ยอดอ่อนเป็นสีแดง ใบออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน หรือใบออกสลับกัน หรือ ออกเป็นกระจุก 2-3 ใบ
ดอก เดี่ยว กลีบเลี้ยงหนาสีแดง จะคงทนอยู่จนเป็นผล กลีบดอกสีแดง หรือสีเหลืองอ่อน ถ้ากลีบดอกสีแดง ผลเมื่อแก่จัดจะมีเปลือกแดงปนชมพู ปนน้ำตาลเหลือง ถ้ากลีบดอกสีเหลืองอ่อน ผลแก่จัดสีเหลืองปนน้ำตาล
ผล กลมโต แล้วแต่พันธุ์ เปลือกนอกของผลหนาค่อนข้างเหนียว เปลือกด้านในสีเหลือง ภายในมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก อัดกันแน่นเต็มเปลือก แต่ละเมล็ดมีเนื้อสีชมพู หรือสีแดงลักษณะใส มีรสหวาน หวานอมเปรี้ยว ผลทับทิมเป็นผลชนิด"Balausta"

ส่วนที่ใช้ เปลือกผลแก่
สารที่สำคัญ เปลือกผลมีสารแทนนิน
ใช้บำบัดอาการ ท้องเสีย

ขนาดและวิธีการใช้
ใช้เปลือกผลประมาณ 1/4 - 1/3 ผล(กว้างประมาณ 1" ยาว 3 -4" ) ฝนกับน้ำปูนใสดื่ม หรือใช้ต้มกับน้ำปูนใสดื่มแต่น้ำวันละ 2 ครั้ง

• ใช้แก้บิด มีรายงานทางคลินิกจากจีนว่า เปลือกผลทับทิมใช้รักษาบิดชนิดมีตัว และไม่มีตัวได้ผลดี
• ใช้รักษาน้ำกัดเท้า ใช้เปลือกผลฝนกับน้ำสะอาดข้น ๆ ใช้ทาบริเวณที่น้ำกัดเท้า ทาวันละ 4-5 ครั้งจนกว่าจะหาย




น้ำทับทิม

เมล็ดทับทิม 1 ถ้วย

น้ำเชื่อม ¼ ถ้วย

น้ำต้มสุก 1 ถ้วย

เกลือป่น เล็กน้อย


วิธีทำ : เอาเมล็ดทับทิมขยำกับน้ำต้ม ให้เนื้อ หลุดจากเมล็ดมากที่สุด กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่ลงหม้อ
ตั้งไฟ 5 นาที ยกลง ใส่น้ำเชื่อม เกลือเล็กน้อย คนให้เข้ากัน และเกลือละลาย ชิมารให้ออกเปรี้ยว หวาน
และเค็มเล็กน้อย เทใส่ขวดที่ลวกน้ำร้อนแล้ว ปิดฝา น้ำไปแช่ตู้เย็นไว้ จะได้เครื่องดื่มสีชมพู ใสดื่มเย็น ๆ

ที่มา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=narok&group=12

ความมหัศจรรย์ของสมุนไพร จาก"เห็ด"

คุณค่าที่ได้รับจากเห็ด


มีรายงานจากท่านซะอีด บุตรของเซดดฺ ว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :

اَلْكَمْأَةُمِنَ الْمَنِّ وَمَاؤُهَـا شِـفَاءٌ لِلْعَيْنِ




เห็ดนั้นมีสรรพคุณดังอัลมันนฺ ( คือของหวานชนิดหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานแก่บนีอิสรออีล ) และน้ำของมันนั้นสามารถเป็นยาบำบัดโรคเกี่ยวกับสายตาได้

บันทึกโดย อัลบุคอรี 10/137
บทว่าด้วยการแพทย์ และมุสลิม (2049)
บทว่าด้วยเรื่องความประเสริฐของเห็ด




 เห็ดสามารถรักษาโรคต่างๆได้ดังนี้
1. โรคอัมพาต
2. โรคเส้นเลือดในสมองแตก
3. โรคกระเพาะอาหาร
4. ทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง
5. โรคต่อมลูกหมากโต ทำให้ปัสสาวะคล่อง
6. โรคเกี่ยวกับสายตา เช่นตาแดง, ตาฟาง, ต้อกระจก
7. ทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง
8. เห็ดหอมนั้นมีสรรพคุณลดไขมันในเส้นเลือด

วิธีทำ
1. นำเห็ดมาต้มกับน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย และนำมาดื่มทุกวัน
2. ถ้าหากนำมาประกอบอาหารให้ผสมกับน้ำมันพืช เครื่องเทศต่างๆ ทำให้อาหารนั้นมีคุณค่าสูงต่อร่างกาย
3. นำน้ำของเห็ดผสมกับยาหยอดตา มาหยอดตาสามารถรักษาโรคตาแดงได้







.................................


ขอยกรายละเอียดเรื่องเห็ด







เห็ดเป็นอาหารมหัศจรรย์


จากฤดูการเกิดก็ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ ใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆ แต่ได้จำนวนมากมายดาษดื่น ถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกธรรมชาติ พอใกล้เวลาก็มุดหายลงดิน เก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้ง คนเก็บจะต้องมีความชำนาญ รู้ลักษณะ รู้ชนิด รู้ต้นตอแหล่งกำเนิด เพราะเห็ดบางชนิดเห็นหน้าตาสวยงาม อาจกลายเป็นเห็ดมีพิษ ใครไม่รู้จริงเผลอนำไปรับประทานเป็นได้เดือดร้อนกันแน่



ปัจจุบันเห็ดที่เรานิยมรับประทานกันมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งแบบสด บรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่เห็ดตากแห้ง ความนิยมในการรับประทานมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบ และรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักด้วยกัน รวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติกันมากขึ้น ก็ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้

ในประเทศจีน และญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นน้ำแกง น้ำชา ยาบำรุงร่างกาย และยารักษาโรคต่างๆ มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดมากว่า 30 ปี ยืนยันว่าในเห็ดมีสารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิดด้วย

ในสหรัฐอเมริกาก็มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดเช่นกันได้ผลออกมายืนยันการค้นพบแบบเดียวกับชาวเอเชีย แต่สำหรับการวิจัยถึงผลการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคนั้นยังคงอยู่ในขั้นแรกๆ เท่านั้น

เห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์เพื่อการวิจัยนั้นส่วนใหญ่เป็นเห็ดชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหาร และหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหลินจือ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง (White mushroom) มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆ โดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมด ประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย

ในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอม ให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ (mega-sugar) ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคนส์ (beta-glucans) ถึง 2 ชนิด ได้แก่ lentinan และ LEM (Lentinula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย

ขณะนี้ทีมวิจัยในญี่ปุ่นกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการใช้ LEM ที่ได้จากเห็ดหอมมาบำบัดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และยังพบอีกว่า สารสกัดจากเห็ดหอมอีกตัวหนึ่ง ชื่อ eritadenine เป็นตัวช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและระดับโคเลสเตอรอลให้กับร่างกายได้อีกด้วย






หลากหลายพันธุ์เห็ดรสอร่อย

เห็ดนำมาปรุงอาหารให้อร่อยได้หลากหลายวิธี ทั้งต้มน้ำแกง ผัด ยำ ย่าง หรือทอด ที่เห็นมากในบ้านเรา ได้แก่

• เห็ดหอม มีทั้งแบบเนื้อบางและหนา คนนิยมนำเห็ดหอมตากแห้งมาปรุงอาหาร เพราะให้กลิ่นหอมมากกว่าแบบสด ซึ่งก่อนปรุงต้องลวกในน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง หรือแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ช่วยให้เนื้อเห็ดนุ่มขึ้น น้ำแช่เห็ดหอมนี้เก็บเอาไปทำเป็นน้ำสต๊อกปรุงรสอาหารได้ด้วย คนนิยมนำมาปรุงอาหารเจ เพราะเนื้อนุ่มเหนียวและกลิ่นหอมชวนกิน ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารตำรับ “อมตะ” เพราะคุณสมบัติความเป็นยาบำรุงกำลัง และบรรเทาอาการไข้หวัด การไหลเวียนเลือดไม่ดี ปวดกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย ซึ่งเห็ดหอมนี้จะให้โปรตีนได้มากกว่าเห็ดแชมปิญองถึง 2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี ซีลีเนียม และธาตุอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงกระดูกแข็งแรง ลดไขมันในเลือด และต้านโคเลสเตอรอล

•เห็ดหูหนูดำ นอกจากเห็ดหูหนูดำแล้วยังมีเห็ดหูหนูขาว เนื้อกรุบกรอบคล้ายๆ กัน แถมยังมีสีขาวน่ารับประทานมากกว่า ตามร้านเย็นตาโฟนิยมนำมาใช้แทนแมงกะพรุน หรือต้มเป็นสุกี้หรือทำยำรวมมิตรก็อร่อยไม่น้อย

• เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้าจะมีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนา และนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า จึงมักถูกจัดเป็นอาหารจานหรูเมนูจักรพรรดิ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะอาหาร เห็ดนางฟ้าและเห็ดนางรมผิวเรียบนุ่ม รสชาติก็นุ่ม นำมาปรุงได้หลายแบบทั้งผัด ชุบแป้งทอด หรือแม้แต่ย่างก็ให้รสชาติดี แต่ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้เนื้อสัมผัสหมดไป

• เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปี ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่าง ๆ

• เห็ดหลินจือ นอกจากใช้รับประทานแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส แถมยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ ลดความดันเลือด แก้ปวดศีรษะ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือดด้วย

• เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้

• เห็ดกระดุม หรือเห็ดแชมปิญอง รูปร่างกลมมน ผิวเนื้อนุ่มนวล มีให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋อง




นานาสารอาหารจากเห็ด

เห็ดเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาล และเกลือต่ำมาก แถมยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบีรวม ซีลีเนียม โปแตสเซียม และทองแดง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่ควรเลือกรับประทานเป็นประจำ


- ซีลีเนียม เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากในเห็ดแล้ว ยังมีอยู่ในธัญพืชและเนื้อสัตว์ด้วย

- โปแตสเซียม เป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ทาง FDA ของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่าการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของโปแตสเซียมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันเลือดสูง และอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในเห็ดนั้นมีโปแตสเซียมสูง และโซเดียมต่ำ การรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง 1 จานจะให้โปแตสเซียมได้พอๆ กันกับส้มหรือมะเขือเทศลูกโตๆเลยทีเดียว

- วิตามินบีรวม ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบ
ฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้ว ยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้) ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่า เนื้อแดง ถั่วลิสง และ
อะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่า การรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์

- ทองแดง เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกัน เพื่อมาช่วยเสริมการทำงานของธาตุเหล็ก

- เห็ดโคลน เป็นเห็ดหายาก รสอร่อย ที่จะมีให้รับประทานเฉพาะในหน้าฝน บางคนจึงนิยมนำมาทำเป็นเห็ดดองเพื่อเก็บไว้รับ



เนื้อหาส่วนของเห็ดนี้มาจาก http://women.sanook.com/health/foods/know_eat/knoweat_08092.php

แค่นี้ก่อนนะจะหามาฝากอีกครับ
วัสสลาม
" ท่านพึงเป็นผู้รู้ หรือผู้เล่าเรียน หรือผู้รับฟัง หรือผู้รักใคร่ (ในบุคคลเหล่านั้น)
และท่านอย่าเป็นคนที่ห้า แล้วท่านจะวิบัติอย่างแน่นอน "

ออฟไลน์ เด็กท่าเรือ

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 194
  • เพศ: ชาย
  • ความยำเกรงนั้น คือ กุญแจแห่งทางที่เที่ยงตรง
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • bantharua
ต่อครับ

กระเทียม สมุนไพรจาก อัล-กุรอาน



 กระเทียมนั้นถูกนำมาประกอบอาหารหลายชนิดด้วยกัน รสชาติของมันเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุน เป็นที่รู้จักกันมาถึง 4,500 ปีมาแล้ว

ท่านดาวูด อัลอันฏอกียฺ
กล่าวว่า: กระเทียมนั้นสามารถนำมารักษาโรคได้มากกว่าสี่สิบโรค และสามารถลดโคเลสเตอรอลนเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเส้นเลือดตีบตัน และโรคหัวใจ

ท่านอิบนิ ซีนาอฺ กล่าวว่า: กระเทียมนั้นมีประโยชน์มากมาย สามารถรักษาโรคต่างๆได้ เช่นผิวหนัง ขี้เรื้อน ตาแดง โรมาติซัม เก๋าต์ อาการไอกรน และขับเสมหะ กระเทียมนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการโดยมีโปรตีน 49 % น้ำมัน 25 %

ปัจจุบันนี้ กระเทียมถูกนำมาสกัดเป็นแคปซูลหรืออัดเม็ด โดยมีราคาแพงมาก ถ้าหากเรานำมารับประทานสดๆ มันจะได้ผลมากกว่า อินชาอัลลอฮฺ..



อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 61 ว่า
" ดังนั้นพวกเราให้ท่านได้โปรดวิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้พระองค์ ทรงผลิผลแก่พวกเราจากแผ่นดิน ผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอม "

ชื่อสามัญ : กระเทียม : Krathiam
ชื่อพฤกษศาสตร์ : อัลลิอุม ซาติวุม : Allium sativum Linn. อยู่ในวงศ์ อะมาริลลิดา ซีอี : Fam. Amaryllidaceae ชื่ออื่น ๆ หอมเตียม (ภาคเหนือ), กระเทียม (ภาคกลาง), เทียม, หัวเทียม (ภาคใต้-ปัตตานี), กระเทียมขาว (อุดรธานี), ปะเซ้ว่า (กระเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), Garlic (ชื่อภาษาอังกฤษ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : กระเทียมเป็นพืชล้มลุกประเภทผัก มีลำต้นใต้ดิน หัวกระเทียมประกอบด้วยกลีบกระเทียม ที่เกิดจากใบเลี้ยงอวบน้ำซ้อนกันแน่นบนก้านที่เป็นลำต้นใต้ดิน หัวยาวประมาณ 1-4 ซม. มีเปลือกนอกสีขาวซึ่งเป็นส่วนโคนของใบหุ้มอยู่ 2-3 ชั้น, ใบเป็นแผ่นแบนยาวและแคบคล้ายใบหญ้า ดอกติดเป็นกระจุกที่ปลายก้าน ลักษณะกลม มีกาบหุ้มเป็นจงอยยาว เล็ก อับเรณู หันหน้าออกข้างนอก รังไข่มีลักษณะรูปไข่ยาว ปลายบนเว้า ทั้งต้นกระเทียมมีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ด

กระเทียมเป็นพืชประเภทผักชนิดหนึ่ง ซึ่งมนุษย์รู้จักและนำมาใช้ประกอบเป็นอาหารกันมาช้านานกว่า 5,000 ปี จนกระทั่งปรากฎผลว่ามีสรรพคุณทางยาช่วยบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ จากประวัติศาสตร์พบว่า
ชาวอียิปต์ให้ทาสรับประทานกระเทียมทุกวันเพื่อให้เกิดกำลังในการสร้างปิรามิด ชาวบุลกาเรียเชื่อว่า เคี้ยวกระเทียมเป็นประจำทำให้ร่างกายแข็งแรง และอายุยืนถึง 100 ปี นอกจากนี้ยังมีชาวจีน กรีก ฮินดู โรมัน บาบิโลน เยอรมัน รู้จักใช้กระเทียมบำบัดอาการผิดปกติของลำไส้ เช่น ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ขับพยาธิ รักษาโรคผิวหนัง บาดแผลต่าง ๆ รักษาโรคหืด ตลอดจนการติดเชื้อทางเดินหายใจ ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย

กระเทียมสามารถรักษาโรคต่างๆดังนี้

1. แก้พิษต่างๆ ส่วนผสม: กระเทียม 5 กลีบ น้ำผึ้ง 1 แก้วเล็ก ฮับบะตุสเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาบดรวมกัน รับประทานเช้าและเย็น

2. โรมาติซัม ส่วนผสม: กระเทียม 5 กลีบ น้ำผึ้ง 1 แก้วเล็ก น้ำมันฮับบะตุสเซาดาอฺ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาบดรวมกัน แล้วทาบริเวณที่เจ็บปวด วันละหนึ่งถึงสองครั้ง เช้าและเย็น

3. สลายนิ่ว ส่วนผสม: น้ำมะนาว 1 แก้วเล็ก น้ำมันมะกอก 1แก้วเล็ก กระเทียมบดครึ่งแก้วเล็ก ผักชีฝรั่ง 1 กำมือ นำส่วนผสมทั้งหมดมาบดรวมกัน รับประทาน 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอนทุกวัน
สารอาหารจากกระเทียม : ประกอบด้วย

คาร์โบไฮเดรท 27.4 ก.
โปรตีน 3.5 ก.
ไขมัน 0.3 ก.
แร่ธาตุ (Ca,P,Fe) 18,88,15 มก,มก,ก.
ความชื้น 67.8 ก.
พลังงาน 117 แคลอรี
กากใย 0.7 ก.
วิตามิน บี1 0.24 มก.
วิตามิน บี2 0.05 มก.
วิตามิน บี4 (niacin) 0.4 มก.
วิตามิน ซี 10 มก.
วิตามิน เอ็ม (Folic a) 6.2 มคก.
Alliin -
Allicin -

ที่มาของข้อมูล:

สมพร ภูติยานันท์.2542. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย ว่าด้วยสมุนไพรกับการ
แพทย์แผนไทย.พิมพ์ครั้งที่ 3.โครงการพัฒนาตำรา สถาบันการแพทย์แผนไทย
กระทรวงสาธารณสุข ; กรุงเทพมหานคร . 448 หน้า.
" ท่านพึงเป็นผู้รู้ หรือผู้เล่าเรียน หรือผู้รับฟัง หรือผู้รักใคร่ (ในบุคคลเหล่านั้น)
และท่านอย่าเป็นคนที่ห้า แล้วท่านจะวิบัติอย่างแน่นอน "

ออฟไลน์ musalmarn

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 796
  • เพศ: ชาย
  • สักวัน... ฉันจะขี่ม้า
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
    • ชมรมศาสนศึกษา แผนกอิสลาม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
อ้างจาก: ท่านเด็กท่าเรือ
ที่มา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=narok&group=12

มาจาก บล๊อก พี่นะ (รก) นั่นเอง ^^

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
 salam

เข้ามาขุดค่ะ

เมื่อคืนนั่งฟังเทปบันทึกเสียงของอ.อิสมาแอ วิทธสุทธิปราณี
ที่โหลดจากไฟล์ในกระทู้นี้

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=2272.msg52147;topicseen#new

ท่านอ.อิสมาแอได้พูดถึงกระเทียมเอาไว้ในหัวข้อ"ชีวิตของเรา"
ท่านบอกว่าให้ทานกระเทียมวันละ3กลีบแต่ให้ทานกับอาหาร
แล้วจะช่วยรักษาโรคได้...แต่ฉันก็ยังสงสัยเกี่ยวกับกระเทียมอยู่นิดหน่อย
ไม่รู้ถามจะใคร แต่พอตื่นเช้ามาก็เข้ามาเจอกระทู้นี้เข้าพอดี
(อัลเลาะฮฺทรงชีิ้นำ ทรงเมตตายิ่ง)

ที่สงสัยเรื่องกระเทียมในหัวใจก็หายไปในทันที...แถมยังได้เพิ่มอีก...
...ความรู้เป็นของอัลเลาะฮฺ...วัลลอฮุอะอฺลัม...

ขออัลเลาะฮฺทรงตอบแทนท่านอ.อิสมาแอและผู้นำเสนอความรู้ ยาร๊อบ

วัสลามุอะลัยกุม

^___________^
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
อัรรอยฮาน (اَلرَّيْحَانُ)
อัรรอยฮาน (اَلرَّيْحَانُ ) ท่าน อิบนุ อัลก็อยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า : อัรรอยฮาน คือ พืชทุกชนิดที่มีกลิ่นหอม (ฉุน) แต่ละดินแดนเรียกชื่อต่างกัน ชาวมัฆริบ (ดินแดนตะวันตกของโลกอิสลามในแอฟริกาเหนือ) เรียกว่า อัลอาซฺ (اَلآسُ ) ซึ่งชาวอาหรับรู้จักกันว่า อัรรอยฮาน (اَلرَّيْحَانُ ) ส่วนชาวอิรักและชาม (ซีเรีย) เรียกว่า อัลฮับกุ้ (اَلْحَبْقُ )
              โดยทั่วไปแล้วอัรรอยฮาน ได้แก่ พืชจำพวก กะเพรา, โหระพา, สาระแหน่, ผักชี ฯลฯ
              *  กะเพรา  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Ocimum tenuiflorum Linn.ในวงศ์ Labiatae กลิ่นฉุน ใช้ปรุงอาหาร พันธุ์ที่กิ่งและก้านใบสีเขียวอมแดง เรียก กะเพราแดง ใช้ทำยาได้
           
 *  โหระพา  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Ocimum basilicun Linn. ในวงศ์ Labiatae ใบมีกลิ่นฉุน กินได้   
  *  สะระแหน่  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Mentha cordifolia Opiz ในวงศ์ Labiatae ใบมีกลิ่นฉุน กินได้
  *  ผักชี  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Coriandrum satirum Linn. ในวงศ์ Umbelliferae ทั้งต้นมีกลิ่น ใช้เป็นผัก เรียกว่า ผักชี ดอกเล็กสีขาว ผลกลมมีกลิ่นฉุน เมื่อแก่ใช้เป็นเครื่องเทศ, ชีฝรั่ง:  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Eryngium foetidum Linn.ในวงศ์ Umbelliferae ใบยาวรีขอบจัก กลิ่นฉุน ใช้แต่งกลิ่นอาหาร          ใน คัมภีร์อัลกุรอาน ระบุถึง อัรรอยฮาน เอาไว้ 2 แห่ง คือ ในบทอัรเราะฮฺมาน อายะฮฺที่ 12 และบทอัลวากิอะฮฺ อายะฮฺที่ 89  โดยกล่าวถึงเรื่องราวของสวนสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ) ทรงประทานให้กับผู้ศรัทธา  ซึ่งในสวนสวรรค์นั้นมี “รอยฮาน” คือพืชที่ส่งกลิ่นหอม
ในบทอัรเราะฮฺมานนั้น ระบุถึงว่า ในโลกใบนี้ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ทรงให้มนุษยชาติอาศัยอยู่ มีผลหมากรากไม้ มีต้นอินทผลัมที่มีทะลาย และเมล็ดธัญพืชที่มีเปลือก และอัรรอยฮาน คือ พืชพันธุ์ที่มีกลิ่นหอม  มีรายงานระบุว่า : ผู้ใดถูกเสนอรอยฮานให้แก่เขา เขาก็จงอย่าปฏิเสธ เพราะแท้จริง รอยฮานนั้นเบาในการถือ มีกลิ่นหอมดี  (บันทึกโดยมุสลิม)                                                                      อีกรายงานหนึ่งระบุว่า : เมื่อผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านถูกมอบอัรรอยฮานให้ ผู้นั้นก็จงอย่าปฏิเสธอัรรอยฮานนั้น เพราะมันมาจากสวนสวรรค์(บันทึกโดย อบูดาวูด และอัตติรมีซีย์)                                                   อัรรอยฮาน ชนิดที่เรียกว่า อัลอ๊าซฺ (الآس ) เป็นไม้ล้มลุกในวงศ์ Myrtacees มีความสูงถึง 2 เมตร มีกิ่งก้านสาขาที่มีตุ่มให้กลิ่นหอม  มักขึ้นอยู่ในที่โล่งเชิงเขา  และนิยมปลูกในเขตที่มีน้ำมากและริมฝั่งแม่น้ำ  กิ่งของมันจะสดอยู่เป็นเวลานาน  กล่าวกันว่า แหล่งกำเนิดเดิมของมันอยู่ในดินแดนเปอร์เซีย  ต่อมาชาวอาหรับนำมาแพร่หลายในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและในสเปน แต่ชาวอาหรับในดินแดนตะวันตก เรียกว่า อัรรอยฮาน
              ผล ของมันเรียกว่า ฮับบุลอ๊าซ อัลฮับล๊าส  ใบของมันมีน้ำมันหอมระเหยทำให้สดชื่นและไล่แมลงได้  เมื่อนำเอาใบอัลอ๊าซ (รอยฮาน) ที่แห้งมาบดและโรยที่แผลเริม จะมีผลดี และใช้ดับกลิ่นใต้วงแขนได้ดี  อัลอ๊าซยังมีสรรพคุณทำให้รากผมแข็งแรงและดำเงางาม  ผลของอัลอ๊าซ ที่เรียกว่า อัลฮับล๊าส มีสรรพคุณบรรเทาอาการเสมหะที่ปนเลือดในหน้าอกและปอด เคลือบกระเพาะอาหาร  มีประโยชน์ต่ออาการท้องเดิน  ขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการเหงือกบวมอักเสบ  ตลอดจนแก้พิษของแมงมุมและแมงป่อง
              อัลบัฆดาดีย์ ระบุว่า : การสูดดม อัลอ๊าซ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัว
              อัลฮับกุ้ (اَلْحَبْقُ – Sweet Basil) คือรอยฮานของเมืองชาม (ซีเรีย) น่าจะมีแหล่งกำเนิดเดิมในอินเดีย เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ในวงศ์ S,Labiee เป็นไม้ประดับ  มีความสูงประมาณ 50 ซ.ม. ใบสีขาวมีขอบหยัก  ดอกมีสีขาวอมแดงเล็กน้อย  นิยมใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อแต่กลิ่นของอาหาร
สรรพคุณ
อัรรอยฮาน ได้แก่ พืชจำพวก กะเพรา, โหระพา, สาระแหน่, ผักชี ฯลฯ
        *  กะเพรา  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Ocimum tenuiflorum Linn.ในวงศ์ Labiatae กลิ่นฉุน ใช้ปรุง              อาหาร พันธุ์ที่กิ่งและก้านใบสีเขียวอมแดง เรียก กะเพราแดง ใช้ทำยาได้
       *  โหระพา  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Ocimum basilicun Linn. ในวงศ์ Labiatae ใบมีกลิ่นฉุน กินได้     
        *  สะระแหน่  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Mentha cordifolia Opiz ในวงศ์ Labiatae ใบมีกลิ่นฉุน กินได้
       *  ผักชี  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Coriandrum satirum Linn. ในวงศ์ Umbelliferae ทั้งต้นมีกลิ่น ใช้เป็นผัก เรียกว่า ผักชี ดอกเล็กสีขาว ผลกลมมีกลิ่นฉุน เมื่อแก่ใช้เป็นเครื่องเทศ, ชีฝรั่ง:  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Eryngium foetidum Linn.ในวงศ์ Umbelliferae ใบยาวรีขอบจัก กลิ่นฉุน ใช้แต่งกลิ่นอาหาร            ใบกระเพรา                                                                                                                                              ใบ : ใบสดของมัน มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ซึ่งประกอบด้วย linalool และ methyl chavicol เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อนสก 1 กำมือ มาต้มให้เดือดแล้วกรองน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็กทารกให้เอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณรอบ ๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของเด็กได้ และน้ำที่เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือใช้ทาภายนอกแก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหารได้อีก สำหรับใบแห้ง ใช้ชงกินกับน้ำ แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้นสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิด และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ จะมีฤทธิ์ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ด นำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย ราก ใช้รากที่แห้แล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ                                                                                                       โหระพา                                                                                                                                              ใบและยอดอ่อน มีสรรพคุณใช้แก้ไข้ ปวดศรีษะ ขับเหงื่อ ขับลม ขับเสมหะ ขับพยาธิ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเสีย ช่วยเจริญอาหาร โดยใช้ยอดอ่อนต้มกับน้ำรับประทานเป็นชา หรือรับประทานเป็นผักสด
- เมล็ดแก่ มีสรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาระบายอ่อนๆ เพื่อแก้อาการท้องผูก โดยนำเมล็ดแก่แช่น้ำให้พองตัวเต็มที่ แล้วนำมารับประทานกับขนมหวาน หรือผสมน้ำหวานและน้ำแข็ง หรือนำเมล็ดแก่แช่น้ำให้พองตัวเต็มที่ แล้วใช้พอกแผล บรรเทาอาการฟกช้ำได้
- ใบ มีสรรพคุณใช้รักษาอาการเหงือกอักเสบ เป็นหนอง มีคำแนะนำให้บดใบโหระพาแห้งให้เป็นผง แล้วใช้ทาบริเวณที่เป็นหนอง หรืออักเสบ
- น้ำคั้นจากใบโหระพาสด มีสรรพคุณใช้บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยคั้นน้ำจากใบโหระพาสด ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอ้อย 2 ช้อน และน้ำอุ่น รับประทานวันละ 2 ครั้ง
ในกรณีใช้แก้สะอึก ให้ใช้ใบโหระพาสดหรือแห้งพร้อมขิงสดแช่ในน้ำเดือด แล้วนำน้ำที่ได้รับประทานในขณะที่น้ำยังร้อนอยู่ จะช่วยแก้อาการสะอึกได้ดีค่ะ
- น้ำมันโหระพาที่สกัดได้ สามารถนำมาใช้ฆ่ายุง และแมลงได้
ในปัจจุบันนี้ได้นำน้ำมันหอมระเหยของโหระพาไปเป็นส่วนปรุงแต่งเครื่องหอม น้ำหอม ทำโลชั่นครีม แชมพูต่างๆ และสบู่ ตลอดจนนำไปใช้ในการแต่งกลิ่นอาหารอีกหลายชนิด เช่น ลูกกวาด ซอสมะเขือเทศ ไส้กรอก เป็นต้น   
สาระแน่สาระแน่มีสรรพคุณช่วยลดอาการจุกเสียด อาการปวดท้อง ขับเหงื่อ และไล่แก๊ส ในกระเพาะอาหาร ใบสาระแหน่ยังสามรถใช้เคี้ยวเพื่อลดกลิ่นปาก และยังช่วยทำความสะอาดกระเพาะ, ลำไส้เพื่อลดการหดเกร็งได้อีก
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
ขิง (زَنْجَبِيْل)
ขิง  ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Zingiber officinale Roscoe ในวงศ์ Zingiberaceae เหง้ามีกลิ่น รสเผ็ด ใช้ประกอบอาหารและทำยาได้ ขิงแกลงหรือขิงแครงก็เรียก ชาวอาหรับเรียก “ขิง” ว่า ซันญะบีล (زَنْجَبِيْل ) เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเปอร์เซีย มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย
              ในคัมภีร์อัลกุรอาน ระบุคำว่า ซันญะบีล (زَنْجَبِيْل ) เอาไว้ 1 แห่ง ในบทอัดดะฮฺร์ อายะฮฺที่ 17 ซึ่งมีใจความว่า
               “ชาวสวรรค์จะถูกเสริฟน้ำด้วยภาชนะเครื่องดื่มที่ปนหรือเจือขิง”
               ท่านอัลกุรฏุบีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า ชาวอาหรับจะดื่มด่ำกับเครื่องดื่มที่มีขิงเจือหรือผสม เพราะให้กลิ่นหอมละมุน  ทำให้ลิ้นสะอาด และช่วยย่อยอาหารได้ดี
              อัซซันญะบีล (اَلزَّنْجَبِيْل ) – Zingiber Ginger – เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม มีอายุขัย มีลำต้นสูงประมาณ 1.5 เมตร ใบเหมือนหอกมีสีเขียวเข้ม บ้างก็ว่า ขิง มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่แหล่งผลิตจะอยู่ในเขตศูนย์สูตรของแอฟริกาและอินเดีย ชาวจีนและอินเดียรู้จักใช้ขิงเป็นยารักษาโรคและเครื่องเทศนับแต่สมัยโบราณ
สรรพคุณ
กาลิโนส กล่าวว่า : ขิงมีสรรพคุณในการให้ความร้อนสูง หากเราต้องการให้ร่างกายอบอุ่นในเวลาอันรวดเร็วก็ต้องกินขิง
               มีรายงานระบุว่า : กษัตริย์ แห่งโรมันได้เคยมอบขิงจำนวนหนึ่งให้เป็นของกำนัลแก่ท่านศาสดา (ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แล้วท่านได้แบ่งให้ผู้คนนำไปทำอาหารส่วนหนึ่ง ให้ท่านอบูสะอีด อัลคุดรีย์ (ร.ฎ) ส่วนหนึ่ง (บันทึกโดย อบูนุอัยม์ในอัฏฏิบบุนนะบะวีย์) 
ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและจะมีใยอาหารมาก
1. รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนโดยนำขิงแก่สด ประมาณ 2-3 เหง้ามาทุบพอแตกต้มกับน้ำ
2. รักษาไข้หวัด โดยนำขิงแก่สด 7 กรัม และขิงแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มเพื่อรักษาอาการ หรือใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อลดอาการไข้เนื่องจากหวัด
3. รักษาอาการไอ ขับเสมหะ โดยนำขิงสดมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้าวย ผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ
4. รักษาอาการปวดประจำเดือนในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยนำขิงแห้งประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำ ดื่มบ่อยๆ
5. แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง โดยใช้ขิงแห้งบดชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 1 ครั้ง
6. รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก โดยตำขิงสดให้ละเอียด นำกากมาพอกที่แผลเพื่อบรรเทาอาการอักเสบเป็นหนอง
7. รักษาอาการปวดฟัน โดยนำขิงแก่ทุบให้ละเอียดคั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผง พอกบริเวณที่ปวดฟัน
              ท่าน อิบนุ อัลก็อยยิม (ร.ฮ) ระบุว่า : กล่าวโดยรวมแล้ว ขิงมีประโยชน์ต่อตับและกระเพาะ น้ำขิงคั้นมีสรรพคุณบำรุงกำลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มน้ำอสุจิ และทำให้จดจำดี
              อิบนุ ซีนา กล่าวถึงสรรพคุณของขิงว่า : เพิ่มความจำ ลดอาการปวดไมเกรนและอาการคอแห้ง มีฤทธิ์ป้องกันอากาศเป็นพิษ
              อย่าง ไรก็ตาม ขิง มีส่วนประกอบที่มีรสเผ็ด  ควรรับประทานแต่พอดี  ไม่ควรรับประทานมากเกินไป  เพราะจะเป็นผลอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหารและระบบการย่อย  ขิงยังมีสรรพคุณทำให้กระปี้กระเป่า กระตุ้นการเต้นของหัวใจและระบบการหายใจ  ไล่ลม  บรรเทาอาการเจ็บกระเพาะได้ดีอีกด้วย 

ที่มา อ. อาลี เสือสมิง . พันธุ์ไม้และสมุนไพรในอัลกุรอาน :ขิง (زَنْجَبِيْل).
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
ฮับบะตุซเซาดาอ์
ฮับบะตุซเซาดาอ์ เป็นชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่ง ชาวอียิปต์เรียกว่า "ฮับบะตุลบ้าร่อกะฮ์" หรือ อัลกัมมูนอัลอัสวัด (ยี่หร่าดำ) ชาวยะมันเรียกว่า "เกาฮเฏาะฮ" ชาวอิหร่าน เรียกว่า "ชุวัยนิช" และในเมืองไทยเป็นที่รู้จักกันดีเรียกว่า "เทียนดำ" ลักษณะของมันนั้น เมล็ดสีดำคล้ายกับงา รสชาติร้อนและขมเล็กน้อย
1.  ดร. อะฮ์หมัด อัลกอฎี เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ชาวอิยปต์ ปัจจุบันอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐฟอริด้า กล่าวว่า "ท่านนำเอาฮับบะตุซเซาดาอ์กับน้ำผึ้งมาบำบัดรักษาโรคเอดส์อย่างได้ผล"
2.  ดร. อิบรอฮีม อับดุลฟัตตาฮ์ กล่าวว่า "ถ้าท่านต้องการรักษาสุขภาพของท่านให้แข็งแรงอยู่เสมอนั้น ต้องรับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นโดยการนำเอาฮับบะตุซเซาดาอ์บดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 3 กลีบ, น้ำอุ่น 1/2 แก้ว โดยนำส่วนผสมทั้งหมดบดรวมกันแล้วรับประทานท่านจะมีสุขภาพแข็งแรงด้วยการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์" 
การแพทย์สมัยก่อนนั้นนำฮับบะตุซเซาดาอ์มาเป็นส่วนประกอบในการบำบัดโรคทุกชนิดโดยอาศัยหะดีษ ซึ่งรายงานจากอบีหุร็อยเราะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุว่า แท้จริงท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า "จำเป็นสำหรับท่านทั้งหลาย คือฮับบะตุซเซาดาอ์ เพราะแท้จริงมันเป็นยาบำบัดทุกโรคเว้นแต่ความตาย"บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม                     
ประโยชน์ของฮับบะตุสเซาดาอ์นั้นมีมากมาย รับประทานทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถบำบัดรักษาได้ทุกโรค                                                                                   
อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า "มันจะทำลายทุกสิ่งตามบัญชาของพระเจ้าของมัน" (ซูเราะฮ์อัลอะฮกอฟ อายะ       ที่ 25)     
สรรพคุ  ฮับบะตุสเซาดาอ์ บำบัดรักษาโรคต่างๆ ดังนี้                                                     
1. โรคโรมาติซัม (ปวดตามข้อ) ส่วนผสม นำน้ำมันฮับบะตุซเซาดาอ์มาทาบริเวณที่เจ็บปวด พร้อมกับนำฮับบะตุซเซาดาอ์บดละเอียดผสมกับน้ำผึ้งตามต้องการแล้วรับประทานก่อนนอน               
2. โรคเบาหวาน ส่วนผสม นำเมล็ดมาบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ผักแว่นบดเป็นน้ำ 1/2 แก้ว ทับทิมบดเป็นน้ำ 1 แก้ว รากกะหล่ำปลีบดเป็นน้ำ 1 แก้ว แล้วนำมาผสมกับนมเปรี้ยว แล้วรับประทาน                                                                                                                                        
 3. โรคผมร่วง ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนชา น้ำหัวหอม 1 แก้วเล็ก น้ำมันมะกอก 1 แก้วเล็ก นำมาผสมรวมกันและชโลมบนศีรษะตอนเช้าทิ้งไว้ตอนเย็นแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น                                                                                                                                           
 4. โรคปวดศีรษะ ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์บดละเอียด ก้านพลูบดละเอียดผสมเท่าๆ กันแล้วนำมาผสมกับนมเปรี้ยว แล้วรับประทานเมื่อมีอาการปวดศีรษะแทนยาพาราเซตามอลได้ ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์                                                                                                                                       
  5. อาการนอนไม่หลับ ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับนมสดและน้ำผึ้ง 1 แก้ว ดื่มก่อนนอนพร้อมกับซิกรุลลอฮ์ อ่านดุอาอ์ก่อนนอนและอ่านอายะฮ์กุรซีย์           
  6. โรคกลาก ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์บดแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นกลาก วันละ 3 ครั้งจนกว่าจะหายขาด
 7. บาดแผลและขี้เรื้อน ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะบดละเอียดน้ำส้มสายชู 1 แก้วเล็ก น้ำกระเทียม1ช้อนชา ทาบริเวณบาดแผล                                                           
 8. โรคของสตรี และการคลอดบุตร ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ น้ำผึ้ง ดอกบาบูนิญ (ดอกไม้ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง) ผสมกันทำให้คลอดบุตรง่าย                                                     
                                 9. ปวดฟันและต่อมทอมซิลอักเสบ ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ บดผสมกับน้ำอุ่น นำมากลั้วในปากแล้วบ้วนทิ้งในขณะอักเสบ                                                                                                                10. สิว ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์บดละเอียด น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ ข้าวสาลีบดละเอียดแล้วนำมาทาทั่วใบหน้า ก่อนนอนในตอนเช้าล้างออกด้วยสบู่และน้ำอุ่น ทำติดต่อ
กันประมาณ 1 สัปดาห์     
11. โรคผิวหนัง ส่วนผสม น้ำมันฮับบะตุซเซาดาอ์ น้ำมันดอกกุหลาบ ข้าวสาลีบดตามส่วนเท่ากัน แล้วทาบริเวณที่เป็นโรคผิวหนังทุกวันจะหายขาด                                             
12. หูดและไฝ ส่วนผสม บดละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชูนำมาทาบริเวณที่เป็นหูด,ไฝ หรือกระ ทั้งเช้าและเย็น ประมาณ 1 สัปดาห์ หรือ ผักกาดหอม 1 กำมือ บดรวมกับฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วทาบริเวณที่เป็น กระ, หูด หรือไฝ จะหายขาดด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์               
13. ทำให้ใบหน้าเต่งตึง และสวยงามขึ้น ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์บดละเอียด ผสมกับน้ำมันมะกอก นำมาทาบริเวณใบหน้าโดยไม่ถูกแดดทุกวันตามที่ต้องการ           
14. ความดันโลหิตสูง ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ, กระเทียม 3 กลีบ ผสมรวมกันรับประทานทุกวัน                                                                               
15. โรคไขมันในเลือด (โคเลสเตอรอล) ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ, การเทียม 3 กลีบ, ผักชนิดใดก็ได้ 1 กำมือ, น้ำผึ้ง 1 แก้วเล็ก นำมาบดรวมกันและรับประทานเช้า-เย็น                 
16. โรคไตอักเสบ (ไตเสื่อม) ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ รับประทานทุกวัน ประมาณ 1 สัปดาห์ จะหายอักเสบด้วยการอนุมั
ติของอัลลอฮ์                 
17. สลายเม็ดนิ่ว ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 แก้วเล็ก, น้ำผึ้ง 1 แก้วเล็ก, กระเทียม 3 กลีบนำมารวมกัน รับประทานทุกวัน หลังจากนั้น ดื่มน้ำมะนาวตาม สามารถล้างไตให้สะอาด ได้                                         18ต่อมลูกหมากโต ส่วนผสม น้ำมันของฮับบะตุซเซาดาอ์ ทาบริเวณกระเพาะปัสสาวะและลูกอัณฑะ พร้อมบดฮับบะตุซเซาดาอ์กับน้ำผึ้งรับประทานทุกวันก่อนนอน     
19. ตับอักเสบ ไวรัสบี ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ, ว่านหางจรเข้ ส่วนที่เป็นวุ้น 1 อัน ผสมรวมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ รับประทานทุกวันประมาณ 2 เดือน ติดต่อกัน ท่านจะเห็นผลอย่างแน่นอนด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์                                                                                             
 20. โรคท้องมาร   ส่วนผสม ยาทาแก้ปวดฮับบะตุซเซาดาอ์, น้ำส้มสายชูผสมรวมกันแล้วทาบริเวณท้อง พร้อมกับรับประทานฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ รับประทานเช้าเย็น ประมาณ 1 สัปดาห์                                                                                                                 
  21. นิ่วในถุงน้ำดี ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ, ผักเบี้ยบดละเอียด 1/4 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 แก้ว ผสมรวมกัน รับประทานเช้า-เย็น รับประทานติดต่อกันทุกวัน จนกระทั่งอาการของท่านดีขึ้น                        22. โรคม้าม ส่วนผสม ยาทาแก้ปวดฮับบะตุซเซาดาอ์, น้ำมันมะกอก ผสมรวมกันแล้วทาบริเวณใต้ซี่โครงด้านซ้าน พร้อมกับนำฮับบะตุซเซาดาอ์ และน้ำผึ้งมารับประทานด้วย และท่านจะพบว่าหลังจากนั้น 2 สัปดาห์ติดต่อกัน ม้ามของท่านจะดีขึ้นและความกระปรี้ประเปร่าจะกลับมาสู่สภาพเดิมพร้อมกับท่านต้องสรรเสริญอัลลอฮ์                                                                                                                                                                  23. ปวดศีรษะและระบบหมุนเวียนของเลือด ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์, น้ำผึ้ง ผสมรวมกันรับประทานได้ตลอดเวลาที่ท่านต้องการ                                                                                                                                    24. โรคลำไส้ ปวดท้องจุกเสียด ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์, เครื่องเทศ, สะระแหน่, น้ำผึ้ง ผสมจำนวนเท่าๆ กัน นำมารับประทาน พร้อมกับน้ำมันฮับบะตุซเซาดาอ์ ทาบริเวณท้องประมาณไม่กี่นาทีท่านก็จะเห็นผลและหายปวดด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์                                                     
25. โรคเกี่ยวกับตา ส่วนผสม น้ำมันฮับบะตุซเซาดาอ์ หยดที่ตาทั้ง 2 ข้างก่อนนอนพร้อมกับน้ำแครอทผสมกับน้ำมันฮับบะตุซเซาดาอ์แล้วดื่มจนกว่าจะหาย                           
26. โรคอามีบา ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ, กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะเขือเทศใส่เกลือเล็กน้อย 1 แก้ว นำมาผสมรวมกัน รับประทานทุกวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ติดต่อกัน ท่านจะพบว่าหายป่วยและมีสุขภาพดีด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์                                                                 
27. เป็นหมัน ส่วนผสม มีส่วนประกอบ 3 อย่าง คือ ฮับบะตุซเซาดาอ์บด, นมสด, หัวไชเท้า ส่วนผสมเท่าๆ กัน นำมาบดรวมกันแล้วรับประทาน 1 ช้อนโต๊ะ เช้า-เย็น พร้อมมอบหมายต่ออัลลอฮ์ ถ้าหากอัลลอฮ์ประสงค์ท่านจะได้รับตามต้องการ                                                     
28. โรคมะเร็ง ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำแครอท 1 แก้วเล็ก, กระเทียม 3 กลีบ, น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกันนำมารับประทานวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 3 เดือน พร้อมกับขอดุอาอ์ และอ่านอัลกุรอ่านท่านจะพบความมหัศจรรย์ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์                                                  
 29. โรคหอบหืด ส่วนผสม นำน้ำมันฮับบะตุซเซาดาอ์ แล้วสูดดมพร้อมกับนำน้ำฮับบะตุซเซาดาอ์ทาบริเวณหน้าอกก่อนนอนทุกวัน                                                                           
 30. เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์ 1 ช้อนโต๊ะ, ไข่ไก่ 7 ฟอง, กระเทียม 3 กลีบ ผสมรวมกัน นำไปทอดหรือรับประทานสดๆ วันเว้นวัน ประมาณ 1 เดือน แล้วท่านจะพบว่าพละกำลังจะกลับมา 120 แรงม้า ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์ และจำเป็นแก่ผู้ป่วยคือ (1) เมื่อเข้าห้องน้ำปลดทุกข์แล้ว ก็อาบน้ำละหมาด (2) ขอดุอาอ์ ขณะร่วมหลับนอน   
  31. ทำให้สติปัญญาดีและความจำดีขึ้น ส่วนผสม ใบสะระแหน่ 1 กำมือ, น้ำผึ้ง, น้ำมันฮับบะตุซเซาดาอ์ 7 หยด ผสมน้ำอุ่นให้รับประทานกับชา หรือกาแฟ หรือนมสดจะทำให้ท่านเพิ่มความจำ สมองโล่ง ท่านจะพบว่าถ้าหากท่านอ่านอัลกุรอ่านจะจำดีขึ้น
32. โรคเหน็บชาส่วนผสม ฮับบะตุซเซาดาอ์บดละเอียด, น้ำส้มคั้น 1 แก้ว ดื่มทุกวัน ประมาณ 10 วัน ท่านจะเห็นผลว่า ความกระปรี้กระเปล่ากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว                     
33. เป็นโรคที่อัลลอฮ์ให้การลงโทษแก่ผู้ที่ปฏิบัติผิดประเวณี นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ได้ และจำเป็นแก่มุสลิมทุกคนต้องยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และออกห่างสิ่งที่อัลลอ์ห้าม มันจะไม่นำไปสู่ความหายนนะ     ดร.อะฮ์หมัด อัลกอฎีกล่าวว่า "ท่านนำเอาฮับบะตุซเซาดาอ์มาสกัดรักษาโรคเอดส์ และได้ผลมาแล้วด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ                                                                                                                  คุณค่าที่ได้รับจากฮับบะตุซเซาดาอ์                                                                               ฮับบะตุซเซาดาอ์นั้น ถูกผสมประสานในการรักษาโรคเป็นอย่างดีและโรคจะทุเลาอย่างน่าแปลกใจ ดังนั้น มันจึงมีประโยชน์และมีแร่ธาตุที่ร่างกายของมนุษย์ต้องการ เช่น ฟอสเฟต, ธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส, คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน และมีสารเบต้าแคโรทีน ทำปฏิกิริยาต่อต้านมะเร็ง                     
ในวงการแพทย์มุสลิมพบว่า ฮับบะตุซเซาดาอ์ นั้นเป็นยาที่มีประโยชน์มาก และสิ่งที่พวกเขามั่นใจก็คือ สิ่งที่ท่านร่อซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้บอกไว้ถึงสรรพคุณของมัน   

ที่มา มุรีด ทิมาเสน .บทความเด่น .
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 14, 2009, 05:21 PM โดย eno »
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

 salam

ยาซากัลลอฮุคอยรอนค่ะ

ว่าแต่รสชาติมันขมมั้ยคะ... ;D
คือพอได้ยินอะไรดำๆมักนึกไปถึงรสขมตลอด...อิอิ...
แต่เขาบอกว่า ของดำนั้นเป็นยา...ท่าจะจริง...
 :laugh:

วัสลามุอะลัยกุม

^_________^
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

ผู้สูงด้วยวัยบอกข้าน้อยว่า หากนำเอาเห็ดสามชนิด(เห็ดที่ไม่เป็นพิษ)มาต้มรวมกัน
ซดน้ำและเนื้อกิน...มันจะช่วยล้างพิษในร่างกายให้ค่ะ...

ข้าน้อยก็เลยนำ เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดฟางมาต้มด้วยกัน...
ไม่รู้ว่ามันล้างพิษในร่างกายให้แล้วรึยัง...
แต่ที่แน่ๆ อร่อยค่ะ อร่อย  hehe

ปล.เหตุผลหลักก็คือ ต้องการขุดกระทู้นี้ขึ้นมาน่ะค่ะ... loveit:

วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ fezoff

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 53
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
salam

เข้ามาขุดค่ะ

เมื่อคืนนั่งฟังเทปบันทึกเสียงของอ.อิสมาแอ วิทธสุทธิปราณี
ที่โหลดจากไฟล์ในกระทู้นี้

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=2272.msg52147;topicseen#new

ท่านอ.อิสมาแอได้พูดถึงกระเทียมเอาไว้ในหัวข้อ"ชีวิตของเรา"
ท่านบอกว่าให้ทานกระเทียมวันละ3กลีบแต่ให้ทานกับอาหาร
แล้วจะช่วยรักษาโรคได้...แต่ฉันก็ยังสงสัยเกี่ยวกับกระเทียมอยู่นิดหน่อย
ไม่รู้ถามจะใคร แต่พอตื่นเช้ามาก็เข้ามาเจอกระทู้นี้เข้าพอดี
(อัลเลาะฮฺทรงชีิ้นำ ทรงเมตตายิ่ง)

ที่สงสัยเรื่องกระเทียมในหัวใจก็หายไปในทันที...แถมยังได้เพิ่มอีก...
...ความรู้เป็นของอัลเลาะฮฺ...วัลลอฮุอะอฺลัม...

ขออัลเลาะฮฺทรงตอบแทนท่านอ.อิสมาแอและผู้นำเสนอความรู้ ยาร๊อบ

วัสลามุอะลัยกุม

^____

ได้ยิน อาจารย์ อิสมาเเอ บอกว่าทางวงการแพทย์ ไม่อนุญาตไห้กิน เปล่าๆ ไช่ป่ะ ต้องผสมอะไรก่อนไช่ไหม
หรือว่าสามรถที่จะกินสดๆ ได้ พอจะมีคาวมรู้ไหม natural:

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
ให้กินกระเทียมพร้อมกับข้าวค่ะท่านfezoff...

^^

ยังมีอีกสูตรหนึ่งเกี่ยวกับกระเทียมสผมกับน้ำมะนาวสด
ไว้มีเวลา อินชาอัลลอฮฺ...จะนำมาลงค่ะ...
เพราะสูตรดังกล่าวสามารถช่วยแก้ไขปัญหา
ของโรคในระบบเลือดได้น่ะค่ะ...
เนื่องจากข้าน้อยเองก็มีปัญหาเรื่องเลือดไหลเวียน
ไม่สะดวก เพราะขาดสารอาหารที่จำเป็นบางตัว
น้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน(ตกอยู่ในภาวะเลือดจางค่ะ)

^^

ปล.ตอนนี้ อยากลองกินน้ำมันจากเทียนดำ
หรือฮับบะตุซเซาดาฮฺดูค่ะ


วัสลามค่ะ
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
อัสสลามุอะลัยกุม

วันนี้ไปเที่ยวตลาดมีนบุรีกับเพื่อนรักมา...แม้จะมาอยู่กทม.เป็นปีๆแล้ว
แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ไป...เลยได้ไปหาซื้อสมุนไพรในอัลกุรอ่าน
อย่างน้ำมันฮับบะตุชเซาดาอฺมา 1 set พร้อมตัวสบู่ที่ทำจากฮับบะตุซเซาดาอฺด้วย
เนื่องจากก่อนหน้าน้ีได้ฝากเพื่อนให้ซื้อมาให้ แล้วได้นำกลับไปให้พี่ชาย
ลองกินดู ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ พี่ชายบอกว่า รู้สึกว่ามีบางอย่างในช่องท้อง
เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยเจ็บท้องบ่อยๆก็หายไป รู้สึกโล่งและเบาขึ้น...

ข้าน้อยก็เลยตั้งใจว่า รอบนี้จะซื้อไปฝากอีก...คราวนี้เลยกะจะฝากปะกับมะ
และพวกพี่ชายคนอื่นๆด้วย...เพราะหลายคนดูจะมีปัญหาสุขภาพกัน...

แล้วร้านยาสมุนไพรที่ตลาดมีนบุรียังมีสมุนไพรที่น่าสนใจอีกมากมายค่ะ
ใครที่มีโอกาสลองแวะเวียนไปดูนะคะ...เพราะข้าน้อยเป็นคนนึง
ที่มักจะมีอาการดื้อยาแผนปัจจุบัน ก็เลยหันมากินยาสมุนไพร
แม้จะให้ผลช้า แต่ว่าชัวร์ อินชาอัลลอฮฺ...แล้วก็ไม่มีผลข้างเคียงที่น่ากลัวด้วยค่ะ...


บางครั้งของฝากประเภทนี้ ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีในหมู่เครือญาติได้
อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียวค่ะ...เพราะเรารักและปรารถนาดีแก่เขา
และไม่ใช่แค่รู้สึก แต่เราได้เลือกที่จะกระทำตามความรู้สึกนั้น...
ผู้รับย่อมรับรู้ความรู้สึกของเราผ่านตัวการกระทำของเราได้...
ความสัมพันธ์อันดีจึงค่อยๆก่อเกิดขึ้นได้จากสิ่งเล็กๆน้อยๆ
เหล่านี้ค่ะ... ^^

ซึ่ง ของฝาก บางครั้งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการณ์
หรือมีราคาค่างวดมากมาย เพียงแค่เราใส่ใจในรายละเอียดของคนที่จะรับ
แล้วพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีต่อเขา...เชื่อว่า เขาจะรับรู้ถึงความรู้สึกดีๆและสิ่งดีๆที่เราตั้งใจมอบให้เขาได้ค่ะ

ดั่งที่ท่านรอซุลุ้ลลอฮฺของเราได้มอบแต่สิ่งดีๆให้กับเราด้วยความรัก
ความปรารถนาดี...เมื่อเรารับรู้ได้ เราเลยรู้สึกรักท่าน
แม้จะไม่เคยพบเจอตัวจริงๆของท่าน...


วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged