ผู้เขียน หัวข้อ: หลักการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  (อ่าน 8187 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

การปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ  เป็นอีกประเด็นที่หนึ่ง  ทีทัศนะผู้ไม่นิยมฮะดิษฏออีฟในปัจจุบันได้ทำการกล่าวหากทัศนะอื่น ๆ ว่ากระทำบิดอะฮ์  อย่างสุดโต่ง  เพื่อสนองแนวทางของตน  การเสวนาเกี่ยวกับการปฏิบัติหะดิษฏออีฟนี้  ถือว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีจิตใจกว้างและต้องการเรียนรู้ในทัศนะต่าง ๆ ของนักปราชญ์อิสลาม

والسلام

อัลอัซฮะรีย์
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 07, 2007, 12:50 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
al-azhary

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته وطيباته

بسم الله الرحمن الرحيم

หลักการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ

ท่าน อัศสัยยิด อับดุลลอฮ์ บิน อัศศิดดีก อัลฆุมารีย์ กล่าวว่า

ท่านอัลก๊อนนูญีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือตัฟซีร ฟัตหุลบะยาน และได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนไว้ในหนังสือของเขา คือ นุซุล อัลอับร๊อร บิลอิลมิลมะษูร มินัลอัดอิยะฮ์ วัลอัษการ ว่า

تساهل العلماء و تسامحوا حتى استحبوا العمل فى الفضائل و
التغريب و الترهيب بالحديث الضعيف, ما لم يكن موضوعا و إلى هذا
ذهب الجمهور, و به قال النووى, و اليه نحا السخاوى و غيره, و
لكن الصواب الذى لا محيص عنه أن الأحكام الشرعية متساوية الأقدام,
فلا ينبغى العمل بحديث حتى يصح أو يحسن لذاته أو لغيره, أو انجبر
ضعفه فترقى الى درجة الحسن لذاته أو لغيره

"บรรดานักปราชน์ได้มีการผ่อนปรน จนกระทั่งพวกเขานับว่าเป็นสุนัตกับการปฏิบัติในบรรดาอะมัลคุณงามความดี การส่งเสริมให้ทำความดีและทำให้เกรงกลัวกับสิ่งที่ต้องห้าม ด้วยหะดิษฏออีฟ ตราบใดที่มันไม่เป็นหะดิษเมาฏั๊วะ ซึ่งหลักการนี้ เป็นทัศนะของนักปราชญ์ส่วนมาก ซึ่งเป็นทัศนะที่อิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ และเป็นแนวทางของท่าน อัลหาฟิซฺ อัสศัคคอวีย์ และท่านอื่น ๆ แต่ที่ถูกต้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นก็คือ บรรดาหุกุ่มต่าง ๆ ของศาสนา(คือในสิ่งที่ฮาล้าลและหะรอม) มีระดับที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น จึงไม่สมควรปฏิบัติด้วยกับหะดิษหนึ่ง จนกระทั้งหะดิษนั้นมีความซอฮิหฺหรือหะซันด้วยตัวของมันเอง หรือเป็นหะดิษหะซันด้วยการมีหะดิษอื่นมาสนับสนุน หรือหะดิษฏออีฟที่ได้รับการสนับสนุนและถูกยกระดับให้เป็นหะดิษหะซันด้วยตัวของมันเองหรือด้วยกับหะดิษอื่น"

ดังกล่าวนี้ คือแนวทางของท่าน อัลหาฟิซฺ อบีบักร อิบนุ อัลอะรอบีย์ อัลมาลิกีย์ ที่ท่านบัดรุดดีน อัซซัรกาชีย์ ได้กล่าวถ่ายทอดทัศนะนี้ไว้ในหนังสือของเขาที่ทำการอธิบายหนังสือของท่าน อัลหะฟิซฺ อิบนุ ศ่อลาห์ และท่านอัลหาฟิซฺ อัศศ๊อคคอวีย์ ได้ถ่ายทอดไว้ในหนังสือ ฟัตหุลมุฆีษและหนังสือ อัลเกาลุลบะดีอฺ

และมันก็เป็นทัศนะคำกล่าวหนึ่งจากหลาย ๆ ทัศนะที่เกี่ยวกับประเด็นนี้ และบทสรุปที่ว่า ห้ามปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟในบรรดาหุกุ่มต่าง ๆ หรืออื่น ๆ จากมันนั้น ย่อมเป็นทัศนะที่ไร้น้ำหนัก และเป็นทัศนะที่แปลกแนวและแหวกมติของปวงปราชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์เอง ก็ยกเลิกทัศนะดังกล่าวตามที่เจ้าของหนังสือ ตันซีฮ์ อัชชะรีอะฮ์ อัลมัรฟูอะฮ์ ได้กล่าวถ่ายทอดไว้ถึงการหวนกลับของท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์ ไปยังทัศนะของนักปราชญ์ส่วนมาก ซึ่งได้ระบุสำนวนได้ว่า

"ท่าน อัลกอฏี อบูบักร อิบนุ อัลอะรอบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มะรอกี อัซฺซุลัฟ ของท่านว่า หะดิษของท่านอิบนุอับบาสที่ว่า "เมื่อคนหนึ่งจากพวกท่าน ได้ร่วมสังวาสกับภรรยาหรือทาสหญิงของเขา ก็อย่ามองไปยังอวัยวะเพศของนาง" หากแม้นว่าหะดิษนี้ไม่ได้รับการยืนยันถึงหุกุ่มมักโระฮ์ก็ตาม


و إن لم يثبت بالكراهة فالخبر الضعيف أولى عند العلماء من رأى
القياس

" แต่ทว่า หะดิษฏออีฟนั้น ย่อมดีกว่า ความเห็นในเรื่องการกิยาสตามทัศนะของปวงปราชญ์"

และนี้ก็คือทัศนะของท่าน อิบนุ อัลอะรอบีย์ ที่โน้มเองไปยังทัศนะของนักปราชญ์ส่วนมาก จากการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟที่เกี่ยวกับการการปฏิบัติคุณงามความดี และด้วยเหตุนี้ หลักการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟจึงกลายเป็นมติของปวงปราชญ์ ดังนั้น ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ประการใด ที่ท่านอัลก๊อนนูญีย์ ได้พยายามตักลีดตามท่านอิบนุอะรอบีย์ในสิ่งดังกล่าว และย่อมไร้ความหมายเช่นเดียวกันที่ท่าน อัลบานีย์ ได้ตักลีดตามทัศนะของท่านทั้งสอง

ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลอัรบะอีนว่า


اتفق العلماء على جواز العمل
بالحديث الضعيف فى فضائل الأعمال

"บรรดาปวงปราชญ์ มีความเห็นพร้องกันว่า อนุญาติให้ปฏิบัติหะดิษฏออีฟในเรื่องของคุณงามความดีได้"
ท่านอัลลามะฮ์ อิบรอฮีม อัชชิบรอคีตีย์ ได้กล่าวอธิบายคำพูดของท่านอิมามอันนะวาวีย์ คือ "บรรดาปวงปราชญ์มีความเห็นพร้องกันว่า..." ว่า ในการกล่าวถึงการเห็นพร้องของอุลามาอ์นั้น สมควรพิจารณาก่อน เพราะท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์กล่าวว่า "หะดิษฏออีฟนั้น ไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้เลย" และอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอัษการ ของท่านว่า


و ذكر الفقهاء و المحدثون أنه يجوز و يستحب العمل فى الفضائل
و الترغيب و الترهيب بالحديث الضعيف ما لم يكن موضوعا

"บรรดานักปราชญ์นิติศาสตร์อิสลามและนักปราชญ์หะดิษกล่าวว่า แท้จริง อนุญาตและสุนัตกับการปฏิบัติคุณงามความดี , ส่งเสริมให้ชอบกระทำความดี และเตือนให้เกรงกลัวด้วยกับหะดิษฏออีฟ ตราบใดที่มันไม่เมาฏั๊วะ"

และสำหรับบรรดาหุกุ่มต่าง ๆ เช่นเกี่ยวกับเรื่องหะล้าลและหะรอม หรือเรื่องการค้าขาย ก็ไม่อนุญาติให้นำมาปฏิบัตินอกจากด้วยกับหะดิษที่ซอฮิหฺ หรือหะซัน แต่การปฏิบัติสามารถเกิดขึ้นได้ในแง่ของการเผื่อป้องกันเอาไว้ เช่นเมื่อมีหะดิษฏออีฟรายงานมาเกี่ยวกับหุกุ่มมักโระฮ์ในบางประเด็นของการค้าขายหรือการแต่งงาน เพราะสุนัตทำการหลีกให้พ้นกับสิ่งดังกล่าว แต่ไม่ถึงขั้นวายิบ(จำเป็น) และประเด็นที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติในบรรดาหุกุ่มต่าง ๆ ได้นั้น คือหะดิษที่บรรดานักปราชญ์ไม่ให้การยอมรับ แต่ถ้าหากว่าได้ถูกการตอบรับแล้ว ก็สามารถเจาะจงนำมาเป็นหลักฐานที่สามารถนำมาปฏิบัติในบรรดาหุกุ่มต่าง ๆ ได้ตามที่อิมามอัช-ชาฟิอีย์ได้กล่าวไว้

ท่านโปรดเข้าใจว่า ในหนังสือ นุซุล อัลอับร๊อร นั้นได้ระบุว่า ท่านอัลก๊อนนูญีย์ได้ตักลีดตามทัศนะของท่าน อิบนุ อัลอะรอบีย์ และท่านอัลบานีย์ ก็ตักลีดตามทัศนะของท่านทั้งสอง ซึ่งทัศนะนี้ ถือว่าเป็นทัศนะที่แปลกแนว เพราะผู้วางบทบัญญัติศาสนาเอง ก็ผ่อนปรนในเรื่องคุณงามความดี ดังนั้น ท่านไม่ทราบดอกหรือว่า ได้มีการอนุญาตให้บุคคลหนึ่งทำการนั่งละหมาดสุนัต หากแม้นว่าเขาจะเป็นคนที่มีสุขภาพดีก็ตาม , และอนุญาตให้คนเดินทางทำการละหมาดสุนัตบนหลังสัตว์พาหนะได้ ซึ่งแตกต่างกับละหมาดฟัรดู

การถือศีลอดสุนัตด้วยการเหนียตหลังจากแสงอรุณขึ้นแล้ว ถือว่าใช้ได้ แต่การถือศีลอดฟัรดูจะใช้ไม่ได้ นอกจากด้วยการเหนียตในช่วงของคืน และอนุญาตให้ผู้ทำการถือศีลอดสุนัต ให้ทำการละศีลอดหรือว่าถือศีลอดให้เต็มวันก็ได้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับผู้ที่ถือศีลอดฟัรดู , และการเรียบเรียงในการทำฮัจญฺ เช่นเรียบเรียงการขว้างเสาหิน การโกนศรีษะ การตะวาฟ และการเชือดสัตว์นั้น เป็นสุนัต และท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซ๊อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถูกเกี่ยวกับผู้ที่ขัดแย้งการกับเรียบเรียงดังกล่าว ดังนั้น ท่านร่อซูลุเลาะฮ์ ซ๊อลลัลฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า "ท่านจงทำเถิด ไม่เป็นบาปแต่ประการใด"

ท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยษะมีย์ อัลมักกีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ฟุตหุลมุบีน อธิบายหนังสือ อัลอัรบะอีนของอิมามอันนะวาวีย์ และได้บ่งบอกถึงการความเห็นสอดคล้องกับปวงปราชน์ ซึ่งท่านอิบนุหะญัรได้กล่าวโต้ตอบผู้คัดค้านที่กล่าวว่า

إن الفضائل إنما تتلقى من الشارع فأثباتها بما ذكر
اختراع عبادة,
و شرع فى الدين بما لم يأذن به الله و وجه رده أن الإجماع لكونه
قطعيا تارة و ظنيا قويا أخرى لا يرد بمثل ذلك لو لم يكن عنه جواب,
فكيف و جوابه واضح إذ ليس ذلك من باب الإختراع و الشرع المذكورين
و إنما هو من باب ابتغاء فضيلة و رجائها بأمارة ضعيفة من غير ترتيب
مفسدة عليه

"บรรดาคุณงามความดีนั้น ต้องได้รับมาจากผู้บัญญัติศาสนา ดังนั้น การยืนยันได้กับหะดิษฏออีฟ เป็นการประดิษฐ์เรื่องอิบาดะฮ์ขึ้นมา และทำการบัญญัติในเรื่องศาสนาที่อัลเลาะฮ์มิได้ทรงอนุญาต" และท่านอิบนุหะญัร ได้โต้ตอบว่า "มติของปวงปราชญ์(เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ) นี้ บางครั้งเป็นเรื่องที่เด็ดขาดแน่นอนและบางครั้งคิดว่ามีน้ำหนักยิ่ง ที่ไมสามารถจะถูกปฏิเสธด้วยการกล่าวอ้างเฉกเช่นสิ่งดังกล่าว แม้หากว่าไม่มีคำโต้ตอบให้ก็ตาม ดังนั้น จะอย่างไรเล่า ในเมื่อคำตอบจริง ๆ นั้น ย่อมมีความชัดเจนแล้วว่า การปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการประดิษฐ์หรือวางบทบัญญัติขึ้นมาเอง แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นเรื่องของการแสวงหาและมุ่งหวังในความดีงาม ซึ่งสัญญานที่ฏออีฟโดยไม่มีผลเสียตามมา"

เงื่อนไขในการอนุญาตให้ปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ

1. หะดิษต้องไม่ฏออีฟมากเกินไป ซึ่งหากว่าฏออีฟเป็นอย่างมาก ก็ไม่อนุญาตให้นำมาปฏิบัติ เงื่อนไขนี้ เป็นมติสอดคล้อง ดังที่ท่าน อัลหาฟิซฺ อัลอะลาอีย์ และท่าน ตะกียุดดีน อัสศุบกีย์ ได้กล่าวไว้ ตัวอย่างหะดิษที่ฏออีฟมากๆก็คือ มีนักรายงานหะดิษที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก หรือผิดพลาดอย่างน่าเกลียด หรือหลงลืมเป็นอย่างมาก หรือความชั่วของเขาปรากฏให้เห็น และอื่นๆ

2. หะดิษฏออีฟต้องอยู่ภายใต้พื้นฐานโดยรวมจากพื้นฐานต่างๆ ของศาสนา ดังนั้น จะไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้กับหะดิษที่อยู่นอกเหนือสิ่งดังกล่าว เช่นหะดิษนั้นให้ความหมายถึงการประดิษฐ์สิ่งหนึ่งขึ้นมาเป็นหลักการหนึ่งของศาสนา

3. ต้องไม่เชื่อมั่นอย่างร้อยเปอร์เซ็นว่า การปฏิบัติดังกล่าวนั้น ได้รับการยืนยันมาจากท่านนบี(ซ.ล.) เพื่อที่จะไม่เป็นคาดการกับพาดพิงไปยังท่านนบี(ซ.ล.)กับสิ่งที่ท่านไม่ได้กล่าวไว้

สองเงื่อนไขแรกนั้น ท่าน อิซซุดดีน บิน อับดุสลาม ได้กล่าวเอาไว้ และศิษย์ของท่าน คือ ท่าน ตะกียุดดีน อิบนุ ตะกีก อัลอีด ได้กล่าวไว้เช่นกัน และจุดมุ่งหมายด้วยการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ ก็คือ "อนุญาตให้ปฏิบัติหะดิษฏออีฟได้ โดยบุคคลหนึ่งได้กระทู้สิ่งที่หะดิษฏออีฟส่งเสริม ด้วยเจตนาที่จะได้รับผลบุญจากการกระทำนั้น และหลีกห่างจากสิ่งที่หะดิษได้บอกเตือนให้ระวัง

ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ กล่าวว่า

و قد اتفقوا على أنه 
لا يعمل بالموضوع و إنما يعمل بالضعيف فى فضائل الاعمال

"บรรดาปวงปราชญ์ มีทัศนะพร้องกันว่า แท้จริงจะไม่ถูกนำมาปฏิบัติกับหะดิษฏออีฟ แต่จะถูกนำมาปฏิบัติกับหะดิษฏออีฟเกี่ยวกับเรื่องคุณงามความดี" ดู หนังสือ มิชกาฮ์ อัลมะซอบีหฺ เล่ม 3 หน้า 306

อัล-อัซฮะรีย์ ขอกล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
asan

อัล-อัซฮะรีย์ ขอกล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!

................
ตอบ

จริงๆอัลอัซฮารี ควรจะเอาขยะเหล่านี้ไปใส่กระโถนในเว็บสุนนะฮสะติวเด้นของน้องบ่าวน่าจะดีกว่า
เพราะเดี่ยวพอใครมาแย้งก็หาว่าอันธพาลอีก พยายามตั้งกระทู้เพื่อจุดชวนความขัดแย้ง ตลอด พอคนอื่นเขาแย้งก็กล่าวหาเขา อันธพาล น้องผู้อ่านทุกท่าน ถ้าเห็นว่า ห้องเสวนาสกปรกก็ควรจะแอนตี้ แล้วออกมาดีกว่า มาคุยกันในเรื่องสร้างสรรค์จะดีกว่า
เดียวให้เวลาสักพักหนึ่ง ห้องนี้เดือดแน่

------------------------------------------

786

ทำไมบัง อะสัน ไม่บอกไปหละครับว่าคำกล่าวอ้างของเจ้าของกระทู้นั้นผิดตรงไหน
มีอุลามะฮ์คนไหนบ้างที่บอกให้ทิ้งฮาดิษฎออีฟหละครับ แต่เอาคำพูดใหม่ๆบ้างนะครับ
อย่ายกคำสูงๆมาเพราะเราทุกคนเชื่อ ฮะดิษที่บังชอบยกอยู่แล้ว แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น
มันอยู่ที่ว่าเราจะมีทัศนะต่อฮะดิษเหล่านั้นอย่างไรมากกว่าครับเพราะอุลามะฮ์เขายังมีทัศนะต่างกันได้เลย
แม้แต่ในเมืองไทยในกลุ่มบังท่าน ช.กับอาจารย์ ม. ยังมีทัศนะต่างกันทั้งที่ยึดแนวเดียวกันด้วยซ้ำ(ตามความเข้าใจของผมนะครับ)

หรือถ้าบังไม่ได้คัดค้านทัศนะอุละมะฮต่างๆนาๆที่เจ้าของกระทู้ยกมา บังก็สามารถชี้แจงไปได้เลยครับ
ว่าการที่เจ้าของกระทู้พูดนั้นเป็นการใส่ร้าย บังไม่ได้ทำให้ฮะดิษฎออีฟเหล่านั้นเป็นมัวฎั๊วสักหน่อย หรือเป็นบิดอะฮ์สักหน่อย
จะได้รู้กันไปเลยครับ ว่าเจ้าของกระทู้นั้นเขาใส่ร้ายพวกบังหรือป่าวครับ แยกเป็นประเด็นๆไปนะครับ ขอบคุณครับ
------------------------------------------------

asan

ข้อความโดย: 786 (คงจะเปลี่ยนชื่อเข้ามา)
ทำไมบัง อะสัน ไม่บอกไปหละครับว่าคำกล่าวอ้างของเจ้าของกระทู้นั้นผิดตรงไหน
..........................

ผู้ตั้งกระทู้กล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!
...............
ผมถามว่า ประโยคข้างต้นคือการยั่วยุ ให้มีการตอบโต้ใช่หรือเปล่า คุณรู้ไหมตอนนี้ คนที่เข้ามาอ่าน เขาจะอ้วกแตกอยู่แล้วกับกระทู้แบบนี้ และ al-aZhary ชอบตั้งกระทู้ในลักษณะ แต่..เป็นนายดันทุรัง เพราะถ้าจะโต้ตอบกันเรื่องศาสนา นั้น ต้องมี เอาอัลกุรอ่านและ อัสสุนนะฮ เท่านั้น มาตัดสิน ดังที่อัลลอฮ ตรัสว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً
[4.59] ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังร่อซู้ลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และร่อซู้ล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง

เพราะการโต้แย้งที่อาศัยทัศนะผู้รู้เป็นมาตรฐาน โดยอ้างว่า คนนี้รุ่นเก่า คนนี้รุ่นไหม่ คนนี้มีชื่อเสียง คนนี้ยุคสลัฟ
คนนี้คนตามมากกว่า เอาสี่งเหล่านี้มาอ้าง เพื่อตีกรรเชียงเวลาจนตรอก แบบนี้ ตายไปสิบครั้ง ก็หาจุดจบไม่ได้ ถ้าจะโจมตีพวกที่ พวกคุณแค้น คือ พวกวะฮบีย์ ก็ต้องพาข้อความยั่วยุข้างต้นไปไว้ในเว็บของตัวเอง คือ เว็บ สุนนะฮสะติ้วเด้น ของพวกคุณ ............
----------------------------------------------

786

ป่าวครับผมไม่ได้เปลี่ยนชื่อคับ
ผมรออ่านกระทู้พวกนี้ก็ได้ความรู้ดีครับ
ทำให้ผมทราบว่าอุลามะฮ์เขามีทัศนะต่อเรื่องต่างๆ
ได้นำประกอบการตัดสินใจเหมือนที่บังตัดสินใจครับ
ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆเรียนคุรุ ตามมัสยิดก็รู้ว่าตามมัสฮับชาฟีอี
วันนี้มีคนมานำข้อมูลที่มาสนับสนุนตามมัสฮับชาฟีอี
ทำให้ผมได้ความรู้เพิ่ม นำมาประกอบการตัดสินใจ
ส่วนบังจะค้านยังไงก็ยกมาได้ครับปกติในเน็ตก็มีหลักฐานด้านเดียวมานานครับ
-------------------------------------

786

อ้างจากบัง asan

เพราะการโต้แย้งที่อาศัยทัศนะผู้รู้เป็นมาตรฐาน โดยอ้างว่า คนนี้รุ่นเก่า คนนี้รุ่นไหม่ คนนี้มีชื่อเสียง คนนี้ยุคสลัฟ
คนนี้คนตามมากกว่า เอาสี่งเหล่านี้มาอ้าง เพื่อตีกรรเชียงเวลาจนตรอก แบบนี้ ตายไปสิบครั้ง ก็หาจุดจบไม่ได้

ผมว่าหลายคนไม่ได้ต้องการหาจุดจบมั้งครับ แค่อยากได้ความรู้ประกอบการตัดสินใจเหมือนที่บังตัดสินใจที่จะเลือกทำหรือละทิ้งบางอย่าง
เมื่อมีคนนำความรู้มาเพิ่มก็ดีครับจะได้เปลี่ยนสิ่งที่เราทำไม่ถูกต้องอยู่ผมไม่ได้ยึดติดครับ แค่อยากศึกษา บางครั้งคนโง่ๆอย่างผม
เห็นหลักฐานบางครั้งก็ไม่อาจจะนำมาใช้ได้เลยมั้งครับ บางครั้งเห็นคนอัลกรุอ่านแปลไทยมานั้งอ่านแล้วพูดแสดงความเห็น
ต่อสิ่งที่อ่าน ก้เป็นไปได้ว่าคนแต่ละคนก็อาจจะเห็นไม่เหมือนกันก็เป็นได้ครับ ไม่งั้นจะมีเว็บตอบคำถามศาสนาทำไมครับ ถ้าเราคิดเองได้หมด
อีกอย่างมันคงไม่มีจุดจบจนกว่าเราจะตายนั้นแหละครับ เราพร้อมจะเปลี่ยนสู่สิ่งที่ดีเสมอครับ แต่อย่าลืมรักพี่น้องของเราด้วยครับ
ถ้าใครคนไหนปากจัดปากร้าย ชอบแขวะ เราก็เห็นกันอยู่ครับ เขาก็ทำร้ายตนเองทำให้ความน่าเชื่อเขาลดลงไปเองแหละครับ

ปล. แล้วเว็บนั้นผมเข้าไปครั้ง 2 ครั้งเองครับจำ url ยังไม่ได้เลยครับ ตอนนี้อยากได้ความรู้จากหลายด้านแค่นั้นเองครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ibnuturob(mode romdon)

"ถ้าจะโจมตีพวกที่ พวกคุณแค้น คือ พวกวะฮบีย์ ก็ต้องพาข้อความยั่วยุข้างต้นไปไว้ในเว็บของตัวเอง คือ เว็บ สุนนะฮสะติ้วเด้น ของพวกคุณ" จากบัง asan

ข้อความตรงนี้แหละครับที่ผมอยากให้ผู้มีความรู้ทุกคนตระหนัก การนำเสนอหลักการด้านเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดว่าถูกก็เผยแผ่ในเว็บตัวเองซักเว็บหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจว่าถ้าจะมาหาข้อมูลแนวนี้หรืออยากศึกษาด้านนี้เพื่อเปลี่ยนแนวก็มาที่นี่เลย

แต่สำหรับเว็บทั่วไปอย่างนี้จำเป็นต้องเปิดกว้างด้วยการรับฟังทัศนะทั้ง 2 ด้าน ไม่อย่างงั้นมันจะเกิดอารมณ์และควบคุมคำพูดไม่ได้ หลายครั้งเราก็ใช้คำพูดดูถูกเย้ยหยันสองแง่สองง่ามเพื่อฟาดคู่ต่อสู้ให้ล้มคว่ำลงด้วยความสะใจในความเคียดแค้นที่มีอยู่

สิ่งเหล่านี้มิใช่หรือที่ท่านนบีห้ามและเป็นนบีท่านเดียวกันที่พวกเรากำลังรายงานคำพูดของท่านอยู่เพื่อใช้ในการโต้ตอบสนทนา

เป็นไปได้งัยสำหรับคนที่มีความรู้อย่างมากแต่อีหม่านมิได้สกัดพฤติกรรมที่ท่านรซูลุลลอฮ.ตำหนิเลยหรือว่า "เรายอมซื้อสวรรค์ด้วยนรกของพระองค์ " ซึ่งทุกคนรู้ว่านี่คือแนวทางที่ผิดในการบรรลุเป้าหมายของการเป็นมุสลิม

ดังนั้นการจะสร้างอุมมะฮ.อิสลามียะฮ.จึงมิใช่แค่เพียงความรู้ที่มากมายแต่ไร้ศีลธรรมมากำหนดกรอบ *** มิใช่ความรู้ที่มากมายแต่ไร้ภาคปฏิบัติที่สัมผัสได้ *** มิใช่ความรู้ที่มากมายแต่ไร้การขอบคุณพระองค์ผู้ทรงให้ความรู้นั้นมาด้วยการนำไปใช้ที่ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ

"ขอมะอัฟผู้ที่มาอ่านนะครับ..บ่นให้ฟัง...นานๆครั้งจะได้เตือนตัวเองซักทีหนึ่ง"

จาก...พี่น้องของท่านในอิสลาม

ibnuturob(mode romdon)

ความว่า ?แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่อสัญญาณทั้งหลายของเราเท่านั้น ที่เมื่อพวกเขาถูกเตือนให้รำลึกถึงสัญญาณเหล่านั้น พวกเขาจะก้มลงสุญดและสดุดีสรรเสริญพระเจ้าของพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่หยิ่ง ผยอง สีข้างของพวกเขาจะเคลื่อนห่างจากที่นอน พลางวิงวอนของต่อพระเจ้าของพวกเขาบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เป็นเครื่องยังชีพ แก่พวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีชีวิตใดรู้สิ่งที่ถูกซ่อนไว้ สำหรับพวกเขาให้เป็นที่รื่นรมย์แก่สายตาเป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระ ทำไว้? (32:15-16)
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
aswar

อ้างจาก: ibnuturob

หลายครั้งเราก็ใช้คำพูดดูถูกเย้ยหยันสองแง่สองง่ามเพื่อฟาดคู่ต่อสู้ให้ล้มคว่ำลงด้วยความสะใจในความเคียดแค้นที่มีอยู่

อ้างจาก: al-azhary

อัล-อัซฮะรีย์ ขอกล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!

-------

ผมว่าชี้แจงกับโจมตีมันคนละอย่างกันนะครับ คนที่โดนชี้แจงคงจะยอมรับ แต่คนที่โดนโจมตีคงไม่ยอมรับนะครับ

วัสสลาม

aswar

ลืมไปจะบอกว่า เห็นด้วยกับท่าน ibnuturob อ่ะครับ เป็นนะศีฮะฮ์ให้กับทุกคนรวมถึงผมด้วย
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

จริงๆอัลอัซฮารี ควรจะเอาขยะเหล่านี้ไปใส่กระโถนในเว็บสุนนะฮสะติวเด้นของน้องบ่าวน่าจะดีกว่าเพราะเดี่ยวพอใครมาแย้งก็หาว่าอันธพาลอีก

ตอบ

บังอะสันครับ หลักการต่างๆ ของบรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามที่ผมได้นำเสนอไปนั้น ไม่ใช่ขยะ หากบังอะสันเข้ามาถกสนทนา ที่อยู่ในเชิงวิชาการอย่างแท้จริง ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าเป็นอันธพาลหรอกครับ

เป็นที่ทราบดีกว่า ปัญหาคิลาฟิยะฮ์ที่ทางพี่น้องมุสลิมกระทำอยู่นั้น ถูกกล่าวหาว่าทำบิดอะฮ์ลุ่มหลง พออ้างหะดิษไป ก็ถูกโต้กลับมาว่า หะดิษฏออีฟ ไม่ใช่หะดิษซอฮิหฺ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหุกุ่มบิดอะฮ์ก็ยังคงอยู่ ผมจึงนำเสนอหลักการปฏิบัติหะดิษฏออีฟว่าเป็นอย่างไร? เพื่อจะให้บังอะสันได้เข้าใจหลักการของทัศนะอื่นบ้าง ไม่ใช่ว่าตัลกีนไม่ใช่เป็นหะดิษซอฮิหฺ แล้วมาหุกุ่มบิดอะฮ์กับพี่น้องมุสลิมีน แบบนี้ผมไม่เห็นด้วย หากบังอะสันไม่ยอมเข้าใจหลักการปฏิบัติหะดิษฏออีฟของอีกทัศนะหนึ่ง
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
asan

อิหม่ามอิบนุตัยมียะฮ(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

ولا يجوز أن يعتمد فى الشريعة على الأحاديث الضعيفة التى ليست صحيحة ولا حسنة لكن أحمد بن حنبل وغيره من العلماء جوزوا أن يروى فى فضائل الأعمال ما لم يعلم أنه ثابت إذا لم يعلم أنه كذب ، وذلك أن العمل إذا علم أنه مشروع بدليل شرعى وروى فى فضله حديث لا يعلم أنه كذب جاز أن يكون الثواب حقاً ولم يقل أحد من الأئمة إنه يجوز أن يجعل الشىء واجباً أو مستحبا بحديث ضعيف ومن قال هذا فقد خالف الإجماع
مجموع الفتاوى 1/ 250-251

และไม่อนุญาตให้ยึดถือเอา บรรดาหะดิษเฎาะอีฟ ในเรื่อง ศาสนบัญญัติ ซึ่ง ไม่ใช่หะดิษเศาะเฮียะ และไม่ใช่หะดิษหะซัน แต่ว่า อะหมัด บุตร หัมบัล และบรรดานักวิชาการอื่นจากท่าน ,พวกเขาอนุญาต ให้รายงาน ในเรื่องที่เกี่ยวกับความประเสริฐของการงาน (ฟะฎออิลุ้ลอะอฺม้าล) ตราบใดที่เขาไม่ทราบอย่างแน่ชัด เมื่อ เขาไม่รู้ว่าเป็นหะดิษเท็จ และดังกล่าวนั้น คือการนำมาปฏิบัติ เมื่อรู้ว่าแท้จริง มัน(สิ่งนั้น)ป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้แล้ว ด้วยหลักฐานทางศาสนบัญญัติ และ เขาได้รายงาน ในประเด็นที่เกี่ยวกับความประเสริฐของมัน(ของสิ่งที่ศาสนามีบัญญัติไว้แล้ว) โดยที่ไม่รู้ว่า มันเป็นหะดิษที่เป็นเท็จ อนุญาตให้ ว่าการตอบแทนนั้น เป็นความจริง และไม่มีผู้นำคนใด กล่าวว่า อนุญาตให้กำหนดสิ่งนั้น ว่า เป็นวาญิบ หรือ เป็นมุสตะหับ(เป็นสิ่งที่ชอบให้ทำ) ด้วย(การอ้างอิง)หะดิษเฎาะอีฟ และผู้ใดกล่าวอย่างนี้ แน่นอน เขาได้ขัดแย้งกับอัลอิจญมาอฺ
- มัจญมัวะอัล-ฟะตาวา เล่ม 1 หน้า 250-251

asan

อบูบักร บิน อัลอะเราะบีย์ กล่าวว่า

بعدم جواز العمل بالحديث الضعيف مطلقاً لا في فضائل الأعمال ولا في غيرها

ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดิษเฏาะอีฟ โดยสิ้นเชิง ไม่อนุญาตในเรื่อง ฟะฎออิลุ้ลอะอฺม้าล และไม่อนุญาตในเรื่องอื่นจากนั้น - ตัดรีบุดรอวีย์ เล่ม 1 หน้า 252

ท่านอัลบานีย์ ก็ได้ถือตามทัศนะนี้ - ดู เศาะเฮียะ อัตตัรฆีบ วัต-ตัรฮีบ ในคำนำ เล่ม 1 หน้า 47-68

ตัวอย่างหะดิษเฎาะอีฟ

من صلى بين المغرب والعشاء عشرين ركعة، بنى الله له بيتاً في الجنة "

ผู้ใดละหมาดระหว่าง (ละหมาด)มัฆริบ และ อีชา 20 เราะกาอัต อัลลอฮทรงสร้างบ้านให้แก่เขาในสวรรค์ - บันทึกโดย อัลบัยฮะกีย์ด้วยสายสืบที่เฎาะอีฟ

هذا الحديث في فضائل الأعمال، والفضل هنا قوله (بنى الله له بيتاً في الجنة) هذا الفضل لا يجوز إيراده لأن أصل العمل وهو صلاة عشرين ركعة بين المغرب والعشاء لم يثبت بدليل صحيح أو حسن، فلا يجوز حينئذ أن يورد حديث ضعيف في فضله

หะดิษนี้ เกี่ยวกับเรื่อง ?ฟะฎออิลุ้ลอะอฺม้าล?(= ความประเสริฐของอะมั้ลอิบาดะฮ) فضائل الأعمال، ) คำว่า ?ความประเสริฐ ในที่นี้คือ ถ้อยคำที่ว่า ?อัลลอฮทรงสร้างบ้านให้แก่เขาในสวรรค์ ?(بنى الله له بيتاً في الجنة ความประเสริฐในที่นี้ คือ?(بنى الله له بيتاً في الجنة ไม่อนุญาตให้รายงาน เพราะต้นเรื่องของ อะมั้ล (สิ่งที่ปฏิบัติ)คือ من صلى بين المغرب والعشاء عشرين ركعة ? (ผู้ใดละหมาดระหว่าง (ละหมาด)มัฆริบ และ อีชา 20 เราะ) ไม่ปรากฏหลักฐานที่เศาะเฮียะ หรือ หะซัน รับรองไว้ ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้รายงาน หะดิษเฎาะอีฟ ที่ระบุเกี่ยวกับความประเสริฐของมัน
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
al-azhary

อ้างอิงจาก คุณibnuturob

ข้อความตรงนี้แหละครับที่ผมอยากให้ผู้มีความรู้ทุกคนตระหนัก การนำเสนอหลักการด้านเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดว่าถูกก็เผยแผ่ในเว็บตัวเองซักเว็บหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจว่าถ้าจะมาหาข้อมูลแนวนี้หรืออยากศึกษาด้านนี้เพื่อเปลี่ยนแนวก็มาที่นี่เลย

แต่สำหรับเว็บทั่วไปอย่างนี้จำเป็นต้องเปิดกว้างด้วยการรับฟังทัศนะทั้ง 2 ด้าน ไม่อย่างงั้นมันจะเกิดอารมณ์และควบคุมคำพูดไม่ได้ หลายครั้งเราก็ใช้คำพูดดูถูกเย้ยหยันสองแง่สองง่ามเพื่อฟาดคู่ต่อสู้ให้ล้มคว่ำลงด้วยความสะใจในความเคียดแค้นที่มีอยู่

ตอบ

อยางที่ผมกระผมได้บอกไปแล้วในกระทู้ "ภูมิหลังประวัติเมาลิดนบี" ว่า ผู้ที่ทำการตักเตือนอันบริสุทธิ์ใจนั้นหายากมาก เวปมุสลิมไทย ผมให้การยอมรับว่าได้มาตรฐานและเหมาะสมสำหรับคนทุกวัย เด็กก็เข้ามาชมได้ วัยรุ่นก็ดี ผู้ใหญ่ก็จะดีไม่น้อย บางคนอยากจะเข้ามาต้องการหาความรู้ที่หลากหลายรูปแบบ บางคนเข้ามาเพื่อค้นหาประวัติศาสตร์ท่านนบี(ซ.ล.) บางคนเข้ามาเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับยิว บางคนต้องการเข้ามาอ่านข่าวเกี่ยวกับแวงมุสลิม บางคนสับสนเกี่ยวกับปัญหาคิลาฟิยะฮ์ ก็สามารถเข้ามาที่เวปมุสลิมไทย โดยเข้าห้องเฉพาะกิจ (เสวนาเชิงลึก) สรุปก็คือ เวปมุสลิมไทยวาไรตี้ในเชิงวิชาการอย่างแท้จริง

ผมเข้ามาสนทนา ก็มักจะได้รับคำวิจารณ์และตำหนิมาพอสมควร นั่นก็เพราะว่าผมได้สนทนาในเชิงคัดค้านทัศนะของพี่น้องมุสลิมอีกฝ่ายหนึ่ง โดนข้อหา โอหัง เคียดแค้น ดูถูกเย้ยหยัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้สนทนาที่ใช้คำที่รุนแรงกว่าผมเสียอีกหลายเท่านั้น เช่นบอกว่า อิมามที่ทำการนิกาห์ให้บ้านเรา ส่งเสริมให้ทำซินา! ซุบหานัลลอฮ์! บอกว่าอิมามพวกนี้น่าจะนำมาเชือดกุรบาน! ซุบหานัลลอฮ์! บอกท่านชัยค์อาลี ญุมอะฮ์ เป็นพวกขายศาสนา! ซุบหานัลลอฮ์! และอื่นๆ อีก แต่กระนั้นแหละครับ การนะศิหะฮ์ ตักเตือน ไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบังอะสัน คุณ ibnuturob และท่านอื่นๆ ที่ชอบตักเตือนกระผม แบบนี้แหละครับ ที่ผมบอกว่า "การตักเตือนอันบริสุทธิ์ใจนั้นหายาก" แต่คุณ aswar คุณ i'm somebody คุณ fireyan เป็นต้น พวกเขาเหล่านี้ ตักเตือนผมโดยคุยกันส่วนตัวแบบตรงไปตรงมา อันนี้ผมชอบครับ และถือว่าบริสุทธิ์ใจด้วย ขออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทนพวกท่านครับ ยาร๊อบ

การนำเสนอข้อมูลนั้นต้อง 2 ด้าน อันนี้ถูกต้องครับ แต่การสนทนานั้นในเชิงวิชาการนั้น เราจะเสนอด้านเดียวก่อนก็ได้ และให้พี่น้องที่คัดค้านทำการนำเสนอแก้ต่างอีกด้านหนึ่ง นั่นคือเป้าหมายในการสนทนา และสิ่งที่ผมนำเสนอไปนั้น มันเป็นการกล่าวหาตรงใหน? โปรดชี้แจงมาด้วย

al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

ตัวอย่างหะดิษเฎาะอีฟ

من صلى بين المغرب والعشاء عشرين ركعة، بنى الله له بيتاً في الجنة "

ผู้ใดละหมาดระหว่าง (ละหมาด)มัฆริบ และ อีชา 20 เราะกาอัต อัลลอฮทรงสร้างบ้านให้แก่เขาในสวรรค์ - บันทึกโดย อัลบัยฮะกีย์ด้วยสายสืบที่เฎาะอีฟ

ตอบ

หะดิษนี้ เราไม่นำมาใช้ด้วยนะครับ เพราะว่าฏออีฟเกินไป และอยู่นอกเงื่อนไขที่ปราชญ์หะดิษวางเอาไว้ ซึ่งถือว่านอกประเด็น เพราะเรามีทัศนะตรงกันเกี่ยวกับหะดิษนี้

อ้างอิงจากบังอะสัน

อบูบักร บิน อัลอะเราะบีย์ กล่าวว่า

بعدم جواز العمل بالحديث الضعيف مطلقاً لا في فضائل الأعمال ولا في غيرها

ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดิษเฏาะอีฟ โดยสิ้นเชิง ไม่อนุญาตในเรื่อง ฟะฎออิลุ้ลอะอฺม้าล และไม่อนุญาตในเรื่องอื่นจากนั้น - ตัดรีบุดรอวีย์ ของอิมามอันนะวาวีย์ เล่ม 1 หน้า 252

ตอบ

และมันก็เป็นทัศนะคำกล่าวหนึ่งจากหลาย ๆ ทัศนะที่เกี่ยวกับประเด็นนี้ และบทสรุปที่ว่า ห้ามปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟในบรรดาหุกุ่มต่าง ๆ หรืออื่น ๆ จากมันนั้น ย่อมเป็นทัศนะที่ไร้น้ำหนัก และเป็นทัศนะที่แปลกแนวและแหวกมติของปวงปราชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์เอง ก็ยกเลิกทัศนะดังกล่าวตามที่เจ้าของหนังสือ ตันซีฮ์ อัชชะรีอะฮ์ อัลมัรฟูอะฮ์ ได้กล่าวถ่ายทอดไว้ถึงการหวนกลับของท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์ ไปยังทัศนะของนักปราชญ์ส่วนมาก ซึ่งได้ระบุสำนวนได้ว่า

"ท่าน อัลกอฏี อบูบักร อิบนุ อัลอะรอบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มะรอกี อัซฺซุลัฟ ของท่านว่า หะดิษของท่านอิบนุอับบาสที่ว่า "เมื่อคนหนึ่งจากพวกท่าน ได้ร่วมสังวาสกับภรรยาหรือทาสหญิงของเขา ก็อย่ามองไปยังอวัยวะเพศของนาง" หากแม้นว่าหะดิษนี้ไม่ได้รับการยืนยันถึงหุกุ่มมักโระฮ์ก็ตาม

و إن لم يثبت بالكراهة فالخبر الضعيف أولى عند العلماء من رأى القياس

" แต่ทว่า หะดิษฏออีฟนั้น ย่อมดีกว่า ความเห็นในเรื่องการกิยาสตามทัศนะของปวงปราชญ์"

และนี้ก็คือทัศนะของท่าน อิบนุ อัลอะรอบีย์ ที่โน้มเองไปยังทัศนะของนักปราชญ์ส่วนมาก จากการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟที่เกี่ยวกับการการปฏิบัติคุณงามความดี และด้วยเหตุนี้ หลักการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟจึงกลายเป็นมติของปวงปราชญ์ ดังนั้น ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ประการใด ที่ท่านอัลก๊อนนูญีย์ ได้พยายามตักลีดตามท่านอิบนุอะรอบีย์ในสิ่งดังกล่าว และย่อมไร้ความหมายเช่นเดียวกันที่ท่าน อัลบานีย์ ได้ตักลีดตามทัศนะของท่านทั้งสอง

ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลอัรบะอีนว่า

اتفق العلماء على جواز العمل بالحديث الصعيف فى فضائل الأعمال

"บรรดาปวงปราชญ์ มีความเห็นพร้องกันว่า อนุญาติให้ปฏิบัติหะดิษฏออีฟในเรื่องของคุณงามความดีได้"

ท่านอัลลามะฮ์ อิบรอฮีม อัชชิบรอคีตีย์ ได้กล่าวอธิบายคำพูดของท่านอิมามอันนะวาวีย์ คือ "บรรดาปวงปราชญ์มีความเห็นพร้องกันว่า..." ว่า ในการกล่าวถึงการเห็นพร้องของอุลามาอ์นั้น สมควรพิจารณาก่อน เพราะท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์กล่าวว่า "หะดิษฏออีฟนั้น ไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้เลย" และอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอัษการ ของท่านว่า

و ذكر الفقهاء و المحدثون أنه يجوز و يستحب العمل فى الفضائل والترغيب والترهيب بالحديث الضعيف ما لم يكن موضوعا

"บรรดานักปราชญ์นิติศาสตร์อิสลามและนักปราชญ์หะดิษกล่าวว่า แท้จริง อนุญาตและสุนัตกับการปฏิบัติคุณงามความดี , ส่งเสริมให้ชอบกระทำความดี และเตือนให้เกรงกลัวด้วยกับหะดิษฏออีฟ ตราบใดที่มันไม่เมาฏั๊วะ"
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
asan

ข้อความเมื่อ: วันนี้ เวลา 02:10ข้อความโดย: al-azhary

. ตัลกีนมัยยิดนั้น อิมามอันนะวาวีย์ ได้ยืนยันแล้วว่ามันเป็นเรื่อง فضائل الأعمال ในหนังสือ อัลมุจญฺมั๊วะของท่าน อันนี้อยู่ย่อมในประเด็น
...........
ผิดครับ เพราะ การอ่านตัลกีน เป็นรูปแบบอิบาดะฮ ที่ คุณบอกว่า เป็นสุนัต การกระทำที่มีหุกุมว่า เป็นสุนัต ต้องมีหะดิษรับรองไว้
ส่วนคำว่า فضائل الأعمال หมายถึงหะดิษที่กล่าวถึงความประเสริฐ ภาคผลของการกระทำนั้น
ท่านฮาฟิซอิบนุหะญัร ได้อธิบายถึงเงื่อนไขของการอนุญาตการนำหะดิษเฏาะอีฟมาใช้ว่า

1- أن يكون الضعف غير شديد ، فلا يعمل بحديث انفرد به أحدٌ من الكذابين أو المتهمين بالكذب أو من فحش غلطه .

2- أن يندرج تحت أصل معمول به .

3- ألا يعتقد عند العمل به ثبوته ، بل يعتقد الاحتياط .

1. ไม่เฎาะอีฟจนเกินไป ดังนั้น ไม่ปฎิบัติตามหะดิษ ที่คนคนเดียวรายงาน จากบรรดาผู้ที่โกหก หรือถูกกล่าวหาว่าโกหก หรือ มีความผิดพลาดอย่างน่าเกลียดของเขา
2. (หะดิษเฎาะอีฟนั้น)อยู่ภายใต้หะดิษหลักที่ถูกนำมาปฏิบัติอยู่แล้ว
3. ในขณะปฏิบัติ เขาจะไม่เชื่อ ถึงความแน่นอนของหะดิษ แต่ให้เชื่อในลักษณะเผื่อไว้เท่านั้น(หรือป้องกันไว้ก่อน )

หะดิษเฏาะอีฟ เป็นหะดิษที่คาดเดาเอาไว้เท่านั้น ขาดความแน่นอน อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลากล่าวว่า

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً

และแท้จริงการคาดคะเนนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่ความจริงได้

ท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

พวกท่านพึงระวัง การคาดคะเน แท้จริงการคาดคะเนนั้น เป็นคำพูดที่โกหก - มุตตะฟักอะลัญฮิ


IRF

การอธิบายเรื่องความแต่งต่างปลีกย่อยทางฟิกฮฺนั้นผมไม่หนักใจ

รวมถึงกระทู้นี้การอธิบายเรื่องหะดีษนั้นผมก็ไม่หนักใจ เพราะนักวิชาการมี 3 ทัศนะเรื่องการรับหะดีษฎออีฟ

ผมมาเศร้าใจในคำพูดที่ว่า > กลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก <

อัลลอฮุอักบัรฺ..!! พูดมาได้

ประการแรก กลุ่มวะฮาบีย์คือพวกไหน (ดูยังไงว่าเป็นวะฮาบีย์? มีกรอบอย่างไร?) ตรงนี้ถึงปัจจุบันยังไม่มีคำตอบ ..เราก็ขอข้ามไป (พอจนมุมมันก็ตอบได้แค่ พวกคุณนั่นแหละวะฮาบีย์!!) เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ต้องตอบถ้าตอบไม่ได้

ประการต่อมา ดูเหมือนอัซฮารีจะทำให้ชื่อวะฮาบีย์เป็นชื่อที่เสียหาย และจับยัดคนที่ไม่เอาบิดอะฮฺและบอกทุกบิดอะฮฺนั้นหลงผิด ว่าเป็นพวกชื่อ วะฮาบีย์ (เพื่อจะได้ให้พวกพ้องตนเองนั้นทำบิดอะฮฺได้ต่อไป และสิ่งอุตริกรรมคงอยู่ต่อไปอย่างที่คนเข้าใจว่าเป็นความถูกต้อง และกลายเป็นว่าคนไม่ทำบิดอะฮฺนั้นหลายเป็นพวกชั่วที่ กลายเป็นวะฮาบีย์ไป) การยกประเด็นเรื่องหะดีษมาลิงค์กับประเด็นบิดอะฮฺ เพราะดูเหมือนจะเป็นสิ่งใหม่ที่คนไทยบ้านเรายุคนี้ได้ยิน ..เมื่อก่อนไม่มีหรอกครับ ที่โต๊ะครูจะสอนชาวบ้านว่าอันนั้นหะดีษซอเอี้ยะฮฺนะ อันนี้ฎออีฟนะ มีแต่สอนให้ทำๆๆอย่าเดียว อย่าว่าแต่หะดีษฎออีฟเลย คำว่าหะดีษหรือซุนนะฮฺ ชาวบ้านเมื่อก่อนเขาก็ไม่สน (รู้แต่คำว่า สุนัต ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้) สนแต่ว่าทำไปอย่างเดียว สาจะดี สาจะได้บุญ

แต่ปรากฏว่าแค่นำมาลิงค์ให้น้ำขุ่นยังไม่พอ ยังมีการกล่าวหาใส่ร้ายชื่อวะฮาบีย์(เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่ามันพวกไหน) แล้วก็สร้างเรื่อง(สมมุติ)ให้ตัวเองเกลียดแล้วก็กล่าวหาร้ายใส้ร้ายว่ากลุ่มนี้เป็นตัวชั่วร้ายต่างๆนานา .. นี่ยังไม่พอ กระทู้นี้ยังไปหาว่าเขาเป็นพวกทำให้หะดีษฎออีฟตกอยู่ในสถานะหะดีเมาฎูอฺ ..มาชาอัลลอฮฺ!!

นี่วันกิยามะฮฺไม่คิดว่าจะต้องถูกสอบสวนหรือครับ? หรือคิดเพียงว่า ทำยังไงก็ได้ให้ระบายนัฟซู(ที่มีอคติกับคนหรือกลุ่มคน) หรือทำยังไงก็ได้ให้พิธีกรรมบิดอะฮฺขิงตนเองอยู่รอด ทำยังไงก็ได้ให้กลุ่มพวกพ้องของตน ของอาจารย์ โรงเรียนตน ที่ทำๆกันอยู่รอดในดุนยา?? จะกล่าวหาใส่ไคล้ผู้อื่นยังไงก็ได้ เพราะกิยามะฮฺไม่สน??

คุณกล้าสาบานต่ออัลลอฮฺไหมล่ะครับ ว่าคำกล่าวที่คุณพูด เป็นความจริง ว่า 1. วะฮาบีย์เป็นกลุ่มที่ทำให้หะดีษฎออีฟเป็นสถานะหะดีษเมาฎูอฺ
2. กลุ่มวะฮาบีย์เป็นผู้ทำให้ บิดอะฮฺกลายเป็นหุก่มลุ่มหลง ว่าง่ายๆคือจริงๆแล้วไม่ใช่ พวกวะฮาบีย์ตีความมั่ว ....
(ให้ตกลงกันให้เข้าใจว่า วะฮาบีย์ย่อมนับแต่ยุค อิบนุ อับดุลวะฮาบเป็นต้นมา ก่อนหน้ายุคนั้น ไม่มีวะฮาบีย์
..นั่นหมายรวมว่าก่อนหน้าวะฮาบีย์ ไม่มีผู้ที่ทำให้บิดอะฮฺเป็นหุก่มลุ่มหลง? ..ถูกไหมครับ?)

อย่าลืมสาบานต่ออัลลอฮฺต่อหน้าสาธารณะให้พวกเรารับทราบด้วยนะครับว่า ที่คุณพูดมาประโยคข้างต้นนั้นพูดจริง ไม่ได้ใส่ไคล้!!

ส่วนทีนี้จะจี้ให้จมมุมแล้วครับ (บอกไต๋ให้เลยตรงๆ)

ขอถามหน่อยนะครับ สำหรับคนที่ชื่อ อ.มุรีด ทิมะเสน ..อยากทราบว่าคุณอัซฮารีจัดว่า อ.มุรีด ทิมะเสน เป็นวะฮาบีย์หรือไม่ครับ? (ตามการจัดหมวดหมู่ของคุณ)
ถามแค่นี้ครับ ตอบด้วย (รู้ว่าคุรจะอธิบายและเถียงให้ขุ่น แต่ไม่เป็นไรครับ ผมทำให้น้ำตกตะกอนเป็น ตอบมาเถอะ)
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
นูรุ้ลอิสลาม

ไออาเอฟได้ตั้งกระทู้ไปเวปมรดกว่า พวกเราโจมตีวะฮาบีย์กันเป็นทีม แต่อัลฟารูกเข้าไปแหกตากลุ่มวะฮาบีย์ที่เฝ้าที่อยู่เวปมรดกว่า "บางทีคนที่สนทนาเฉียบคมนั้นอาจจะเป็นคนๆ เดียวก็ได้" คุณอะสันและไออาเอฟโดยแหกตาเชื่อเข้าเต็มเป้าและโวยวายต่างๆ นาๆ อ้างโน้นอ้างนี่ บอกว่าไอพีเดียวกันบ้าง ที่ทั้งเราเคยบอกไปแล้วว่า บ้านเราอยู่ใกล้กัน บางทีเล่นคอมพ์ร้านเดียวกัน ไอพีมันก็เหมือนๆ กัน แต่อย่างว่าแหละครับ ผมมันสนทนาแบบดุไปหน่อย เลยถูกบ่นจากอัซฮะรีย์ ผมก็เลยเปิดโอกาสให้อัซฮะรีย์เข้ามาสนทนาเองอย่างเต็มที่ไปเลย โดยที่ผมขี้เกียจเข้ามาสนทนาร่วม เพราะเกรงว่าอัซฮะรีย์จะเสียระบบการสนทนาตามที่เขาต้องการ แต่ผมคิดว่าอัซฮะรีย์คนเดียว วะฮาบีย์ก็วุ่นวายและสะเทือนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ไออาเอฟบอกว่า วิชาการของพวกเราพอๆกัน จึงเหมาว่าเป็นคนๆเดียวกัน...ทั้งที่จริงๆ แล้วนักเรียนอียิปต์เขาเก่งๆ กันก็หลายคน เช่นคุณ tusee asnawe (เวปมุสลิมไทย) "คนขายหนังสือ" "เป็นธรรมกับเขาหน่อย" (จากเวปมุรีด) ซึ่งพวกเขามีความรู้กันทั้งนั้นแหละ แต่ตอนนี้ ผมไม่เห็นเขาเข้ามา สงสัยว่าพวกเขาคิดแบบผมที่บอกว่า ให้อัซฮะรีย์จัดการไปคนเดียว และคุณ aswar อีกท่านหนึ่งที่เก่งเหมือนกัน วะฮาบีย์บางคนเข้าใจว่า ทำไมพวกเราถึงสนทนาแนวทางที่คล้ายๆ กัน ความจริงผมเข้ามาแรกๆ นั้นสนทนาเรี่ยราด ไม่เป็นระเบียบ เว้นวรรคไม่สวย จึงถูกแนะนำมาว่า ให้สนทนาแบบเรียบร้อย เพื่อจะได้น่าอ่าน และผู้อ่านจะได้ไม่เบื่อ ผมก็พยายามกระทำตามนั้น และก็ได้ผลครับ ผมเองจะเข้ามาจัดการกับ กระทู้ "ใครกันที่เรียกพวกเขาว่าวะฮาบีย์?" แต่อัซฮะรีย์เขาไม่ต้องการให้สนทนา กลัวจะทำให้เสียบรรยากาศไปมากกว่านี้ ผมก็เลยอยู่แบบสบายๆ ดีกว่า

วันนี้ไออาเอฟเข้ามาแบบหน่อมแน้ม บอกว่าเศร้าใจคำพูดที่อัซฮะรีย์ที่ว่า " > กลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก < ผมไม่ทราบว่าไออาเอฟทำตัวเศร้าใจกับเขาเป็นหรือด้วยหรือ? แล้วสิ่งที่ไออาเอฟเคยพูดอร่อยอารมณ์ตัวเองในเวปมุสลิมไทยนั้น คุณไม่เศร้าใจบ้างหรือ? ไปบอกว่า ท่านชัยค์ อลี ญุมะฮ์ ขายศาสนา บรรดาอิมามที่นิกะหฺให้ส่งเสริมทำซินา ?? พอพูดแบบนี้ ไออาเอฟกระริกกระรี้ วี๊ดว้าย สนุกปาก แต่เวลาอัซฮะรีย์ พูดเข้าบ้าง ไออาเอฟทำเป็น ให้ท่า เศร้าใจ หอ่อยเหยื่อ ให้ผู้อ่านเห็นใจ ว่าแนวทางของฉันถูกใส่ร้าย ฮ่า ฮ๋า กลับกลอกแท้ๆ

พอพูดคำว่าวะฮาบีย์ ไออาเอฟจะท้วงติงมาทันทีว่า "กลุ่มใหน?" ตัวเองไม่ยอมรับ แต่เวลาถูกเอ่ยชื่อวะฮาบีย์ ทำตัวเหมือนน้ำร้อนลวก ผู้อ่านเขาก็รู้ว่า ใครคือวะฮาบีย์ ก็คนที่กินปูนร้อนท้องนั่นไงล่ะ ฮ่า ฮ่า

ไออาเอฟพยายามดิ้นให้ตัวเองหลุดออกจากคำพูดของอัซฮะรีย์ที่เฉียบคมว่า

"ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!"

อธิบายคำพูดของอัซฮะรีย์ที่ผมเข้าใจ

อัลอัซฮะรย์พยายามพูดถึง เรื่องหะดิษฏออีฟ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องของศาสนา ซึ่งแน่นอนว่า หากเรื่องศาสนานั้น วะฮาบีย์เชื่อว่า มีบิดอะฮ์ชนิดเดียว คือ ลุ่มหลง เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตุได้ว่า วะฮาบีย์ไม่ยอมรับในเรื่องหะดิษฏออีฟ พอพี่น้องมุสลิมอ้างหลักฐานหะดิษฏออีฟ วะฮาบีย์ไม่ยอมรับ และยกหุกุ่มประเด็นคิลาฟิยะฮ์นั้นว่า เป็นบิดอะฮ์ แม้กระทั้งมีหะดิษฏออีฟมาอ้างตามทัศนะของเราแล้ว วะฮาบีย์ยังไม่ยอมรับผ่อนปรนในทัศนะของเรา โดยย้ำว่ามันเป็นบิดอะฮ์ เพราะไม่มีหะดิษซอฮิหฺมายืนยัน ดังนั้น เมื่อวะฮาบีย์ไม่ยอมรับในหะดิษฏออีฟ การกระทำหะดิษฏออีฟจึงอยู่ในหุกุ่มบิดอะฮ์ตามทัศนะของวะฮาบีย์ ดังนั้นเมื่อปฏิบัติหะดิษฏออีฟวะฮาบีย์ยังหุกุ่มบิดอะฮ์ แล้วมันจะไปแตกต่างอะไรกับการปฏิบัติหะดิษเมาฏั๊วะล่ะครับ เพราะหะดิษเมาฏั๊วะนั้นหากนำมาทำก็บิดอะฮ์เหมือนกัน แล้วมันผิดหรือเปล่าละที่อัซฮะรีย์บอกว่า

"กลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลง.."

เราจะทราบได้เลยว่า อัซฮะรีย์ กำลังพูดถึงนัยยะ ฮุกุ่มการปฏิบัติในเชิงวิชาฟิกห์ ไม่ใช่ในเชิงวิชาหะดิษ หากในเชิงวิชาหะดิษนั้น หะดิษฏออีฟ กับ เมาฏั๊วะย่อมแตกต่างกัน แต่ในหลักวิชาฟิกห์ตามทัศนะของวะฮาบีย์นั้น คือ หะดิษฏออีฟ จะนำมาปฏิบัติไม่ได้ เพราะจะเป็นบิดอะฮ์ และหะดิษเมาฏั๊วะก็ไม่ได้เพราะเป็นบิดอะฮ์ด้วยเหมือนกัน ดังนั้น ระหว่างหะดิษฏออีฟ กับ หะดิษเมาฏั๊วะ ในเชิงฟิกห์นั้น ย่อมมีฐานะเดียวกันตามทัศนะของวะฮาบีย์ เพราะฉะนั้นอัซฮะรีย์พูดได้ถูกเพ๋งแล้วละครับ และเขาไม่ได้กล่าวหาวะฮาบีย์ด้วยเท่านั้นเอง

ไออาเอฟพยายามบอกว่า เรื่องการปฏิบัติหะดิษฏออีฟนั้น มี 3 ทัศนะ ผมจึงอยากถามว่า 3 ทัศนะที่ว่านั้น มีพฤติกรรมเหมือนวะฮาบีย์หรือไม่? เพราะแม้ว่า อุลามาอ์มีถึง 3 ทัศนะ ตามไออาเอฟอ้างมา อุลามาอ์เหล่านั้น ก็เคารพในทัศนะซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ลามปาม ล่วงเกิน ทัศนะอื่นที่แตกต่าง เหมือนกับที่วะฮาบีย์กำลังทำอยู่นี่ครับ ดังนั้น พฤติกรรมของวะฮาบีย์ในปัจจุบันที่ไม่ได้ดำรงอยู่บนแบบอย่างของสะละฟุศศอลิหฺในด้านทัศนะในเชิงฟิกห์ ย่อมตอกย้ำความเป็นวะฮาบีย์ให้เด่นชัดยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้น คำพูดของอัซฮะรีย์ย่อมไม่ได้ใส่ใคล้แต่ประการใด และไออาเอฟจะนำ อ.มุรีด มาพูดแทรกในกระทู้นี้นั้น ผมว่าไม่ดีหรอกครับ เดี๋ยว อ.มุรีด จะเสียอีก เพราะยังไง อ.มุรีด นั้น สู้วิชาการของ อัลอัซฮะรีย์ ไม่ได้หรอก

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

ผิดครับ เพราะ การอ่านตัลกีน เป็นรูปแบบอิบาดะฮ ที่ คุณบอกว่า เป็นสุนัต การกระทำที่มีหุกุมว่า เป็นสุนัต ต้องมีหะดิษรับรองไว้

ผมขอกล่าวว่า

คุณอะสัน เข้าใจอะไรยากมาก ผมล่ะเหนื่อยแทนอัซฮะรีย์จริงๆ เรื่องตัลกีนนั้น แม้กระทั้ง อิบนุตัยมียะฮ์บอกว่าอนุญาติให้กระทำได้ อิบนุก๊อยยิมก็บอกว่าสุนัตให้กระทำได้ อิมามนะวาวีย์เองก็บอกว่ามันเป็นฟะฏออิล อัลอะมาล และบรรดาอุลามาอ์มัซฮับทั้งมากมายๆ ที่รับรองเอาไว้ ท่านอัชเชากานีย์ ก็บอกว่าเป็นหะดิษหะซัน ท่านอิบนุหะญัรได้ยืนยันไว้ในหนัง อัลหะบีร อีกเล่มหนึ่งว่า หะดิษนี้ " ดี " หมายถึงได้รับการสนับสนุน จากสายรายงานที่ระบุการกระทำของซอฮาบะฮ์ที่ซอฮิหฺเพื่อมาแทนสายรายงานที่ไม่เป็นที่รู้จักในสายรายงานของหะดิษท่านนบี

เห็นไหมครับท่านผู้อ่าน เรื่องตัลกีนนั้น แม้ว่าจะมีนักปราชญ์หุกุ่มว่า ฏออีฟ แต่พวกเขาถือว่าเป็นเรื่อง ฟะฏออิล อัลอะมาล อย่างเช่นที่อิมามนะวาวีย์ได้ระบุเอาไว้

ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวว่า มีหลายกลุ่มจากบรรดานักปราชญ์ของเรา กล่าวว่า สุนัต ให้ทำการอ่านตัลถัดจากการฝังมัยยิดแล้ว... ดังนั้น การอ่านตัลกีนตามทัศนะของพวกเขา คือเป็นสุนัต และส่วนหนึ่งจากบรรดานักปราชญ์ที่ระบุว่า การอ่านตัลกีนและสุนัตนั้น คือ ท่าน อัล-กอฏีย์ หุซัยน์ ท่านอัล-มุตะวัลลีย์ ท่านชัยค์ นัสรฺ อัล-มุก๊อดดิซีย์ ท่านอัรรอฟิอีย์ และนักปราชญ์ท่านอื่นๆ .... ท่านอิมามอันนะวาวีย์ยังกล่าวอีกว่า " หะดิษของท่านอบูอุมามะฮ์ ที่ได้รายงานโดย อบู อัลกอซิม อัฏฏ๊อบรอนีย์ ไว้ในหนังสือ มั๊วะญัม (อัลกะบีร) ของท่านนั้น มีสายรายงานที่ฏออีฟ...ดังนั้น หะดิษนี้ หากว่ามันจะฏออีฟก็ตาม แต่ว่ามัยยิดจะได้รับความอบอุ่นค้นเคยด้วยกับการอ่านตัลกีน และบรรดาปวงปราชญ์หะดิษและบรรดานักปราชญ์ท่านอื่นๆจากพวกเขานั้น มีความเห็นพร้องกันว่า ให้มีการผ่อนปรนในการปฏิบัตบรรดาหะดิษในเรื่อง คุณงามความดี ส่งเสริมให้กระทำความดี และหะดิษที่ทำให้กลัว(กับการทำบาป) โดยที่หะดิษของท่านอบูอุมามะฮ์นั้น ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาหะดิษต่างๆ " ( ดู หนังสือ มัจญฺมั๊วะ เล่ม 5 หน้า 273 - 274 )

ที่ผมนำเสนอมานี้ แค่อยากจะบอกว่า ท่านอิมามนะวาวีย์ ก็ยังนำเรื่องตัลกีนมาเป็นเรื่อง ฟาฏออิล อัลอะมาล (คุณงามความดี) เท่านั้นเอง ผมไม่ได้มีเจตนาจะพูดถึงเรื่องตัลกีนนะครับ เพราะอัซฮะรีย์เขาไม่ต้องการจะนำประเด็นอื่นเข้าแทรกจนทำให้ประเด็นแตกออกไป คือผมเข้าใจคำพูดของอัซฮะรีย์น่ะ ไม่อยากทำตัวเป็นเด็กๆ ที่ไม่ค่อยฟังใครและไม่ยอมเข้าใจคำขอร้องของผู้อื่น หากอยากจะพูดเรื่องตัลกีนนักละก็ ไปเวปนี้ เพราะคุยเรื่องตัลกีนไว้

http://www.miftahcairo.com/webboard.php?option=answers&qNo=153&kword=

ไม่ต้องมายุ่งกับกระทู้นี้ให้ประเด็นเบี่ยงออกไป คือผมไม่ชอบทำตัวเป็นเด็กๆนะครับ เพราะผมก็แก่แล้วเหมือนกัน 30 ขึ้นบนแล้ว

ช๊อดเด็ดครับผม

คุณอะสันบอกว่า หากตัลกีนเป็นเรื่องฟาฏออิลอะมาลนั้น "ผิด" ตรงนี้ก็พอทราบแล้วละครับว่า วะฮาบีย์อย่างคุณอะสันตะอัศศุบ แม้มีหะดิษฏออีฟ(เขาว่า)มาอ้างแล้วอิมามนาวะวีย์บอกว่าเป็นเรื่องฟาฏออิลอะมาล แต่คุณอะสันบอกว่า "ผิด" ซึ่งคำว่าผิดนี้ หมายถึง ไม่ใช่เป็นสุนัตแต่เป็นบิดอะฮ์!! นำมาใช้ไม่ได้ แล้วมันจะไปแตกต่างอะไรกับหะดิษเมาฏั๊วะในเชิงฟิกห์ที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้ แล้วอัลอัซฮะรีย์พูดผิดหรือว่า

"ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!"

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

หะดิษเฏาะอีฟ เป็นหะดิษที่คาดเดาเอาไว้เท่านั้น ขาดความแน่นอน อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลากล่าวว่า

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً

และแท้จริงการคาดคะเนนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่ความจริงได้

ท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

พวกท่านพึงระวัง การคาดคะเน แท้จริงการคาดคะเนนั้น เป็นคำพูดที่โกหก - มุตตะฟักอะลัญฮิ

ผมขอกล่าวว่า

เห็นไหมครับท่านพี่น้อง คุณอะสันบอกว่า หะดิษฏออีฟนั้น อยู่ในความหมายของ أكذب الحديث "เป็นพูดที่โกหก" เพราะว่ามันเป็นแค่เรื่องการ "การคาดคะเน" الظن ดังนั้นหะดิษฏออีฟ จึงอยู่ในหมายถึง الظن ที่อยู่ในความหมายของคำว่า أكذب الحديث "เป็นพูดที่โกหก" และหะดิษเมาฏั๊วะก็คือ หะดิษทีโกหก แล้วอัลอัซฮะรีย์พูดผิดหรือไม่ครับท่านพี่น้อง ที่ว่า

"ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!"

ดังนั้น ทัศนะที่วะฮาบีย์ที่กำลังตะกียะฮ์(อำพราง)อยู่ก็เริ่มโผล่ขึ้นมาโดยมาย้ำคำพูดที่ถูกต้องของอัซฮะรีย์ ที่เอามาจากตัวคุณอะสันเองอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วมากล่าวหาว่าอัซฮะรีย์เป็นผู้กล่าวหาใส่วะฮาบีย์

ส่วนประเด็นอื่นๆ เกี่ยวคำว่า الظن ตามทัศนะของหลักการฟิกห์และหลักการอะกีดะฮ์นั้นเป็นอย่างไร ผมก็ขอปล่อยให้อัซฮะรีย์มาจัดการเองล่ะกัน
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
IRF

ใครคือวะฮาบีย์ ? ..คุณนูรุ้ลอิสลามตอบว่า > ก็คนที่กินปูนร้อนท้องนั่นไงล่ะ ฮ่า ฮ่า <

ตอบได้แบบเดียวกัน ..นี่ผมย้ำอีกครับว่า คนอ่านเค้าอ่านเป็นครับ เขาดูรู้ว่าจนมุม ผมบอกแล้วไงถ้าตอบได้แค่นี้อย่าตอบ

IRF

จับประเด็นที่ถูกจี้ ..

ผมถามว่า ตกลงคุณถือว่า อ.มุรีด เป็นวะฮาบีย์หรือไม่?

คำตอบที่ได้รับคือ .. > ไออาเอฟจะนำ อ.มุรีด มาพูดแทรกในกระทู้นี้นั้น ผมว่าไม่ดีหรอกครับ เดี๋ยว อ.มุรีด จะเสียอีก <
> อ.มุรีด นั้น สู้วิชาการของ อัลอัซฮะรีย์ ไม่ได้หรอก <

ตกลงตอบให้ตรงคำถามสิครับ .. เชื่อเถอะครับว่าคนอ่านเค้าดูเข้าใจว่าเลี่ยง ..ไม่ต้องกลัวจนมมุมครับ กล้าๆตอบหน่อย
(และผมย้ำไปแล้วว่า ผมทำให้น้ำขุ่นตกตะกอนเป็น) .. อินชาอัลลอฮฺ 3 วันจะเข้ามาดูใหม่

แล้วที่ถามวะฮาบีย์คือยังไง พวกไหน ตีกรอบยังไง จะดูยังไงว่าเป็นวะฮาบีย์? ... ไอ้ลูกที่ตอบว่า .."ก็พวกคุณนั่นแหละ" ..ลูกนี้พอแล้วนะ คนเค้าทัน เชื่อเถอะ..

al-azhary

อ้างอิงจากไออาเอฟ

ขอถามหน่อยนะครับ สำหรับคนที่ชื่อ อ.มุรีด ทิมะเสน ..อยากทราบว่าคุณอัซฮารีจัดว่า อ.มุรีด ทิมะเสน เป็นวะฮาบีย์หรือไม่ครับ?

ตอบ

มุรีด เป็นวะฮาบีย์ตามทัศนะของเราครับ

al-azhary

อ้างจากไออาเอฟ

ผมมาเศร้าใจในคำพูดที่ว่า > กลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก <

ตอบ

ไออาเอฟมาแสดงละครเศร้าอะไรแถวนี้หรือเนี่ย ผิดที่แล้วครับ..เพราะบังอะสันแกตอกย้ำความเศร้าให้คุณแล้ว อ่านดูเสียบ้าง

al-azhary

السلام عليكم ورحمة الله

ผมเนี่ย ยังนึกขำ ๆ กับบังอะสันเหมือนกัน ที่ตะอัศศุบ และไม่เคยคิดผ่อนปรนในทัศนะของคนอื่น คิดว่าปัญหาคิลาฟิยะฮ์แนวทางของตนเท่านั้นที่ถูก ผมรู้สึกผิดหวังกับบังอะสัน ที่ชอบสนทนานอกประเด็นและนอกเรื่อง บังอะสันเป็นคนที่มีความอดทนน้อย ไม่ค่อยจะทำความเข้าใจสิ่งที่คู่สนทนานำเสนอ แล้วก็ใช้วิชาพาลมาสนทนา ผมขอถามบังอะสันที่อยู่ในประเด็นสักหน่อยนะครับ ว่า สิ่งที่ผมพูดต่อไปนี้นั้น ถูกต้องหรือผิดและเป็นการกล่าวหาวะฮาบีย์หรือไม่? ซึ่งหางบังอะสันตอบว่าไม่ถูกต้องก็โปรดชี้แจงมาให้อยู่ในประเด็น แต่หากว่าบังอะสันบอกว่าพูดถูกแล้วหรือไม่ใช่เป็นการกล่าวหา ผมก็หมดเรื่องคุยประเด็นหลักการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ คือ

อัล-อัซฮะรีย์ ขอกล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!

al-um

อ้างถึง

อัล-อัซฮะรีย์ ขอกล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!
------
al-um ขอกล่าวด้วยนะครับ

asan

ข้อความโดย: al-azhary

ผมเนี่ย ยังนึกขำ ๆ กับบังอะสันเหมือนกัน ที่ตะอัศศุบ และไม่เคยคิดผ่อนปรนในทัศนะของคนอื่น คิดว่าปัญหาคิลาฟิยะฮ์แนวทางของตนเท่านั้นที่ถูก ผมรู้สึกผิดหวังกับบังอะสัน ที่ชอบสนทนานอกประเด็นและนอกเรื่อง บังอะสันเป็นคนที่มีความอดทนน้อย ไม่ค่อยจะทำความเข้าใจสิ่งที่คู่สนทนานำเสนอ แล้วก็ใช้วิชาพาลมาสนทนา
..................

ผมอดขำไม่ได้ ที่อัลอัซฮารีย์กล่าวว่า "และไม่เคยคิดผ่อนปรนในทัศนะของคนอื่น คิดว่าปัญหาคิลาฟิยะฮ์แนวทางของตนเท่านั้นที่ถูก
หากเป็นหะดิษเศาะเฮียะ ที่เข้าใจต่างกัน ก็ผ่อนปรนกันได้ เพราะนั้น คือเรื่องปกติวิสัยของมนุษย์ แต่..เรื่อง ที่ไม่มีในแบบอย่างนบี หรือ มาจากหะดิษเฏาะอีฟ อ่อนปวกเปียก จะให้ยอมรับได้อย่างไร

บิดอะฮ จะให้ผสมพันธ์กับสุนนะฮ แล้วลูกออกมาเป็น " อะนะฮ" มันก็คือตัวประหลาดดีๆนี่เอง น่ากัวด้วย จะให้ผ่อนปรนได้อย่างไรล่ะท่าน
อ้อ..ยังไม่ตอบ ถามอีก อิหม่มนะวาวีย์จัดงานเมาลิดแบบที่สวนอัมพรหรือเปล่า


asan

ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

من حدث عني بحديث يرى أنه كذب فهو أحد الكاذبين

ผู้ใดรายงานจากข้าพเจ้า ด้วยหะดิษ ที่เขาเห็นว่า โกหก ดังนั้น เขาคือ คนหนึ่งในบรรดาผู้ที่โกหก ?รายงานโดย มุสลิม

อิหม่ามอิบนุหิบบาน กล่าวว่า


في هذا الخبر دليل على أن المحدث إذا روى ما لم يصح عن النبي مما تقول عليه وهو يعلم ذلك يكون كأحد الكاذبين ، على أن ظاهر الخبر ما هو أشد ، قال صلى الله عليه وآله : ((من روى عني حديثا وهو يرى أنه كذب ...)) ولم يقل : إنه تيقن أنه كذب ، فكل شاك فيما يروي أنه صحيح أو غير صحيح داخل في ظاهر خطاب هذا الخبر

ในหะดิษนี้ แสดงบอกให้รู้ว่า แท้จริง ผู้ที่ รายงานหะดิษนั้น เมื่อเขารายงานสิ่ง ที่ไม่เศาะเฮียะ จากท่านนบี จากสิ่งที่เขาอุปโลกน์ขึ้นมาบนมัน โดยที่เขารู้ ดังกล่าวนั้น เขาก็เป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่โกหก (แสดงให้รู้ว่า) แท้จริง ความหมายที่ปรากฏของหะดิษนั้น คือ สิ่งที่รุนแรงกว่า, ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม (ผู้ใดรายงานจากข้าพเจ้า ด้วยหะดิษ ที่เขาเห็นว่า โกหก ดังนั้น เขาคือ คนหนึ่งในบรรดาผู้ที่โกหก ) ,ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ได้กล่าวว่า ?แท้จริง เขาเชื่อมั่นว่ามันโกหก ดังนั้น ทุกๆการสงสัย ในสิ่งที่เขารายงานว่ามัน เศาะเฮียะ หรือ ไม่เศาะเฮียะ ก็เขาอยู่ในความหมายที่ปรากฏของการกล่าวของหะดิษนี้ - อัฎ-ฎุอาฟาอฺ เล่ม 1 หน้า 7-8

ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

كفى بالمرء كذبا أن يحدث بكل ما سمع

พอเพียงแล้วที่จะได้ชื่อว่า เป็นคนโกหก คือ การที่เขา รายงานด้วยทุกสิ่งที่ได้ยินมา ? รายงานโดยมุสลิม
และอิบนุหิบบาน ได้กล่าวในหนังสือของท่านเล่มเดียวกัน หน้าที่ 9 ว่า

في هذا الخبر زجر للمرء أن يحدث بكل ما سمع حتى يعلم علم اليقين صحته

ในหะดิษนี้ คือ การสัมทับ(เตื่อนให้ระวัง) แก่บุคคล ว่า อย่ารายงานทุกสิ่งที่เขาได้ยินมา จนกว่าจะรู้อย่างแน่ใจว่า มันถูกต้อง(เศาะเฮียะ)
...............

จึงสรุปว่า หะดิษเศาะเฮียะ ปลอดไปที่สุด โดยประการทั้งปวง
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

كفى بالمرء كذبا أن يحدث بكل ما سمع

พอเพียงแล้วที่จะได้ชื่อว่า เป็นคนโกหก คือ การที่เขา รายงานด้วยทุกสิ่งที่ได้ยินมา ? รายงานโดยมุสลิม
และอิบนุหิบบาน ได้กล่าวในหนังสือของท่านเล่มเดียวกัน หน้าที่ 9 ว่า

في هذا الخبر زجر للمرء أن يحدث بكل ما سمع حتى يعلم علم اليقين صحته

ในหะดิษนี้ คือ การสัมทับ(เตื่อนให้ระวัง) แก่บุคคล ว่า อย่ารายงานทุกสิ่งที่เขาได้ยินมา จนกว่าจะรู้อย่างแน่ใจว่า มันถูกต้อง(เศาะเฮียะ)

ผมขอกล่าวว่า

คุณอ้าสันนักวิชาการกำมะลอ ยกโน้นยกนี่มา โดยไม่รู้ว่าจะไปทางใหนดี นึกอะไรได้ ก็นำมาลงเป็นภาษาอาหรับให้โก้ๆ เพื่อจะได้ขลังหน่อย ที่ใหนได้ มีแต่น้ำ ถามหน่อยเถอะคุณอ้าสัน หะดิษที่ท่านอิมามอะห์หมัดรายงานไว้ในมุสนัดนั้น ท่านอะห์มัดรู้ไหมว่ามันซอฮิหฺทั้งหมด หรือว่าท่านอิมามอะหฺมัดไม่รู้ว่ามีหะดิษฏออีฟและหะดิษเมาฏั๊วะอยู่ด้วย โดยเอามารายงานไว้ในหนังสือมุสนัดของท่าน สงสัยท่านอะหฺมัดคงเป็นผู้โกหกตามทัศนะของคุณอ้าสัน ฮ้า ฮ๋า ในหนังสือสุนันอัดดาริมีย์ ของท่านอัดดาริมีย์ ก็มีหะดิษฏออีฟและเมาฏั๊วะมากมาย ผมอยากทราบหน่อยเถอะว่า ท่านอัดดาริมีไม่รู้เลยหรือว่าหะดิษเหล่านั้นมีทั้งฏออีฟและเมาฏั๊วะอยู่ด้วย หรือว่าท่านอัดดาริมีเป็นนักหะดิษที่โกหกเพราะรายงานมาโดยไม่รู้ว่ามัซฮิหฺหรือเปล่า ฮ้า ฮ๋า ท่านอัดดัยละมีย์ ได้แต่งหนังสือหะดิษ อัลฟริเดาซ์ ซึ่งมีหะดิษเมาฏั๊วะมากเหมือนกัน สงสัยท่านอัดดัยลามี ต้องเป็นนักหะดิษโกหกตามทัศนะของคุณอ้าสัน เพราะรายงานโดยไม่รู้ว่าซอฮิหฺหรือเปล่า? ฮ้าฮ๋า

คุณอ้าสันครับ หะดิษซอฮิหฺนั้นดีสุดยอดเลยครับ แต่ความเข้าใจแบบขี้เลื่อยของคุณอ้าสันน่ะ มันจะทำให้หะดิษมัวหมองและร้ายแรงยิ่งหะดิษฏออีฟและหะดิษเมาฏั๊วะ เอ้อ...เขาว่าคุณอะสันมีวิชาหนึ่งที่ชำนาญและชอบนำมาใช้เสวนา ซึ่งมีบางคนเรียกว่ามันว่า "วิชาพาล" ผมเองก็อยากจะร่ำเรียนวิชาพาลนี้จากคุณเหมือนกัน ว่างๆ ผมจะได้นำวิชานั้นมาคุยกับคุณอะสันน่ะ อ้ากึ๋ย ๆ ๆ

asan

ข้อความโดย: นูรุ้ลอิสลาม

คุณอ้าสันครับ หะดิษซอฮิหฺนั้นดีสุดยอดเลยครับ แต่ความเข้าใจแบบขี้เลื่อยของคุณอ้าสันน่ะ มันจะทำให้หะดิษมัวหมองและร้ายแรงยิ่งหะดิษฏออีฟและหะดิษเมาฏั๊วะ เอ้อ...เขาว่าคุณอะสันมีวิชาหนึ่งที่ชำนาญและชอบนำมาใช้เสวนา ซึ่งมีบางคนเรียกว่ามันว่า "วิชาพาล" ผมเองก็อยากจะร่ำเรียนวิชาพาลนี้จากคุณเหมือนกัน ว่างๆ ผมจะได้นำวิชานั้นมาคุยกับคุณอะสันน่ะ อ้ากึ๋ย ๆ ๆ
..............

โอ้โห้ท่านนักวิชาการปลาหมึก มาพ่นสีดำให้ชาวบ้านมืดมัวอีกแล้วครับ คุณ ซุลุมาต คุณว่าผมเข้าใจหะดิษแบบขี้เลื่อย อันนี้ไม่มีปัญหา เพราะความรู้มาจากอัลลอฮ อัลลอฮเป็นผู้ประทานให้ โดยไม่จำเป็นต้องไปชุบตัวถึงเมืองไคโร อุลามาอฺนุ่งลีวาย ทรงผมแบบฝรั่งขี้ยา แบบคุณนูรุ้ลอิสลาม เป็นได้ก็แค่บิดอะฮชุบแป้งทอดเท่านั้นเอง รู้สึกจะเข้ามาชวนตีโดยเฉพาะเลยนะ ท่านอุลามาอฺ ที่พิศวาสหะดิษเฏาะอีฟ หรือ ชอบเรื่องน้ำเน่า ครับ คุณไปเรียนชุบตัวมา ก็คงกลับสยบอยู่ใต้บิดอะฮบรรพบุรุษเหมือนเดิม จริงไหม

aswar

เฮ้อ...คุณกันไม่ดีเลยครับพี่น้อง ถ้าคุยกันดีๆรู้เรื่องกันไปแล้วแหละครับ จะทำยังไงดี?

วัสสลาม

al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

หะดิษเฏาะอีฟ เป็นหะดิษที่คาดเดาเอาไว้เท่านั้น ขาดความแน่นอน อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลากล่าวว่า

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً

และแท้จริงการคาดคะเนนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่ความจริงได้

ท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

พวกท่านพึงระวัง การคาดคะเน แท้จริงการคาดคะเนนั้น เป็นคำพูดที่โกหก - มุตตะฟักอะลัญฮิ

ตอบ

ประเด็นนี้ผมลืมชี้แจงไปนะครับ คือบังอะสันไม่แยกระหว่างหลักการของนิติศาสตร์อิสลาม(ฟิกห์)กับหลักอากิดะฮ์ ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า หลักอากิดะฮ์นั้น เราจะใช้หลัก الظن ไม่ได้ เพราะอากิดะฮ์การศรัทธาหมายถึง การเชื่ออย่างมั่นใจ اليقين (ยาเก่น) ร้อยเปอร์เซ็นและสอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งอายะฮ์อัลกุรอานได้ยืนยันเอาไว้แล้วว่า

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً

"แท้จริงการคาดคะเนนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่ความจริงได้"

ส่วนคำกล่าวของท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

"พวกท่านพึงระวัง การคาดคะเน แท้จริงการคาดคะเนนั้น เป็นคำพูดที่โกหก" - มุตตะฟักอะลัญฮิ

ซึ่งหะดิษนี้ ไม่เกี่ยวข้องการหลักการนำมาหะดิษฏออีฟมาใช้ แต่หะดิษนี้สอนให้รู้ว่า คนเรานั้นจะคิดแบบคาดการณ์ในทางไม่ดีแก่บรรดาพี่น้องมุสลิมนั้นไม่ได้ سوء الظن (คิดในแง่ร้าย) เนื่องจากการคิดในแง่ร้ายต่อผู้อื่นนั้น ชัยฏอนมักจะเข้ามามีบทบาทร่วมด้วยเสมอโดยสร้างความสังสัยครางแครงในแง่ไม่ดีต่อบรรดาพี่น้องมุสลิม سوء الظن (คิดในแง่ร้าย) นั้น มักจะเป็นคำพูดทั้งใจและออกมาทางวาจาที่โกหก

ส่วนคำว่า الظن ตามหลักการของหะดิษนั้น หากว่าสายรายงานไม่ได้อยู่ในฐานะแบบ "มุตะวาติร" คือรายงานอย่างสืบเนื่องโดยกลุ่มคนซึ่งถือว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการโกหก เช่นอัลกุรอานและหะดิษมุตะวาติร เนื่องจากอัลกุรอานให้การรับรู้แบบมั่นใจร้อยเปอร์เซ็น(ยาเก่น) และหะดิษมุตะวาติรนั้น เป็นการรู้แบบมั่นใจ اليقين (ยาเก่น)เช่นกัน แต่หะดิษซอฮิหฺที่ไม่ถึงขั้นระดับมุตะวาติรนั้น (คือหะดิษอาหาด) ผลการการรู้ที่อยู่ในระดับ الظن เท่านั้น เช่นหะดิษนั้นรายงานโดยคนเดียวแต่มีสายสืบที่ซอฮิหฺ แต่กระนั้น บรรดาปวงปราชญ์ก็ยังคิดว่าอาจจะมีข้อผิดพลาดหรือการลืมบ้างก็ได้จากผู้รายงาน เป็นต้น

ส่วนประเด็นของนิติศาสตร์(ฟิกห์) ส่วนมากแล้ว"หนทางที่ได้รับหุกุ่มา"จะอยู่ในระดับขั้น الظن ไม่ใช่ اليقين ซึ่งหมายถึง การได้รับหุกุ่มต่างๆ จากฟิกห์นั้น ส่วนมากจากหะดิษที่ไม่มุตะวาติร และผ่านการวินิจฉัยจากตัวบท ซึ่งการวินิจฉัยนั้น ย่อมมีผิดมีถูก เราจะมาบอกว่า การวินิจฉัยของมัซฮับฉันถูกแน่นอนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นแบบยาเก่นนั้น ไม่มีนักปราชญ์ผู้ทรงธรรมแห่งสะลัฟและคอลัฟพูดอย่างนั้นเลย เนื่องจากพวกเขาทราบดีถึงหลักการดังกล่าว หลักการนิติศาสตร์(ฟิกห์)ที่ให้การรู้แบบมั่นใจนั้นมีน้อยกว่า เช่นการบอกว่า การละหมาดเป็นฟัรดู การถือศีลอดเป็นฟัรดู การทำฮัจญ์เป็นฟัรดู การทำความดีต่อพ่อแม่เป็นวายิบ เหล้าเป็นสิ่งที่หะรอม การทำซินาเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ซึ่งหุกุ่มเหล่านี้มุตะวาติรแน่นอน เพราะอัลกุรอานบอกได้อย่างชัดเจนโดยไม่สามารถจะวินิจฉัยให้เป็นอื่นไปได้เลยและเด็ดขาด และหลักการ الظن นี้ย่อมนำมาใช้กับหลักนิติศาสตร์ได้ครับ เพราะตราบใดที่การวินิจฉัยของนักปราชญ์ที่เป็นมนุษย์เข้ามามีบทบาท ก็ย่อมไม่มีปราชญ์ท่านใดบอกว่าของฉันถูกต้องอย่างมั่นใจร้อยเปอร์เซ็น(ยาเก่น)

ส่วนกรณีของหะดิษฏออีฟนั้น ให้การรับรู้แบบโดย الظن นี่จริง แต่ไม่ใช่ถึงขั้นโกหก เนื่องจากมันไม่ใช่หะดิษเมาฏั๊วะ ยิ่งไปกว่านั้นบางนักปราชญ์หะดิษบอกว่าหะดิษเมาฏั๊วะนั้น ไม่ใช่หะดิษนบี(ซ.ล.) แต่การปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟถือเป็นการ الإحتياط "เผื่อป้องกันเอาไว้" เช่นมีหะดิษฏออีฟที่พูดเกี่ยวกับโทษการทำซินา ซึ่งหากแม้นว่ามันจะฏออีฟ แต่เราก็สมควรนำมาเป็นข้อเตือนใจให้เราหลีกห่างจากการทำซินาได้ หรือหะดิษที่พูดเกี่ยวกับโทษการดื่มเหล้า หากแม้นว่ามันจะฏออีฟ แต่ก็สามารถนำมาเป็นข้อเตือนใจให้หลีกห่างจากสิ่งดังกล่าว เรื่องคุณงามความดีก็เช่นเดียวกัน ซึ่งหากว่าหะดิษนั้นอยู่ภายใต้กฏเงื่อนไขต่างๆ ที่นักปราชญ์หะดิษผู้ทรงธรรมไว้ว่างเอาไว้แล้วตามที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น ก็สามารถกระทำได้ครับ วัลลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
aswar

จริงๆแล้วเรื่องหะดีษฎออีฟนั้นเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจไม่ยาก ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นปัญหาในเรื่องของหะดีษฎออีฟ สิ่งแรกๆที่เราต้องเห็นร่วมกันก่อนคือ การที่มีการชี้แจงเรื่องหะดีษฎออีฟนั้น ไม่ใช่หมายความว่าผู้ชี้แจงเทิดทูนฎออีฟถึงขนาดออกมาปกป้อง หรือเขาออกมาสร้างความหมองคล้ำให้กับวิชาการศาสนาอิสลาม จริงๆแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกหาใช่เรื่องวิชาการ แต่การมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ชี้แจงนั้นจะทำให้เขาไม่ยอมรับการชี้แจงใดๆ แม้ว่าจะอ้างอิงสักเท่าใดก็ตาม หากเราแยกแยะระหว่างความรู้สึกในทางลบกับวิชาการได้เราอาจจะเห็นอะไรมากขึ้นอีกก็เป็นได้

จริงๆแล้วคุณ al-azhary ก็ได้อ้างอิงจากอิมาม อันนะวะวีย์ แล้วว่า ทรรศนะการให้ปฏิบัติหะดีษฎออีฟได้เป็นทรรศนะของญุมฮูรอุลามาอ์ ผมเองมีความรู้ไม่มากแต่ก็อยากจะเสริมในบางช่วงบางตอน โดยเฉพาะที่บังอะสันยกหลักฐานมาหักล้างทรรศนะญุมฮูร

สิ่งที่บังอะสันยกมาเหมือนกับสิ่งที่ อ.มุรีด ทิมะเสน เขียนไว้เพราะฉะนั้นผมจะนำคำของท่านมาอ้างอิงไว้ด้วยและตอบไปในทีเดียวเลยนะครับ

aswar

ในหนังสือ หะดีษเฎาะอีฟ เล่ม 1 หลังจากที่ท่านอาจารย์อ้างอิงว่ามี 3 ทรรศนะในเรื่องการปฏิบัติหะดีษฎออีฟ ท่านได้ให้น้ำหนักทรรศนะที่ว่า ไม่อนุญาตให้นำหะดีษฎออีฟมาปฏิบัติไม่ว่าจะในเรื่องใดก็ตาม โดยให้เหตุผลว่า

?ประการแรก หะดีษเฎาะอีฟ คือหะดีษที่ยังสงสัยว่าจะอยู่ในระดับขั้นที่เชื่อถือได้ ทัศนะดังกล่าวไม่มีการขัดแย้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นจะนำหะดีษเฎาะอีฟมาปฏิบัติได้อย่างไร เพราะคัมภีร์อัล-กุรอานกล่าวไว้ว่า ?แท้จริงการสงสัยนั้นไม่อาจจะแทนความจริงแต่อย่างใดไม่? (สูเราะฮฺยูนุส 36)

ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า ?พวกท่านจงระวังในเรื่องของการสงสัย แท้จริงการสงสัยนั้นทำให้มากในการพูดโกหก? (บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 5604 และมุสลิม หะดีษที่ 4646)? จบเหตุผลข้อแรก จากหนังสือ หะดีษเฎาะอีฟ เล่ม 1 หน้า 7 อ. มุรีด ทิมะเสน

ประเด็นแรก คำพูดของท่านที่ว่า ?หะดีษเฎาะอีฟ คือหะดีษที่ยังสงสัยว่าจะอยู่ในระดับขั้นที่เชื่อถือได้ ทัศนะดังกล่าวไม่มีการขัดแย้ง? คำดังกล่าวหากต้องการบอกว่าฎออีฟเป็นเพียงแค่ ظني นั้น ถูกต้องคำดังกล่าวไม่มีผู้โต้แย้งแต่ประการใด เพียงแต่ศอเฮียฮ์นั้นก็เป็น ظني เช่นกัน ซึ่งก็ไม่มีการขัดแย้งในหมู่นักวิชาการหะดีษเช่นกัน นักวิชาการหะดีษได้กล่าวตรงกันว่า การตัดสินหะดีษใดนั้นเป็นการตัดสินเพียงภายนอก ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง

อัลฮาฟิซ อัซซะคอวีย์ กล่าวว่า ?อุลามาอ์ส่วนใหญ่ที่เป็นนักวิชาการฮะดีษ นักวิชาการฟิกฮ์ และนักวิชาการอุศูล ซึ่งคนหนึ่งก็คือ อิมามชาฟิอีย์ มีทรรศนะว่าการตัดสินฮะดีษหนึ่งๆว่าถูกต้อง หรือฎออีฟนั้น เป็นเพียงความเป็นไปได้ในภายนอก ฉะนั้นถ้าพวกเขากล่าวว่า ฮะดีษนี้ศอเฮียฮ์ ความหมายคือ มีสายสืบติดต่อกัน พร้อมกับเงื่อนไขอื่นๆที่ถูกตั้งเอาไว้(เท่านั้น) เพราะเป็นไปได้ว่าคนที่มีความน่าเชื่อถือนั้นอาจจะผิด หรือหลงลืมได้
และเมื่อพวกเขากล่าวว่า ฮะดีษนี้ฎออีฟ หมายความว่า มันขาดเงื่อนไขๆหนึ่ง หรือมากกว่านั้น ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการรับฮะดีษ(เท่านั้น) เพราะเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่น่าเชื่อถือคนนั้นอาจจะจำ(ฮะดีษดังกล่าว) และพูดจริง?

อิมาม อัซซุยูฏีย์ กล่าวในตัดรีบุรรอวีย์ ว่า ?ถ้ามีคนกล่าวว่า ฮะดีษนี้ศอเฮียฮ์ หมายความว่า มันมีสายสืบที่ติดต่อกัน พร้อมกันนั้นก็มีเงื่อนไขที่ถูกวางไว้ครบ เรารับฮะดีษนั้นเพื่อเป็นการทำตาม(ความเป็นไปได้)ภายนอกของสายสืบนั้นๆเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเป็นการฟันธง(ว่าถูก) เพราะเป็นไปได้ว่าคนที่น่าเชื่อถือนั้นๆอาจผิดพลาด และหลงลืมได้...
และถ้าหากมีคนกล่าวว่า ฮะดีษนี้ฎออีฟ หมายความว่า สายสืบไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่ได้วางไว้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการโกหก เพราะเป็นไปได้ว่าคนที่โกหกอาจพูดจริง และคนที่มีข้อผิดพลาดมากอาจรายงานถูก?

อิมาม อัลอิรอกีย์ กล่าวในฟัตฮุลมุฆีษ ว่า ?และเช่นเดียวกัน หากพวกเขากล่าวว่า ฮะดีษนี้ฎออีฟ นั่นหมายความว่า ไม่มีเงื่อนไขของศอเฮียฮ์อยู่ ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งโกหก เพราะเป็นไปได้ว่าคนโกหกคนนั้นจะพูดจริง และเป็นไปได้ว่าคนที่มีข้อผิดพลาดมากอาจจะถูก?

อิมาม อบูอัมร์ อิบนิศศอลาห์ กล่าวว่า(มุกอดดิมะฮ์ อิบนิศศอลาห์หน้า "?เช่นเดียวกันหากพวกเขา(นักวิชาการฮะดีษ)กล่าวว่า ฮะดีษไม่ศอเฮียฮ์ นั่นไม่ใช่เป็นการฟันธงว่าเป็นการโกหก เพราะเป็นไปได้ที่อาจจะเป็นจริง แต่ความหมายจริงก็คือ สายสืบของฮะดีษดังกล่าวไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่ว่าไว้ วัลลอฮุอะอ์ลัม?

ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าคำว่า ?ฮะดีษศอเฮียฮ์? ?ฮะดีษฎออีฟ? นั้นมีความ ?ไม่แน่ใจ? หรือ ?การสงสัย?อยู่พอกันไม่แตกต่างกันตราบใดก็ตามที่ฮะดีษศอเฮียฮ์นั้นๆไม่ถึงระดับมุตะวาติร ฮุก่มเหล่านี้พูดถึงการตรง หรือไม่ตรงกับเงื่อนไขที่ถูกตั้งไว้เท่านั้น ไม่ใช่การฟันธงว่า ถูก หรือ ผิด สัจจริง หรือ มดเท็จ ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าสถานะของการตัดสินหะดีษใดว่าศอเฮียฮ์ และฎออีฟนั้นล้วนอยู่ในระดับของ ?การสงสัย? หรือ ظن เหมือนๆกัน ฉะนั้นหาก ?การสงสัย?ดังกล่าวที่ท่านอ.กับบังอะสันยกมาทำให้เราไม่สามารถนำเอาฎออีฟมาปฏิบัติได้แล้ว ?การสงสัย? เดียวกันนี้ก็ต้องทำให้เราไม่สามารถนำศอเฮียฮ์มาปฏิบัติได้เช่นเดียวกัน แต่ทำไมถึงนำสิ่งดังกล่าวมาหักล้างเพียงฎออีฟเท่านั้น?

ดังนั้นเราจะเห็นว่าอัลอัลบานีย์จะไม่พูดเหมือนกับอ.มุรีด กับบังอะสัน โดยบอกว่ามันเป็นซอนเฉยๆ(ทั้งๆที่ต้นขั้วของเรื่องนี้อยู่ที่อัลอัลบานีย์) แต่จะเพิ่มไปอีกว่า หะดีษฎออีฟที่ไม่ให้เอามาปฏิบัตินั้นเพราะมันเป็น ซอนมัรญัวห์ ظن مرجوح เนื่องจากท่านทราบดีว่าไม่ว่าจะเป็นหะสัน ศอเฮียฮ์ ฎออีฟ ล้วนเป็นซอนในทรรศนะของมุหัดดิษีนทั้งสิ้นจึงเติมข้อแม้ดังกล่าวเข้าไป

คำว่า ظن مرجوح นั้นหมายถึง การสงสัยที่หนักไปทางลบ คือ หนักไปทางที่ว่าไม่น่าจะใช่หะดีษท่านรอซูล ซึ่งคำดังกล่าวไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เนื่องจากบรรดาอุลามาอ์ที่อนุญาตให้ปฏิบัติหะดีษฎออีฟนั้นวางเงื่อนไขไว้ว่าหะดีษนั้นจะต้องฎออีฟไม่มาก ฉะนั้นหากฎออีฟมากก็อาจกล่าวได้ว่าเป็น ظن مرجوح แต่หะดีษที่ฎออีฟไม่มากนั้นเราจะเห็นได้ว่า สาเหตุมาจากการที่ผู้รายงานมีความจำไม่ดีนัก หรือสับสน หรือมีอิรซาล หรืออิงกิฏออ์ หรือมีตัดลีส ฯลฯ ซึ่งแนวทางของนักวิชาการหะดีษนั้นบางครั้งพวกท่านก็เข้มงวดกับนักรายงาน การตัดลีสเพียงครั้งสองครั้งก็เพียงพอให้ผู้นั้นแม้จะรายงานแบบตัศเรียฮ์มากเพียงใดก็ทำให้เขาเป็นมุดัลลิสได้ ฉะนั้นเราจะเห็นว่าพวกท่านเข้มงวด ซึ่งการเข้มงวดนี้ไม่ได้หมายถึงว่ามันมีความเป็นไปได้มากกว่าที่หะดีษนั้นจะไม่ได้มาจากท่านรอซูล เพียงแต่มีข้อตำหนิที่ถูกระบุไว้ในกฎเกณฑ์ และเป็นการกันไว้ก่อนเท่านั้นเอง ฉะนั้นการทำให้ฎออีฟ กับฎออีฟญิดดันอยู่ในระดับเดียวกันจึงไม่ใช่การกระทำของบรรดามุหัดดิษีน

ส่วนหะดีษ และอายะฮ์กุรอานที่ยกมานั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆเลยกับหะดีษฎออีฟอย่างที่เรียนไป เพราะว่า เรียนไปแล้วว่าทุกหุกมล้วนเป็นซอนทั้งสิ้น หากอายะฮ์มีผลต่อฎออีฟ ก็ต้องมีผลต่อศอเฮียฮ์ ที่เป็นอาฮาด آحاد ด้วยเช่นกัน และอีกประการกุรอานยังมีการใช้คำว่าซอนกับความยะเก็นด้วย
واستعينوا بالصبر والصلاة وإنها لكبيرة إلا على الخاشعين الذين يظنون أنهم ملاقو ربهم وأنهم إليه راجعون

قال الذين يظنون أنهم ملاقو الله كم من فئة قليلة غلبت فئة كثيرة بإذن الله والله مع الصابرين

ดังกล่าวไม่ได้เป็นการสนับสนุนความคลุมเครือให้เกิดขึ้นในศาสนา เพียงแต่ซอนบางอย่างนั้นเพียงพอที่จะนำมาปฏิบัติในทางวิชาการ เช่น ประเด็นที่มีการอิจติฮาดเข้ามาเกี่ยวนั้นหุกมที่ออกมาล้วนเป็นซอนนีย์ทั้งสิ้น แต่กระนั้นบรรดาอุลามาอ์ก็เห็นตรงกันว่าเพียงพอที่จะนำมาปฏิบัติ เช่นเดียวกับที่บรรดาอุลามาอ์บอกว่าแม้ว่าการหุกมหะดีษ(ไม่ว่าจะหุกมใด)จะเป็นซอนนีย์ แต่อิจมาอ์ของบรรดาอุลามาอ์เป็นหลักฐานให้เรานำมาปฏิบัติได้

อ. มุรีด กล่าวในเหตุผลข้อ 2 ว่า ?ไม่อนุญาตให้ยึดรายงานหะดีษต่างๆก่อนจะแน่ใจว่าหะดีษบทนั้นถูกต้อง เฉกเช่นคนที่ออกหาฟืนในเวลากลางคืนบางครั้งงูอาจจะฉกเขาได้? แล้วก็ยกหลักฐานมา 4 หลักฐาน คือ 1. อายะฮ์ ซูเราะฮ์อันนูร 15 ซึ่งเราสามารถตอบสั้นๆได้ว่าอายะฮ์ดังกล่าวเกี่ยวกับการรับ-บอกข่าวโดยที่ไม่ตรวจสอบใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องดังกล่าวเกี่ยวกับเกียรติของท่านหญิงอาอิชะฮ์ซึ่งเป็นถึงภรรยาท่านรอซูลแต่พวกเขาก็มิได้สนใจ ซึ่งอายะฮ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องใดๆกับหะดีษฎออีฟ เนื่องจากบรรดามุหัดดิษีนต่างตรวจสอบที่มาที่ไปอย่างดีพวกท่านมีความเข้มงวด ซึ่งผลออกมาว่าพวกท่านเห็นว่าอนุญาตให้ปฏิบัติฎออีฟได้

2.หะดีษ ?พอเพียงแล้วสำหรับบุคคลหนึ่งที่จะโกหก โดยเขาพูดทุกๆสิ่งที่เขาได้ยินมา? อันนี้ก็เหมือนข้อแรกคือ บรรดามุหัดดิษีนท่านตรวจสอบกันแล้วมิใช่ว่าอะไรมาก็รับก็เอา

3-4 หะดีษ ?บุคคลใดที่พูดสิ่งหนึ่งจากฉันด้วยหะดีษบทหนึ่ง ซึ่งเขาถูกพบว่าเป็นผู้โกหก ดังนั้น เขาคือบุคคลหนึ่งจากบรรดาผู้ที่โกหก? และหะดีษ ?บุคคลใดที่โกหก(หะดีษ)จากฉันในสภาพที่เจตนา ดังนั้น เขาจงลงไปยังที่นั่งของเขาจากไฟนรกเถิด? นี่เป็นคำแปลตามที่ท่านอาจารย์เขียนนะครับ ไม่ใช่ผมแปล

ตอบสั้นๆ ครับว่าหะดีษทั้งสองนักวิชาการหะดีษใช้เป็นหลักฐานในการห้ามรายงาน และปฏิบัติหะดีษเมาฎัวะอ์ มิใช่ฎออีฟ เว้นแต่ผู้อ้างอิงหลักฐานนี้จะมีทรรศนะชาซว่าฎออีฟทั่วไปกับเมาฎัวอ์อยู่ในฐานะเดียวกัน ซึ่งหวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น

เหตุผลข้อสุดท้าย อ. มุรีด อ้างอิงจากอิบนุตัยมียะฮ์เช่นเดียวกับที่บังอะสันยกมา ซึ่งผมเองพยายามมองว่าท่านอิบนุ ตัยมียะฮ์ไม่ค้านกับญุมฮูรอุลามาอ์เนื่องจากคำดังกล่าวอาจมองได้ว่าท่านพูดเรื่องอะฮ์กาม ไม่ใช่ฟะฎออิล ซึ่งในเรื่องฟะฎออิลนั้นจากหนังสือ الكلم الطيب ของท่านก็มีหะดีษฎออีฟเช่นกัน หากว่าท่านต้องการแต่ศอเฮียฮ์ทำไมท่านจึงทำไม่ได้?

ส่วนคำของอัลอัลบานีย์ที่อ.ยกต่อมานั้นผมไม่วิจารณ์ใดๆ ส่วนคำอ้างอิงสุดท้ายจาก อิมาม อิบนุ กอยยิม ท่านกล่าวว่า ?สิ่งที่ไม่มีหลักฐานจากท่านรสูลุลลอฮ์ไม่มีหลักฐานจากเศาะหาบะฮ์ท่านหนึ่งจากบรรดาเศาะหาบะฮ์ และไม่มีหลักฐานจากตาบิอีน ถือว่าสิ่งนั้นเป็นโมฆะ(บาฏิล)? คำกล่าวนี้ไม่ได้อยู่ในประเด็นที่เราขัดแย้งกันอยู่ และการมีหลักฐานแต่ฎออีฟ กับการไม่มีหลักฐานใดๆเลยนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน คำกล่าวนี้จึงเป็นการชักจูงออกนอกประเด็น

เสริมจากที่อัลอัซฮารีย์อ้างอิงมาแล้วเกี่ยวกับทรรศนะญุมฮูร

อิมามอัลฮาฟิซ อัซซะคอวีย์ กล่าวไว้ใน ?อัลเกาลุลบะเดียอ์ ฟิศศอลาติ อะลัลฮะบีบิชชะเฟียอ์?ว่า
?ฉันได้ยินเชคของเราอิบนุฮะญัรกล่าวหลายครั้งว่า เงื่อนไขการเอาฮะดีษฎออีฟมาปฏิบัติมีอยู่ 3 ประการคือ
1.ซึ่งข้อนี้เห็นตรงกันก็คือ ความฎออีฟจะต้องไม่มาก(ฮะดีษประเภทนี้) เช่น ฮะดีษที่มีคนโกหก หรือถูกกล่าวหาว่าโกหก หรือความจำแย่รายงานมาคนเดียว(สังเกตให้ดีว่า ฮะดีษประเภทนี้อยู่ในประเภทอ่อนไม่มาก ?ผู้แปล)
2.จะต้องเข้าอยู่ในรากฐานกว้างๆ ฉะนั้น(ข้อนี้)จึงคัด สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยไม่มีรากฐานใดๆเลย
3.เมื่อกระทำงานนั้นๆลงไป จะต้องไม่นึกว่ามันเป็นฮะดีษที่ใช้ได้ เพื่อจะได้ไม่เกิดการพาดพิงต่อท่านนบีในสิ่งที่ท่านอาจไม่ได้พูด
สองอย่างหลังได้มาจาก อิบนุอับดิสสลาม และอิบนุดะกีกิลอีด ส่วนข้อแรกนั้นอัลอาลาอีย์บอกว่าเป็นมติที่เห็นตรงกัน?

ท่านเชค อับดุลลอฮ์ มะฮ์ฟูซ (เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าศาลพิพากษาทางบทบัญญัติ ณ ฮัฎรอเมาต์) กล่าวไว้ใน ?อัซซุนนะฮ์ วัลบิดอะฮ์? กล่าวว่า

?ผมขอย้ำว่า อุลามาอ์ฮะดีษ อุศูล และฟิกฮ์ ทุกคนต่างอนุญาตให้ปฏิบัติฮะดีษฎออีฟ บางท่านไม่วางเงื่อนไข บางท่านวาง....... ส่วนการที่พวกเขาวางเงื่อนไขในฮะดีษศอเฮียฮ์(ว่าจะต้องไม่มีคนประเภทนั้น ประเภทนี้อยู่)ก็เพราะเรื่องการฮุก่มฮะลาล ฮะรอม หรือสิ่งไหนวาญิบ สิ่งไหนไม่วาญิบพร้อมกันนี้พวกท่านก็ปฏิบัติตามฮะดีษฎออีฟ เพื่อการเผื่อไว้(ในการได้รับผลบุญ) ไม่ว่าจะเป็นการทำ หรือการทิ้งก็ตาม และพวกท่านใช้ยกหลังฐานในสิ่งที่เป็นซุนนะฮ์ และมักรูฮ์เพื่อเป็นการเผื่อไว้ ท่านอัลฮาฟิซ อิบนุ อับดิลบัร กล่าวไว้ใน ?ญาเมียอ์บะยานิลอิลม์ วะฟัฎลิฮ์? ว่า ?ให้รายงานฮะดีษได้จากทุกคน ส่วนสายสืบที่เป็นหลักฐาน(ในเรื่องฮุก่มต่างๆ)ได้นั้น เป็นสายสืบที่พูดเกี่ยวกับฮุก่มเรื่องฮะลาล ฮะรอม? และท่านยังกล่าวไว้อีกที่ว่า ?ฮะดีษที่เกี่ยวกับคุณค่าของอะมั้ล(ฟะฎออิลุลอะอ์มาล)อุลามาอ์อะลุ่มอะหล่วยให้รายงานจากใครก็ได้มาตั้งแต่อดีต และพวกท่านจะไม่มาวิพากษ์วิจารณ์รายงานเหล่านั้น เหมือนกับที่มาวิพากษ์กันในฮะดีษที่เป็นเรื่องฮุก่ม?.........

มีกล่าวไว้ในอัตตักรีบของ อันนะวะวีย์ และหนังสืออธิบายอัตตักรีบ(ที่ชื่อ) อัตตัดรีบ ของอัซซุยูฏีย์ว่า

?เป็นที่อนุญาตสำหรับนักวิชาการฮะดีษ และคนอื่นๆในเรื่องของสายรายงานที่อ่อน และ(อนุญาตให้)รายงาน และปฏิบัติฎออีฟที่ไม่เป็นเมาฎูอ์ได้โดยไม่ต้องแจ้งก่อนว่าเป็นฎออีฟ ในเรื่องที่ไม่ใช่ศิฟาตของอัลลอฮ์ หรือสิ่งที่เป็นไปได้ หรือไม่ได้ในส่วนของพระองค์ หรือคำอธิบายดำรัสของพระองค์ และเรื่องอะฮ์กาม เช่นฮะลาล ฮะรอม หรืออื่นๆ ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็คือเรื่องของ เรื่องเล่า คุณค่าของอะมั้ล เรื่องเตือนใจ และอื่นๆซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอะกีดะฮ์ และฮุก่ม และคนที่มีทรรศนะเช่นนี้คือ อิบนุ ฮัมบัล อิบนุ มะฮ์ดี และอิบนุลมุบารอก.......?

อิมามอับดุลฮัยย์ อัลลักนาวีย์ กล่าวใน ?ซอฟรุลอะมานีย์? ว่า

?ฟะฎออิลุลอะอ์มาล(คุณค่าของอะมั้ล) คือ คุณค่าของงานที่มีอยู่แล้ว และสิ่งที่ชอบให้พึงกระทำทั้งหลาย ที่ผู้กระทำจะถูกตอบแทน และคนทิ้งไม่ถูกตำหนิ อนุญาตให้รับฮะดีษฎออีฟ และทำตามได้ เพราะถ้าเกิดฮะดีษดังกล่าวถูกต้อง เขาก็ได้สิทธิของเขาเรื่องอะมั้ลที่ได้ทำไป แต่ถ้าไม่ถูกต้องก็ไม่มีผลเสียใดๆตามมาในทำนองไปฮะลาล(ของฮะรอม) หรือฮะรอม(ของฮะลาล) และไม่ได้ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น?

และท่านกล่าวต่อมา ว่า

?ขอให้รู้ไว้ว่า คนที่ระบุไว้ว่าให้รับฮะดีษฎออีฟในเรื่องคุณค่าของอะมั้ลได้คือ อะฮมัด อิบนิ ฮัมบัล และคนอื่นๆ และอุลามาอ์ฮะดีษมากมาย ซึ่งอิบนุซัยยิดินนาซในหนังสือประวัติศาสตร์ของท่านที่เรียก ?อุยูนุลอะษัร? และอะลี อัลกอรีย์ ใน ?อัลฮัซซุลเอาฟัร ฟิล ฮัจยิลอักบัร? และ ?กิตาบุลเมาฎูอาต? และ อัซซุยูฏีย์ในสารของท่าน ?อัลมะกอมะฮ์ อัซซุนดุซียะฮ์? และ ?อัตตะอ์ซีม วัลมินนะฮ์ ฟีอันนะ อะบะวัย รอซูลิลลาฮ์ฟิลญันนะฮ์? และ ?ฏุลูอุษษะรียัน บิอิซฮาร มากานะคอฟียัน? และอัซซะคอวีย์ ใน ?อัลเกาลุลบะดีอ์ ฟีศศอลาติ อะลัลฮะบีบิชชะเฟียอ์? และอัลอิรอกีย์ใน อัลอัลฟียะฮ์ และอันนะวะวีย์ใน ?อัลอัซการ? และ ?อัตตักรีบ? และคนที่อรรถาธิบาย อัลอัลฟียะฮ์ อาทิ อัซซะคอวีย์ ชัยคุลอิสลามซะกะรียา อัลอันศอรีย์ และคนอื่น และอัลฮาฟิซอิบนิฮะญัร และอิบนุลฮุมามในหนังสือ ?ตะฮ์รีรุลอุศูล? และในฮาชียะฮ์อัลฮิดายะฮ์ที่เรียกว่า ?ฟัตฮุลกอดีร? และคนอื่นๆอีก ทั้งรุ่นก่อนและรุ่นหลังได้บอกไว้ชัดเจน?

ความรู้นั้นมีหลายแขนง หากจะศึกษาเรื่องฟิกฮ์ก็มีหนังสือฟิกฮ์ต่างๆ หากจะศึกษากฎเกณฑ์หะดีษก็มีหนังสืออุลูมหะดีษมากมาย และผู้ที่พอจะมีความรู้เรื่องอุลูมหะดีษก็สมควรรู้ว่าหนังสืออะไรบ้างที่เป็นที่อ้างอิงกันในหมู่นักวิชาการ ซึ่งผู้ที่มีหนังสืออย่าง
مقدمة ابن الصلاح
النكت على ابن الصلاح
التقييد و الإيضاح
التقريب
تدريب الراوي
فتح المغيث
نزهة النظر
ظفر الأماني
และเล่มอื่นๆ ย่อมทราบทันทีว่าปราชญ์ที่เป็นที่อ้างอิงในวิชาการแขนงนี้ได้พูดไว้อย่างไรในประเด็นนี้ และผมยังไม่เจอหนังสืออุลูมหะดีษเล่มใดที่พูดค้านกับพวกท่าน เว้นแต่ قواعد التحديث ของ ญะมาลุดดีน อัลกอซิมีย์ซึ่งเป็นนักวิชาการสมัยหลัง(และคิลาฟก็เริ่มเกิดขึ้นหลังจากท่านเป็นต้นมา) เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าใครก็ตามที่เรียนอุลูมหะดีษมา หรือได้อ่านหนังสือที่เป็นที่ทราบดีกันในหมู่นักวิชาการต้องได้รับการถ่ายทอดมัสอะละฮ์นี้มาเหมือนกันทั้งหมด แต่ทำไมวันนี้ทรรศนะที่เป็นที่ยอมรับกันตลอดมากลับถูกบรรยายว่าสร้างความหมองคล้ำให้กับรัศมีอิสลาม ยิ่งกว่านั้นยังมีคนอามมีย์อีกมากมายที่เข้าใจว่าฎออีฟคือหะดีษที่ไม่ถูกต้อง หรือหะดีษโกหก ซึ่งผมล้วนเจอกับตัวเองมาแล้วทั้งสิ้น ที่น่าเสียใจคือคนที่แปลหะดีษฎออีฟว่าหะดีษไม่ถูกต้องนั้นถูกเรียกว่าอาจารย์(ผมได้ยินประโยคดังกล่าวจากวิทยุ) ซึ่งไม่ถูกต้องเลย

ที่ร้ายกว่านั้นคือ การนำทรรศนะส่วนน้อยมากๆนี้มาเป็นพื้นฐานหุกมการกระทำหลายๆอย่างที่มีพื้นฐานจากหะดีษฎออีฟว่าเป็นบิดอะฮ์ซึ่งยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้ที่มีทรรศนะตามส่วนน้อยนี้จึงยืนอยู่คนละข้างกับบรรดาอุลามาอ์ในทุกมัสอะละฮ์ที่มีการกล่าวหากันว่าเป็นบิดอะฮ์ ซึ่งเหตุก็มาจากตรงนี้นี่เอง คือ เราไม่ตามญุมฮูรอุลามาอ์ในทรรศนะหะดีษฎออีฟ แล้วเราก็มาว่าพวกท่านในหลายมัสอะละฮ์ว่าพวกท่านผิดพลาดบ้าง อะไรบ้าง นั่นเองที่ทำให้ต้องมีการชี้แจงเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เป็นพื้นฐานของปัญหาอย่างเรื่องหุกมหะดีษฎออีฟ

มาถึงตรงนี้หากยังยึดทรรศนะเดิม เราต้องถามตัวเองว่าเรายึดทรรศนะของใคร? และฝั่งตรงกันข้ามนั้นพวกเขาเป็นใคร?เราสมควรเลือกอะไร และจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาในสังคม

วัสสลาม

ปล. ผมคิดว่าคงจะมีการวิจารณ์คำพูดผมในช่วงท้ายซึ่งไม่ใช่เนื้อหาวิชาการ แต่หากใครจะวิจารณ์ก็กรุณาวิจารณ์ส่วนที่เป็นวิชาการด้วยครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
คิดนอกละหมาด

รับทราบคับผมม..

asan

ข้อความโดย: aswar

และเล่มอื่นๆ ย่อมทราบทันทีว่าปราชญ์ที่เป็นที่อ้างอิงในวิชาการแขนงนี้ได้พูดไว้อย่างไรในประเด็นนี้ และผมยังไม่เจอหนังสืออุลูมหะดีษเล่มใดที่พูดค้านกับพวกท่าน เว้นแต่ قواعد التحديث ของ ญะมาลุดดีน อัลกอซิมีย์ซึ่งเป็นนักวิชาการสมัยหลัง(และคิลาฟก็เริ่มเกิดขึ้นหลังจากท่านเป็นต้นมา) เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าใครก็ตามที่เรียนอุลูมหะดีษมา หรือได้อ่านหนังสือที่เป็นที่ทราบดีกันในหมู่นักวิชาการต้องได้รับการถ่ายทอดมัสอะละฮ์นี้มาเหมือนกันทั้งหมด แต่ทำไมวันนี้ทรรศนะที่เป็นที่ยอมรับกันตลอดมากลับถูกบรรยายว่าสร้างความหมองคล้ำให้กับรัศมีอิสลาม ยิ่งกว่านั้นยังมีคนอามมีย์อีกมากมายที่เข้าใจว่าฎออีฟคือหะดีษที่ไม่ถูกต้อง หรือหะดีษโกหก ซึ่งผมล้วนเจอกับตัวเองมาแล้วทั้งสิ้น ที่น่าเสียใจคือคนที่แปลหะดีษฎออีฟว่าหะดีษไม่ถูกต้องนั้นถูกเรียกว่าอาจารย์(ผมได้ยินประโยคดังกล่าวจากวิทยุ) ซึ่งไม่ถูกต้องเลย

ที่ร้ายกว่านั้นคือ การนำทรรศนะส่วนน้อยมากๆนี้มาเป็นพื้นฐานหุกมการกระทำหลายๆอย่างที่มีพื้นฐานจากหะดีษฎออีฟว่าเป็นบิดอะฮ์ซึ่งยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้ที่มีทรรศนะตามส่วนน้อยนี้จึงยืนอยู่คนละข้างกับบรรดาอุลามาอ์ในทุกมัสอะละฮ์ที่มีการกล่าวหากันว่าเป็นบิดอะฮ์ ซึ่งเหตุก็มาจากตรงนี้นี่เอง คือ เราไม่ตามญุมฮูรอุลามาอ์ในทรรศนะหะดีษฎออีฟ แล้วเราก็มาว่าพวกท่านในหลายมัสอะละฮ์ว่าพวกท่านผิดพลาดบ้าง อะไรบ้าง นั่นเองที่ทำให้ต้องมีการชี้แจงเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เป็นพื้นฐานของปัญหาอย่างเรื่องหุกมหะดีษฎออีฟ

มาถึงตรงนี้หากยังยึดทรรศนะเดิม เราต้องถามตัวเองว่าเรายึดทรรศนะของใคร? และฝั่งตรงกันข้ามนั้นพวกเขาเป็นใคร?เราสมควรเลือกอะไร และจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาในสังคม
...........

จริงๆ ไม่อยากจะสนทนาด้วย แต่ขอเตือนว่า ข้อความข้างต้น ไม่ควรจะรกอยู่ในสมองของปัญญาชน ที่มีอีหม่านต่ออัลลอฮ
วิชาการ ก็คือวิชาการ วิจารณ์ก็ควรวิจารณ์ แบบผู้มีอีหม่าน ค้านก็ควรจะค้านแบบปัญญาชน

al-azhary

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ขอบคุณ al-aswar มากที่ช่วยอธิบายเสริมให้กระจ่างมากยิ่งๆ ขึ้น

جزاك الله أحسن الجزاء

والسلام

الأزهرى

aswar

อ้างจาก: asan

จริงๆ ไม่อยากจะสนทนาด้วย แต่ขอเตือนว่า ข้อความข้างต้น ไม่ควรจะรกอยู่ในสมองของปัญญาชน ที่มีอีหม่านต่ออัลลอฮ
วิชาการ ก็คือวิชาการ วิจารณ์ก็ควรวิจารณ์ แบบผู้มีอีหม่าน ค้านก็ควรจะค้านแบบปัญญาชน

หากผมวิจารณ์อย่างคนไร้ซึ่งอีหม่าน และค้านเยี่ยงคนโง่เขลา ผมอยากให้บังอะสันนำมาแสดงด้วยนะครับ ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้รังเกียจในการรับ "นะศีหะฮ์"จากใครเลยครับ แต่ผมรังเกียจที่จะรับ "ข้อกล่าวหา"เท่านั้นเองครับ ถ้าบังนำมาแสดงถ้าผมผิดจริงผมจะได้ปรับปรุงตัว แต่ถ้าผมไม่ผิดบังอะสันก็จะได้เข้าใจผม และเราก็จะได้เข้าใจกันมากขึ้นไงครับ

เป็นพี่น้องกับทุกคนครับ

วัสสลาม

aswar

ผมหมายถึงให้บังวิจารณ์มาเลยอ่ะครับ กลัวเดี๋ยวบังจะบอกว่า "ก็เอามาให้ดูแล้ว" วิจารณ์ได้ครับว่าข้อความดังกล่าวไร้อีหม่าน หรือโง่เขลาอย่างไร แต่ก็อย่าลืมวิจารณ์เรื่องวิชาการด้วยนะครับ

asan
 
อ้างจาก: aswar ที่ วันนี้ เวลา 01:46

อัลฮาฟิซ อัซซะคอวีย์ กล่าวว่า ?อุลามาอ์ส่วนใหญ่ที่เป็นนักวิชาการฮะดีษ นักวิชาการฟิกฮ์ และนักวิชาการอุศูล ซึ่งคนหนึ่งก็คือ อิมามชาฟิอีย์ มีทรรศนะว่าการตัดสินฮะดีษหนึ่งๆว่าถูกต้อง หรือฎออีฟนั้น เป็นเพียงความเป็นไปได้ในภายนอก ฉะนั้นถ้าพวกเขากล่าวว่า ฮะดีษนี้ศอเฮียฮ์ ความหมายคือ มีสายสืบติดต่อกัน พร้อมกับเงื่อนไขอื่นๆที่ถูกตั้งเอาไว้(เท่านั้น) เพราะเป็นไปได้ว่าคนที่มีความน่าเชื่อถือนั้นอาจจะผิด หรือหลงลืมได้

และเมื่อพวกเขากล่าวว่า ฮะดีษนี้ฎออีฟ หมายความว่า มันขาดเงื่อนไขๆหนึ่ง หรือมากกว่านั้น ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการรับฮะดีษ(เท่านั้น) เพราะเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่น่าเชื่อถือคนนั้นอาจจะจำ(ฮะดีษดังกล่าว) และพูดจริง

วิจารณ์

คำพูดของ อัลฮาฟิซ อัซซะคอวีย์ นั้น เป็นเพียงความเห็นของอุลามาอฺคนหนึ่ง และถ้ามีความคิดแบบนี้ คงไม่ต้องมาแบ่งหะดิษ ว่า เศาะเหียะ ,หะซัน และเฏาะอีฟ เราต้องไม่ลืมว่า หะดิษเศาะเฮียะ ,หะดิษฮะซัน และ หะดิษเฏาะอีฟ ต่างก็มีเงื่อนไขของมัน ที่มาการันตีความเชื่อถือ ของหะดิษ สามประเภทนี้ ตามหลักว่าชาหะดิษ การจะมาอ้างว่า ?หะดิษเศาะเฮียะ?อาจจะเฎาะอีฟก็ได้ ถ้าพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่า การเอาหะดิษมาเป็นหลักฐาน ก็ไม่ต้องไปสนใจ ว่า เศาะเฮียะ หรือ ไม่ เพราะคาดเดาเอาว่า ที่ว่า เฏาะอีฟ อาจจะเศาะเฮียะก็ได้ และที่ว่า เฎาะอีฟ อาจจะเศาะเฮียะก็ได้ อย่างนี้ ฟังไม่ขึ้น และไร้สาระ

ท่านอัลลามะฮ อะหมัด ชากิร กล่าวว่า

لا فرقَ بين الأحكام وبين فضائل الأعمال ونحوها في عدم الأخذ بالرواية الضعيفة ، بل لا حجةَ لأحدٍ إلا بما صحَّ عن رسول الله صلى الله عليه وسلم من حديث صحيحٍ أو حسنٍ .
ไม่มีการแบ่งแยก ระหว่างเรื่องหุกุม (ว่าด้วยกฎข้อบังคับของศาสนา) และ ระหว่าง เรื่อง ความประเสริฐ ของบรรดาการงาน(ฟะฏออิลุ้ลอะอฺม้าล) และในทำนองนั้น ในการที่ไม่อนุญาตให้ยึดเอารายงานที่เฏาะอีฟ แต่ตรงกันข้าม ไม่อนุญาตให้บุคคลใด อ้างอิงหลักฐาน นอกจากด้วย สิ่งที่เศาะเฮียะ จากท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จากหะดิษเศาะเฮียะ หรือ หะดิษหะซัน
- อัลบาอิษุลหะษีษ เล่ม 1 หน้า 278

การนำหะดิษเฎาะอีฟมาอ้างนั้น หนีไม่พ้น การคาดเดา หรือ เดาสุ่มเอา การปฎิบัติในสิ่งที่ไม่แน่นอน หรือ คาดคะเนเอาเองนั้น ศาสนาห้าม ดังหลักฐานที่ได้ระบุแล้วคือ

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً

และแท้จริงการคาดคะเนนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่ความจริงได้

ท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

พวกท่านพึงระวัง การคาดคะเน แท้จริงการคาดคะเนนั้น เป็นคำพูดที่โกหก ? มุตตะฟักอะลัญฮิ

การห้ามปฏิบัติตาม การคาดเดา ไม่ว่า ในเรื่องของอะกีดะฮ(หลักศรัทธา) หรือ หลักการอิบาดาต นั้น ย่อมไม่แตกต่าง

ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

من كذب علي متعمداً فليتبوأ مقعده من النار"

ผู้ใด อุปโลกห์เรื่องเท็จให้แก่ข้าพเจ้า โดยเจตนา ดังนั้น เขาจงเตรียมที่อยู่ของเขา จากนรก
(رواه أحمد وأصحاب السنن الستة وغيرهم)


การคาดเดาแล้วอ้างว่าท่านรซูลพูด หรือทำ ย่อมเสี่ยง ที่จะเข้าข่ายหะดิษข้างต้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

al-takwa

อืม... ฉันเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้วนะ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
almadeney

อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีเป็นมติที่เอกฉันท์หรือ ?

บางอุละมาอฺกล่าวว่ามันเป็นมติเอกฉันท์ของปวงอุละมาอฺ อาทิเช่น : อิหม่ามอันนะวะวีย์ (ดู:บทนำอัลอัรบะอีน) และท่านอลีย์ อัลกอรี (ดู:อัลอัสร็อร อัลมัรฟูอะฮฺ 315)

การกล่าวว่าปัญหาดังกล่าวเป็นมติเอกฉันท์นั้น เป็นการกล่าวที่สมควรแก่การทบทวน อันเนื่องจาก
? มีบางอุละมาอฺในรุ่นก่อนๆมีทัศนะว่า ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดี
? มีอุละมาอฺกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งกัน

บางอุละมาอฺที่มีทัศนะว่าไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดี
? ท่านยะหฺยา อิบนุ มะอีน(เสียชีวิต ฮ.ศ233)
ท่านอิบนุสัยยิดินนาสได้กล่าวว่า :
وممن حكي عنه التسوية بين الأحكام وغيرها يحيى بن معين
และหนึ่งในท่านที่มีรายงานจากเขาว่ามัน(หะดีษเฎาะอีฟ)มีความเท่าเทียมกันไม่ว่าในเรื่องของบทบัญญัติ(อะหฺกาม)และเรื่องอื่นๆคือท่านยะหฺยา อิบนุ มะอีน (ดู: อุยูนุลอะษัร 1/15)
? ท่านอัลอิหม่ามมุสลิม อิบนุ อัลหัจญาจ อัลกุชัยรีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ261)
ท่านอิบนุเราะญับได้กล่าวว่า :
وظاهر ما ذكره مسلم في مقدمة كتابه يقتضي أنه لا يروي أحاديث الترغيب إلا عمن تروي عنه الأحكام
และกระจ่างแจ้งในสิ่งที่ท่านมุสลิมได้กล่าวไว้ในบทนำหนังสือของท่าน ส่อให้เห็นว่าท่านนั้นไม่รายงานหะดีษที่เกี่ยวกับการส่งเสริมทำความดี นอกจากผู้ที่รายงานจากเขาในเรื่องบทบัญญัติ (ดู: ชัรหุ อิลัล อัตติรมิซีย์ 1/74)
? อบูชามะฮฺ อัลมักดิสีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ665)
ท่านอบูชามะฮฺได้กล่าวหลังจากที่ท่านได้ท้วงติงท่านอิบนุอะสากิรฺในประเด็นการปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีว่า:
وهذا عند المحققين من أهل الحديث وعند علماء الأصول والفقه خطأ
และนี้(หมายถึงทัศนะที่ให้การปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดี) ในทัศนะของนักตรวจสอบจากนักหะดีษ อุละมาอฺอุศูล และฟิกหฺนั้น เป็นทัศนะที่ผิด
? ท่านอัลเกาษะรีย์ได้กล่าวว่า :
والمنع من الأخذ بالضعيف على الإطلاق مذهب البخاري ومسلم ‏وابن العربي شيخ المالكية في عصره وابي شامة المقدسي كبير الشافعهية في زمنه، وابن حزم الظاهري ‏والشوكاني ولهم بيان قوي في المسألة لا يهمل
และทัศนะที่ห้ามมิให้นำหะดีษเฎาะอีฟมาใช้ไม่ว่าในกรณีใดนั้น คือมัซฮับของอัลบุคอรีย์ (เสียชีวีวิต ฮ.ศ256) มุสลิม อิบนุลอะเราะบีย์ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของผู้ตามแนวทางของอิหม่ามมาลิกในสมัยของท่าน อบูชามะฮฺอัลมักดิสีย์ผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดาผู้ตามแนวทางของอิหม่ามอัชชาฟิอีย์ในสมัยของท่าน อิบนุหัซมฺอัซซอฮิรีย์(เสียชีวีวิต ฮ.ศ456) และท่านอัชเชากานีย์(เสียชีวิต ฮ.ศ1250) และพวกท่านเหล่านั้นมีคำชี้แจงที่มีน้ำหนักในปัญหาดังกล่าวที่ไม่อาจเพิกเฉยไปได้ (ดู: อัลมะกอลาต 45)
? และยังมีทัศนะจากอุละมาอฺท่านอื่นๆอีกด้วย อาทิเช่น อบูสุลัยมานอัลค็อฏฏอบีย์และญะลาลุดดีนอัดเดาวานีย์ อัชชาฟิอีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ918) เป็นต้น

บางอุละมาอฺที่กล่าวว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่มีความขัดแย้งกัน
? ท่านอัสสุยูฏีย์
หลังจากที่ท่านได้กล่าวถึงเงื่อนไขของการปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีแล้ว ท่านก็ได้กล่าวว่า
وقيل : لا يجوز العمل به مطلقاً،قاله أبو بكر بن العربي
وقيل :يعمل به مطلقاً
และได้มีกล่าวว่า : ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติด้วยมัน (หะดีษเฎาะอีฟ) ไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม กล่าวโดยอบูบักรฺ อิบนุล อะเราะบีย์
และได้มีกล่าวว่า : อนุญาตให้ปฏิบัติด้วยมัน (หะดีษเฎาะอีฟ) ไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม (ดู : ตัดรีบุรรอวีย์ในช่วงท้ายของบทว่าด้วยอัลมักลูบ ลำดับที่22)
? ท่านอัสสะคอวีย์
ท่านอัสสะคอวีย์ได้กล่าวในหนังสือฟัตหุลมุฆีษ(289) สามทัศนะเกี่ยวกับปัญหานี้
? ท่านอัชชับร คีตีย์
ท่านได้ท้วงติงอิหม่ามอันนะวีย์ในบทนำอัลอัรบะอีน ที่ท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์กล่าวว่ามันเป็นมติที่เอกฉันท์นั้นเป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณา(ในความถูกต้อง) (ดู:อัลฟุตูหาต อัลวะฮฺบียยะฮฺ 40)

ดังนั้นการที่อิหม่ามอันนะวะวีย์และผู้ที่คล้อยตามตามทัศนะของท่านที่เห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่อุละมาอฺมีมติเอกฉันท์นั้น เป็นการกล่าวที่สมควรแก่การทบทวน และท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์เองก็มีบางปัญหาที่ท่านกล่าวว่าเป็นปัญหาที่มีมติเอกฉันท์ ทั้งๆที่จริงแล้วมันเป็นปัญหาที่มีความขัดแย้งกัน เช่น ท่านได้กล่าวว่า การละหมาดญะนาซะฮฺในช่วงสามเวลา(หมายถึงช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น-ช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่กึ่งกลางท้องฟ้า-และช่วงดวงอาทิตย์กำลังตก) นั้น อุละมาอฺมีมติเอกฉันท์ว่าไม่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (ดู:อัลมินหาจ 6/114) ทั้งๆที่จริงแล้วปัญหานี้เป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งกัน เพราะท่าน อัษเษารีย์ อัลเอาซาอีย์ อิสหาก และอบูหะนีฟะฮฺมีทัศนะว่าไม่อนุญาตให้ละหมาดญะนาซะฮฺในช่วงดังกล่าว(ดู:มะอาลิม อัสสุนัน 4/327)

แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าสถานะของท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์จะลดต่ำลง เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไม่มีความผิดนอกจากท่านนบีصلى الله عليه وسلم

ดังนั้นทัศนะที่ว่าไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีนั้น จึงไม่ใช่ทัศนะใหม่ที่พึ่งอุบัติขึ้นแต่ประการใด

IRF

คุณ อัลมะดีนีย์ทิ้งท้ายว่า

ดังนั้นทัศนะที่ว่าไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีนั้น จึงไม่ใช่ทัศนะใหม่ที่พึ่งอุบัติขึ้นแต่ประการใด

(มาช่วยขยาย เน้นๆให้ชัด)
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged