ผู้เขียน หัวข้อ: หลักการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  (อ่าน 8253 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
al-azhary

อ้างอิงจากคุณ almadeney

ดังนั้นการที่อิหม่ามอันนะวะวีย์และผู้ที่คล้อยตามตามทัศนะของท่านที่เห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่อุละมาอฺมีมติเอกฉันท์นั้น เป็นการกล่าวที่สมควรแก่การทบทวน และท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์เองก็มีบางปัญหาที่ท่านกล่าวว่าเป็นปัญหาที่มีมติเอกฉันท์ ทั้งๆที่จริงแล้วมันเป็นปัญหาที่มีความขัดแย้งกัน เช่น ท่านได้กล่าวว่า การละหมาดญะนาซะฮฺในช่วงสามเวลา(หมายถึงช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น-ช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่กึ่งกลางท้องฟ้า-และช่วงดวงอาทิตย์กำลังตก) นั้น อุละมาอฺมีมติเอกฉันท์ว่าไม่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (ดู:อัลมินหาจ 6/114)ทั้งๆที่จริงแล้วปัญหานี้เป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งกัน เพราะท่าน อัษเษารีย์ อัลเอาซาอีย์ อิสหาก และอบูหะนีฟะฮฺมีทัศนะว่าไม่อนุญาตให้ละหมาดญะนาซะฮฺในช่วงดังกล่าว(ดู:มะอาลิม อัสสุนัน 4/327)

วิจารณ์

หากคุณกลับไปดูจากหนังสือ อัลมินฮาจญ์ ของท่านอิมามอันนะวาวีย์จริงๆ คุณจะไม่พูดว่า อิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมินฮาจญฺ เนื่องจากอิมามอันนะวาวีย์ ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมุนฮาจญฺตามที่คุณกล่าวอ้าง เพราะมาวิจารณ์ในการถ่ายทอดกับการอิจญมาอ์ของอิมามอันนะวาวีย์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ดังนั้น คุณไม่สมควรที่จะนำสิ่งที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมินฮาจญฺ มาวิจารณ์เพื่อเปรียบเทียบในประเด็นเรื่องหะดิษฏออีฟ

และแต่ถ้าเรากลับไปพิจารณาจากหนังสือเล่มอื่นๆ ของอิมามอันนะวาวีย์ที่กล่าวถึงอิจญมาอ์ในประเด็นของเวลาที่มักโระฮ์ในละหมาดญะนาซะฮ์นั้น มันเป็นกรณีของอิจญมาอ์ในเรื่องอะไร? หรือว่าอิจญฺมาอ์ในแง่การทิ้งการกระทำในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งการไม่กระทำนั้น อาจจะอยู่ในแง่ของไม่อนุญาติแบบหะรอมหรือมักโระฮ์ แต่ทั้งหมดย่อมมีมติเดียวกันคือ ไม่ส่งเสริมให้กระทำ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นจุดมุ่งหมายคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ซึ่งหากคุณศึกษาเพิ่มเติมรายละเอียดของพูดของอิมามอันนะวาวีย์ในตำราเล่มอื่นของท่าน ยกหนังสือบางเล่มที่อิมามอันนะวาวีย์ไม่ได้กล่าวไว้นั้น ย่อมเป็นการละหลวม และสรุปวิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรมต่ออุลามาอ์ วัลลอฮุอะลัม

al-azhary

คุณไออาเอฟ การที่พวกเราคนใดคนหนึ่งจะเข้ามาสนทนานั้น ไม่เกี่ยวกับใครจะจนมุม แล้วคนอื่นมาแทนนั้น คุณคิดผิดแล้ว ซึ่งหากบังนูรุลอิสลามเข้ามา ก็ไม่เกี่ยวกับสถานะการณ์การสนทนาผม บังเขาเข้ามาตามสถานะการณ์ที่ผู้สนทนาแสดงรูปแบบการสนทนาเฉพาะของตนยามจนมุมออกมา โดยเลี่ยงประเด็นอื่นๆ ก็อาจจะเป็นได้ กรุณาอย่าคิดเข้าข้างตนเองเลย เป็นรูปแบบการสนทนาจริงๆ มันชี้จัดในทางตรงข้ามกับสิ่งที่คุณอ้าง"

อ้างอิงจากไออาเอฟ

คุณ อัลมะดีนีย์ทิ้งท้ายว่า

ดังนั้นทัศนะที่ว่าไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีนั้น จึงไม่ใช่ทัศนะใหม่ที่พึ่งอุบัติขึ้นแต่ประการใด

(มาช่วยขยาย เน้นๆให้ชัด)

ตอบ

ผมก็อยากจะขยายให้เน้นๆ แบบชัดๆ ขึ้นไปอีก ตามคำพูดที่คุณ อัลมะดินีย์ได้กล่าวไว้ คุณไออาเอฟครับ เราได้กล่าวไปแล้วว่า หากแม้นจะมีทัศนะของปวงปราชญ์บางส่วนที่ไม่ปฏิบัติหะดิษฏออีฟ นั่นไม่ใช่เรื่องใหม่ที่พึ่งอุบัติขึ้น แต่คุณอัลมาดินีย์และคุณไออาเอฟต้องเข้าใจว่า สิ่งใหม่ที่ถึงอุบัติขึ้นนั้น ในแง่ของการนำทัศนะของอุลามาอ์มาใช้ นักปราชญ์บางส่วนที่ไม่ปฏิบัติหะดิษฏออีฟ พวกเขาก็ให้เกียรติแก่ทัศนะของนักปราชญ์ท่านอื่นๆ ที่มีทัศนะปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ พวกเขาไม่เอาทัศนะของตนเองไปข่มและกล่าวหากับทัศนะอื่น นั่นคือทัศนะเดิมและจุดยืนของนักปราชญ์ แต่ที่แปลกใหม่และพึ่งอุบัติขึ้นก็คือ การที่กลุ่มหนึ่งที่อ้างตัวว่าตามสะลัฟ ใช้นามสะละฟีย์มาแอบอ้าง แล้วทำการนำทัศนะที่ตนเลือก มามาเป็นบรรทัดฐานในการฮุกุ่มทัศนะอื่นนั้น เป็นสิ่งที่แปลกใหม่และไม่ใช่แนวทางของสะละฟุศศอลิหฺอย่างแท้จริง หวังว่าคุณอัลมาดินีย์ และไออาเอฟคงเข้าใจความเป็นจริงที่เกิดขึ้น วัลลอฮุอะลัม


almadeney

อ้างอิงจากคุณ al-azhary

วิจารณ์
หากคุณกลับไปดูจากหนังสือ อัลมินฮาจญ์ ของท่านอิมามอันนะวาวีย์จริงๆ คุณจะไม่พูดว่า อิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมินฮาจญฺ เนื่องจากอิมามอันนะวาวีย์ ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมุนฮาจญฺตามที่คุณกล่าวอ้าง เพราะมาวิจารณ์ในการถ่ายทอดกับการอิจญมาอ์ของอิมามอันนะวาวีย์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ดังนั้น คุณไม่สมควรที่จะนำสิ่งที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมินฮาจญฺ มาวิจารณ์เพื่อเปรียบเทียบในประเด็นเรื่องหะดิษฏออีฟ

และแต่ถ้าเรากลับไปพิจารณาจากหนังสือเล่มอื่นๆ ของอิมามอันนะวาวีย์ที่กล่าวถึงอิจญมาอ์ในประเด็นของเวลาที่มักโระฮ์ในละหมาดญะนาซะฮ์นั้น มันเป็นกรณีของอิจญมาอ์ในเรื่องอะไร? หรือว่าอิจญฺมาอ์ในแง่การทิ้งการกระทำในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งการไม่กระทำนั้น อาจจะอยู่ในแง่ของไม่อนุญาติแบบหะรอมหรือมักโระฮ์ แต่ทั้งหมดย่อมมีมติเดียวกันคือ ไม่ส่งเสริมให้กระทำ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นจุดมุ่งหมายคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ซึ่งหากคุณศึกษาเพิ่มเติมรายละเอียดของพูดของอิมามอันนะวาวีย์ในตำราเล่มอื่นของท่าน ยกหนังสือบางเล่มที่อิมามอันนะวาวีย์ไม่ได้กล่าวไว้นั้น ย่อมเป็นการละหลวม และสรุปวิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรมต่ออุลามาอ์ วัลลอฮุอะลัม

คำตอบ

1. หากคุณกลับไปดูจากหนังสือ อัลมินฮาจญ์ ของท่านอิมามอันนะวาวีย์จริงๆ คุณจะไม่พูดว่า อิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมินฮาจญฺ เนื่องจากอิมามอันนะวาวีย์ ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมุนฮาจญฺตามที่คุณกล่าวอ้าง !!?
ตอบ: ท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์ได้กล่าวว่า:
لأن صلاة الجنازة لا تكره في هذا الوقت بالإجماع
อันเนื่องจากว่าการละหมาดญะนาซะฮฺในเวลานี้(หมายถึงสามเวลาดังที่ได้กล่าวอ้าง)ไม่ได้เป็นมักรูฮฺด้วยมติเอกฉันท์ (ดูอันมินฮาจญ์6/114)
หนังสืออัลมินฮาจญ์ที่ผมกล่าวถึงคือหนังสือ ?อัลมินฮาจญ์ ชัรหฺ เศาะหีหฺ มุสลิม อิบนุล หัจญาจญ์? หรือที่เขาเรียกกันว่า ชัรหุนนะวะวีย์ แต่คุณคงเข้าใจผิดคิดว่าหนังสืออัลมินฮาจญ์ที่ผมกล่าวอ้างนั้นคือหนังสือ ?มินหาจ อัฏฎอลิบีน? ซึ่งที่จริงแล้วคุณก็ไม่น่าจะด่วนสรุป สมควรที่จะตรวจสอบให้ดีก่อน อีกทั้งถ้าคุณดูจากที่ผมอ้างอิงคุณก็น่าจะรู้แล้วว่า อัลมินฮาจญ์ ที่ผมอ้างถึงนั้นหมยาถึงอัลมินฮาจญ์ไหน ทั้งนี้ก็เพราะว่า
? ผมบอกอย่างชัดเจนว่าเล่มที่6 หนังสือมินหาจอัฏฎอลิบีน(ที่เป็นมะตันล้วนๆของอิหม่ามอันนะวะวีย์) ไม่น่าจะมีจำนวนมากกว่า3เล่ม ซึ่งเมื่อคุณหาไม่พบในหนังสือมินหาจ อัฏฎอลิบีนแล้ว คุณก็น่าจะใคร่ครวญดูว่าท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์มีหนังสือเล่มใดบ้างที่ชื่อว่าอัลมินฮาจญ์
? ผมยอมรับว่าผมไม่ควรใช้คำว่า ?อัลมินหาจญ์? เพราะหนังสืออัลมินหาจญ์ของอิหม่ามอันนะวะวีย์ไม่ได้มีอยู่เล่มเดียว ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านคิดไปว่าคือหนังสือมินหาจญ์อัฏฎอลิบีน เพราะบางคนนั้นไม่รู้ว่า ?ชัรหุนนะวะวีย์ลิมุสลิม? มีชื่อจริงๆว่า ?อัลมินฮาจญ์ ชัรหฺ เศาะหีหฺ มุสลิม อิบนุล หัจญาจญ์? แต่ถึงกระนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษาก็ไม่น่าที่จะไม่รู้ว่า?ชัรหุนนะวะวีย์ลิมุสลิม? มีชื่อจริงๆว่า ?อัลมินฮาจญ์ ชัรหฺ เศาะหีหฺ มุสลิม อิบนุล หัจญาจญ์?

2. ดังนั้น คุณไม่สมควรที่จะนำสิ่งที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ไม่ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลมินฮาจญฺ มาวิจารณ์เพื่อเปรียบเทียบในประเด็นเรื่องหะดิษฏออีฟ ?
ตอบ : ชัดเจนแล้วว่าท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์ได้กล่าว แต่ทว่าผมยกประเด็นนี้ขึ้นมาทำไม?ผมยกประเด็นนี้ก็เพื่อจะบอกว่าท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์นั้นย่อมมีความผิดพลาดในการกล่าวมติเอกฉันท์(อัลอิจมาอฺ) และที่ท่านกล่าวว่าเป็นอิจมาอฺในประเด็นให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีนั้น ก็อาจจะมีความผิดพลาดได้เช่นกัน ซึ่งที่ผมยกมานั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบในประเด็นเรื่องหะดิษฏออีฟแต่ประการใด

3. และแต่ถ้าเรากลับไปพิจารณาจากหนังสือเล่มอื่นๆ ของอิมามอันนะวาวีย์ที่กล่าวถึงอิจญมาอ์ในประเด็นของเวลาที่มักโระฮ์ในละหมาดญะนาซะฮ์นั้น มันเป็นกรณีของอิจญมาอ์ในเรื่องอะไร? หรือว่าอิจญฺมาอ์ในแง่การทิ้งการกระทำในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งการไม่กระทำนั้น อาจจะอยู่ในแง่ของไม่อนุญาติแบบหะรอมหรือมักโระฮ์ แต่ทั้งหมดย่อมมีมติเดียวกันคือ ไม่ส่งเสริมให้กระทำ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นจุดมุ่งหมายคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ซึ่งหากคุณศึกษาเพิ่มเติมรายละเอียดของพูดของอิมามอันนะวาวีย์ในตำราเล่มอื่นของท่าน ยกหนังสือบางเล่มที่อิมามอันนะวาวีย์ไม่ได้กล่าวไว้นั้น ย่อมเป็นการละหลวม และสรุปวิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรมต่ออุลามาอ์ วัลลอฮุอะลัม!!?
ตอบ: ผมก็ไม่รู้ว่าคุณกลับไปพิจารณาจากหนังสือเล่มอื่นๆ ของอิมามอันนะวาวีย์หรือเปล่า !? ผมบอกว่า อิหม่ามอันนะวะวีย์กล่าวอิจมาอฺว่าไม่เป็นมักรูฮฺหรืออนุญาตให้ปฏิบัติ ส่วนที่คุณกล่าวมานั้นคุณมีความเข้าใจว่ามันเป็นมักรูฮฺ(ถ้าผมเข้าใจในคำพูดของคุณผิดก็ขออมัฟไว้ ณ ที่นี้ด้วย) ซึ่งถ้าอิหม่ามอันนะวะวีย์กล่าวว่ามักรูฮฺ มันก็เป็นไปอย่างที่คุณกล่าว เพราะบางที่คำว่ามักรูฮฺอาจให้ความหมายว่าหะรอม(มักรูฮฺ ตะหฺรีม) แต่ทั้งนี้อิหม่ามอันนะวะวีย์ไม่ได้บอกว่าเป็นมักรูฮฺ แต่ท่านบอกว่าไม่ได้เป็นมักรูฮฺ ซึ่งหมายความว่าอนุญาต ซึ่งมันค้านอย่างชัดเจนกับทัศนะของบางอุละมาอฺที่ว่าบอกว่าหะรอม

สิ่งที่ผมจะกล่าวสรุปก็คือ ดังที่ผมกล่าวมาแล้วว่า ทัศนะที่ว่าไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีนั้น จึงไม่ใช่ทัศนะใหม่ที่พึ่งอุบัติขึ้นแต่ประการใด

ส่วนจะมีนักวิชาการบางท่านที่มีทัศนะนี้แล้วไปข่มและกล่าวหากับทัศนะอื่น อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา โดยไม่เกี่ยวกับตัวผมแต่ประการใด เพราะผมไม่เคยไปข่มและกล่าวหาทัศนะอื่น ผมแค่เขียนขึ้นมาเพื่อชี้แจง ส่วนเรื่องจะยอมรับหรือไม่นั้น อันนี้ไม่ใช่หน้าที่อะไรของเรา

asan

عن سلمة بن الأكوع قال : سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول ( من تقول عليّ مالم أقل ، فليتبوأ مقعده في النار )
รายงานจากสะละมะฮ บุตร อัลอักวะฮฺ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ได้ยินท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
"ผู้ใดอุปโลกน์คำพูดให้แก่ฉัน สิ่งซึ่งฉันไม่ได้พูดไว้ ดังนั้น เขาจงเตรียมที่อยู่ในนรก * รายงานโดย บุคอรี

ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

( من كذب عليّ متعمدا فليتبوأ مقعده من النار

ผู้ใดกล่าวคำเท็จให้แก่ฉัน โดยเจตนา ดังนั้น เขาจงเตรียมที่อยู่ จากนรก - รายงานโดยบุคอรี และอบูดาวูด

ดังนั้น การเอาหะดิษเฎาะอีฟ มาเป็นหลักฐาน โดยกล่าวว่า ท่านนบีกล่าวว่า.....อย่างนั้น อย่างนี้ .ซึ่งเป็นคาดเดาว่าท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวไว้ แล้วถ้าท่านนบี ไม่ได้กล่าวไว้ เขาก็อาจจะอยู่ในข่ายความผิดอุปโลกน์สิ่งเท็จแก่ท่านนบีได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 07, 2007, 12:52 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
al-azhary

บังอะสันครับ สิ่งที่บังนำเสนอมาเพื่อยืนยันในทัศนะของแนวทางของบังนั้น มันเกินไป เพราะพรรณาเหมือนกับว่า หะดิษฏออีฟ ถูกเหมาเป็นหะดิษเมาฏั๊วะเสียอย่างนั้น ซึ่งไม่มีปราชญ์คนใดเขาพูดกันอย่างนี้หรอก และหะดิษฏออีฟนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องมีคนโกหกเสมอไปนี่ครับ ยกหะดิษนบี(ซ.ล.) เหมือนกับว่า คนรายงานหะดิษฏออีฟ โกหกต่อท่านนบีซะอย่างนั้น ซึ่งแบบนี้ไม่มีนักปราชญ์หะดิษเขากล่าวกันหรอกครับ ดังนั้น บังอะสันตอ้งแยกแยะระหว่างหะดิษเมาฏั๊วะกับหะดิษฏออีฟที่ไม่ใช่เมาฏั๊วะด้วยนะครับ เพื่อจะได้ไม่ไปกระทบกับนักปราชญ์แห่งโลกอิสลามผู้มีคุณธรรม. วัลลอฮุอะลัม

al-azhary

อ้างอิงจากคุณ อัลมาดินีย์

ตอบ: ท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์ได้กล่าวว่า:

لأن صلاة الجنازة لا تكره في هذا الوقت بالإجماع

อันเนื่องจากว่าการละหมาดญะนาซะฮฺในเวลานี้(หมายถึงสามเวลาดังที่ได้กล่าวอ้าง)ไม่ได้เป็นมักรูฮฺด้วยมติเอกฉันท์ (ดูอันมินฮาจญ์6/114) หนังสืออัลมินฮาจญ์ที่ผมกล่าวถึงคือหนังสือ ?อัลมินฮาจญ์ ชัรหฺ เศาะหีหฺ มุสลิม อิบนุล หัจญาจญ์? หรือที่เขาเรียกกันว่า ชัรหุนนะวะวีย์ แต่คุณคงเข้าใจผิดคิดว่าหนังสืออัลมินฮาจญ์ที่ผมกล่าวอ้างนั้นคือหนังสือ ?มินหาจ อัฏฎอลิบีน? ซึ่งที่จริงแล้วคุณก็ไม่น่าจะด่วนสรุป สมควรที่จะตรวจสอบให้ดีก่อน อีกทั้งถ้าคุณดูจากที่ผมอ้างอิงคุณก็น่าจะรู้แล้วว่า อัลมินฮาจญ์ ที่ผมอ้างถึงนั้นหมยาถึงอัลมินฮาจญ์ไหน ทั้งนี้ก็เพราะว่า

วิจารณ์

คุณอัลมะดีนีย์ ครับ หนังสืออัลมินฮาจญ์ที่คุณบอกนั้น ก็คือชัรฮ์ซอฮิหฺมุสลิมนี่แหละครับ ซึ่งผมช่วงเวลาน้อยเพราะวันนี้มีงานสำหรับนักศึกษาไทย ผมก็เลยไปตรวจสอบจากหนังสืออัลมินฮาจญ์ ชัรหฺ มุสลิม ในบทเรื่องญะนาอิซฺ كتاب الجنائز เพราะผมคิดว่าคงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ปราฏกว่าไม่พบในสิ่งที่คุณกล่าวไว้เลยแม้แต่น้อย ผมจึงเขียนชี้แจงไปตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่หากผมจะไปตรวจดูตามเล่ม 6 หน้า 114 นั้น ผมไม่พบอะน่ะครับ คงจะเป็นตีพิมพ์คนละที่กัน ผมก็ขอให้คุณชี้แจงบทของหะดิษที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์อธิบายนะครับ เพื่อผมจะได้กลับไปตรวจสอบอีกครับ จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

คำว่าหนังสือ อัลมินฮาจญ์ ของอิมามอันนะวาวีย์นั้น สามารถเรียกได้ทั้งสอง 2 เล่ม คือ หนังสือชัรหฺมุสลิม และ หนังสือมินฮาจญฺ อัตตอลิบีน เขาก็เรียกว่า อัลมินฮาจญ์ อย่างเดียวนั้นก็นิยมเรียกเหมือนกัน โดยตัด มุฏ๊อฟ คำว่า อัฏฏอลิบีนอีกไป แล้วใส่อะลีฟ ลาม เข้ามาแทนที่มุฏ๊อฟ หนังสือมินฮาจญ์อัฏฏอลิบีน นี้ เท่าที่ผมเคยเห็น มีแค่ เล่มเดียวเท่านั้น แม้บางโรงพิมพ์ตีพิมพ์ให้หนากว่า ตัวอักษรใหญ่กว่า ก็แค่เล่มเดียวครับ

al-azhary

อ้างจากคุณอัลมะดีนีย์

ตอบ : ชัดเจนแล้วว่าท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์ได้กล่าว แต่ทว่าผมยกประเด็นนี้ขึ้นมาทำไม?ผมยกประเด็นนี้ก็เพื่อจะบอกว่าท่านอิหม่ามอันนะวะวีย์นั้นย่อมมีความผิดพลาดในการกล่าวมติเอกฉันท์(อัลอิจมาอฺ) และที่ท่านกล่าวว่าเป็นอิจมาอฺในประเด็นให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีนั้น ก็อาจจะมีความผิดพลาดได้เช่นกัน ซึ่งที่ผมยกมานั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบในประเด็นเรื่องหะดิษฏออีฟแต่ประการใด

วิจารณ์

หากแม้นว่า คำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ มีระบุไว้จริงตามที่คุณอ้างอิงมา ผมก็อยากให้คุณทำความเข้าใจทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์เกี่ยวกับเรื่องอิจญมาอ์ด้วยนะครับ ไม่ใช่อิมามอันนะวาวีย์กล่าวอิจญฺมาอ์ แล้วไปพบว่ามีท่าน อัษเษารีย์ อัลเอาซาอีย์ อิสหาก และอบูหะนีฟะฮฺ มีทัศนะที่ขัดแย้งคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ ก็บอกว่าอิมามอันนะวาวีย์มีความผิดพลาดในการถ่ายทอดอิจญ์มาอ์นั้น คงไม่ได้นะครับ เพราะคุณต้องศึกษาทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ในเรื่องอิจมาอ์เสียก่อน

เป็นที่ทราบดีว่า ระหว่างอิมามอันนะวาวีย์กับท่านอัษเษารีย์ , ท่านอบูหะนีฟะอ์ , ท่านอัลเอาซะอีย์ เป็นต้น นั้น คนละสมัยกันและอยู่ห่างหลายร้อยปี ไม่ใช่ว่าพอนักปราชญ์ขัดแย้งกันคนละสมัย แล้วจะห้ามการอิจญ์มาอ์นั้น คุณมีหลักการที่ผิดพลาดตามทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์แล้วละครับ เนื่องจากว่าการอิจญฺมาอ์หลังมีการคิลาฟ(ขัดแย้งกันนั้น) ถือว่าใช้ได้ตามทัศนะที่ชัดเจน ซึ่งอิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลมินฮาจญ์ หรือ ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม ว่า

والأصح أن الإجماع بعد الخلاف يصح والله أعلم

"ทัศนะที่ชัดเจนที่สุดนั้น คือ แท้จริง การอิจญฺมาอ์(มติ) หลังจากมีการขัดแย้งนั้น ถูกต้อง(ใช้ได้)" ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 4 หน้า 31 ตีพิมพ์ดารุลหะดิษ ปี 1994 ค.ศ. - 1415 ฮ.ศ.

หวังว่าคุณอัลมาดินีย์ คงเข้าใจคำกล่าวอิจญฺมาอ์ตามทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ (ร่อฏิยัลลลอฮุอันฮ์) วัลลอฮุอะลัม

IRF

ประเด็นที่ผมย้ำคำพูดว่า ดังนั้นทัศนะที่ว่าไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีนั้น จึงไม่ใช่ทัศนะใหม่ที่พึ่งอุบัติขึ้นแต่ประการใด

ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องปรวงปราชญ์เค้าให้เกียรติกันอะไร..ดังที่คุณตอบมานะครับ ตอบมาคนละเรื่องเลย
แต่ที่ผมนำประโยคนี้มาย้ำคือเพื่อ จะให้จี้คำอ้างของคุณอัซฮารีให้จนมุม (หมายถึงชื่ออัซฮารีนะ ไม่ได้พูดถึงข้อความของชื่อ นูรุ้ลอิสลาม)
จี้ตรงไหน? ก็นี่ไงตรงประเด็นเลย
ก็คุณอัซฮารี จั่วหัวไว้เองซึ่งอธิบายถึงว่า การไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟ นั้นเป็นทัศนะของวะฮาบีย์(ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดใหม่)
แต่คำตอบและบทสรุปที่สวนไปคือ ดังนั้นทัศนะที่ว่าไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟในเรื่องคุณค่าของความดีนั้น จึงไม่ใช่ทัศนะใหม่ที่พึ่งอุบัติขึ้นแต่ประการใด

ประเด็นคืออันนี้เท่านั้นเองครับ ที่อยากจะสื่อ

al-azhary

อ้างอิงจากคุณไออาเอฟ

ก็คุณอัซฮารี จั่วหัวไว้เองซึ่งอธิบายถึงว่า การไม่อนุญาตให้ปฏิบัติตามหะดีษฎออีฟ นั้นเป็นทัศนะของวะฮาบีย์(ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดใหม่)

ตอบ

คุณไออาเอฟครับ ผมจั่วหัวไว้แค่นั้นหรือ? ซึ่งสิ่งที่ผมจั่วหัวไว้นั้น มันมีความหมายที่ครอบคลุมตามพฤติกรรมของวะฮาบีย์(สะละฟีย์ปัจจุบัน)นะครับ อย่ายกคำพูดของผมเพียงน้อยนิดซิครับ และสิ่งที่ผมจั่วหัวไปนั้น มีดังนี้ครับ

อัล-อัซฮะรีย์ ขอกล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!! วัลลอฮุอะลัม

al-azhary

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته وطيباته

ก่อนอื่นผมชี้แจงท่านผู้อ่านให้ทราบว่า ทัศนะที่มีความเห็นในปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟจากเรื่องคุณงามความดีด้วยเงื่อนไขต่างๆ ที่กล่าวมานั้น เป็นทัศนะของญุมฮูรนักปราชญ์ส่วนมาก

ปวงปราชญ์มีมติสอดคล้องกันว่า หะดิษที่ฏออีฟมากๆ ไม่สามารถนำมาปฏิบัติในด้านค่าอะมัลได้

ปวงปราชญ์มีมติสอดคล้องว่า หะดิษฏออีฟ จะนำมาเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่อง หะล้าล ฮะรอม ในเรื่องของอากิดะฮ์ และบรรดาซิฟัตของอัลเลาะฮ์นั้น ไม่ได้

และทัศนะที่นำเอาหะดิษฏออีฟอยู่ในหลักการเกี่ยวกับฮะดิษเมาฏั๊วะในเชิงการปฏิบัติในเรื่องคุณงามความดีนั้น เป็นย่อมเป็นทัศนะที่ไร้น้ำหนักตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม ตามทัศนะของเรา

ประเด็นที่กำลังคุยอยู่ในตอนนี้ก็คือ การคัดค้านในกรณีคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ที่ว่า การปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟเป็นมติของปวงปราชญ์!!?? ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร?

วิเคราะห์คำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์

ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลอัรบะอีนว่า "บรรดาปวงปราชญ์ มีความเห็นพร้องกันว่า อนุญาติให้ปฏิบัติหะดิษฏออีฟในเรื่องของคุณงามความดีได้"

และอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอัษการ ของท่านว่า "บรรดานักปราชญ์นิติศาสตร์อิสลามและนักปราชญ์หะดิษกล่าวว่า แท้จริง อนุญาตและสุนัตกับการปฏิบัติคุณงามความดี , ส่งเสริมให้ชอบกระทำความดี และเตือนให้เกรงกลัวด้วยกับหะดิษฏออีฟ ตราบใดที่มันไม่เมาฏั๊วะ" ดู หนังสือ อัลฟุตูฮาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อธิบาย อัลอัษการอันนะวาวียะฮ์ ของท่าน อิบนุอะลาน เล่ม 1 หน้า 82

ท่านอิบนุ อะลาน ได้กล่าวอธิบายว่า ?ท่านอิบนุหะญัร อัลฮัยษะมีย์ อัลมักกีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ฟุตหุลมุบีน อธิบายหนังสือ อัลอัรบะอีนของอิมามอันนะวาวีย์ และได้บ่งชี้ถึงการความเห็นสอดคล้องกับปวงปราชญ์ ซึ่งท่านอิบนุหะญัรได้กล่าวโต้ตอบผู้คัดค้านที่กล่าวว่า"บรรดาคุณงามความดีนั้น ต้องได้รับมาจากผู้บัญญัติศาสนา(ที่ซอฮิหฺ) ดังนั้น การยืนยันด้วยกับหะดิษฏออีฟ ถือเป็นการประดิษฐ์เรื่องอิบาดะฮ์ขึ้นมา และทำการบัญญัติในเรื่องศาสนาที่อัลเลาะฮ์มิได้ทรงอนุญาต" และท่านอิบนุหะญัร ได้โต้ตอบว่า "มติของปวงปราชญ์(เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ) นี้ บางครั้งเป็นมติที่เด็ดขาดแน่นอนและบางครั้งเป็นมติที่คิดว่าค่อนไปยังการมีน้ำหนักยิ่ง ที่ไม่สามารถจะถูกปฏิเสธด้วยการกล่าวอ้างเฉกเช่นสิ่งดังกล่าว แม้หากว่าไม่มีคำโต้ตอบให้ก็ตาม ดังนั้น จะอย่างไรเล่า ในเมื่อคำตอบจริง ๆ นั้น ย่อมมีความชัดเจนแล้วว่า คือ การปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของการประดิษฐ์หรือวางบทบัญญัติขึ้นมาเอง แต่แท้จริงแล้ว มันเรื่องของการแสวงหาและมุ่งหวังในความดีงาม ด้วยสัญลักษณ์ที่ฏออีฟโดยไม่มีผลเสียติดตามมา"ดู หนังสือ อัลฟุตูฮาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อธิบาย อัลอัษการอันนะวาวียะฮ์ ของท่าน อิบนุอะลาน เล่ม 1 หน้า 83

ผมขอกล่าวว่า การอิจญฺมาอ์ที่อิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวถึงนั้น คือ ?อิจญฺมาอ์ที่ค่อนไปในทางที่มีน้ำหนัก? ไม่ใช่ ?อิจญฺมาอ์ที่เด็ดขาด? เนื่องจากคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์นี้ พูดถึงเรื่องการ ?อนุญาต? ( الجواز ) เท่านั้น ซึ่งหมายถึง ปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ เพราะว่ามีหะดิษฏออีฟมารับรองตามเงื่อนไขที่วางไว้ และการกล่าวว่า สุนัต ( المستحب ) ให้ในปฏิบัติ ซึ่งหมายถึงกระทำแล้วได้รับผลบุญ ไม่ใช่เพราะว่าได้รับการยืนยันแน่นอนจากหะดิษฏออีฟ แต่เนื่องมาจากหะดิษฏออีฟดังกล่าวได้อยู่ภายใต้หลักฐานซอฮิหฺที่ให้ความหมายแบบครอบคลุมหรืออยู่ภายใต้หลักการพื้นฐานทั่วไปที่ได้ถูกรับรองไว้และเป็นตัวเสริมน้ำหนักในการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ และการกล่าวอิจญฺมาอ์หลังจากมีการคิลาฟนั้น ก็สามารถเป็นอิจญมาอ์ได้ ซึ่งผมจะนำมากล่าวชี้แจงในช่วงท้าย อินชาอัลเลาะฮ์

วิเคราะห์คำกล่าวของท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์ อัลมาลิกีย์

ท่านอิบนุ อัลอะลาล กล่าวว่า ?ท่านอิมาม อัซซัรกาชีย์ ได้ทำการถ่ายทอดทัศนะของท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์ จากหนังสือบางเล่มของท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์ ซึ่งกล่าวว่า ?หะดิษฏออีฟไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้เลย? ดู อัลฟุตูฮาต อัรร๊อบบานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 83

"ท่าน อัลกอฏี อบูบักร อิบนุ อัลอะรอบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มะรอกี อัซฺซุลัฟ ของท่านว่า หะดิษของท่านอิบนุอับบาสที่ว่า "เมื่อคนหนึ่งจากพวกท่าน ได้ร่วมสังวาสกับภรรยาหรือทาสหญิงของเขา ก็อย่ามองไปยังอวัยวะเพศของนาง" หากแม้นว่าหะดิษนี้ไม่ได้รับการยืนยันถึงหุกุ่มมักโระฮ์ก็ตาม แต่ทว่า หะดิษฏออีฟนั้น ย่อมดีกว่า ความเห็นในเรื่องการกิยาสตามทัศนะของปวงปราชญ์"

และท่านอิบนุ อะลาล ได้กล่าวอธิบายว่า ?คำพูดของท่าน อิบนุ อัลอะรอบีย์ นั้น ถูกตีความว่า หมายถึง หะดิษฏออีฟมากๆ ที่เป็นมติสอดคล้องว่านำมาปฏิบัติไม่ได้ ดังกล่าวที่ท่าน หาฟิซฺ อัลสัคคอวีย์ ได้บ่งแนะนำเอาไว้? ดู อัลฟุตูฮาต อัรร๊อบบานียะฮ์ เล่ม 1 หน้า 83

ท่านอิบนุ อับอะรอบีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอาริเฏาะฮ์ อธิบายสุนันอัตติรมีซีย์ว่า

وهو وإن كان مجهولا فإنه يستحب العمل به لأنه دعاء بخير وصلة للجليس وتودد له

?หะดิษ(ที่ท่านอัตติรมีซีย์ได้รายงาน)นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นหะดิษมัจญโฮลก็ตาม ดังนั้น ก็ถือว่าเป็นสุนัตให้ทำการปฏิบัติกับมันได้ เพราะว่ามันเป็นการขอดุอาอ์ เกี่ยวกับสิ่งดีงามและเชื่อมความสัมพันธ์และรักใคร่กับมิตรสหาย? ดู หนังสือ อัสซุนนะฮ์ วะ อัลบิดอะฮ์ ของท่าน อับดุลเลาะฮ์ มะหฺฟูซฺ อัลหัดดาด บะลาวีย์ หน้า 95

ดังนั้น จากคำกล่าวของท่านอิบนุอะรอบีย์ โดยตรวจสอบจากบรรดาตำราที่ท่านประพันธ์ขึ้นมานั้น สรุปได้ว่า ท่านอิบนุอะรอบีย์ไม่ได้ปฏิเสธหลักการปฏิบัติหะดิษฏออีฟเสียทั้งหมด แต่หากว่าเป็นหะดิษฏออีฟมากๆ นั่นย่อมนำมาใช้ปฏิบัติไม่ได้เลย

วิเคราะห์ทัศนะของท่านอิมามบุคคอรีย์และอิมามมุสลิม

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่า กรณีของหะดิษฏออีฟนี้ มีทั้งในแง่การรายงานหะดิษฏออีฟ และการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ ดังนั้น ทัศนะที่แน่นอนของท่านบุคคอรีย์ คือ ไม่รายงานหะดิษและฏออีฟ และไม่นำมาเป็นหลักฐาน الإحتياج ในเรื่องหะล้าล(เช่นฮุกุ่มวายิบ)และหะรอม แต่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาเลยว่า ท่านอิมามบุคคอรีย์และท่านมุสลิม กล่าวห้ามการปฏิบัติหะดิษฏออีฟในเรื่องคุณงามความดี นอกจาก ทัศนะหนึ่งของคำพูดท่านอิบนุ อัลอะรอบีย์เท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ กล่าวว่าการปฏิบัติหะดิษฏออีฟในเรื่องคุณค่าของอะมัลนั้นเป็นมติที่ค่อนข้างมีน้ำหนักของปวงปราชญ์

ถึงหากแม้นว่าจะมีผู้ที่ขัดแย้งในกรณีนี้ เพียงหนึ่งคนหรือสองคนก็ตาม ก็ไม่นับว่าทัศนะของเขามาแหวกมตินี้ได้ ตามทัศนะหนึ่งของปวงปราชญ์ที่ถูกกล่าวไว้ในหนังสือมูลฐานนิติศาสตร์อิสลาม(อุซูลุลฟิกห์)

การที่อิมามอันนะวาวีย์ กล่าวอิจญมาอ์ มติ ของนักปราชญ์หะดิษและนักปราชญ์นิติศาสตร์นั้น ก็ย่อมถูกต้องตามทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ ถึงหากแม้นว่าจะมีบรรดานักปราชญ์ก่อนจากท่านจะมีการคิลาฟ(ขัดแย้งกันก็ตาม เนื่องจากการอิจญฺมาอ์หลังจากการคิลาฟนั้น สามารรถเกิดขึ้นได้ตามทัศนะที่ชัดเจนกว่า

ซึ่งอิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลมินฮาจญ์ หรือ ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม ว่า


والأصح أن الإجماع بعد الخلاف يصح والله أعلم

"ทัศนะที่ชัดเจนที่สุดนั้น คือ แท้จริง การอิจญฺมาอ์(มติ) หลังจากมีการขัดแย้งนั้น ถูกต้อง(ใช้ได้) " ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 4 หน้า 31 ตีพิมพ์ดารุลหะดิษ ปี 1994 ค.ศ. - 1415 ฮ.ศ. วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
asan

ซึ่งอิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลมินฮาจญ์ หรือ ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม ว่า
والأصح أن الإجماع بعد الخلاف يصح والله أعلم
"ทัศนะที่ชัดเจนที่สุดนั้น คือ แท้จริง การอิจญฺมาอ์(มติ) หลังจากมีการขัดแย้งนั้น ถูกต้อง(ใช้ได้) " ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม เล่ม 4 หน้า 31 ตีพิมพ์ดารุลหะดิษ ปี 1994 ค.ศ. - 1415 ฮ.ศ. วัลลอฮุอะลัม
..............

อิจญมาอฺ ที่ท่านอิหม่ามนะวาวียกล่าวถึง หากเป็นอิจญมาอุลามาอฺ ที่เกี่ยวกับ การอ้างอิงหะดิษเฎาะอีฟ โดย กล่าวว่า ท่านนบีกล่าวว่า........ อย่างนั้น อย่างนี้ โดย การคาดคะเนเอาเอง ก็ไม่มีน้ำหนัก และที่มีน้ำหนักกว่าคำของอิหม่ามนะวาวีย์คือ หลักฐานที่ได้ระบุแล้วคือ

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً

และแท้จริงการคาดคะเนนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่ความจริงได้

ท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

พวกท่านพึงระวัง การคาดคะเน แท้จริงการคาดคะเนนั้น เป็นคำพูดที่โกหก ? มุตตะฟักอะลัญฮิ

al-azhary

ผมแปลกใจในหลักฐานที่บังอะสันยกมาแล้วผมก็จะวิจารณ์ไปแล้ว กลับไม่ได้การหักล้างโต้ตอบ ผมจึงมีสิทธิ์ที่จะนำมาเสนออีกครั้ง เพื่อให้บังอะสันนำคำพูดที่ผมชี้แจงไปพิจารณา

อ้างอิงจากบังอะสัน

หะดิษเฏาะอีฟ เป็นหะดิษที่คาดเดาเอาไว้เท่านั้น ขาดความแน่นอน อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตาอาลากล่าวว่า

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً

และแท้จริงการคาดคะเนนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่ความจริงได้

ท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

พวกท่านพึงระวัง การคาดคะเน แท้จริงการคาดคะเนนั้น เป็นคำพูดที่โกหก - มุตตะฟักอะลัญฮิ

ตอบ

ประเด็นนี้ผมลืมชี้แจงไปนะครับ คือบังอะสันไม่แยกระหว่างหลักการของนิติศาสตร์อิสลาม(ฟิกห์)กับหลักอากิดะฮ์ ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า หลักอากิดะฮ์นั้น เราจะใช้หลัก الظن ไม่ได้ เพราะอากิดะฮ์การศรัทธาหมายถึง การเชื่ออย่างมั่นใจ اليقين (ยาเก่น) ร้อยเปอร์เซ็นและสอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งอายะฮ์อัลกุรอานได้ยืนยันเอาไว้แล้วว่า

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئاً

"แท้จริงการคาดคะเนนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์อันใดแก่ความจริงได้"

ส่วนคำกล่าวของท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

"พวกท่านพึงระวัง การคาดคะเน แท้จริงการคาดคะเนนั้น เป็นคำพูดที่โกหก" - มุตตะฟักอะลัญฮิ

ซึ่งหะดิษนี้ ไม่เกี่ยวข้องการหลักการนำมาหะดิษฏออีฟมาใช้ แต่หะดิษนี้สอนให้รู้ว่า คนเรานั้นจะคิดแบบคาดการณ์ในทางไม่ดีแก่บรรดาพี่น้องมุสลิมนั้นไม่ได้ سوء الظن (คิดในแง่ร้าย) เนื่องจากการคิดในแง่ร้ายต่อผู้อื่นนั้น ชัยฏอนมักจะเข้ามามีบทบาทร่วมด้วยเสมอโดยสร้างความสังสัยครางแครงในแง่ไม่ดีต่อบรรดาพี่น้องมุสลิม سوء الظن (คิดในแง่ร้าย) นั้น มักจะเป็นคำพูดทั้งใจและออกมาทางวาจาที่โกหก

ส่วนคำว่า الظن ตามหลักการของหะดิษนั้น หากว่าสายรายงานไม่ได้อยู่ในฐานะแบบ "มุตะวาติร" คือรายงานอย่างสืบเนื่องโดยกลุ่มคนซึ่งถือว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการโกหก เช่นอัลกุรอานและหะดิษมุตะวาติร เนื่องจากอัลกุรอานให้การรับรู้แบบมั่นใจร้อยเปอร์เซ็น(ยาเก่น) และหะดิษมุตะวาติรนั้น เป็นการรู้แบบมั่นใจ اليقين (ยาเก่น)เช่นกัน แต่หะดิษซอฮิหฺที่ไม่ถึงขั้นระดับมุตะวาติรนั้น (คือหะดิษอาหาด) ผลการการรู้ที่อยู่ในระดับ الظن เท่านั้น เช่นหะดิษนั้นรายงานโดยคนเดียวแต่มีสายสืบที่ซอฮิหฺ แต่กระนั้น บรรดาปวงปราชญ์ก็ยังคิดว่าอาจจะมีข้อผิดพลาดหรือการลืมบ้างก็ได้จากผู้รายงาน เป็นต้น

ส่วนประเด็นของนิติศาสตร์(ฟิกห์) ส่วนมากแล้ว"หนทางที่ได้รับหุกุ่มา"จะอยู่ในระดับขั้น الظن ไม่ใช่ اليقين ซึ่งหมายถึง การได้รับหุกุ่มต่างๆ จากฟิกห์นั้น ส่วนมากจากหะดิษที่ไม่มุตะวาติร และผ่านการวินิจฉัยจากตัวบท ซึ่งการวินิจฉัยนั้น ย่อมมีผิดมีถูก เราจะมาบอกว่า การวินิจฉัยของมัซฮับฉันถูกแน่นอนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นแบบยาเก่นนั้น ไม่มีนักปราชญ์ผู้ทรงธรรมแห่งสะลัฟและคอลัฟพูดอย่างนั้นเลย เนื่องจากพวกเขาทราบดีถึงหลักการดังกล่าว หลักการนิติศาสตร์(ฟิกห์)ที่ให้การรู้แบบมั่นใจนั้นมีน้อยกว่า เช่นการบอกว่า การละหมาดเป็นฟัรดู การถือศีลอดเป็นฟัรดู การทำฮัจญ์เป็นฟัรดู การทำความดีต่อพ่อแม่เป็นวายิบ เหล้าเป็นสิ่งที่หะรอม การทำซินาเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ซึ่งหุกุ่มเหล่านี้มุตะวาติรแน่นอน เพราะอัลกุรอานบอกได้อย่างชัดเจนโดยไม่สามารถจะวินิจฉัยให้เป็นอื่นไปได้เลยและเด็ดขาด และหลักการ الظن นี้ย่อมนำมาใช้กับหลักนิติศาสตร์ได้ครับ เพราะตราบใดที่การวินิจฉัยของนักปราชญ์ที่เป็นมนุษย์เข้ามามีบทบาท ก็ย่อมไม่มีปราชญ์ท่านใดบอกว่าของฉันถูกต้องอย่างมั่นใจร้อยเปอร์เซ็น(ยาเก่น)

ส่วนกรณีของหะดิษฏออีฟนั้น ให้การรับรู้แบบโดย الظن นี่จริง แต่ไม่ใช่ถึงขั้นโกหก เนื่องจากมันไม่ใช่หะดิษเมาฏั๊วะ ยิ่งไปกว่านั้นบางนักปราชญ์หะดิษบอกว่าหะดิษเมาฏั๊วะนั้น ไม่ใช่หะดิษนบี(ซ.ล.) แต่การปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟถือเป็นการ الإحتياط "เผื่อป้องกันเอาไว้" เช่นมีหะดิษฏออีฟที่พูดเกี่ยวกับโทษการทำซินา ซึ่งหากแม้นว่ามันจะฏออีฟ แต่เราก็สมควรนำมาเป็นข้อเตือนใจให้เราหลีกห่างจากการทำซินาได้ หรือหะดิษที่พูดเกี่ยวกับโทษการดื่มเหล้า หากแม้นว่ามันจะฏออีฟ แต่ก็สามารถนำมาเป็นข้อเตือนใจให้หลีกห่างจากสิ่งดังกล่าว เรื่องคุณงามความดีก็เช่นเดียวกัน ซึ่งหากว่าหะดิษนั้นอยู่ภายใต้กฏเงื่อนไขต่างๆ ที่นักปราชญ์หะดิษผู้ทรงธรรมไว้ว่างเอาไว้แล้วตามที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น ก็สามารถกระทำได้ครับ วัลลลอฮุอะลัม


asan

อิหม่ามนะวาวีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

قال العلماء ينبغى لمن أراد رواية حديث أو ذكره أن ينظر فان كان صحيحا أو حسنا قال رسول الله صلى الله عليه وسلم كذا أو فعله أو نحو ذلك من صيغ الجزم وان كان ضعيفا فلا يقل قال أو فعل أو أمر أو نهى وشبه ذلك من صيغ الجزم بل يقول روى عنه كذا أو جاء عنه كذا أو يروى أو يذكر أو يحكى أو يقال أوبلغنا وما أشبهه والله سبحانه أعلم
บรรดานักวิชาการ ได้กล่าวว่า สมควรให้ผู้ที่ต้องการรายงานหะดิษ หรือ ระบุหะดิษ ให้เขาพิจารณา แล้วถ้าหากมันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ หรือเป็น หะดิษฮะซัน (ก็ให้กล่าว) ว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ หรือ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือในทำนองนั้น ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น และถ้าหากว่ามันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ากล่าวว่า ?ท่านรอซูลกล่าวว่า หรือได้ทำ หรือ ได้สั่งว่า หรือได้ห้ามว่า เป็นต้น ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น แต่ให้กล่าวว่า ?ได้มีรายงานจากท่านรอซูล อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ มาจากท่านรอซูล อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ ได้มีรายงาน หรือ ได้มีการระบุว่า หรือได้มีการเล่าว่า หรือ มีผู้กล่าวว่า หรือ ได้มีรายงานถึงมายังเรา เป็นต้น ? วัลลอฮุซุบฮานะฮู อะอฺลัม
- เศาะเฮียะมุสลิม เล่ม 1 หน้า 71
.....................................
สรุปว่า ถ้าเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ายืนยันว่า นบีพูด นบีทำ แต่ให้เลี่ยงไปกล่าว ด้วยถ้อยคำว่า มีรายงานว่า ,มีผูกล่าวว่า เป็นต้น นี้คือ การยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มั่นใจ อย่างเห็นได้ชัด
....................................................

อิหม่ามนะวาวีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า


قال العلماء من المحدثين والفقهاء وغيرهم: يجوز ويستحب العمل في الفضائل والترغيب والترهيب بالحديث الضعيف، ما لم يكن موضوعا، وأما الأحكام كالحلال والحرام والبيع والنكاح والطلاق وغير ذلك فلا يعمل فيها إلا بالحديث الصحيح أو الحسن إلا أن يكون في احتياط في شيء من ذلك

บรรดานักวาการหะดิษและฟิกฮ และอื่นจากพวกเขากล่าวว่า ?อนุญาตและชอบให้ปฏิบัติ ในเรื่องคุณค่าอะมั้ล ,ตัรฆีบ(ส่งเสริมให้ทำความดี)และตัรฮีบ (เตือนไม่ให้ทำชั่ว) ด้วยหะดิษเฎาะอีฟ ตราบใดที่มันไม่ได้เป็นหะดิษเมาฎัวะ (หะดิษปลอม) และสำหรับเรื่อง กฎข้อบังคับต่างๆ เช่น การอนุมัติ,การห้าม ,การซื้อขาย,การสมรส ,การหย่าร้าง และอื่นจากนั้น จะปฏิบัติด้วยมัน(หะดิษเฏาะอีฟ)ไม่ได้ นอกจากด้วยหะดิษ เศาะเฮียะ หรือหะดิษหะซันเท่านั้น ยกเว้น ในกรณีเผื่อไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาด ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากดังกล่าวนั้น ? อัลอัซกัร หน้า 7-8
..................

นี่ก็แสดงว่า ปฎิบัติตามหะดิษเฎาะอีฟ ด้วยการคาดคะเนว่า เผื่อว่า เศาะเฮียะ
..............................................................
ท่านอัสสะคอวีย์(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

وقد سمعت شيخنا رحمه الله ?يعني الحافظ ابن حجر العسقلاني- يقول، وكتب لي بخطِّه: إنَّ شرائط العمل بالضَّعيف ثلاثة:
الأوَّل: متَّفق عليه أن يكون الضَّعف غير شديد، فيخرج من انفرد من الكذَّابين والمتَّهمين بالكذب ومن فحش غلطه.
الثَّاني: أن يكون مندرجاً تحت أصل عام، فيخرج ما يخترع، بحيث لا يكون له أصل أصلاً.
الثَّالث: أن لا يعتقد عند العمل به ثبوته؛ لئلاَّ يُنسَبَ إلى النَّبيِّ , ما لم يقله

ข้าพเจ้าได้ยินอาจารย์ของข้าพเจ้า (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) ? หมายถึง อัลฮาฟิซอิบนะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ได้กล่าว และบันทึกด้วยลายมือของท่านให้แก่ข้าพเจ้า ว่า ?แท้จริงเงื่อนไขของการปฏิบัติด้วยหะดิษเฏาะอีฟ นั้น มี 3 ประการคือ
1. เป็นหะดิษที่ได้รับการเห็นฟ้องกันว่า ไม่เป็นเฏาะอีฟที่รุนแรง ดังนั้น ผู้ที่รายงานเพียงคนเดียว จากผู้ที่ชอบโกหก และผู้ที่ถูกกล่าวหาว่า โกหก และผู้ที่การผิดพลาดของเขา(ในการรายงานหะดิษ)น่าเกลียดมาก ไม่เข้าอยู่ในเงื่อนไขนี้
2. เป็นหะดิษที่อยู่ภายใต้ รากฐานทั่วไป(ที่มีอยู่แล้ว) ดังนั้น สิ่งที่ถูกอุตริขึ้นมาทีหลัง โดยที่มันไม่มีรากฐาน มาแต่เดิม จึงไม่เข้า อยู่ในเงื่อนไขข้อนี้
3. ในขณะที่นำมันมาปฏิบัติ ก็อย่าได้เชื่อว่า มันมีความแน่นอน เพื่อจะได้ไม่อ้างอิงถึงท่านนบี ในสิ่งที่ท่านไม่ได้พูด
- ดู อัลเกาลุ้ลบะเดียะ หน้า 258
...........................
นี่ก็เห็นได้ชัดว่า เมื่ออ้างอิงหะดิษเฏาะอีฟ ก็อย่าได้มั่นใจ นบีเป็นผู้กล่าว เพราะเกรงว่า จะกลายเป็นคนที่กล่าวเรื่องเท็จให้แก่นบี แล้วเราจะเอาหะดิษมาอ้างทำไม มันเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด แปลกจริงๆ

......................
สรุปว่า ถ้าเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ายืนยันว่า นบีพูด นบีทำ แต่ให้เลี่ยงไปกล่าว ด้วยถ้อยคำว่า มีรายงานว่า ,มีผูกล่าวว่า เป็นต้น นี้คือ การยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มั่นใจ อย่างเห็นได้ชัด

asan

แก้ไขเป็น
อิหม่ามนะวาวีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

قال العلماء من المحدثين والفقهاء وغيرهم: يجوز ويستحب العمل في الفضائل والترغيب والترهيب بالحديث الضعيف، ما لم يكن موضوعا، وأما الأحكام كالحلال والحرام والبيع والنكاح والطلاق وغير ذلك فلا يعمل فيها إلا بالحديث الصحيح أو الحسن إلا أن يكون في احتياط في شيء من ذلك

บรรดานักวิชาการหะดิษและฟิกฮ และอื่นจากพวกเขากล่าวว่า ?อนุญาตและชอบให้ปฏิบัติ ในเรื่องคุณค่าอะมั้ล ,ตัรฆีบ(ส่งเสริมให้ทำความดี)และตัรฮีบ (เตือนไม่ให้ทำชั่ว) ด้วยหะดิษเฎาะอีฟ ตราบใดที่มันไม่ได้เป็นหะดิษเมาฎัวะ (หะดิษปลอม) และสำหรับเรื่อง กฎข้อบังคับต่างๆ เช่น การอนุมัติ,การห้าม ,การซื้อขาย,การสมรส ,การหย่าร้าง และอื่นจากนั้น จะปฏิบัติด้วยมัน(หะดิษเฏาะอีฟ)ไม่ได้ นอกจากด้วยหะดิษ เศาะเฮียะ หรือหะดิษหะซันเท่านั้น ยกเว้น ในกรณีเผื่อไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาด ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากดังกล่าวนั้น ? อัลอัซกัร หน้า 7-8
..................

นี่ก็แสดงว่า ปฎิบัติตามหะดิษเฎาะอีฟ ด้วยการคาดคะเนว่า เผื่อว่า เศาะเฮียะ หรือ เผื่อไปว่า เป็นหะดิษนบีจริง

MUSTAKEEM

นักวิชาการ(โต๊ะครู)บ้านเราขาดซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ จึงทำให้บ้านเราถึ่งวุ้นวายกับการทำบิดอะห์ โดยที่เห็นว่าถ้าเป็น กีตาบ แล้วจะถูกต้องไปเสียทุกอย่าง และก็ไม่ได้มีการชี้แจงว่า ฮะดิษ นั้นๆ ซอเฮิยะหรือฮะสัน หรือดออีฟ หรือเมาฎูอํ จนทำให้บรรดา คนเอาวามเอาไปยึดเป็นบรรทัดฐานในการนับถือศาสนา

al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

- สรุปว่า ถ้าเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ายืนยันว่า นบีพูด นบีทำ แต่ให้เลี่ยงไปกล่าว ด้วยถ้อยคำว่า มีรายงานว่า ,มีผูกล่าวว่า เป็นต้น นี้คือ การยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มั่นใจ อย่างเห็นได้ชัด

- นี่ก็แสดงว่า ปฎิบัติตามหะดิษเฎาะอีฟ ด้วยการคาดคะเนว่า เผื่อว่า เศาะเฮียะ

- นี่ก็เห็นได้ชัดว่า เมื่ออ้างอิงหะดิษเฏาะอีฟ ก็อย่าได้มั่นใจ นบีเป็นผู้กล่าว เพราะเกรงว่า จะกลายเป็นคนที่กล่าวเรื่องเท็จให้แก่นบี แล้วเราจะเอาหะดิษมาอ้างทำไม มันเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด แปลกจริงๆ

- สรุปว่า ถ้าเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ายืนยันว่า นบีพูด นบีทำ แต่ให้เลี่ยงไปกล่าว ด้วยถ้อยคำว่า มีรายงานว่า ,มีผูกล่าวว่า เป็นต้น นี้คือ การยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มั่นใจ อย่างเห็นได้ชัด

ตอบ

บังอะสันครับ การปฏิบัติสิ่งที่มั่นใจนั้น คือสิงที่เป็นฟัรดู วายิบ หะรอม เป็นต้น ส่วนประเด็นของสุนัต และมุบาห์นั้น ศาสนาได้บังคับใช้แบบไม่เด็ดขาด ดังนั้น หะดิษฏออีฟที่ไม่ใช่เมาฏั๊วะและอยู่ภายใต้เงื่อนไข ก็สามารถกระทำได้เพราะหะดิษฏออีฟไม่ได้ยืนยันในเรื่องวายิบ ฟัรดู และหะรอม

แต่บังอะสันก็พยายามที่จะเน้นและชี้ว่าหะดิษฏออีฟ ไม่ได้มีความมั่นใจ แต่ในขณะเดียวกันบังอะสันก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองนำเสนอ เพราะแม้ว่าหะดิษฏออีฟไม่ได้ให้ความหมายถึงความมั่นใจ แต่ที่สบายใจนั้นเพราะว่า มันอยู่ในหลักการของหะดิษซอฮิหฺที่อยู่ในความหมายครอบคลุมหรืออยู่ภายใต้หลักการพื้นฐานทั่วไปที่ได้ถูกรับรองไว้แล้ว เพราะฉะนั้น ต้องมีหลักเกณฑ์นี้มารับรองด้วย ดังนั้น อุลามาอ์นักหะดิษเขามีความรอบครอบแล้ว แต่บังอะสันไม่เข้าใจเอง ซึ่งบังอะสันได้กล่าวอ้างอิงคำกล่าวของท่านอัสสัคคอวีย์ จากท่านอิบนุหะญัรไว้เองว่า

الثَّاني: أن يكون مندرجاً تحت أصل عام

2. เป็นหะดิษที่อยู่ภายใต้ รากฐานทั่วไป(ที่มีอยู่แล้ว)

และข้างต้นผมก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่า

"เนื่องจากคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์นี้ พูดถึงเรื่องการ ?อนุญาต? ( الجواز ) เท่านั้น ซึ่งหมายถึง ปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ เพราะว่ามีหะดิษฏออีฟมารับรองตามเงื่อนไขที่วางไว้ และการกล่าวว่า สุนัต ( المستحب ) ให้ในปฏิบัติ ซึ่งหมายถึงกระทำแล้วได้รับผลบุญ ไม่ใช่เพราะว่าได้รับการยืนยันแน่นอนจากหะดิษฏออีฟ แต่เนื่องมาจากหะดิษฏออีฟดังกล่าวได้อยู่ภายใต้หลักฐานซอฮิหฺที่ให้ความหมายแบบครอบคลุมหรืออยู่ภายใต้หลักการพื้นฐานทั่วไปที่ได้ถูกรับรองไว้และเป็นตัวเสริมน้ำหนักในการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ"

จากคำพูดของท่านอิบนุหะญัรที่บังอะสันถ่ายทอดมานั้น บังอะสันไม่ยอมทำความเข้าใจให้ถูกต้องเอง ซึ่งกวีอาหรับเขาได้กล่าวไว้ความว่า "เท่าไหร่แล้ว ที่คำพูดอันถูกต้อง กับเสื่อมเสียเลยความเข้าใจที่เลว" วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
asan

ข้อความโดย: al-azhary

2. เป็นหะดิษที่อยู่ภายใต้ รากฐานทั่วไป(ที่มีอยู่แล้ว)

และข้างต้นผมก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่า

"เนื่องจากคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์นี้ พูดถึงเรื่องการ ?อนุญาต? ( الجواز ) เท่านั้น ซึ่งหมายถึง ปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ เพราะว่ามีหะดิษฏออีฟมารับรองตามเงื่อนไขที่วางไว้ และการกล่าวว่า สุนัต ( المستحب ) ให้ในปฏิบัติ ซึ่งหมายถึงกระทำแล้วได้รับผลบุญ ไม่ใช่เพราะว่าได้รับการยืนยันแน่นอนจากหะดิษฏออีฟ แต่เนื่องมาจากหะดิษฏออีฟดังกล่าวได้อยู่ภายใต้หลักฐานซอฮิหฺที่ให้ความหมายแบบครอบคลุมหรืออยู่ภายใต้หลักการพื้นฐานทั่วไปที่ได้ถูกรับรองไว้และเป็นตัวเสริมน้ำหนักในการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ"

..............................

น้องบ่าวครับ บังเข้าใจทะลุปลุโปร่ง แต่ที่ออกมาเสวนาด้วยก็เพราะทฤษฎี กับการปฏิบัติของคนมันสวนทางกันต่างหาก
เพราะคำว่า"อยู่ภายใต้รากฐานที่เศาะเฮียะนั้น หมายถึง เรื่องใดก็ตามที่มี หะดิษเศาะเฮียะ เป็นรากฐานรับรองอยู่แล้ว และในเรื่องเดียวกันนั้น มีหะดิษเฏาะอีฟมาระบุเกี่ยวกับคุณค่า หรือส่งเสริมให้ทำสิ่งนั้น หรือเตือนไม่ให้ละทิ้งสิ่งนั้น นี่คือความหมายของเงือนไขข้างต้น แต่..ที่เห็นคำปฏิบัติ เช่น การสอนคนตาย หลังจากฝัง โดยอ้างอิงหะดิษเฎาะอีฟ ทั้งๆที่หะดิษเศาะเฮียะที่มารับรอง นั้นไม่มี มีแต่หะดิษ สอนให้สอนกะลิมะฮแก่คนเป็น ก่อนที่จะตายเท่านั้น นี่คือ ที่ต้องออกมาเสวนา และไม่มีความประสงค์ให้คำพูดของท่านอิหม่ามนะวาวีย์เสื่อมเสีย และ ความเห็นของนักวิชาการนั้น เป็นเรื่องของบุคคล และเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเอาความเห็นของบุคคล มาเป็นศาสนา โดยไม่มีหลักฐาน นั้นไม่ธรรมดาและจะนิ่งเฉยไม่ได้


al-azhary

บังอะสันครับ เอะอะไร ก็กล่าวหาแนวทางว่า เป็นแค่ความเห็น เป็นแค่ความเห็นของอุลามาอ์ แล้วแนวทางที่บังอะสันอ้างอิงมาละครับ ก็ความเห็นของอุลามาอ์ล้วนๆ พอคุณ aswar ยกคำกล่าวของท่าน อัสศักคอวีย์มา บังอะสันก็บอกว่านั่นแค่ความเห็นของอุลามาอ์ แล้วบังอะสันก็อ้างทัศนะของตนเองต่อไปด้วยคำว่าของท่าน อะหฺมัด ชากิร ซึ่งมันก็เป็นความเห็นเหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงไม่รู้ว่า บังอะสันพูดอะไรไปรู้ตัวเองบ้างหรือเปล่า? หรือคิดว่าแนวทางของตนคือซุนนะฮ์โดยตรง ส่วนแนวทางอื่นเป็นความเห็น ทั้งที่ในประเด็นการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ ที่บังอะสันคัดค้านนั้น ความเห็นล้วนๆ แล้วเอาหลักฐานแบบไม่ตรงประเด็นมาประกอบ ทำให้คนอื่นคิดไปว่า นี่แหละแนวทางจากซุนนะฮ์โดยตรง ซุบหานัลลอฮ์!! หลักการใช้หะดิษฏออีฟนั้น ไม่ว่าจะใช้ได้เลย ตามทัศนะของท่านอิมามอะหฺมัด ท่านอบูดาวู หรือตามทัศนะของที่ปฏิบัติหะดิษฏออีฟได้ แต่ต้องมีเงื่อนไข หรือทัศนะแปลกแหวกแนวที่มีทัศนะว่า หะดิษฏออีฟ อยู่ฐานะหะดิษเมาฏั๊วะ ซึ่งก็เป็นความเห็นทั้งเพ จะมาแอบอ้างว่าหลักการของตนนั้น คือซุนนะฮ์น่ะ แบบนี้คงตบตาพวกเราไม่ได้หรอกนะครับ ส่วนประเด็นเรื่องตัลกีน(สอนคนตาย)นั้น เราก็พูดสนทนากันไปมากแล้ว

แล้วหะดิษที่บอกว่า ให้สอนลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์กับผู้ใกล้ตายหรือก่อนตายนั้น มีหะดิษระบุไว้ชัดเจนกระนั้นหรือ? เพราะหะดิษที่บอกชัดๆ นั้น คือ

لقنوا موتاكم لا إله إلا الله

"พวกท่านจงสอนคนตายด้วยคำว่าลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์"

ท่านนบี(ซ.ล.) เพียงแค่ "สอนคนตาย" ไม่ได้บอกว่า "สอนคนไกล้ตาย" นั่นคือตัวบทตรงๆ จากคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) แต่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ ได้ลงความเห็นอธิบายว่า "หมายถึงคนใกล้ตาย" ซึ่งเป็นคำพูดของท่านอิมามอันนะวาวีย์ (ซึ่งเราก็ยอมรับ) ไม่ใช่เป็นคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) (เนื่องจากนบีบอกว่าสอนคนตาย) แล้วบังอะสันแอบอ้างอย่างชัดถ้อยชัดคำมาได้อย่างไรว่า ท่านหะดิษซอฮิหฺ ที่ท่านนบีกล่าวว่าให้สอนคนใกล้ตาย

ดังนั้น บังอะสันกรุณาคิดอะไรให้รอบครอบ อย่างคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นซุนนะฮ์นบีโดยตรงเสียทั้งหมด เนื่องจากตัวบทนั้นมีจำกัด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายเป็นทวีคูณ การวินิจฉัยของอุลามาอ์ที่มีต่อตัวบทนั้น ย่อมเข้ามามีบทบาท การกล่าวอ้างทัศนะวินิจฉัยของอุลามาอ์ที่มีต่อตัวบทที่ตนเองจะเอา ว่าเป็นซุนนะฮ์อย่างแท้จริง โดยมองทัศนะของผู้อื่นเป็นเพียงความเห็นนั้น ถือว่าผิดและเป็นมานะทิฐิที่ศาสนาตำหนิครับ วัลลอฮุอะลัม

al-azhary

ผมไปพูดไปตามน้ำ บังอะสันในเรื่องตัลกีน สอนคนตาย และคนใกล้ตาย ซึ่งจะเป็นลู่ทางที่บังอะสันจะพาไปนอกเรื่องและนอกประเด็นของกระทู้นี้ ซึ่งผมเป็นห่วงนะครับ ห่วงว่า บังอะสันจะนอกเรื่องอีกตามเคย ผมเข้ามาก็เพื่อจะย้ำว่า สนทนาประเด็นเรื่องการปฏิบัติหะดิษฏออีฟต่อเถอะครับ เราจะได้รู้ความจริงอันอย่างถูกต้อง และเพื่อใม่ให้มีความสับสนแก่ผู้อ่าน

อ้างอิงจากบังอะสัน

อิหม่ามนะวาวีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

قال العلماء ينبغى لمن أراد رواية حديث أو ذكره أن ينظر فان كان صحيحا أو حسنا قال رسول الله صلى الله عليه وسلم كذا أو فعله أو نحو ذلك من صيغ الجزم وان كان ضعيفا فلا يقل قال أو فعل أو أمر أو نهى وشبه ذلك من صيغ الجزم بل يقول روى عنه كذا أو جاء عنه كذا أو يروى أو يذكر أو يحكى أو يقال أوبلغنا وما أشبهه والله سبحانه أعلم
บรรดานักวิชาการ ได้กล่าวว่า สมควรให้ผู้ที่ต้องการรายงานหะดิษ หรือ ระบุหะดิษ ให้เขาพิจารณา แล้วถ้าหากมันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ หรือเป็น หะดิษฮะซัน (ก็ให้กล่าว) ว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ หรือ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือในทำนองนั้น ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น และถ้าหากว่ามันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ากล่าวว่า ?ท่านรอซูลกล่าวว่า หรือได้ทำ หรือ ได้สั่งว่า หรือได้ห้ามว่า เป็นต้น ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น แต่ให้กล่าวว่า ?ได้มีรายงานจากท่านรอซูล อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ มาจากท่านรอซูล อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ ได้มีรายงาน หรือ ได้มีการระบุว่า หรือได้มีการเล่าว่า หรือ มีผู้กล่าวว่า หรือ ได้มีรายงานถึงมายังเรา เป็นต้น ? วัลลอฮุซุบฮานะฮู อะอฺลัม
- เศาะเฮียะมุสลิม เล่ม 1 หน้า 71
.....................................
สรุปว่า ถ้าเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ายืนยันว่า นบีพูด นบีทำ แต่ให้เลี่ยงไปกล่าว ด้วยถ้อยคำว่า มีรายงานว่า ,มีผูกล่าวว่า เป็นต้น นี้คือ การยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มั่นใจ อย่างเห็นได้ชัด

ตอบ

คำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ตรงนี้ พูดถึงเรื่องการรายงานหะดิษ (الرواية ) ไม่ใช่หลักปฏิบัตหะดิษ ( العمل ) ซึ่งมันมีความแตกต่างกัน ดังนั้น หลักการรายงานหะดิษฏออีฟ ก็เป็นประเด็นหนึ่ง และหลักการปฏิบัติหะดิษ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งบังอะสันอย่าเอามา تخليط ปะปนให้สับสน และ تدليس อำพรางผู้อื่น จนกระทั่งกลับกลายเป็น سفسطة อ้างเหตุผลตบตาผู้อ่านไปในที่สุด ซึ่งมันเป็นแนวทางการอ้างอิงไม่ถูกต้องนะครับ เพราะฉะนั้น บังอะสันก็ลองพิจารณาคำพูดของอิมามอันนะวาวีย์ เกี่ยวกับหลักการรายงานหะดิษฏออีฟ กับหลักการปฏิบัติหะดิษฏออีฟซิครับ แล้วบังอะสันก็จะเข้าใจและแยกแยะอะไรๆ ที่ดีขึ้นกว่านี้ครับ วัลลอฮุอะลัม

asan

กล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ตรงนี้ พูดถึงเรื่องการรายงานหะดิษ (الرواية ) ไม่ใช่หลักปฏิบัตหะดิษ ( العمل ) ซึ่งมันมีความแตกต่างกัน ดังนั้น หลักการรายงานหะดิษฏออีฟ ก็เป็นประเด็นหนึ่ง และหลักการปฏิบัติหะดิษ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งบังอะสันอย่าเอามา تخليط ปะปนให้สับสน และ تدليس อำพรางผู้อื่น จนกระทั่งกลับกลายเป็น سفسطة อ้างเหตุผลตบตาผู้อ่านไปในที่สุด ซึ่งมันเป็นแนวทางการอ้างอิงไม่ถูกต้องนะครับ เพราะฉะนั้น บังอะสันก็ลองพิจารณาคำพูดของอิมามอันนะวาวีย์ เกี่ยวกับหลักการรายงานหะดิษฏออีฟ กับหลักการปฏิบัติหะดิษฏออีฟซิครับ แล้วบังอะสันก็จะเข้าใจและแยกแยะอะไรๆ ที่ดีขึ้นกว่านี้ครับ วัลลอฮุอะลัม

..............

เอ้า..นี่ก็แปลก ทำไม่ไม่คิดเสียบ้างว่า ในเมื่อตอนรายงาน ก็ไม่มั่นใจ และไม่กล้าที่จะฟันธง แล้วการนำมาปฏิบัติ มันไม่ร้ายกันไปใหญ่หรือ ทำไมจึงไม่กลับไปหาหะดิษที่เศาะเฮียะ แล้วมันก็จบ น้องบ่าวนี่ไม่ทิ้งนิสัยเดิมเลยนะ รู้ไหมว่า คนที่อ่านคือ ปัญญาชนนะครับ พวกเขามีวิจารณญาน พอที่จะบอกว่า บังอะสัน อำพรางหรือไม่
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

เอ้า..นี่ก็แปลก ทำไม่ไม่คิดเสียบ้างว่า ในเมื่อตอนรายงาน ก็ไม่มั่นใจ และไม่กล้าที่จะฟันธง แล้วการนำมาปฏิบัติ มันไม่ร้ายกันไปใหญ่หรือ ทำไมจึงไม่กลับไปหาหะดิษที่เศาะเฮียะ แล้วมันก็จบ น้องบ่าวนี่ไม่ทิ้งนิสัยเดิมเลยนะ รู้ไหมว่า คนที่อ่านคือ ปัญญาชนนะครับ พวกเขามีวิจารณญาน พอที่จะบอกว่า บังอะสัน อำพรางหรือไม่

ตอบ

แล้วบังอะสันไม่คิดบ้างหรือว่า หะดิษฏออีฟที่อนุญาตินำมาปฏิบัติได้นั้น ต้องไม่เมาฏั๊วะ โกหกกุเท็จ ต้องมีฏออีฟเกินไป เช่นมีนักรายงานที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก ทำไมบังอะสันไม่คิดบ้างล่ะว่า หะดิษฏออีฟที่นำมาปฏิบัติได้นั้น ต้องมีหลักฐานซอฮิหฺที่อยู่ในความหมายแบบครอบคลุมอยู่แล้วหรือหลักพื้นฐานของศาสนาโดยรวมมารับรองไว้แล้ว แล้วทำไมบังอะสันไม่คิดบ้าง บังอะสันพูดเหมือนว่าพวกเราปฏิบัติหะดิษฏออีฟโดยไร้เงื่อนไขเสียอย่างนั้น ?? ซึ่งหากบังอะสันศึกษาให้เข้าใจ บังก็จะไม่พูดวนไปวนมาอย่างนี้

บังอะสันบอกว่า "ทำไมไม่กลับไปหาหะดิษฏออีฟ" ซึ่งบังอะสันพูดเหมือนว่า เมื่อมีประเด็นหนึ่งที่มีหะดิษฏออีฟระบุอยู่และหะดิษซอฮิหฺระบุอยู่ แล้วพวกเรายึดหะดิษฏออีฟโดยละทิ้งหะดิษซอฮิหฺเสียอย่างนั้น ซึ่งบังอะสันพูดสมมุติเข้าข้างตัวเองเหมือนเดิม และประเด็นการปฏิบัติหะดิษซอฮิหฺนั้นเราและฝ่ายบังอะสันเห็นพร้องตรงกัน แต่ตอนนี้เราพูดประเด็นของการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ ไม่ใช่ หะดิษซอฮิหฺ กรุณาอย่า تخليط ปะปนให้สับสน และ تدليس อำพรางผู้อื่น จนกระทั่งกลับกลายเป็น سفسطة อ้างเหตุผลตบตาผู้อ่านไปในที่สุด วัลลอฮุอะลัม


aswar

ไม่ได้เข้ามาหลายวัน ตอบกันเพียบเลย แต่ผมจะตอบบางจุดแบบคร่าวๆละกันนะครับ เพราะจริงๆแล้วก็ไม่ได้มีอะไรใหม่มาก

บังอะสันกล่าวว่า


"คำพูดของ อัลฮาฟิซ อัซซะคอวีย์ นั้น เป็นเพียงความเห็นของอุลามาอฺคนหนึ่ง"

ตอบ ผมเรียนอย่างนี้ละกันครับ นี่มิใช่คำพูดของอัซซะคอวีย์เพียงท่านเดียว แต่เป็นอุลามาอ์ทุกท่านที่เป็นเจ้าของหนังสืออ้างอิงที่เป็นหลัก(أمهات الكتب) ในวิชาอุลูมุลหะดีษ หากบังอะสันจะค้านจริงบังลองไปหาตัวบทจากหนังสือที่เป็นที่ยอมรับกันในโลกอิสลามที่ค้านกับตัวบทดังกล่าวมาสิครับ ตัวบทที่ว่าอุลามาอ์หะดีษบอกว่า การหุกมหะดีษนั้นเป็นหุกมกอฏอีย์ และความจริงบังอะสันไม่ควรจะค้านถ้อยคำดังกล่าวเลยเนื่องจากไม่มีใครเขาค้านกันครับ ผู้ที่ไม่นิยมให้ปฏิบัติฎออีฟเองก็ไม่ได้ค้านคำดังกล่าว(ถ้ามีก็ยกมาได้ครับ) บังอะสันน่าจะแยกแยะระหว่างคำว่า ظن กับ ظن مرجوح ได้นะครับ

และการที่บอกว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นเพียงความเห็นอาลิมท่านหนึ่ง งั้นผมถามบังอะสันว่า ที่บังค้านตัวบทดังกล่าวเป็นทรรศนะของใครกัน? อย่าลืมนะครับนี่ไม่ใช่เรื่องให้ปฏิบัติฎออีฟได้รึเปล่า แต่เป็นเรื่องหุกมหะดีษนั้นเป็นหุกมซอนนีย์ หรือกอฏอีย์ บังอะสันสามารถยืนยันได้หรือเปล่าครับ?

....................................

บังอะสันกล่าวว่า "ถ้ามีความคิดแบบนี้ คงไม่ต้องมาแบ่งหะดิษ ว่า เศาะเหียะ ,หะซัน และเฏาะอีฟ เราต้องไม่ลืมว่า หะดิษเศาะเฮียะ ,หะดิษฮะซัน และ หะดิษเฏาะอีฟ ต่างก็มีเงื่อนไขของมัน ที่มาการันตีความเชื่อถือ ของหะดิษ สามประเภทนี้ ตามหลักว่าชาหะดิษ "

อันนี้ผมไม่วิจารณ์ครับเพราะมันมีพื้นฐานมาจากข้อความเเรกที่ผมวิจารณ์ไป ซึ่งผมยังไม่พบนักหะดีษท่านใดกล่าวเช่นนั้นนะครับ(หุกมของหะดีษเป็นหุกมกอฏอีย์) แต่ที่สะกิดใจผมคือคำพูดที่ว่า "ตามหลักว่าชาหะดิษ " ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าอุลามาอ์ในวิชาดังกล่าวสำหรับบังอะสันแล้วคือใคร? เป็นพวกเดียวกับที่บังเรียกการวางกฎเกณฑ์ของพวกท่านว่า "เป็นเพียงความเห็นของอุลามาอ์คนหนึ่ง" หรือไม่? แล้วทำไมถึงยอมรับพวกท่านในการวางเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ โดยไม่กล่าวว่ามันเป็นเพียงความเห็นอุลามาอ์ แต่กลับไม่ยอมรับในอีกที่หนึ่งโดยกล่าวว่ามันเป็นเพียงความเห็นอุลามาอ์ ทั้งที่เป็นคนกลุ่มเดียวกัน?

.......................................

บังอะสันกล่าวว่า " อย่างนี้ ฟังไม่ขึ้น และไร้สาระ "

บรรดาอุลามาอ์คือผู้สืบทอดจากท่านนบี ผมไม่คิดว่าการบรรยายสิ่งที่พวกท่านเห็นตรงกันว่า "ไร้สาระ" จะออกมาจากผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เรียกร้องสู่กิตาบุลลอฮ์ และซุนนะฮ์ หากจะค้านก็ควรค้านอย่างมีมรรยาทนะครับ

...................................

บังอะสันอ้างคำพูดเชค ชากิร ซึ่งผมตอบสั้นๆว่า เป็นเพียงความเห็นอุลามาอ์ท่านหนึ่งจากไม่กี่ท่าน ซึ่งไม่ใช่ทรรศนะของญุมฮูรอุลามาอ์ส่วนใหญ่

....................................

บังอะสันยกหลักฐานเดิมว่า

"وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئا
ท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

ตอบ บังอะสันยังคงยกหลักฐานเดิมหลังจากที่ผมหักล้างไปแล้ว โดยผมบอกว่าบรรดามุหัดดิษีนถือว่าหุกมหะดีษนั้นเป็นซอนนีย์ทั้งนั้น มิใช่เฉพาะฎออีฟ ซึ่งบังอะสันหักล้างผมโดยการไม่ยอมรับกฎเกณฑ์อุลูมหะดีษโดยกล่าวว่าสิ่งที่ผมยกมาเป็นเพียงความเห็นอุลามาอ์ และยก"ความเห็นของตัวเอง"ขึ้นมาค้าน โดยไม่มีอุลามาอ์ท่านใดยืนข้างเดียวกับบังอะสัน ซึ่งสิ่งนี้พอเพียงแล้วที่จะบอกว่าบังอะสันยืนอยู่จุดไหนของอุลูมหะดีษ

..................................................

บังอะสันยกหลักฐาน "من كذب علي متعمداً فليتبوأ مقعده من النار" โดยกล่าว่า "การคาดเดาแล้วอ้างว่าท่านรซูลพูด หรือทำ ย่อมเสี่ยง ที่จะเข้าข่ายหะดิษข้างต้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ตอบ ความเสี่ยงนั้นมีสองด้านหากบังอะสันกลัวว่าจะเป็นการโกหกต่อท่านรอซูลแล้ว บรรดาญุมฮูรอุลามาอ์นั้นก็กลัวเช่นกันว่าคำพูดใดๆของท่านรอซูลนั้นจะถูกละเลย เพราะถ้าหากในความเป็นจริงคำพูดนั้นเกิดเป็นคำพูดท่านรอซูลขึ้นมาจริงๆเพียงแต่ผู้ถ่ายทอดเป็นผู้มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าผู้อื่น แล้วทิ้งคำพูดดังกล่าวโดยไม่แยแส จะโดนข้อหาที่ว่า

فليحذر الذين يخالفون عن أمره أن تُصيبهم فتنة أو يصيبهم عذاب أليم

และค้านกับดำรัสที่ว่า

وما آتاكم الرسول فخذوه وما نهاكم عنه فانتهوا

และนี่เป็นสิ่งที่สนับสนุนคำพูดของเหล่ามุหัดดิษีนว่า หุกมหะดีษนั้นเป็นเพียงซอนนีย์ เพราะในความเป็นจริงแล้วหะดีษที่ถูกหุกมว่าฎออีฟนั้นอาจจะศอเฮียฮ์ในความเป็นจริง เพียงแต่ว่าสายสืบนั้นๆที่เราได้รับไม่เข้าเงื่อนไขภายนอกที่ถูกตั้งขึ้นเท่านั้น

ในเมื่อทั้งสองฝ่ายก็มองถึงความเสี่ยงในแต่ละด้าน ผมเรียนว่าบรรดาญุมฮูรนั้นปลอดภัยมากกว่าทั้ง 2 กรณี คือหากหะดีษนั้นเป็นของท่านรอซูลจริงพวกท่านก็ไม่ได้ชื่อว่าทิ้งหะดีษนั้น แต่หากหะดีษนั้นไม่ใช่ของท่านรอซูลจริงพวกเขาก็จะไม่ถูกตำหนิเนื่องจากหะดีษนั้นเข้าอยู่ในหลักมูลฐานของอิสลาม และพวกเขาไม่ได้คิดว่านั่นจะต้องเป็นหะดีษท่านรอซูลแน่ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือเงื่อนไขที่พวกท่านตั้งไว้นั่นเอง

ส่วนผู้ที่ไม่ยอมรับฎออีฟไม่ว่าในกรณ๊ใดนั้นรอดต่อความสุ่มเสี่ยงในด้านลบ คือ อาจจะไปโกหกกับท่านรอซูล แต่หากเป็นหะดีษท่านรอซูลจริงพวกเขาก็ไม่รอดข้อหาที่ว่าเพิกเฉยต่อคำกล่าวของท่านรอซูล ซึ่งผู้ที่ไม่ยอมรับฎออีฟในทุกกรณีนั้นมิได้วางเงื่อนไขใดๆในการห้ามปฏิบัติฎออีฟไว้เลย ซึ่งต่างกับญุมฮูรอุลามาอ์

ดังกล่าวผมอธิบายตามหลักการทางสติปัญญา แต่จริงๆแล้วหะดีษโกหก กับหะดีษอ่อนนั้นเป็นคนละเรื่องกัน หะดีษอ่อน กับหะดีษอ่อนมากก็ต่างกัน ฉะนั้นจะมายกหลักฐานเกี่ยวกับหะดีษโกหก โดยนำความสุ่มเสี่ยงที่เป็นเพียงการคาดเดามาเหมารวมหะดีษอ่อนที่อ่อนไม่มากนั้นเป็นสิ่งที่บรรดามุหัดดิษีนไม่ทำกัน

อัลลอฮ์ตรัสว่า

وَإِنَّ الظَّنَّ لَا يُغْنِي مِنَ الْحَقِّ شَيْئا

ท่านนบี ศฮลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

"إياكم والظن فإن الظن أكذب الحديث

แล้วจะนำการคาดเดานี้มาเป็นสรณะได้อย่างไร? บังสามารถตอบหลักฐานของตัวเองได้หรือไม่?
......................................................

ส่วนข้อความคุณอัลมะดีนีย์นั้นต้องการย้ำว่าทรรศนะการนำฎออีฟมาปฏิบัติเรื่องฟะฎออิลนั้นมิใช่มติเอกฉันท์ อิจมาอ์ ซึ่งเห็นตรงกันจึงไม่ขอวิจารณ์ เพียงแต่บางท่านที่ยกมานั้นยังไม่สามารถยืนยันได้แน่นอนเท่านั้น ซึ่งผมจะกล่าวแบบคร่าวๆ โดยต้องการบอกเพียงว่าบางท่านที่ถูกเอ่ยถึงนั้นไม่ได้มีท่าทีชัดเจน

ท่านยะฮ์ยา อิบนุ มะอีน ซึ่งท่านอัลหาฟิซ อิบนุ ซัยยิดินนาซอ้างอิงถึงท่าน ซึ่งการอ้างอิงดังกล่าวค้านกับการอ้างอิงของอุลามาอ์บางส่วนซึ่งขณะนี้ผมอยู่ข้างนอกจึงนำมาแสดงไม่ได้

ส่วนอิมามอัลบุคอรีย์ที่บางท่านอ้างถึงนั้นก็ไม่อาจยืนยันได้เช่นกัน ซึ่งท่านมีหนังสือ อัลอะดะบุลมุฟรอด ซึ่งมีหะดีษฎออีฟปนอยู่ด้วย ซึ่งหากท่านจะทำให้มันศอเฮียฮ์ทั้งหมดก็ย่อมทำได้ เหมือนที่ท่านทำในญาเมียะของท่าน

....................................................

คุณ IRF กล่าวว่า "1. อัลอัซฮารี พอจนปึ๊บ ก็มา 2. นูรุ้ลอิสลาม ..แล้วเดี๋ยวพอจนปึ๊บ ..จะมี 3. อัล-ฟารูค

แท็คติกเดิมอย่างที่คุยกันครับ บัง asan .. "

ความจริงผมไม่อยากกล่าวถึงคุณมากนัก เพราะว่าไม่ได้นำเสนอวิชาการใดๆมา แต่กระนั้นเมื่อเห็นคุณก็เลยนึกถึงได้ว่า ผมถามคำถามคุณถึง 2 ข้อในกระทู้ ขอเชิญชวนเข้ารอมฎอนฯ ซึ่งจน ณ บัดนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบจากคำอ้างดังกล่าว(ผมขออนุญาตเรียกว่าคำอ้างเนื่องจากมิได้อิงอยู่กับหลักฐานใดๆ) พอเห็นคุณเป็นผู้ที่มีไหวพริบในด้านการจับจุดท่าทีของคนอื่น ว่าคนนั้นจะมามุกนั้นมุกนี้ พวกนั้นพวกนี้จนมุม อยู่ตามเวปต่างๆ จึงสงสัยว่าคุณใช้เวลาจับพฤติกรรมของคนนั้นคนนี้มากไปหรือเปล่า จึงลืมจับจุดตนเองว่าท่านยังไม่ได้ตอบคำถามผมโดยหายไปเลย แต่มีเวลาจะตอบคำถามอื่นๆ และจับพฤติกรรมผู้อื่น หากจะตอบผมขอย้ำว่าผมไม่เน้นเรื่องฟัตวาเชคอลีย์ ญุมอะฮ์ แต่ที่จะเอาก็คือการบอกว่าผู้นำฟาสิกสองคนนั้น คนหนึ่งตามได้อีกคนตามไม่ได้(โดยมิได้อิงหลักฐานใด)

ผมคิดว่าไม่น่าจะกล่าวหาคนนั้นคนนี้จนมุม หรืออะไร และคุณก็คงไม่ชอบหากผมกล่าหาว่าคุณจนมุมต่อคำถามผมเลยไม่เข้ามาตอบ แต่ผมไม่กล่าวหาอย่างนั้น และยังรออยู่นะครับ ผมคิดว่าแบบนี้จะเป็นมารยาทมากกว่า นะครับ
........................................

บังอะสันกล่าวว่า "ดังนั้น การเอาหะดิษเฎาะอีฟ มาเป็นหลักฐาน โดยกล่าวว่า ท่านนบีกล่าวว่า.....อย่างนั้น อย่างนี้ .ซึ่งเป็นคาดเดาว่าท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวไว้ แล้วถ้าท่านนบี ไม่ได้กล่าวไว้ เขาก็อาจจะอยู่ในข่ายความผิดอุปโลกน์สิ่งเท็จแก่ท่านนบีได้ "

ผมกล่าวเสริมว่า และถ้าทิ้งหะดีษดังกล่าว แล้วถ้าท่านนบีกล่าวไว้จริง เขาก็อาจจะอยู่ในข่ายความผิดละทิ้ง,ไม่เผยแผ่วัจนะของท่านนบีก็เป็นได้ และหลักฐานที่ยกมานั้นผมหักล้างหมดเรียบร้อยแล้ว และสิ่งที่ยกมานั้นไม่ได้มีผลกระทบคำพูดของผมที่อ้างอิงจากบรรดาอุลามาอ์ในวิชาแขนงนี้

..........................................

บังอะสันกล่าวว่า "สรุปว่า ถ้าเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ายืนยันว่า นบีพูด นบีทำ แต่ให้เลี่ยงไปกล่าว ด้วยถ้อยคำว่า มีรายงานว่า ,มีผูกล่าวว่า เป็นต้น นี้คือ การยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มั่นใจ อย่างเห็นได้ชัด"

ตอบ สิ่งดังกล่าว เรียกว่า "การเผื่อไว้" ซึ่งก็อยู่ในคำกล่าวของบรรดาอุลามาอ์ การตัดสินนักรายงานมากมายของนักวิชาการหะดีษก็ตั้งอยู่บนการ "เผื่อไว้" ดังกล่าวเช่นกัน ผมเรียนยกตัวอย่างไปแล้วว่า คนที่เคยตัดลีส เขาก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนตัดลีส แม้ว่าจะทำเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขาใช้คำในการรายงานไม่ชัดเจน การรายงานนั้นก็จะไม่ถูกรับ ซึ่งนั่นเรียกว่า "การเผื่อไว้" ซึ่งไม่มีใครนำมันมาเรียกว่า เป็นการหุกมคนทั้งที่ไม่มีความมั่นใจ และการไม่แน่ใจนั่นใช้ไม่ได้ และเช่นกันคนที่มีความจำไม่ดีนั้นใช่ว่า เขาจะรายงานผิดเนื่องจากจำไม่ดีทั้ง 100 % ที่เขารายงาน แต่หากผิดเพียง 30 % ก็ถูกตราหน้าทันทีว่าเป็นผู้มีความจำไม่ดี ซึ่งนั่นก็เป็นการเผื่อไว้เช่นกัน แล้วคำถามคือในเมื่อเขารายงานผิดเนื่องจากจำไม่ดีเสีย 30 % แล้วอีก 70% ที่เหลือเล่าทั้งที่เขารายงานถูก แต่ถูกโต้กลับด้วยข้อหาติดตัวที่ว่าความจำไม่ดีโดยทิ้งสิ่งที่เขารายงานเลยกระนั้นหรือ? แล้วอะไรเล่าที่จะทำให้พวกท่านรู้ได้ว่าสิ่งที่เขารายงานหนึ่งๆนั้นจะอยู่ใน 30 % หรือ 70% ? การที่บอกว่าห้ามปฏิบัติฎออีฟโดยเด็ดขาดนั้นก็คือการเลือกข้าง 30% อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันน่าจะอยู่ในกลุ่มเปอร์เซนต์ดังกล่าว หรือนี่คือการยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด? หรือว่ามันคือการเผื่อไว้?

........................................

บังอะสันกล่าวว่า "แต่การเอาความเห็นของบุคคล มาเป็นศาสนา โดยไม่มีหลักฐาน นั้นไม่ธรรมดาและจะนิ่งเฉยไม่ได้ "

ตอบ บังอะสันหวงแหนศาสนาอิสลามไม่ต่างกับที่คุณอัลอัซฮารีย์หวงแหนหรอกครับบังเห็นด้วยใช่มั้ยครับ? แต่จะคิดว่าคนที่เขาเห็นไม่เหมือนเราเป็นคนที่เอาแต่ทรรศนะบุคคล แต่ฝ่ายตนเป็นผู้ยึดถือหลักการมากกว่านั้นค่อนข้างผิดสักหน่อย อย่างเช่นเรื่องนี้ ฟังแบบนี้แล้วทำให้ทราบว่าบังอะสันจะนิ่งเฉยไม่ได้หากมีใครยึดทรรศนะนี้อย่างนั้นหรือ? ส่วนผมนั้นขอเรียนว่า ผมไม่เห็นว่าการที่บังอะสันยึดทรรศนะส่วนน้อยนั้นจะผิด เพียงแต่ว่าการนำพื้นฐานทรรศนะของตนมาตัดสินบางเรื่องจากบางคนที่เขายอมรับเรื่องนั้นๆด้วยอีกพื้นฐานทรรศนะหนึ่งนั้นไม่ถูกต้อง และผู้ที่มีทรรศนะส่วนน้อยนี้ที่ก่อนๆเขาไม่ทำกัน เพราะเขาทราบดีว่ายืนอยู่คนละพื้นฐาน หากจะต่อสู้ให้เขาเชื่อตามนั้นก็เท่ากับว่าบังกำลังเรียกร้องว่าทรรศของญุมฮูรนี้ผิด ในขณะที่ขาของบังเองก็ยังเหยียบอยู่บนสิ่งที่เป็นเพียงแค่ "ทรรศนะ" เหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นคนอื่นเขาก็มีสิทธิที่จะบอกว่าสิ่งที่บังยึดนั้นผิดเช่นกัน และบังจะรู้ได้อย่างไรว่าทรรศนะนี้บังเท่านั้นที่ถูก หรือว่าคือการที่บังอ้างอิงอัลกุรอาน และหะดีษได้ ซึ่งผมก็ได้อ้างอิงกุรอานแล้วเช่นกัน และหลักฐานที่ห้ามเพิกเฉยต่อคำพูดนบี และให้เผยแพร่นั้นมีมากมาย ส่วนบังมีการเผื่อไว้อีกว่าถ้ามันผิดก็จะไปโกหก ส่วนผมก็มีการเผื่อไว้เช่นกันว่าถ้ามันถูกเราก็จะไม่ตกอยู่ในข้อหาเมินเฉยคำพูดท่านรอซูล ส่วนถ้ามันผิดก็จะไม่เข้าค่ายโกหกเพราะวางเงื่อนไขที่จะไม่ไปตกอยู่ในข้อหาโกหกเรียบร้อยแล้ว แล้วไหนเล่าคือการนำความเห็นบุคคลมาเป็นศาสนา โดยไร้ซึ่งหลักฐาน ซึ่งจะเพิกเฉยไม่ได้?

...............................................................

บังอะสันบอกว่า "ในเมื่อตอนรายงาน ก็ไม่มั่นใจ และไม่กล้าที่จะฟันธง"

บอกไปหลายครั้งแล้วและก็ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า บรรดามุหัดดิษีนบอกว่าหุกมหะดีษนั้นเป็นซอนนีย์ไม่ใช่กอฏอีย์ที่จะฟันธงได้ ไม่มีอุลามาอ์คนไหนเขาพูดเช่นนั้นหรอกครับ แม้แต่ผู้ที่อยู่ทรรศเดียวกับบังอะสัน มีแต่เขาจะบอกว่าเป็นซอนมัรญัวห์ เพราะเขาทราบกันดีหมดว่าหุกมหะดีษสำหรับมุหัดดิษีนเป็นเพียงการตัดสินภายนอก ว่ารายงานดังกล่าวตรงกับเงื่อนไขที่เป็นเงื่อนไขของหะดีษศอเฮียฮ์ หะซัน ฎออีฟมิใช่เป็นการฟันธงว่านี่คือคำพูดท่านรอซูล มิเช่นนั้นจะแบ่งเป็นศอเฮียฮ์ หะซัน ฎออีฟทำไม ผมขอเรียนถามท่านว่า การฟันธงว่าหะดีษศอเฮียฮ์ กับการฟันธงว่าหะดีษหะซันนั้นต่างกันอย่างไร ในเมื่อการฟันธงนั้นก็คือการพูดที่ว่า "คำพูดนี้เป็นของท่านรอซูล 100%"แล้วศอเฮียฮ์นั้นมากกว่าร้อยเปอร์เซนต์ดังกล่าวกระนั้นหรือ? หรือหะซันนั้นน้อยกว่าร้อยเปอร์เซนต์ดังกล่าว? หรือบังอะสันจะบอกว่ามันเป็นเรื่องของ "ความเป็นไปได้" คือศอเฮียฮ์มีความเป็นไปได้ที่แข็งแรงกว่าหะซันที่จะเป็นคำของท่านรอซูล ซึ่งหากยังมีความมากน้อยของความเป็นไปได้อยู่นั้นเราจะไม่เรียกว่า "ฟันธง"

และเช่นเดียวกัน อะไรคือความแตกต่างระหว่างฎออีฟ กับเมาฎัวอ์ หากบังฟันธงไปแล้วว่าฎออีฟไม่ใช่คำพูดท่านรอซูลแน่ๆ และทั้งหมดนั้นคือคำตอบว่าทำไมบรรดามุหัดดิษีนจึงถือว่าการหุกมหะดีษนั้นเป็นซอนนี้ย์ไม่ใช่การตัดสินฟันธงในความเป็นจริง ณ ที่อัลลอฮ์

หากบังถามหาการตัดสินแบบฟันธงนั้นผมกลัวว่าดังกล่าวจะเป็นทรรศนะที่แหวกแนว เพราะไม่มีใครบอกว่าการหุกมหะดีษใดๆนั้นคือการฟันธงไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้ ไม่มีใครพูดแบบนี้แล้วบังอะสันยึดถือทรรศนะตัวเองเป็นศาสนา โดยไร้ซึ่งหลักฐาน และไม่มีอุลามาอ์คนไหนเห็นด้วยหรือเปล่า? ซึ่งแบบนี้ไม่ธรรมดา และจะนิ่งเฉยไม่ได้

หากมีอะไรที่ท่านไม่ชอบผมขอมะอัฟด้วยครับ

วัสสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
asan

ข้อความโดย: aswar
บอกไปหลายครั้งแล้วและก็ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า บรรดามุหัดดิษีนบอกว่าหุกมหะดีษนั้นเป็นซอนนีย์ไม่ใช่กอฏอีย์ที่จะฟันธงได้ ไม่มีอุลามาอ์คนไหนเขาพูดเช่นนั้นหรอกครับ แม้แต่ผู้ที่อยู่ทรรศเดียวกับบังอะสัน มีแต่เขาจะบอกว่าเป็นซอนมัรญัวห์ เพราะเขาทราบกันดีหมดว่าหุกมหะดีษสำหรับมุหัดดิษีนเป็นเพียงการตัดสินภายนอก ว่ารายงานดังกล่าวตรงกับเงื่อนไขที่เป็นเงื่อนไขของหะดีษศอเฮียฮ์ หะซัน ฎออีฟมิใช่เป็นการฟันธงว่านี่คือคำพูดท่านรอซูล มิเช่นนั้นจะแบ่งเป็นศอเฮียฮ์ หะซัน ฎออีฟทำไม ผมขอเรียนถามท่านว่า การฟันธงว่าหะดีษศอเฮียฮ์ กับการฟันธงว่าหะดีษหะซันนั้นต่างกันอย่างไร ในเมื่อการฟันธงนั้นก็คือการพูดที่ว่า "คำพูดนี้เป็นของท่านรอซูล 100%"แล้วศอเฮียฮ์นั้นมากกว่าร้อยเปอร์เซนต์ดังกล่าวกระนั้นหรือ? หรือหะซันนั้นน้อยกว่าร้อยเปอร์เซนต์ดังกล่าว? หรือบังอะสันจะบอกว่ามันเป็นเรื่องของ "ความเป็นไปได้" คือศอเฮียฮ์มีความเป็นไปได้ที่แข็งแรงกว่าหะซันที่จะเป็นคำของท่านรอซูล ซึ่งหากยังมีความมากน้อยของความเป็นไปได้อยู่นั้นเราจะไม่เรียกว่า "ฟันธง"

...........................
ตอบ
หลักฐานจากอัลกุรอ่าน เรียกว่า ดาลีลุลกอฏอีย์ คือหลักฐานเด็ดขาด
หลักฐานจากอัลหะดิษ เรียกว่า ดาลีลุลซอ็นนัย์ คือหลักฐานอนุมาน คือ การให้น้ำหนักไปในทางมั่นใจ
เมื่อหะดิษนั้น ผ่านการกลั่นกลอง สายรายงาน แคณสมบัติผู้รายงาน จึงจัดไว้ให้เป็นหมาดหมู่ คือ
1. เศาะเฮียะ หมายถึงอยู่ในระดับที่ถูกต้อง
2. หะซัน หมายถึงอยู่ในระดับที่ดี
3. เฏาะอีฟ หมายถึง อยู่ในระดับที่อ่อนหลักฐาน
หลักฐานซอ็นนีย์ ที่อยู่ในระดับ เศาะเฮียะ และหะซัน คุณ aswar บอกว่ายังฟันธงไม่ได้ ผมอยากจะถามว่า "แล้วหะดิษเฏาะอีฟ" จะเหลืออะไรล่ะครับ
ถ้าคุณศึกษาแบบใช้ปัญญาพิจารณา คุณลองถามตัวเองหน่อยเป็นไรว่า " ขนาดตอนรายงาน ก็ไม่กล้าที่จะกล่าวว่า "ท่านนบีพูด แล้วคุณนำมันมาปฏิบัติได้อย่างไร เช่นคำพูดของอิหม่ามนะวาวีย์ ดังที่เคยอ้างมาแล้ว
อิหม่ามนะวาวีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
قال العلماء ينبغى لمن أراد رواية حديث أو ذكره أن ينظر فان كان صحيحا أو حسنا قال رسول الله صلى الله عليه وسلم كذا أو فعله أو نحو ذلك من صيغ الجزم وان كان ضعيفا فلا يقل قال أو فعل أو أمر أو نهى وشبه ذلك من صيغ الجزم بل يقول روى عنه كذا أو جاء عنه كذا أو يروى أو يذكر أو يحكى أو يقال أوبلغنا وما أشبهه والله سبحانه أعلم
บรรดานักวิชาการ ได้กล่าวว่า สมควรให้ผู้ที่ต้องการรายงานหะดิษ หรือ ระบุหะดิษ ให้เขาพิจารณา แล้วถ้าหากมันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ หรือเป็น หะดิษฮะซัน (ก็ให้กล่าว) ว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ หรือ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือในทำนองนั้น ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น และถ้าหากว่ามันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ากล่าวว่า ?ท่านรอซูลกล่าวว่า หรือได้ทำ หรือ ได้สั่งว่า หรือได้ห้ามว่า เป็นต้น ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น แต่ให้กล่าวว่า ?ได้มีรายงานจากท่านรอซูล อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ มาจากท่านรอซูล อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ ได้มีรายงาน หรือ ได้มีการระบุว่า หรือได้มีการเล่าว่า หรือ มีผู้กล่าวว่า หรือ ได้มีรายงานถึงมายังเรา เป็นต้น ? วัลลอฮุซุบฮานะฮู อะอฺลัม
- เศาะเฮียะมุสลิม เล่ม 1 หน้า 71
ท่านอัลบานีย์จึงกล่าวว่า

قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: "اتقوا الحديث عني إلا ما علمتم" فإذا نهي عن رواية الحديث الضعيف فبالأحرى العمل به،
ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะยฮิวะสัลลัม ดกล่าวว่า "พวกท่านพึงระวังหะดิษที่รายงานจากฉัน เว้นแต่สิ่งที่พวกท่านรู้" แล้ว เมื่อท่านได้ห้ามรายงานหะดิษเฏาะอีฟ การนำมัน(หะดิษเฎาะอีฟ)มาปฏิบัติ ย่อม(ไม่สมควร)ยิ่งไปกว่านั้นอีก
- สิฟะติเศาะลาตินนบี ฯ หน้า 7
คุณอ้างญุมฮูร แล้วคุณคิดว่า คนส่วนมากการันตีได้ทุกเรื่องหรือ ผมอยากถามว่า คนชั่ว กับคนดี ใครมากกว่ากัน

asan

ข้อความโดย: aswar
หากบังถามหาการตัดสินแบบฟันธงนั้นผมกลัวว่าดังกล่าวจะเป็นทรรศนะที่แหวกแนว เพราะไม่มีใครบอกว่าการหุกมหะดีษใดๆนั้นคือการฟันธงไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้ ไม่มีใครพูดแบบนี้แล้วบังอะสันยึดถือทรรศนะตัวเองเป็นศาสนา โดยไร้ซึ่งหลักฐาน และไม่มีอุลามาอ์คนไหนเห็นด้วยหรือเปล่า? ซึ่งแบบนี้ไม่ธรรมดา และจะนิ่งเฉยไม่ได้
หากมีอะไรที่ท่านไม่ชอบผมขอมะอัฟด้วยครับ
....................
ตอบ
การที่ผมยึดถิอ หะดิษเศาะเฮียะ และหะดิษหะซัน โดยไม่เอาหะดิษเฏาะอีฟมาปฏิบัติ แล้วคุณบอกว่า ผมถือทัศนะที่แหวกแนว อันนี้ผมยินดีที่จะแหวกแนวและยิ้มรับ"ด้วยความภูมิใจครับ
بسم الله،والحمد لله،والصلاة والسلام على رسول الله،وبعد:-

ذهب بعض العلماء إلى جواز إيراد الأحاديث الضعيفة في الوعظ والإرشاد مما يعرف بفضائل الأعمال، حتى تصور كثيرون أن هذا الرأي متفق عليه عند علماء الحديث.
ولا شك أن هذا التصور خطأ كبير، فقد ذهب عدد كبير من المحققين إلى أن الحديث الضعيف لا يعمل به لا في الفضائل ولا في غيرها، وهذا مذهب البخاري، ورجحه الشيخ الألباني في عصرنا

นักวิชาการบางส่วน อนุญาตให้รายงานบรรดาหะดิษเฏาะอีฟ ในเรื่องที่เกียวกับการตักเตือน และการแนะนำให้ทำความดี จากสิ่งที่ถูกให้คำจำกัดความว่า "ฟะฎออิลุ้ลอะอม้าล" (คุณค่าของอะมั้ล) จนกระทั้ง คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ทัศนะนี้ เป็นมติเอกฉันท์ ของนักวิชาการหะดิษ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความเข้าใจอันนี้ ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ความจริง นักวิชาการที่ได้รับการรับรองจำนวนมาก มีทัศนะว่า "แท้จริงหะดิษเฎาะอีฟ ไม่ให้นำมันมาปฏิบัติ ไม่ว่าในเรื่องคุณค่าอะมั้ล และในเรื่องอื่นจากมันก็ไม่ให้นำมาปฏิบัติ และนี้คือ ทัศนะของอิหม่ามบุคอรี และเช็คอัลบานีย์ ในสมัยของเรา ได้ให้น้ำหนักทัศนะนี้
http://www.qaradawi.net/site/topics/article.aspx?cu_no=2&item_no=3759&version=1&template_id=230&parent_id=17
..............
เพราะฉะนั้น ไม่ทราบว่า อิหม่ามบุคอรีแหวกแนวหรือเปล่า คุณ aswar คงจะให้คำตอบได้
..........
และอยากจะขอเรียน ทุกท่าน รวมทั้ง คุณ azwas ว่า การโต้ตอบกันในหลายเรื่องในอินเตอร์เน็ตนั้น แม้พวกท่านจะกล่าวหาผมอยางไร ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้ใส่ใจ และอภัยเสมอขอยืนยันได้ ถ้าเจอกันกันเราก็คือพี่น้องกัน

asan

เพิ่มเติม
อัลกอสิมีย์ กล่าวว่า

، والظاهر أن مذهب البخاري ذلك -أي : عدم جواز رواية الضعيف في الفضائل- ، يدل على ذلك شرطه في صحيحه "

และที่ปรากฏชัดเจน แท้จริงทัศนะของอิหม่ามบุคอรี เป็นอย่างดังกล่าวนั้น กล่าวคือ ไม่อนุญาตให้รายงานหะดิษเฏาะอีฟ ในเรื่องคุณค่าของอะมั้ล - แสดงให้เห็นว่า นั้นคือ เงื่อนไขของท่าน ในเศาะเฮียะของท่าน

- เกาะวาอิดุตตะห์ดีษ หน้า 113
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

หลักฐานจากอัลกุรอ่าน เรียกว่า ดาลีลุลกอฏอีย์ คือหลักฐานเด็ดขาด
หลักฐานจากอัลหะดิษ เรียกว่า ดาลีลุลซอ็นนัย์ คือหลักฐานอนุมาน คือ การให้น้ำหนักไปในทางมั่นใจ
เมื่อหะดิษนั้น ผ่านการกลั่นกลอง สายรายงาน แคณสมบัติผู้รายงาน จึงจัดไว้ให้เป็นหมาดหมู่ คือ
1. เศาะเฮียะ หมายถึงอยู่ในระดับที่ถูกต้อง
2. หะซัน หมายถึงอยู่ในระดับที่ดี
3. เฏาะอีฟ หมายถึง อยู่ในระดับที่อ่อนหลักฐาน
หลักฐานซอ็นนีย์ ที่อยู่ในระดับ เศาะเฮียะ และหะซัน คุณ aswar บอกว่ายังฟันธงไม่ได้ ผมอยากจะถามว่า "แล้วหะดิษเฏาะอีฟ" จะเหลืออะไรล่ะครับ

ตอบ

บังอะสันสมควรเข้าใจเพิ่มเติมดังนี้นะครับ

1. หลักฐานของตัวอัลกุรอานเอง นั้น ก๊อดอีย์ เด็ดขาด แต่บังอะสันอย่างลืมว่า บางครั้ว ข้อบ่งชี้จากการเข้าใจตัวของอัลกุรอานนั้น "ซ๊อนนีย์" อนุมาน อย่างเช่น คำว่า ثلاثة قروء ( สามกุรุอฺ) ซึ่งคำๆ นี้ ถือว่า ก๊อดอีย์ เด็ดขาด แต่ข้อบ่งชี้ของอายะฮ์ดังกล่าวนั้น "ซ๊อนนีย์" อนุมาน ครับ เนื่องจากมันมีความหมายว่า "มีประจำเดือน" และ "เกลี้ยงประจำเดือน" ดังนั้น ตัวของอัลกุรอานนั้น "เด็ดขาด" แต่ ข้อบ่งชี้ของอัลกุรอานบางครั้งก็ "อนุมาน"

2. หลักฐานหะดิษนั้น มีอยู่สองประเด็น หากหะดิษที่อยู่ในขั้นระดับมุตะวาติร متواتر (คือมีบรรดาผู้คนทำการรายงาน โดยมีความเห็นพร้องกันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรว่มกันโกหก) หะดิษประเภทนี้ ก๊อดอีย์ เด็ดขาด มั่นใจแน่นอนครับ ส่วนหะดิษที่ อาหาด أحاد (คือหะดิษที่ไม่ถึงขั้นระดับมุตะวาติร) ย่อมอยู่ในประเภท ซ๊อนนีย์ รอญิหฺ (อนุมานในเชิงบวก) คือค่อนข้างไปทางมั่นใจ แต่ไม่ถึงขึ้นระดับมั่นใจ และส่วนมากจากข้อบ่งชี้ไม่โดยตรงของหะดิษซอฮิหฺนั้น ซ๊อนนีย์ มนุมานเท่านั้นเอง

การที่คุณ อัสวาร บอกว่าหะดิษซอฮิหฺ และ หะซัน ยังฟันธงไม่ได้นั้น โดยพิจารณาถึง ตัวของผู้รายงาน หรือหนทางที่จะนำไปสู่ซุนนะฮ์ ซึ่งหากว่าไม่ใช่หะดิษซอฮิหฺถึงขึ้นระดับมุตะวาติรแล้ว แน่นอนว่า การรายงานเพียงแค่คนเดียวหรือสองคนนั้น บรรดานักหะดิษก็ยังพิจารณาถึงข้อเท็จที่ว่า มนุษย์นั้นอาจจะลืมก็ได้ หรือไม่ลืมก็ได้ บางทีผู้รายงานอาจจะรายงานเพียงความหมายของหะดิษที่ผู้รายงานเข้าใจ โดยไม่ได้รายงานคำพูดตรงๆ ของท่านนบี(ซ.ล.) ซึ่งบังอะสันก็น่าจะทราบดีว่า มีหะดิษมากมายที่อยู่ในบทเดียวกัน แต่ตัวบทหะดิษต่างกันและให้สำนวนต่างกัน นั่นเพราะได้รายงานในเชิงความหมายเสียเป็นส่วนมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะไป ยาเกน ฟันธง ร้อยเปอร์เซ็นว่า นี่คือคำพูดตรงๆ ของท่านนบีแบบเด็ดขาดเลยทั้งหมดเลยกระนั้นหรือ? ดังนั้น บรรดานักปราชญ์หะดิษยังตระหนักถึงจุดนี้นะครับ และบางครั้งหะดิษนั้นฏออีฟ แต่ความหมายถูกต้องและชัดเจน เช่นหะดิษที่ว่า

طلب العلم فريضة على كل مسلم

"การศึกษาวิชาความรู้นั้น เป็นฟัรดูเหนือบรรดามุสลิมทุกคน"

หะดิษนี้ฏออีฟครับ แต่ความหมายถึงต้อง และบังอะสันคงไม่กล่าวหาว่าหะดิษนี้อยู่ในข่ายโกหกต่อท่านนบี(ซ.ล.) หรือไม่มั่นใจว่ามาจากท่านนบี(ซ.ล.) ดังนั้น การฏออีฟของหะดิษ เขาพิจารณาที่ตัวบทและสายรายงาน

ส่วนกรณีหะดิษฏออีฟ ที่บังอะสันพยายามจะบอกว่า มันไม่ใช่ ซ๊อนนีย์ นั้น คือฏออีฟในด้านของสายรายงานเท่านั้น บังอะสันก็น่าจะพิจารณา ถึงประเภทของมัน คือหะดิษฏออีฟนี้ อยู่ในประเภท ซ๊อนนีย์ มัรญูหฺ ซึ่งเป็นการอนุมานในเชิงน้ำหนักที่น้อยกว่า แต่ยังไม่ถึงขึ้นระดับ สงสัย หรือคาดเดา หากว่ามันไม่ฏออีฟจนเกินไป หรือจนถึงขั้นเมาฏั๊วะ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงต้องมีเงื่อนไขในการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ

บังอะสันต้องตระหนักให้ดีว่า เรากำลังพูดถึง การปฏิบัติหะดิษฏออีฟ ไม่ใช่การรายงานหะดิษฏออีฟหรือนำหะดิษฏออีฟมาเป็นหลักฐานในเรื่องวายิบหรือหะรอม การฏออีฟของหะดิษที่เราพูดถึงนั้น คือฏออีฟเพียงสายรายงานเท่านั้น โดยที่หะดิษฏออีฟนี้ต้องไม่ไปขัดแย้งกับหะดิษอื่นที่ซอฮิหฺ และสายรายงานต้องไม่มีผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก หรือความจำไม่เอาดีเสียเลย หรือมีความผิดพลาดในการายงานมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หะดิษนั้น ต้องมีหลักฐานที่ซอฮิหฺที่ให้ความหมายแบบครอบคลุมและมีหลักการของศาสนาโดยรวมมารับรองไว้แล้ว นั่นถือว่า นำมาปฏิบัติได้ แต่ไม่ใช่ปฏิบัติในเชิงวายิบหรือหะรอม แต่ปฏิบัติในเชิงสมัครใจเท่านั้น โดยไม่ใช่อยู่ในเชิงบังคับ เนื่องจากลำดับน้ำหนักของหลักฐานนั้น ต้องลดลั่นลงมาตามฐานะของมัน หวังว่าบังอะสันคงเปิดใจรับฟัง วัลลอฮุอะลัม

al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

อัลกอสิมีย์ กล่าวว่า

، والظاهر أن مذهب البخاري ذلك -أي : عدم جواز رواية الضعيف في الفضائل- ، يدل على ذلك شرطه في صحيحه "

และที่ปรากฏชัดเจน แท้จริงทัศนะของอิหม่ามบุคอรี เป็นอย่างดังกล่าวนั้น กล่าวคือ ไม่อนุญาตให้รายงานหะดิษเฏาะอีฟ ในเรื่องคุณค่าของอะมั้ล - แสดงให้เห็นว่า นั้นคือ เงื่อนไขของท่าน ในเศาะเฮียะของท่าน

- เกาะวาอิดุตตะห์ดีษ หน้า 113

ตอบ

ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่า ท่านอิมามบุคคอรีย์ ไม่ได้กล่าวทัศนะห้ามปฏิบัติให้กับหะดิษฏออีฟ และท่านกอซิมีย์ กล่าวอ้างทัศนะของท่านอัลบุคอรีย์นั้น เกี่ยวกับการรายงานหะดิษฏออีฟ ไม่ปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ ซึ่งท่าอัลกอซิมีย์ ไม่ได้อ้างระบุคำกล่าวของท่านอัลบุคอรีย์โดยตรง ซึ่งเราจะยัดเยียดทัศนะของท่านอัลบุคอรีย์ในการห้ามปฏิบัติหะดิษฏออีฟไม่ได้ หลักฐานที่ท่านกอซิมีย์ นำมาอ้างทัศนะของท่านบุคอรีย์นั้น คือ เงื่อนไขในการนำเสนอหะดิษญาเมี๊ยะอฺซอฮิหฺบุคคอรีย์ แล้วมาตัดสินโดยอ้อมว่า ท่านอิมามอัลบุคคอรีย์ ห้ามการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ คำว่า الظاهر ในที่นี้นั้น ไม่ใช่หมายความว่า "ชัดเจน" แต่มันหมายว่า "ปรากฏให้เห็นเพียงภายนอก" จากการวิเคราะห์หลักการทั่วไปของอิมามบุคอรีย์ ซึ่งท่านกอซิมีย์ ได้วิเคราะห์เงื่อนไขในหะดิษญาเมี๊ยะซอฮิหฺท่านบุคอรีย์ เท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีข้อสงสัยว่า ทำไมท่านอัลกอซิมีย์ ถึงไม่ไปวิเคราะห์ในหนังสือหะดิษเล่มอื่นของท่านอิมามบุคอรีย์ เช่นหนังสือ الأدب المفرد (อัลอะดับ อัลมุฟรัด) ซึ่งเป็นหนังสือหะดิษของท่านบุคคอรีย์ ที่กล่าวถึงการปฏิบัติคุณงามความดี เกี่ยวกับจรรยามารยาท ซึ่งมีหะดิษฏออีฟปะปนอยู่ด้วย ??


al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

ท่านอัลบานีย์จึงกล่าวว่า

قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: "اتقوا الحديث عني إلا ما علمتم" فإذا نهي عن رواية الحديث الضعيف فبالأحرى العمل به،

ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะยฮิวะสัลลัม ดกล่าวว่า "พวกท่านพึงระวังหะดิษที่รายงานจากฉัน เว้นแต่สิ่งที่พวกท่านรู้" แล้ว เมื่อท่านได้ห้ามรายงานหะดิษเฏาะอีฟ การนำมัน(หะดิษเฎาะอีฟ)มาปฏิบัติ ย่อม(ไม่สมควร)ยิ่งไปกว่านั้นอีก
- สิฟะติเศาะลาตินนบี ฯ หน้า 7

ตอบ

เอาคำกล่าวของท่านนบีมาประกอบ แล้วท่านอัลบานีย์ก็ออกความเห็นเอง บังอะสันก็อย่าเหมาแอบอ้างบอกไปว่า นี่คือทัศนะของท่านนบี(ซ.ล.) ในการปฏิบัติหะดิษฏออีฟที่มีเงื่อนไขด้วยนะครับ เพราะจากริวายะฮ์หะดิษฏออีฟนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่นบี(ซ.ล.)ห้าม เนื่องจากคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.)นั้น ไม่ได้ห้ามการายงานหะดิษที่ฏออีฟและปฏิบัติหะดิษฏออีฟ เพียงแต่ท่านนบี(ซ.ล.) เตือนให้ระวัง คำพูดที่มาจากท่านนบี(ซ.ล.) โดยต้องทำการตรวจสอบให้ทราบด้วยว่าถูกต้องหรือไม่? ไม่ใช่รับมาแบสุ่มๆ ซึ่งถ้าหากว่าโกหกต่อท่านนบี(ซ.ล.) แล้ว ก็จะนำมาพิจารณาไม่ได้ และคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.)นั้น ไม่ได้ห้ามถึงการรายงานหะดิษฏออีฟ เนื่องจาก ท่านอิมามอัตติรมีซีย์ ท่านอบูดาวูด ท่านอันนะซาอีย์ ท่านอิบนุมาญะฮ์ ท่านอัดดาริมีย์ ท่านอัลบัยฮะกีย์ เป็นต้น ก็รายงานหะดิษฏออีฟไว้เหมือนกัน แต่พวกเขาได้บอกสายรายงานเอาไว้ ดังนั้น การที่ท่านอัลบานีย์ได้ออกความเห็นและบอกว่า คำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) ชี้ถึงการห้ามรายงานหะดิษฏออีฟนั้นถือว่า "ผิดอย่างถนัด" และยังถือว่าเป็นการแหวกและแปลกแนว ไม่สามารถนำมาพิจารณาได้เลย

ส่วนหะดิษฏออีฟนั้น เรานำมาปฏิบัติในเรื่องค่าของอะมัลด้วย โดยมีเงื่อนไขกำกับอยู่ และขอย้ำว่า โดยมีเงื่อนไขกำกับอยู่ ซึ่งหากหะดิษฏออีฟนั้น อยู่ภายใต้หลัการของอัลกุรอานและหะดิษซอฮิหฺของท่านนบี(ซ.ล.)โดยความหมายแบบครอบคลุมแล้วหรืออยู่ภายใต้หลักการศาสนาโดยทั่วไปแล้ว ก็สามารถนำมาปฏิบัติในเชิงคุณค่าของอะมัลแบบสมัรคใจเท่านั้น ไม่ใช่ในเชิงบังคับวายิบหรือหะรอม ดังนั้น บังอะสันต้องทราบว่า ตอนนี้บังอะสันกำลังคุยกับ ทัศนะที่บอกว่า หะดิษฏออีฟสามารถนำมาปฏิบัติด้วยโดยมีเงื่อนไข ไม่ใช่นำมาปฏิบัติได้โดยไร้เงื่อนไข

al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

การที่ผมยึดถิอ หะดิษเศาะเฮียะ และหะดิษหะซัน โดยไม่เอาหะดิษเฏาะอีฟมาปฏิบัติ แล้วคุณบอกว่า ผมถือทัศนะที่แหวกแนว อันนี้ผมยินดีที่จะแหวกแนวและยิ้มรับ ด้วยความภูมิใจครับ

ตอบ

หากบังอะสันยึดทัศนะดังกล่าว ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราเลย และเราก็ไม่ได้ตำหนิ แต่ความตะอัสศุบและใช้ทัศนะของตนเองมาข่มและละเมิดทัศนะอื่นต่างหากล่ะ ที่เราต้องทำการสนทนา เนื่องจากมันไม่ใช่แบบฉบับของศะละฟุศศอลิหฺ และบรรดาปวงปราชญ์ผู้มีคุณธรรม แต่นั่นก็แค่ทัศนะความเชื่อ แต่ในภาคปฏิบัตินั้น ผมยังไม่ปักใจเชื่อหรอกครับ เพราะสายรายงานฏออีฟ ยังนำมาฮูกุ่มบิดอะฮ์และหะรอมต่อแนวทางพี่น้องมุสลิมอื่นๆ ก็มีถมไปที่เราทราบกันดี

al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

ถ้าคุณศึกษาแบบใช้ปัญญาพิจารณา คุณลองถามตัวเองหน่อยเป็นไรว่า " ขนาดตอนรายงาน ก็ไม่กล้าที่จะกล่าวว่า "ท่านนบีพูด แล้วคุณนำมันมาปฏิบัติได้อย่างไร เช่นคำพูดของอิหม่ามนะวาวีย์ ดังที่เคยอ้างมาแล้ว
อิหม่ามนะวาวีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

قال العلماء ينبغى لمن أراد رواية حديث أو ذكره أن ينظر فان كان صحيحا أو حسنا قال رسول الله صلى الله عليه وسلم كذا أو فعله أو نحو ذلك من صيغ الجزم وان كان ضعيفا فلا يقل قال أو فعل أو أمر أو نهى وشبه ذلك من صيغ الجزم بل يقول روى عنه كذا أو جاء عنه كذا أو يروى أو يذكر أو يحكى أو يقال أوبلغنا وما أشبهه والله سبحانه أعلم

บรรดานักวิชาการ ได้กล่าวว่า สมควรให้ผู้ที่ต้องการรายงานหะดิษ หรือ ระบุหะดิษ ให้เขาพิจารณา แล้วถ้าหากมันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ หรือเป็น หะดิษฮะซัน (ก็ให้กล่าว) ว่า ท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ หรือ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือในทำนองนั้น ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น และถ้าหากว่ามันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ก็อย่ากล่าวว่า ?ท่านรอซูลกล่าวว่า หรือได้ทำ หรือ ได้สั่งว่า หรือได้ห้ามว่า เป็นต้น ด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น แต่ให้กล่าวว่า ?ได้มีรายงานจากท่านรอซูล อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ มาจากท่านรอซูล อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ ได้มีรายงาน หรือ ได้มีการระบุว่า หรือได้มีการเล่าว่า หรือ มีผู้กล่าวว่า หรือ ได้มีรายงานถึงมายังเรา เป็นต้น ? วัลลอฮุซุบฮานะฮู อะอฺลัม
- เศาะเฮียะมุสลิม เล่ม 1 หน้า 71

ตอบ

เอาอีกแล้วครับ บังอะสันกล่าวผู้อื่นว่า ใช้ปัญญาพิจารณา โดยแกล้งลืมว่าตนเองก็ใช้ปัญหาพิจารณาเช่นเดียวกัน และบังอะสันลืมไปว่า ผมได้ชี้แจงคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ไปแล้ว

คำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ตรงนี้ พูดถึงวิธีการใช้ถ้อยคำในเรื่องการรายงานหะดิษ (الرواية ) ไม่ใช่หลักปฏิบัตหะดิษ ( العمل ) ซึ่งมันมีความแตกต่างกัน ดังนั้น หลักการรายงานหะดิษฏออีฟ ก็เป็นประเด็นหนึ่ง และหลักการปฏิบัติหะดิษ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งบังอะสันอย่าเอามา تخليط ปะปนให้สับสน และ تدليس อำพรางผู้อื่น จนกระทั่งกลับกลายเป็น سفسطة อ้างเหตุผลตบตาผู้อ่านไปในที่สุด ซึ่งมันเป็นแนวทางการอ้างอิงไม่ถูกต้องนะครับ เพราะฉะนั้น บังอะสันก็ลองพิจารณาคำพูดของอิมามอันนะวาวีย์ เกี่ยวกับหลักการรายงานหะดิษฏออีฟ กับหลักการปฏิบัติหะดิษฏออีฟซิครับ แล้วบังอะสันก็จะเข้าใจและแยกแยะอะไรๆ ที่ดีขึ้นกว่านี้ครับ

บังอะสันครับ การปฏิบัติสิ่งที่มั่นใจนั้น คือสิงที่เป็นฟัรดู วายิบ หะรอม เป็นต้น ส่วนประเด็นของสุนัต และมุบาห์นั้น ศาสนาได้บังคับใช้แบบไม่เด็ดขาด ดังนั้น หะดิษฏออีฟที่ไม่ใช่เมาฏั๊วะและอยู่ภายใต้เงื่อนไข ก็สามารถกระทำได้เพราะหะดิษฏออีฟไม่ได้ยืนยันในเรื่องวายิบ ฟัรดู และหะรอม

แต่บังอะสันก็พยายามที่จะเน้นและชี้ว่าหะดิษฏออีฟ ไม่ได้มีความมั่นใจ แต่ในขณะเดียวกันบังอะสันก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองนำเสนอ เพราะแม้ว่าหะดิษฏออีฟไม่ได้ให้ความหมายถึงความมั่นใจ แต่ที่สบายใจนั้นเพราะว่า มันอยู่ในหลักการของหะดิษซอฮิหฺที่อยู่ในความหมายครอบคลุมหรืออยู่ภายใต้หลักการพื้นฐานทั่วไปที่ได้ถูกรับรองไว้แล้ว เพราะฉะนั้น ต้องมีหลักเกณฑ์นี้มารับรองด้วย ดังนั้น อุลามาอ์นักหะดิษเขามีความรอบครอบแล้ว แต่บังอะสันไม่เข้าใจเอง ซึ่งบังอะสันได้กล่าวอ้างอิงคำกล่าวของท่านอัสสัคคอวีย์ จากท่านอิบนุหะญัรไว้เองว่า

الثَّاني: أن يكون مندرجاً تحت أصل عام

2. เป็นหะดิษที่อยู่ภายใต้ รากฐานทั่วไป(ที่มีอยู่แล้ว)

และข้างต้นผมก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่า

"เนื่องจากคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์นี้ พูดถึงเรื่องการ ?อนุญาต? ( الجواز ) เท่านั้น ซึ่งหมายถึง ปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ เพราะว่ามีหะดิษฏออีฟมารับรองตามเงื่อนไขที่วางไว้ และการกล่าวว่า สุนัต ( المستحب ) ให้ในปฏิบัติ ซึ่งหมายถึงกระทำแล้วได้รับผลบุญ ไม่ใช่เพราะว่าได้รับการยืนยันแน่นอนจากหะดิษฏออีฟ แต่เนื่องมาจากหะดิษฏออีฟดังกล่าวได้อยู่ภายใต้หลักฐานซอฮิหฺที่ให้ความหมายแบบครอบคลุมหรืออยู่ภายใต้หลักการพื้นฐานทั่วไปที่ได้ถูกรับรองไว้และเป็นตัวเสริมน้ำหนักในการปฏิบัติหะดิษฏออีฟ" และถ้าหากบังอะสันบอกว่า ท่านอัลกอซิมีย์ว่าอย่างนั้น ท่านอัลบานีย์กล่าวอย่างนี้ ท่านชัยค์ก๊อรฏอวีย์ว่าอย่างโน้น มันจะไม่ต่างกับอะไรที่เราบอกว่า ท่านอิมามนะวาวีย์ว่าอย่างนั้น ท่านอิบนุหะญัรว่าอย่างนี้ ท่านอัสสัคอวีย์กล่าวว่า... ท่านอิมามอัศศะยูฏีย์กล่าว่า บรรดานักปราชญ์ส่วนใหญ่กล่าวว่า... ดังนั้น เมื่อท่านอัลกอซิมียกล่าวว่าอย่างนั้น ท่านอัลบานีย์กล่าวอย่างนี้ เรามีสิทธิ์วินิจฉัยและวิจารณ์คำพูดของพวกเขาที่อาจะไม่ถูกต้องเสมอไปได้เช่นเดียวกันครับ"วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
salam

ผมว่าคุณอัสอารีน่าจะไปตั้งชื่อเวปไซด์ของคุณว่า เวป إحياء البدعة จะดีกว่ารู้สึกว่าคุณเป็น مجدد ที่ว่าฟื้นฟูบิดอะห์แห่งยุคนี้เรื่องในอิสลามมีมากมายแต่คุณอุตสาอดหลับอดนอนเพื่อค้นคว้าเรื่องที่ให้มีการถกเถียงกัน และพยายามขุดข้ยเรื่องทีทผู้คนกำลังจะละทิ้งคุณต้องตอบคำถามของอัลลอฮในวันกิยามะห์ในสิ่งที่คุณทำ

al-azhary

คุณ salam ครับ บิดอะฮ์ที่คุณยึดอยู่ในใจน่ะ ขจัดออกไปเสียก่อนเถอะครับ ก่อนที่มากล่าวหาผู้อื่น และ พวกบิดอะฮ์มักชอบกล่าวหา

al-azhary

อ้างอิงจากบังอะสัน

ท่านอัลบานีย์จึงกล่าวว่า

قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: "اتقوا الحديث عني إلا ما علمتم" فإذا نهي عن رواية الحديث الضعيف فبالأحرى العمل به،
ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะยฮิวะสัลลัม ดกล่าวว่า "พวกท่านพึงระวังหะดิษที่รายงานจากฉัน เว้นแต่สิ่งที่พวกท่านรู้" แล้ว เมื่อท่านได้ห้ามรายงานหะดิษเฏาะอีฟ การนำมัน(หะดิษเฎาะอีฟ)มาปฏิบัติ ย่อม(ไม่สมควร)ยิ่งไปกว่านั้นอีก

ตอบ

วะฮาบีย์นั้นมาแปลก.. ที่เวลาตอนนี้ ขอแต่ฮาดีสซอเหียะ อย่างเดียว ที่เวลาฮาดิสดออีฟแล้วรายงานไม่ได้ ที่กล่าวถึง..ที่ว่า ท่านอิบนุมัสอุดพูดเกี่ยวกับ ล้อมวงซิเกร ทั้งที่เป็๋นดออีฟ โทนโท้แต่ก็จะทำเป็นซอเหียะเพื่อฮุกมเราว่าทำบิดอะเผื่อจะเถบเราให้ตกนรกให้จงได้555.. แล้วแบบนี้ล้ำหน้าอัลเลาะฮ์และร่อซูลหรือเปล่าครับ? แล้วทำการตีความคิดเข้าข้างตนเอง แบบนี้บิดอะฮ์นะครับ (ข้อความเขาฝากมาอีกที)"บังอะสันคงรู้ว่าเป็นใคร?

asan

ข้อความเมื่อ: วันนี้ เวลา 19:59ข้อความโดย: al-azhary
วะฮาบีย์นั้นมาแปลก.. ที่เวลาตอนนี้ ขอแต่ฮาดีสซอเหียะ อย่างเดียว ที่เวลาฮาดิสดออีฟแล้วรายงานไม่ได้ ที่กล่าวถึง..ที่ว่า ท่านอิบนุมัสอุดพูดเกี่ยวกับ ล้อมวงซิเกร ทั้งที่เป็๋นดออีฟ โทนโท้แต่ก็จะทำเป็นซอเหียะเพื่อฮุกมเราว่าทำบิดอะเผื่อจะเถบเราให้ตกนรกให้จงได้555.. แล้วแบบนี้ล้ำหน้าอัลเลาะฮ์และร่อซูลหรือเปล่าครับ? แล้วทำการตีความคิดเข้าข้างตนเอง แบบนี้บิดอะฮ์นะครับ (ข้อความเขาฝากมาอีกที) บังอะสันคงรู้ว่าเป็นใคร?
..................
ตอบ
น้องบ่าวเรานี้ ดิ้นหัวชนฝา เลยนะ นี่ก็ดันกลับไปหาหะดิษอิบนิมัสอูดอีก ไม่รู้มันเกี่ยวกันตรงใหน เพราะหะดิษมัสอูด เป็นเพียงแค่หะดิษเมากูฟ และก็มีนักวิชาการส่วนหนึ่งว่าเศาะเฮียะ อันที่จริงเรื่อง การซิกริลละฮ ที่กำหนดรูปแบบมาในรูปแปลกๆนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเอาหะดิษอิบนุมัสอูดมาอ้างหรอก มันก็เป็นบิดอะฮ ไม่ปนผักอยู่แล้ว และ

มันก็แปลกนะครับ ท่านอิหม่ามชาฟิอีย์เอง กล่าวว่า

إذا صح الحديث فهو مذهبي، وإذا صح الحديث فاضربوا بقولي عرض الحائط

เมื่อหะดิษเศาะเฮียะ มันคือ แนวทางของฉัน และเมื่อหะดิษเศาะเฮียะ ดังนั้นจงขว้างคำพูดของข้าพเจ้า ไปที่ผนังกำแพง - สิยะรุ้ลอะอ์ลามุ้ลนุบะลาอ เล่ม 10 หน้า 47

และอิหม่ามชาฟิอีย์ กล่าวอีกว่า

إذا صح الحديث عن النبي صلى الله عليه وسلم وقلت أنا قولا فأنا راجع عن قولي وقائل بذلك

เมื่อหะดิษเศาะเฮีย จากท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยที่ข้าพเจ้าเองได้กล่าว(ขัดแย้งกับหะดิษ) ดังนั้นข้าพเจ้า ขอคืนคำ และปฏิบัติตามหะดิษนั้น
สิยะรุ้ลอะอ์ลามุ้ลนุบะลาอ เล่ม 9 หน้า 107

แต่คนที่อ้างว่า ตามมัซฮับชาฟิอีย์ กลับปกป้องหะดิษเฎาะอีฟ แบบหัวชนฝา

ท่านมุหัมหมัด บุตร สิรีน กล่าวว่า

إنَّ هذا العلمَ دينٌ، فانظُروا عمن تأخذون دينكم

แท้จริง นี้คือ ความรู้ ศาสนา ดังนั้น พวกท่านจงพิจารณา จากผู้ที่พวกท่าน เอาศาสนาของพวกท่าน - คำนำเศาะเฮียะมุสลิม เล่ม 1 หน้า 13

العلم المقصود هو: حديث النبي صلى الله عليه وسلم ، فلا يؤخذ إلا عن الثقات الأثبات، أهل الصدق و الأمانة
คำว่า "ความรู้ในที่นี้ หมายถึง หะดิษของท่านนบี สอ็ลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังนั้น จงอย่าเอา เว้นแต่ จากรายงานที่เชื่อถือได้ แน่นอน คือ ผู้ที่มีสัจจะ และมี่ความซื่อสัตย์

عن أبي قتادة رضي الله عنه قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم «إياكم و كثرة الحديث عني، مَنْ قال عليَّ فلايقولَنَّ إلاَّحقاً أو صدقاً،فمن قال عليَّ مالم أقل فليتبوَّأْ مقعدَه من النار

จากอบีเกาะตาดะฮ (ร.ฏ) กล่าวว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ สอ็ลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า" พวกท่านพึงระวัง การรายงานหะดิษจากฉันจำนวนมาก ,ผู้ใดกล่าวพาดพิงถึงฉัน เขาก็จงอย่ากล่าว นอกจาก ความถูกต้องหรือ ความจริง ดังนั้น
ผู้ใดกล่าวอ้างให้แก่ฉัน สิ่งซี่งฉันไม่ได้กล่าว เขาจงเตรียมที่อยู่ในนรก
رواه أحمد (5/297) وغيره .
.............

ดังนั้น ปกป้องหะดิษเฏาะอีฟ ก็ระวังเอาไว้

asan

عن أبي قتادة رضي الله عنه قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم
;إياكم و كثرة الحديث عني، مَنْ قال عليَّ فلايقولَنَّ إلاَّحقاً أو صدقاً،فمن قال عليَّ مالم أقل فليتبوَّأْ مقعدَه من النار

จากอบีเกาะตาดะฮ (ร.ฏ) กล่าวว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ สอ็ลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า" พวกท่านพึงระวัง การรายงานหะดิษจากฉันจำนวนมาก ,ผู้ใดกล่าวพาดพิงถึงฉัน เขาก็จงอย่ากล่าว นอกจาก ความถูกต้องหรือ ความจริง ดังนั้น
ผู้ใดกล่าวอ้างให้แก่ฉัน สิ่งซี่งฉันไม่ได้กล่าว เขาจงเตรียมที่อยู่ในนรก
رواه أحمد (5/297) وغيره .

aswar

บังอะสันกล่าวว่า " หลักฐานซอ็นนีย์ ที่อยู่ในระดับ เศาะเฮียะ และหะซัน คุณ aswar บอกว่ายังฟันธงไม่ได้ ผมอยากจะถามว่า "แล้วหะดิษเฏาะอีฟ" จะเหลืออะไรล่ะครับ "

เป็นคำถามที่ดีครับ

คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่า บังเข้าใจว่า "ในเมื่อศอเฮียฮ์ และหะซันยังฟันธงไม่ได้ 100%เลย ฉะนั้นฎออีฟยิ่งห่างไกลต่อความเป็นจริงยิ่งกว่า" ซึ่งเป็นความเข้าใจไม่ถูกต้องนะครับ ผมอ้างอิงจากบรรดามุหัดดิษีนแล้วว่า การตัดสินหะดีษนั้นทำเพียงภายนอกซึ่งความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น ฉะนั้นความหมายของมันคือการตัดสินหุกมหะดีษใดนั้นมิใช่เป็นการฟันธงตามหุกมดังกล่าว คำนี้คือจุดสำคัญครับ คือ การที่บรรดามุหัดดิษีนหุกมหะดีษใดนั้น เช่น หุกมว่าหะดีษนั้นศอเฮียฮ์ไม่ได้หมายความว่าฟันธง 100% ว่าเป็นคำของท่านรอซูลจริง(ศอเฮียฮ์) เพราะว่าผู้ที่น่าเชื่อถือษิเกาะฮ์อาจรายงานผิดก็ได้ ฉะนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อมุหัดดิษหุกมหะดีษใดว่าฎออีฟแล้วไม่ได้หมายความว่าฟันธง 100% ว่าไม่ได้เป็นคำท่านรอซูล เพราะอาจเป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นมัจฮูลนั้นๆอาจเป็นผู้ที่ษิเกาะฮ์ หรือมุดัลลิซ หรือซัยยิอุลหิฟซ์นั้นๆอาจรายงานถูกก็เป็นได้ นั่นจึงหมายความว่าความเข้าใจที่ถูกต้องคือ "การฟันธงที่พูดถึงนั้นคือ การฟันธงตามหุกมนั้นๆที่ถูกตัดสินมา" ฉะนั้นกรุณาเปรียบเทียบตัวหนาระหว่างความเข้าใจของบังซึ่งผิด กับความเข้าใจที่ถูกต้องตรงท้ายด้วยครับ

...................................................

บังอะสันกล่าวว่า " ถ้าคุณศึกษาแบบใช้ปัญญาพิจารณา คุณลองถามตัวเองหน่อยเป็นไรว่า " ขนาดตอนรายงาน ก็ไม่กล้าที่จะกล่าวว่า "ท่านนบีพูด แล้วคุณนำมันมาปฏิบัติได้อย่างไร "

ตอบ ผมใช้ปัญญาพิจารณาเสมอครับ และบรรดาญุมฮูรก็ใช้ปัญญาเช่นกัน หรือบังอะสันกำลังจะบอกว่าบรรดาญุมฮูรศึกษาโดยมิใช้ปัญญา(ถ้าบังใช้คำแบบนี้กับผม ก็เท่ากับบังใช้กับญุมฮูรมุหัดดิษีนเช่นกัน เพราะผมกับพวกท่านยึดทรรศนะเดียวกัน) การพูดแบบนี้นั้นแสดงว่าทรรศนะของบังที่ยึดนั้น เป็นทรรศนะที่กลั่นกรองมาแล้ว และเป็นทรรศนะของผู้ที่ศึกษาแบบใช้ปัญญา ซึ่งผมไม่ทราบว่าแบบนี้ฝ่ายที่ค้านกับบังจะใช้อะไรศึกษาและพิจารณา?

ที่พูดนี้ผมต้องการให้บังเอง และผู้อ่านทุกท่านเห็นถึงพื้นฐาน และวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง ในสังคมซึ่งแตกต่าง หากเรามีวิธีคิดที่ไม่ถูกต้องความแตกต่างนั้นก็จะดำเนินไปสู่ความแตกแยก แต่ถ้ามีวิธีคิดที่ถูกต้องมันจะไม่เกิดปัญหาใดๆ ซึ่งความแตกต่างแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยศอฮาบะฮ์แล้ว และมีเรื่อยมา แต่ไม่เคยเกิดฟิตนะฮ์อย่างสมัยเรา นั่นคือคำถามว่าทำไม? หรือเราจะทำอะไรผิดไป? หรือว่าเรามีวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง?

ส่วนคำถามว่า "คุณลองถามตัวเองหน่อยเป็นไรว่า " ขนาดตอนรายงาน ก็ไม่กล้าที่จะกล่าวว่า "ท่านนบีพูด แล้วคุณนำมันมาปฏิบัติได้อย่างไร "

ตอบ เรื่องนี้ผมก็เรียนไปแล้วว่าการไม่ใช้ صيغة الجزم นั้นเพราะเป็นการเผื่อไว้ ซึ่งพวกท่านก็หวงท่านรอซูลไม่ต่างกับบังหรือผู้ที่บังยึดตามทรรศนะเขาหรอกครับ ฉะนั้นพวกท่านจึงทำทุกวิถีทางที่จะให้ปลอดภัยที่สุด อ้าวแล้วถามว่า "ถ้าให้ปลอดภัยก็ทิ้งไปเลยสิ" ผมก็เรียนไปแล้วอีกเช่นกันว่า แล้วบัง หรือใครเล่าจะรับผิดชอบหากเราขว้างหะดีษฎออีฟทิ้งแม่น้ำทั้งที่จริงๆแล้วอาจเป็นคำท่านรอซูลจริง ถ้าเป็นจริงใครจะรับผิดชอบ ถามต่ออีกว่า "อ้าว แล้วเอาฎออีฟมาถ้ามันไม่ได้เป็นคำท่านนบีจริงๆล่ะ" ตอบ ก็ไม่ใช่เป็นการโกหกต่อท่านนบี เพราะรายงานด้วย صيغة التمريض และมีในเงื่อนไขแล้วว่าไม่ให้เชื่อแน่ชัดว่ามันเป็นคำท่านรอซูลจริงๆ ฉะนั้นตอนนี้คำถามที่บังต้องตอบผมบ้างคือ "แล้วถ้าเป็นหะดีษท่านรอซูลจริงแล้วเราทิ้ง และใช้ให้คนอื่นทิ้ง แล้วถ้ามันเป็นคำท่านรอซูลจริงจะทำยังไง?"

......................................................

บังอะสันอ้างอิงจากอัลอัลบานีย์ หะดีษที่ว่า "اتقوا الحديث عني إلا ما علمتم"

หะดีษนี้เต็มๆคือ

اتقوا الحديث عني إلا ما علمتم فمن كذب علي متعمدا فليتبوأ مقعده من النار ومن قال في القرآن برأيه فليتبوأ مقعده من النار

ซึ่งก็คือหะดีษเดิมกับที่บังเคยยกมา และผมก็ตอบไปแล้ว หากจะว่าหะดีษฎออีฟคือการโกหกดังที่หะดีษว่านั้นผมคงไม่ต้องชี้แจง เพราะ ظاهر البطلان แต่หากจะบอกว่ามัน "อาจจะ" ตกอยู่ในการโกหกก็ได้ ซึ่งผมก็เรียนไปแล้วว่า บรรดามุหัดดิษีนวางเงื่อนไขที่จะทำให้มันไม่เข้ากรณีนั้นอยู่แล้วซึ่งการตอบเมื่อครู่นี้(ข้างบน)ก็มี และอีกประการ(ผมก็บอกไปแล้วอีกเหมือนกัน)ว่าเจ้า "อาจจะ"ในที่นี้มันก็เป็นการ "คาดคะเน"ที่บังอะสันนำมาโจมตีฎออีฟเองนั่นแหละ

وإن الظن لا يغني من الحق شيئا

แล้วทำไมการคาดคะเนอันนี้บังจึงยอมรับ แต่กลับไม่ยอมรับในอีกที่หนึ่ง ซึ่งผมถามไปแล้วๆๆๆๆๆๆว่า "บังตอบหลักฐานนี้ของตัวเองได้หรือเปล่า"

.........................................................

บังอะสันกล่าวว่า " คุณอ้างญุมฮูร แล้วคุณคิดว่า คนส่วนมากการันตีได้ทุกเรื่องหรือ ผมอยากถามว่า คนชั่ว กับคนดี ใครมากกว่ากัน "

ตอบ ผมมักเห็นคำพูดแบบนี้เมื่อคนๆนั้นขัดแย้งกับอุลามาอ์ส่วนใหญ่ ยิ่งกว่านั้นบางคนอ้างกุรอานอีกว่า

قل لايستوي الخبيث والطيب ولو أعجبك كثرة الخبيث

ผมจึงอยากพูดถึงด้วย

ประการแรกคำว่าญุมฮูรในที่นี้คือ ญุมฮูรมุหัดดิษีน ซึ่งเต็มไปด้วยอุลามาอ์ผู้สืบทอดมรดกท่านนบี แล้วบังอะสันจะถามทำไมหรือครับว่า คนชั่วกับคนดีใครมากกว่ากัน หรือบังอะสันกำลังมองคิลาฟเรื่องหะดีษฎออีฟนี้เป็นเรื่องความดี-ความชั่ว ซึ่งพี่น้องที่นี่เขาไม่มองเช่นนั้น

การถามว่าคนชั่วหรือดีมากกว่ากันทำให้เห็นว่าบังอะสันเข้าใจว่าญุมฮูรในที่นี้คือ ญุมฮูรุลมุสลิมีน ซึ่งไม่ถูกต้องเสียทีเดียวแม้ว่าจริงๆแล้วมุสลิมส่วนใหญ่จะถือทรรศนะนี้ก็ตาม แต่การอ้างอิงอิตติฟากก็ดี หรือญุมฮูรก็ดีนั้นหมายถึง อุลามาอ์ในแขนงนั้นๆ โปรดพิจารณา

ประการต่อมา หากเป็นคนไม่ค่อยมีความรู้อย่างผม หรือบังอะสัน และพี่น้องในที่นี้นั้นเมื่อมองทรรศนะที่เต็มไปด้วยบรรดาผู้รู้ที่ยอมรับ กับอีกทรรศนะหนึ่งที่ผู้รู้ไม่กี่คนยอมรับนั้น แน่นอนการตามญุมฮูรก็ย่อมสบายใจมากกว่าอยู่แล้ว ท่านรอซูลกล่าวว่า

فإن الشيطان مع الواحد و هو من الإثنين أبعد

ชัยฏอนนั้นจะอยู่กับคนตัวคนเดียว ถ้าเป็น 2 คนแล้วจะยิ่งห่างไกลยิ่งกว่า

แล้วจะว่าอย่างไรเล่ากับคนที่ไม่ใช่เพียง 2 คน แต่เป็นญุมฮูรอุลามาอ์ ผมไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องถูก-ผิด แต่ผมพูดถึงความเป็นไปได้ที่ฝ่ายที่น้อยกว่านั้นจะเป็นฝ่ายที่ผิด เพราะฉะนั้นถ้าบังถามว่าญุมฮูรการันตีได้แค่ไหนนี่คือหะดีษที่การันตีได้ส่วนหนึ่ง(ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นญุมฮูรเสมอไปที่ถูก แต่เราพูดถึงการการันตี) แต่ถ้าผมถามบังกลับบ้างว่า แล้วทรรศนะที่บังยึดนั้นซึ่งมีไม่กี่คนมีอะไรมาการันตี? ทำไมผ่านมาเป็นพันๆปีทรรศนะญุมฮูรก็ได้รับการยอมรับตลอดมาจากมุหัดดิษีนเหล่าปัญญาชน? หรือบังจะกล่าวว่าสิ่งที่จะมาการันตีทรรศนะของบังคือ หลักฐานที่บังยกมา รวมทั้งการไม่ยอมรับกฎเกณฑ์อุลูมบางส่วนที่จะนำไปสู่สิ่งที่ค้านกับทรรศนะบัง? ถ้าเป็นเช่นนั้นฝ่ายญุมฮูรเขาก็มีหลักฐานเช่นกัน แล้วตกลงบังเอาอะไรมาการันตีครับ?

..........................................................


ยังมีต่อ...........
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
aswar

บังอะสันกล่าวว่า "การที่ผมยึดถิอ หะดิษเศาะเฮียะ และหะดิษหะซัน โดยไม่เอาหะดิษเฏาะอีฟมาปฏิบัติ แล้วคุณบอกว่า ผมถือทัศนะที่แหวกแนว อันนี้ผมยินดีที่จะแหวกแนวและยิ้มรับ ด้วยความภูมิใจครับ "

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีคิดที่ผิด และทำให้บังคิดว่าบังกำลังต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ในการที่บังต่อสู้และคัดค้านกับทรรศนะของญุมฮูร

ฟังให้ดีนะครับ ผมไม่ได้บอกเลยว่าการที่บังเลือกทรรศนะนั้นบังเป็นคนแหวกแนว หรือบังผิด ผมจะพูดเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อผมพูดไปแล้วว่า "ส่วนผมนั้นขอเรียนว่า ผมไม่เห็นว่าการที่บังอะสันยึดทรรศนะส่วนน้อยนั้นจะผิด" การสนทนากันเพื่อความเข้าใจอันดีนั้นจำเป็นต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต้องเข้าไปนั่งในใจเขาและดูว่าเขามีวิธีคิดอย่างไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ถ้าหากบังอะสันจะมองผมอย่างเป็นธรรมแล้วบังจะไม่กล่าวประโยคข้างต้นออกมาแน่ครับ เพราะมันขัดกับข้อความผมเองที่อ้างตัวหนามาให้

ประโยคของผมที่บังเข้าใจผิดมีว่า "หากบังถามหาการตัดสินแบบฟันธงนั้นผมกลัวว่าดังกล่าวจะเป็นทรรศนะที่แหวกแนว " หมายความว่า "ไม่มีใครบอกว่าการหุกมหะดีษใดๆนั้นคือการฟันธง"ซึ่งนี่คือประโยคถัดมาแท้ๆ ไม่มีตรงไหนพูดถึง "การไม่เอาฎออีฟ" เลยแม้แต่น้อย ผมบอกว่าหากบังอะสันเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือมุศฏอละห์หลายๆเล่ม บังก็จะพบว่าบรรดามุหัดดิษีนบอกว่าการหุกมหะดีษใดนั้นเป็นเพียงการตัดสินภายนอก ไม่ใช่การตัดสินฟันธงในความเป็นจริง(الحقيقة و نفس الأمر) ซึ่งยังไม่มีอุลามาอ์คนใดเขาบอกสักคนเลยครับว่า การตัดสินหุกมหะดีษนั้นคือการฟันธงที่ตรงกับความเป็นจริง ณ ที่อัลลอฮ์แน่นอน ไม่มีเลยครับ และผมก็บอกไปแล้วให้ลองไปหามาสิครับ มีที่ไหน? เพราะฉะนั้นถ้าจะเชื่อแบบนี้ซึ่งเขาไม่เชื่อกันมันก็แหวกแนวสิครับ แล้วแบบนี้บังยิ้มรับอย่างภูมิใจได้อย่างไรครับ?

...................................................

บังอะสันกล่าวว่า "เพราะฉะนั้น ไม่ทราบว่า อิหม่ามบุคอรีแหวกแนวหรือเปล่า คุณ aswar คงจะให้คำตอบได้"

ตอบ ตอบไปแล้วครับว่าบังเข้าใจคำผมผิดจึงกล่าวประโยคนี้มาอีก ฉะนั้นให้ทำความเข้าใจใหม่นะครับ

และเรื่องอิมามอัลบุคอรีย์ ผมเรียนไปแล้ว(หากบังอะสันอ่านคำของผมหมดจริงๆ) ว่า ไม่มีตัวบทที่ชัดในคำพูดของท่านเลย และหนังสือ الأدب المفرد ของท่านนั้นมีฎออีฟอยู่ด้วย ซึ่งหากท่านจะทำให้มันบริสุทธิ์ไร้ฎออีฟดั่งที่ทำใน الجامع الصحيح ของท่านทำไมท่านไม่ทำ?

ดังนั้นที่บังอะสันอ้างอิงจากเชค อัลกอสิมีย์ว่า "และที่ปรากฏชัดเจน แท้จริงทัศนะของอิหม่ามบุคอรี เป็นอย่างดังกล่าวนั้น กล่าวคือ ไม่อนุญาตให้รายงานหะดิษเฏาะอีฟ ในเรื่องคุณค่าของอะมั้ล - แสดงให้เห็นว่า นั้นคือ เงื่อนไขของท่าน ในเศาะเฮียะของท่าน"

ประการแรก การแปลประโยคสุดท้ายนั้นผิดซึ่งอาจทำให้เข้าใจความหมายคลาดเคลื่อนได้ ตัวบทที่บังอ้างมาคือ

يدل على ذلك شرطه في صحيحه

ซึ่งบังแปลว่า "แสดงให้เห็นว่า นั้นคือ เงื่อนไขของท่าน ในเศาะเฮียะของท่าน"

ซึ่งจริงๆแปลว่า "เงื่อนไขของท่านในศอเฮียฮ์ของท่านบ่งชี้เช่นนั้น(ว่าท่านไม่เอาฎออีฟตามความเข้าใจของอัลกอสิมีย์)" หรือแปลให้เป็นภาษาไทยเข้าใจง่าย ประโยคดังกล่าวแปลว่า "เห็นได้จากเงื่อนไขของท่านในหนังสือศอเฮียฮ์ของท่าน"

เพราะฉะนั้นประโยคนี้สำคัญอย่างไร? ประโยคนี้ทำให้เข้าใจได้ว่า เชค อัลกอสิมีย์ ต้องการบอกว่าสิ่งที่ทำให้เห็นว่าท่านอิมามอัลบุคอรีย์ไม่เอาฎออีฟในเรื่องฟะฎออิลนั้นก็คือ เงื่อนไขที่ท่านวางไว้ในการเขียนหนังสือ ศอเฮียฮ์อัลบุคอรีย์ หรือ อัลญาเมียอ์อัศศอเฮียฮ์อัลมุสนัดฯ ของท่าน ซึ่งไม่ถูกต้องเนื่องจาก การกำหนดกฎเกณฑ์หลักของการทำหนังสือ กับการยึดถือทรรศนะนั้นคนละเรื่องกัน ท่านอิมามอัลบุคอรีย์นั้นวางเงื่อนไขกับหนังสือของตนเองไว้ว่าจะบันทึกเฉพาะที่ศอเฮียฮ์เท่านั้น ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวไม่มีในหนังสืออีกเล่มของท่าน คือ الأدب المفرد ซึ่งผมเรียนไปแล้วว่าถ้าท่านยึดทรรศนะดังกล่าวจริง ฎออีฟจะไม่มีปรากฎใน الأدب المفرد เด็ดขาด แต่นี่มีฎออีฟด้วย(ตามการยืนยันของอัลอัลบานีย์เอง)แสดงว่านั่นเป็นเรื่องของ شرط الكتاب ไม่ใช่ทรรศนะที่ท่านยึด เพราะถ้าท่านจะให้หนังสือที่ท่านประพันธ์ทั้งหมดปราศจากฎออีฟเหมือนที่ท่านทำในศอเฮียฮ์ของท่าน ท่านก็ย่อมทำได้ โปรดพิจารณา

..................................................

บังอะสันกล่าวว่า "แม้พวกท่านจะกล่าวหาผมอยางไร ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้ใส่ใจ และอภัยเสมอขอยืนยันได้ ถ้าเจอกันกันเราก็คือพี่น้องกัน"

ประโยคท้ายดีนะบัง แต่ประโยคแรกไม่เอานะ เพราะมาจากที่บังคิดว่าผมว่าบังแหวกแนวซึ่งผมชี้แจงไปยืดยาวแล้วว่าบังเข้าใจผิดไปเองครับ และผมไม่เคยกล่าวหาบังนะครับ และเราก็เป็นพี่น้องกันถูกต้องครับ"

..................................................


คุณ salam กล่าวว่า "ผมว่าคุณอัสอารีน่าจะไปตั้งชื่อเวปไซด์ของคุณว่า เวป إحياء البدعة จะดีกว่ารู้สึกว่าคุณเป็น مجدد ที่ว่าฟื้นฟูบิดอะห์แห่งยุคนี้"

คำนี้ทำให้ผมนึกถึงเมื่อหลายปีก่อน เมื่อผมพูดเรื่องหะดีษฎออีฟอย่างนี้แหละครับ โดยมีคนกล่าวด้วยว่าฎออีฟไม่ใช่คำท่านรอซูล และเป็นสิ่งโกหก แล้วเขาก็ไล่ผมบอกว่าให้ไปศึกษาหลักการอิสลามมาใหม่ ผมกำลังจะบอกว่าเรื่องนี้(กระทู้ฎออีฟนี้)เป็นเรื่องที่เกี่ยวอะไรกับบิดอะฮ์หรือครับ? ผมไม่เห็นว่าฝ่ายใดจะกล่าวหาว่าถ้าไม่เชื่อตามอีกฝ่ายจะเป็นบิดอะฮ์เลย หรือการยึดทรรศนะญุมฮูร หรือว่าตัวญุมฮูรเองเหรอครับที่เป็นบิดอะฮ์? การมองภาพแบบนี้แหละครับที่ทำให้เรามีปัญหา คุยกันไม่ได้ ทั้งที่ทุกฝ่ายที่สนทนาในกระทู้นี้ก็ล้วนแล้วแต่อ้างกุรอาน อ้างหะดีษกันทั้งนั้น บรรดาอุลามาอ์ก็ยืนอยู่กับพวกเขา แต่ก็ยังมีคำว่าบิดอะฮ์มาอีกนะครับ หากมีผู้รู้ท่านไหนกล่าวว่าการเอาฎออีฟในเรื่อฟะฎออิลเป็นบิดอะฮ์นั้นก็โปรดนำมาได้นะครับ เพราะผมเองความรู้ก็ไม่ได้มากอะไร แต่ถ้าไม่มีนั้นผมคิดว่าคุณควรพิจารณาคำของคุณเองที่ว่า "คุณต้องตอบคำถามของอัลลอฮในวันกิยามะห์ในสิ่งที่คุณทำ"

เราคุยกันนี่เอาวิชามาว่ากันนะครับ บางทีอะไรที่มันไม่ตรงกับที่เราเคยรู้เราก็มักจะกล่าวหา อาหรับเขาถึงกล่าวว่า

الإنسان إذا جهل شيئا عاداه

คนเราเมื่อไม่รู้เรื่องนั้นมาก่อนก็จะต่อต้าน

......................................................

ยังมีต่อ.......

aswar

บังอะสันกล่าวว่า "แต่คนที่อ้างว่า ตามมัซฮับชาฟิอีย์ กลับปกป้องหะดิษเฎาะอีฟ แบบหัวชนฝา "

หัวชนฝานี่หมายถึง ดื้อดึงหรือเปล่าครับ ผมไม่คิดเช่นนั้นนะครับ เพราะผมคิดว่าผมตอบบังอะสันทุกคำถาม และก็ชัดเจนมาก คำพูดบังนี้ก็กินอุลามาอ์อีกแล้วครับบัง คือ อย่างนึงนะครับบัง คือคำบังแต่ละคำนี่มันกัดกินอุลามาอ์ที่ไม่เห็นด้วยกับบังตลอดเลยล่ะครับ ซึ่งผมเองไม่สบายใจเเทนบังเลย เพราะใครที่อ้างอะไรมาเพื่อบอกว่าฎออีฟใช้ไม่ได้ในทุกกรณีนะ ญุมฮูรเขาก็มาตอบโต้คำนั้นๆตลอดมา แต่ผมไม่มองว่ามันจะเป็นการปกป้อง หรือหัวชนฝาอะไรเลยนะครับ ถ้าผมพูดมั่งว่า บังอะสันต่อสู้เพื่อจะทิ้งสิ่งที่อาจเป็นคำท่านรอซูลอย่างหัวชนฝาบ้างจะรู้สึกอย่างไร?

ประการต่อมา เรื่องคำของอิมาม อัชชาฟิอีย์ คำนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าทรรศนะท่านยึดว่าต้องศอเฮียฮ์เท่านั้น ซึ่งก็อีกเช่นกันบังจะเห็นว่าไม่มีใครอ้างคำนี้ของอิมาม เพราะเขาไม่ได้เข้าใจความหมายของมันเหมือนกับที่บังเข้าใจ อันความหมายคำดังกล่าวนั้นท่านพูดด้วยความวะเราะอ์ และเผื่อไว้ว่าอาจมีคำพูดใดที่ค้านกับศอเฮียฮ์จากท่านนบี ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ให้ทิ้งคำท่านซะ ซึ่งท่านเองก็เป็นมุหัดดิษ และฟะกีฮ์ท่านรับหะดีษมากมายอยู่แล้วจะมีสักกี่หะดีษที่ท่านไม่รู้ หลายอย่างที่มีการกล่าวกันว่ามันขัดกับหะดีษศอเฮียฮ์นั้นจริงๆก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่เคยได้ยินหะดีษดังกล่าว แต่ท่านได้ยินแต่มีเหตุผลของท่านที่ไม่เลือกปฏิบัติ อาจด้วยเพราะเป็นมันซูคไปแล้ว หรืออื่นๆซึ่งเป็นอิจติหาดของท่าน โปรดเข้าใจ

และอีกประการ ไม่ทราบว่าที่บังอะสันอ้างอิงถึง อัชชาฟิอีย์ในที่นี้ต้องการบอกด้วยหรือเปล่าว่า ท่านอิมามอยู่ทรรศนะเดียวกับบัง และมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะบังได้ตำหนิผู้ที่ตามแนวทางท่านว่า "แต่คนที่อ้างว่า ตามมัซฮับชาฟิอีย์ กลับปกป้องหะดิษเฎาะอีฟ แบบหัวชนฝา " ซึ่งก็ไม่มีใครอ้างมัซฮับนี้ให้กับอัชชาฟิอีย์เลย และผมไม่ทราบว่าบังอะสันจะยิ้มรับอย่างภูมิใจอีกหรือไม่ที่นำเอาทรรศนะนี้ไปให้อิมามได้? จริงๆแล้วท่านอิมามอัชชาฟิอีย์นั้นรับมุรซัล ท่านตาบิอีน สะอีด อิบนุล มุซัยยับ และกิบารตาบิอีนบางท่าน และมุรซัลนั้นคือประเภทหนึ่งของหะดีษฎออีฟ ซึ่งท่านมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาของท่าน และท่านอิมามอะฮ์หมัด กับอิมามอบูดาวูดก็เลือกหะดีษฎออีฟ เหนือการกิยาซ และอิมามอบูหะนีฟะฮ์ก็เช่นกัน ดู الأجوبة الفاضلة อิมามอัลลักนาวีย์ .........ทั้งหมดนี้ให้บังพิจารณาว่าตกลงญุมฮูรนั้นน่าหรือไม่น่าเชื่อถือ?

.............................................................

บังอะสัน "ดังนั้น ปกป้องหะดิษเฏาะอีฟ ก็ระวังเอาไว้"

ควรกล่าวรวมไปเลยครับว่า ญุมฮูรมุหัดดิษีนทั้งหลาย ปกป้องหะดีษฎออีฟ ก็ระวังเอาไว้.....................ระวังอะไรเหรอครับ การลงโทษจากอัลลอฮ์หรือครับ? แล้วเอาอะไรมาตัดสินหรือครับ?

............................................................

เอาเท่านี้ละกันครับเหนื่อยละ อ้อผมลืมไปอย่าง เกี่ยวกับที่คุณอัลมะดีนีย์ กล่าวไว้ว่า

"และยังมีทัศนะจากอุละมาอฺท่านอื่นๆอีกด้วย อาทิเช่น อบูสุลัยมานอัลค็อฏฏอบีย์และญะลาลุดดีนอัดเดาวานีย์ อัชชาฟิอีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ918) "

หากหมายถึง พวกท่าน 2 ท่านนี้ไม่เอาฎออีฟเลยเช่นเดียวกับที่อ้างมาก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยได้ยินว่าใครอ้างถึง 2 ท่านนี้มาก่อนนะครับ ถ้าจะกรุณาทำศอดากอฮ์ก็ช่วยอ้างอิงด้วยครับ แต่สำหรับอัดเดาวานีย์นั้นผมมีคำของท่านจาก أنموذج العلوم ของท่านซึ่งท่านอยู่ทรรศนะญุมฮูรครับ

.......................................

จบจริงๆแล้วครับ การหักล้าง การเตือนบางทีอาจต้องโดนใจบ้างครับมีอะไรมะอัฟด้วยครับ

วัสสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
sufriyan

อัลฮัมดูลิลละฮ์ คุณ aswar ครับ ผมได้ความรู้และวิชาการมากมาย และอีกอย่างผมรู้สึกได้ว่าตัวเองโง่มากจริงๆ ขอบคุณครับ

al-azhary

คุณอัสวาร ครับ رمضان كريم นะครับ

และสิ่งที่คุณชี้แจงอธิบายมานั้น جزاك الله أحسن الجزاء

asan

สงสัยว่า แล้วคุณ aswar ส่งเสริมทำเมาลิด คุณเอาหะดิษเฏาะอีฟบทใหนมาอ้างอิงครับ

aswar

ที่ชี้แจงไปทั้งหมดไม่สงสัยตรงไหนแล้วเหรอครับ งั้นเคลีย์นะครับ

ส่วนที่ถามมาคงไม่ได้อยากถามเพื่อความรู้ และความเข้าใจด้วยดีกระมังครับ ? เพราะในกระทู้เรื่องดังกล่าวก็ยกหะดีษกันไปแล้ว และก็ไม่ฎออีฟ หากอยากสนทนาเพื่อทำความเข้าใจ ก็เชิญตั้งคำถามเปิดประเด็นที่นั่นได้นะครับ ส่วนที่นี่คงเคลีย์นะครับ

วัสสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
พอดีมีพี่น้องพูดถึงเรื่องหลักฮะดิษฏออีฟ  ก็เลยงัดกระทู้ขึ้นมาอีกครัง ^^
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ sunnah 50

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 117
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
al-azhary

อัล-อัซฮะรีย์ ขอกล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!
........
 วนเวียนอยู่กับคำว่า "กลุ่มวะฮบีย์" ไม่เบื่อบ้างหรือครับอาจารย์

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
al-azhary

อัล-อัซฮะรีย์ ขอกล่าวว่า

ปัจจุบัน มีกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่ากลุ่มวะฮาบีย์ ได้ทำให้ฐานะของ หะดิษฏออีฟ อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ หะดิษเมาฏั๊วะ แล้วทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ลุ่มหลงและทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น อยู่ในไฟนรก กับบรรดาพี่น้องมุสลิมีนที่มีทัศนะในการกระทำความงามความดีด้วยกับหะดิษฏออีฟ?! ซุบหานัลลอฮ์!!!
........
 วนเวียนอยู่กับคำว่า "กลุ่มวะฮบีย์" ไม่เบื่อบ้างหรือครับอาจารย์

ผมอ่านคำวิจารณ์ของบังอะสันแล้ว อมยิ้มเลยครับ   บังอะสันครับ  สิ่งที่ผมได้นำเสนอไปนั้น  เป็นการสนทนาของปีทีแล้วในมุสลิมไทย เมื่อวันที่ 12 กันยายน 49 , 04:53  จำกันไม่ได้หรือครับ^^ 
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ julee

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 97
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
ญะซากุมุลลอฮ์  สำหรับพี่น้องที่ทำการเสวนาให้ความรู้ทิ้งไว้ให้พวกเราได้ทำการศึกษาวิเคราะห์
 ซึ่งหากผมได้ทำการศึกษาเองก็ไม่รู้จะได้ข้อมูลเยอะอย่างนี้หรือเปล่า 
บางทีก็ไม่ได้อะไรสักเท่าไหร่  ขออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทนในความรู้ที่รุ่นพี่ๆ ได้มอบทิ้งไว้ให้เราได้ศึกษา
الفخر كل الفخر أني اشعري

ออฟไลน์ sunnah 50

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 117
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

ผมอ่านคำวิจารณ์ของบังอะสันแล้ว อมยิ้มเลยครับ   บังอะสันครับ  สิ่งที่ผมได้นำเสนอไปนั้น  เป็นการสนทนาของปีทีแล้วในมุสลิมไทย เมื่อวันที่ 12 กันยายน 49 , 04:53  จำกันไม่ได้หรือครับ^^ 
[/quote]

อัสสลามุอะลัยกุ้ม 
อาบังขอแนะนำน้องบ่าว อัลอัซฮารีย์ว่า เมื่อไม่มีอะไรใหม่ มีแต่เรื่องเก่าๆที่ไร้สาระ เที่ยวไปขุดมา ก็น่าจะไปอ่านหนังสือให้สมความตั้งใจของพ่อแม่ทางบ้านดีกว่านะหนู   กองเชียร์ก็เถอะ คอเดียวกัน เฮ้อ.. นี่มันยุคใหนแล้วละครับท่านผู้ชม ;D ;D ;D ;D

 

 

GoogleTagged