salam
มีคนมารดน้ำพรวนดินให้กระทู้นี้เยอะเลย

salam
ถามใจลึ้งๆของผู้หญิงทุกคนล่ะครับ ว่าที่อยากเรียนเพราะอะไร
1.กลัวไม่มีงานทำ -เวลาสามีทิ้งจะได้ไม่อดตาย(ยังไม่แต่งก็คิดจะเลิกซะแล้ว) 
2.อยากอิสระ - อยู่บ้านก็ต้องช่วยงานบ้าน(เซ็งจะตาย), อยู่บ้านนานๆเดี๋ยวมีคนมาขอ(ไม่อยากแต่งตอนนี้ฟ่ะ) 
ตอบตามความรู้สึกของตัวข้าน้อยเองนิดนึงค่ะว่า
ข้อ 1 อันตัวข้าน้อยนั้นไม่เคยกลัวว่าจะไม่มีงานทำเวลาสามีทิ้งเลยค่ะ
แต่กลัวว่าจะอยู่บนคานเลี้ยงหลานไปจนตายมากกว่า

ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ภาวะเสียงมีเยอะ อิอิอิ
เราจึงจำต้องพร้อมที่จะเลี้ยงตัวเราให้ได้หากพ่อแม่ไม่อยู่แล้วและยังไม่มีใครมาขอแต่งน่ะค่ะ...
คนโสดอย่างข้าน้อยคิดว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานมีครอบครัว เธอก็มีพ่อแม่พี่น้องต้องเลี้ยงดู
หากไม่มีความรู้ ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยครอบครัวที่มีมาแต่กำเนิดได้ฉันใด นอกจากวิธีการที่ผู้หญิง
ใช้สิ่งที่ตัวเองมีมาแต่เกิดทำงาน(เช่น ร่างกาย เรือนร่าง ความสวยงามที่มี)
ซึ่งงานเหล่านั้นศาสนาห้ามทำ
อย่างที่เคยโพสไว้ว่า ความรู้ช่วยผู้หญิงให้รอดพ้นจากความโสมมของสังคมได้เยอะค่ะ...
อาชีพโสเภณีไม่ได้มีไว้เพื่อคนมีความรู้ที่แท้จริงทำ หรือสามารถหาทางทำมาหากินได้ด้วยวิชาที่ตนมี
หากเราจะมองเห็นภาพสังคมในปัจจุบัน ที่ผู้หญิงมักใช้ความสวยและเรือนร่างของเธอเปลืองกว่า
ใช้ความรู้ที่มีทำมาหากิน หากความรู้เธอมีมากกว่าความสวย ข้าน้อยคิดว่า เธอย่อมเลือกใช้ความรู้
มากกว่าจะยอมใช้เรือนร่างทำมาหากิน เพราะยิ่งมีความรู้สิ่งตอบแทนจากอาชีพย่อมสูงตาม
พอๆกับยิ่งสวยค่าตัวก็ยิ่งแพง แต่ศักดิ์ศรีและคุณค่าของงานที่ทำมันต่างกัน
ข้อ 2 อิสระนั้นใครๆก็คงชอบ คงไม่ใช่แต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ชอบอิสระ และปกติแล้วคนที่ต้องการแต่งงานจริงๆ
ย่อมรู้ว่าอิสระของตัวเองนั้นจะน้อยลง แต่เราๆท่านๆก็อยากแต่งงานกัน เพราะว่าเราต้องการสร้างครอบครัว
มันเป็นเรื่องธรรมดา และคงไม่เกี่ยวกับการเรียนสูงๆมากนัก เพราะคนเรียนสูงๆ แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน
ความรู้มิได้มีผลทำให้เราไม่อยากแต่งงานน่ะค่ะ (คิดว่า) แต่อาจเป็นปัจจัยอื่นมากกว่า
เพราะเคยได้ยินมาว่า ผู้ชายกลัวผู้หญิงที่เรียนสูงกว่าตน ซึ่งมันไม่ได้น่ากลัวเลย
ในเมื่อเราๆและท่านๆก็มีสิทธิ์จะเรียนรู้กันได้เสมอ ทั้งหญิงและชาย อยู่ที่เราจะค้นคว้ามันมาได้สักแค่ไหน
ความรู้ก็มิได้จำเป็นว่าต้องอยู่ในมหาลัย
และความรู้ก็มิได้วัดกันที่กระดาษที่ทางมหาวิทยาลัยมอบให้ แต่ความรู้ คือวิทยปัญญา
หรือขุมทรัพย์ที่เราหามาได้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ และเป็นขุมทรัพย์ที่ไม่มีวันหมด
สามารถแจกจ่ายให้ลูกหลานได้ด้วย
และหากเราตัดเรื่องสินสอดหรือค่านิยมตรงที่ว่า ผู้หญิงที่เรียนสูงๆค่าสินสอดแพงไปได้
เราก็จะเห็นว่า ผู้หญิงที่มีความรู้สามารถช่วยเหลืองานการสามีหรือเคียงบ่าเคียงไหล่
คอยประคับประคองหรือคอยปรึกษาหารือเรื่องงานการสามีได้ไปพร้อมๆกับการอบรมเลี้ยงดูบุตรของตนเอง
ส่วนเรื่องว่าเรียนไปแล้วจะต้องมานั่งจับจวักแทนปากกา ก็คงไม่แปลก
เพราะไม่ว่าจะจับปากกาหรือจับจวัก ทุกอย่างล้วนต้องมีความรู้ถึงจะทำได้
ยิ่งรู้มากยิ่งรู้รอบด้านยิ่งคล่องและได้เปรียบกว่าการไม่รู้และทำไม่เป็นค่ะ
อีกทั้งยังสอนลูกๆหลานๆในอนาคตได้อีก ลูกหลานเองจะได้ไม่มานั่งว่าพ่อแม่ไม่รู้เรื่องโน่นนี่
หรือพ่อแม่เราเชย ไม่รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว หรือหาว่า คร่ำครึไงล่ะคะ
หากเราสอนเขาได้ เขาหรือจะไม่เคารพรักและนับถือภูมิความรู้ของเราที่ถ่ายทอดให้เขา
เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานได้เก็บเกี่ยวความรู้ไปอีกนานก็ว่าได้ค่ะ...
อย่ามองแค่ว่า สินสอดของเธอแพงหรือว่ากลัวว่าเธอจะหือ ดื้อด้าน หรือไม่ยอมลงให้สามี
เพราะเก่งกว่า เพราะถ้าเราสังเกตสักนิดเราจะรู้ว่า สมองผู้ชายถูกสร้างมาให้ฉลาดกว่าผู้หญิง
หากเขานั้นมีความรับผิดชอบและขยัน มีหรือเขาจะด้อยกว่าภรรยาที่เก่งนักเก่งหนา
อาจจะเป็นดั่งที่เคยได้ยินมาว่า หญิงที่ดีคู่กับชายที่ดี ชายที่ไม่ดีก็คู่กับหญิงที่ไม่ดี
ดังนั้น ชายที่ฉลาดก็คู่กับหญิงที่ฉลาด ชายที่ไม่ฉลาดก็คู่กับหญิงที่ไม่ฉลาด...
เพราะถ้าต่างกันมากเกินไป มันอาจจะอยู่ร่วมกันไม่ได้
ข้าน้อยถูกสั่งสอนมาว่า หากเราอยากได้คนดีมีอีหม่านมาเคียงคู่เราต้องเป็นคนดีมีอีหม่าน
หากเราอยากได้คนเก่งๆมีความรู้มาเคียงคู่ เราต้องรู้เราต้องเก่งด้วย
มันถึงจะไปด้วยกันได้...
และหากว่าเราจนเราก็อย่าได้หวังลมๆแล้งๆว่าเราได้คนรวยๆมาเคียงคู่
เราต้องพากเพียรพยายาม อย่าหวังจากคนอื่นในเมื่อสิ่งนั้นเราไม่มีมาก่อนเลย...
ส่วนใครจะตีความว่าความฉลาดคืออะไร ความโง่คืออะไร รวยจนคืออะไร เราก็ต้องนิยามกันเอาเองค่ะ...
แต่สำหรับข้าน้อยตอบได้คำเดียวว่า ความฉลาดมักจะถูกถ่ายทอดไปสู่ลูกสู่หลาน
ความรู้ก็เฉกเช่นกัน มีหรือที่มันจะไม่ตกทอดไปยังลูกหลานของเราเลยแม้สักเสี้ยวเดียว
รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามค่ะ
อย่าถามว่าเราได้อะไรบ้างจากความรู้ที่มี
แต่ให้ถามว่า เรามีความรู้เพื่อจะมอบมันให้เป็นสมบัติของลูกหลานของเรามากสักเท่าไหร่
เพราะความรู้คือสมบัติที่คงทนกว่าเงินทองหรือที่ดิน และหามาไม่ยากเลย หากเราจะไม่ติดว่า
ความรู้คู่ใบปริญญา คนที่แทบไม่มีใบปริญญาสักใบเดียวเขายังมอบความรู้ให้ลูกหลานของเขาได้เก็บเกี่ยว
ทำมาหากินและดำรงชีวิตที่ดีได้มาจนถึงทุกวันนี้ได้เลยค่ะ

ปล.พร่ามเสียยาวเลยค่ะ
