อัสลามมุอาลัยกุมค่ะ...
เจ้าหญิงฯ ได้มีโอกาสอ่านวารสารที่นี่ต้นสนค่ะ...นำมาฝากอ่านกันน๊ะค๊ะ
"ขุนนางมุสลิมในราชสำนักสยาม" โดยเริ่มตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาในช่วงต้นๆ มาจนสมัยอยุธยาตอนกลางและได้กล่าวถึง เรื่องราวของ ขุนนางมุสลิมกรมท่าขวา
ที่เข้ารับราชการมาตั้งแต่สมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม จนถึงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และจะได้เล่าถึงความเป็นมาของตระกูลขุนนางมุสลิม
อาทิ เช่น
ท่านเฉกอะหมัด หรือที่เรียกเป็นทางการว่า เจ้าพระยาบวรราชนายก ซึ่งเป็นต้นตระกูล บุนนาค, จุฬารัตน์ อะหมัดจุฬาม บุรานนท์, ศุภมิตร, ศรีเพ็ญ,
จาติกรัตน์ ฯลฯ ( ทบาทของมุสลิมในสมัยอยุธยาศาตราจารย์เพ็ญศรี กาญจโนมัย )
อีกทั้งคนในตระกูลของท่านสุลต่านสุลัยมาน ทายาทของานดาโต๊ะโมกอล ที่กล่าวมาแล้วนั้นก็ล้วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเหล่าบรรดาลูก หลาน เหลน
โหลน ของพี่น้องมุสลิมชาวมัสยิดต้นสนในปัจจุบันทั้งสิ้น แม้แต่กุบูรของมัสยิดต้นสนแห่งนี้ก็เป็นที่ฝังร่างของบรรพบุรุษที่มีส่วนช่วยกันกู้บ้าน สร้างเมือง
เคียงข้างกับพระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทยมาทุกยุคทุกสมัย นำมาซื่งเอกราชอธิปไตยตรบจนถึงทุกวันนี้ โดยมิได้เป็นเพียงแค่ผู้มาขออาศัย
หรือเชลยที่แพ้สงครามของแผ่นดินแต่อย่างใด
สำหรับในช่วงอยุธยาตอนปลายนั้น เป็นยุคของสมัยราชวงศ์บ้านพลูลวง กษัตริย์พระองค์แรกก็คือ พระเพทราชา เมื่อลุศักราช 1044 ปีจอ จัตวาศก
เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อจากราชวงศ์ปราสาททอง และกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์นี้ และเป็นองค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ก็คือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์
หากจะหันกลับไปมองย้อนอดีต ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ได้มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยานั้น มีทั้งการสืบราชสมบัติ
และวิธีการแย่งชิงราชสมบัติ หรือที่เขาเรียกให้เป็นทางการสักหน่อยว่า การปราบดาภิเษก หมายความว่า ทำการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ถ้าหากกระทำการไม่สำเร็จ
เขาก็เรียกว่า กบฎ นั่นเอง พระมหากษัตริย์ของอยุธยามีทั้งหมด 34 พระองค์ ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินกัน ปกครองจำนวนทั้งสิ้น 33 พระองค์ ด้วยกับวิธีการสืบราช
สมบัติ 21 ครั้ง และวิธีการแย่งชิงราชสมบัติมีจำนวนถึง 12 ครั้ง ( หนังสือศิบปวัฒนธรรมปีที่ 24 ฉบับที่ 9 )
โดยส่วนใหญ่ ราชสมบัติมักจะตกอยู่กับลูกชายของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการสืบสายโลหิตโดยตรง มากกว่าบรรดาญาติสนิท อาทิเช่น น้องชายของกษัตริย์
ซึ่งส่วนมากจะดำรงตำแหน่งที่อุปราช
สำหรับการปราบดาภิเษก คือ การได้ราชสมบัติมาด้วยวิธีการต่อสู้ ใช้กำลังเข้าแย่งชิง ซึ่งเป็นที่นิยมกันใน หมู่ผู้รักและแสวงหาอำนาจ เรียกกันภาษาชาวบ้าน
อย่างเราๆ ว่า ตุลยบัลลังก์เลือด ขึ้นเป็นใหญ่ หรือ ศึกสายเลือด
แต่กระนั้นก็ตาม อยากจะให้ตั้งข้อสังเกตสักเล็กน้อยว่า ประวัติศาสตร์นั้นมันเป็นบทเรียนของการดำเนินชีวิต ที่คอยเตือนสติของพวกเราในปัจจุบันว่า
หากใครทำอะไรเอาไว้ไม่ดี หรือคิดไม่ดีต่อผู้อื่นแล้ว ก็คงจะไม่ต้องรอถึงโลกหน้าหรอก แค่โลกนี้พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงให้เราได้เห็นๆ กันแล้ว ประเภทกรรมติดจรวจ
มาทางอินเตอร์เน็ต นั่นแหละ การที่ได้เรียนรู้เรื่องราวในอีตของต้นตระกูลรวมถึงมูลเหตุต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน หรือยาจกวณิพกก็ตาม
ทำให้เราสามาถวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจบันด้วยทัศนคติที่กว้างไกลมากขึ้น เพื่อจะทำให้เราได้คิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาและจะได้ไม่โดนหลอก
ไม่ทำผิดซ้ำผิดซากอยู่อีก จนเกิดเป็นความเคยชิน
เหมือนเมื่อครั้งสงครามกลางเมือง สมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อปี พ.ศ.2275 ระหว่างวังหลวงกับฝ่ายวังหน้าได้สิ้นสุดลง ผลปรากฏว่าฝ่ายวังหน้า คือ
กรมพระราชวังบวรเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะบนซากปรักหักพัง ที่เจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส เพราะพระมหากษัตริย์ผู้ขึ้นครองราช ต้องทรงเข่นฆ่า
ลูกหลานแท้ๆ ของตนเอง
สมัยนั้นกรุงศรีอยุธยาสูญเสียมากเหลือเกิน เสียทั้งแม่ทัพนายกองรวมถึงข้าราชบริพารที่มีความสามารถ ชาวอยุธยาต้อมาฆ่ากันเอง พระบรมมหาราชวัง
ที่แสนจะวิจิตรงดงาม กลับถูกทำลายอย่างยับเยิน กรมพระราชวังบวรฯ ( วังหน้า ) ทรงเถลิงราชสมบัติเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาบรมราชา
หรือที่เรามักเรียกกันว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
เนื่องจากพระบรมมหาราชวังต้องพังพินาศไปไม่น้อย ดังนั้นพระองค์จึงต้องประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้นที่ วิมานรัตนมหาปราสาท
ซึ่งปัจจุบันคือ บริเวณพระที่นั่งพิมานรัตนาในพระราชวังจันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
มีต่อน๊ะค๊ะ.....