ผู้เขียน หัวข้อ: ขี้เป็ดขี้ไก่เป็นนะยิสหรือไม่?  (อ่าน 5426 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

วันรุ่น

  • บุคคลทั่วไป

อยากให้อาจารย์ดูคำตอบนี้หน่อยนะครับว่ามันถูกหรือเปล่ามีหลักฐานอย่างไรบ้าง

จากคำตอบของคำถามที่ 8930 ที่อาจารย์ตอบว่า ขี้จิ้งจกไม่เป็นนะญิส เพราะสัตว์ตัวใดที่กินเนื้อมันได้ อุจจาระ และปัสสาวะของมันไม่เป็นนะญิส ซึ่งจิ้งจกไม่พบหลักฐานว่าห้ามกิน เมื่อไม่ห้ามกิน ขี้ของมันก็ไม่ใช่นะญิสนั่นเองครับ
ดังนั้น ผมขอถามว่า ขี้วัว ขี้ควาย หรือขี้ของสัตว์อื่นๆ ที่กินเนื้อมันได้ ก็หมายความว่าไม่เป็นนะยิสใช่มั้ยครับ
กรุณาตอบด้วยครับเพื่อความชัดเจน ขอบคุณครับ

คำตอบ :

อัสสลามุอะลัยกุมครับ

คำตอบ ขี้วัว ขี้ควาย หรือขี้ของสัตว์อื่นๆ ที่เรากินเนื้อมันได้ ถือว่าไม่ใช่นะญิส ดังนั้นจึงอนุญาตให้มุสลิมขายขี้วัว, ขี้ควายได้นั่นเอง

ส่วนรายละเอียดตัวบทหลักฐาน อยู่ในหนังสือของผมที่ชื่อ "ขี้เป็ดขี้ไก่ใครว่าไม่ใช่นะญิส" ลองหาซื้อมาอ่านดูนะครับ. والسلام 


ช่วยตอบให้ด่วนเลยนะครับข้องใจและสับสนมากๆ  ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 08, 2008, 11:11 PM โดย al-azhary »

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: ขี้เป็ดขี้ไก่เป็นนะยิสหรือไม่?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พ.ค. 02, 2008, 06:12 AM »
0
بسم الله الرحمن الرحيم

الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين
 
มูลสัตว์  ไม่ว่าจะ  ขี้เป็ด  ขี้ไก่  ขี้วัว  ขี้ควาย  ขี้จิ้งจก  ฯลฯ  ถือว่าเป็นนะยิส มุตะวัสเฏาะฮ์ (นะยิสปานกลาง)   ดังกล่าว  เพราะมีหะดิษระบุว่า
 
عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ الْأَسْوَدِ عَنْ أَبِيهِ أَنَّهُ سَمِعَ عَبْدَ اللَّهِ يَقُولُ أَتَى النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْغَائِطَ فَأَمَرَنِي أَنْ آتِيَهُ بِثَلَاثَةِ أَحْجَارٍ فَوَجَدْتُ حَجَرَيْنِ وَالْتَمَسْتُ الثَّالِثَ فَلَمْ أَجِدْهُ فَأَخَذْتُ رَوْثَةً فَأَتَيْتُهُ بِهَا فَأَخَذَ الْحَجَرَيْنِ وَأَلْقَى الرَّوْثَةَ وَقَالَ هَذَا رِكْسٌ

อับดุรเราะห์มาน บิน อัลอัสวัด  รายงานจาก บิดาของเขาว่า   แท้จริง  เขาได้ยินอับดุลเลาะฮ์(บินมัสอูด)กล่าวว่า  "ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ไปถ่ายทุกข์  แล้วท่านได้ใช้ให้ฉันนำหินสามก้อนมาให้ท่าน  ดังนั้น  ฉันได้พบเพียงหินสองก้อนเท่านั้น และฉันจะหาก้อนที่สาม  ปรากฏว่าหาไม่พบ  แต่ฉันพบก้อนมูลสัตว์  ฉันจึงจึงนำมันไปให้ท่านนบี  ดังนั้น  ท่านได้หยิบเอาหินสองก้อนและโยนก้อนมูลสัตว์ทิ้งไป  และกล่าวว่า  นี้เป็นสิ่งสกปรก(นะยิส)"  รายงานโดย อัลบุคอรีย์

คำว่า هَذَا رِكْسٌ "(มูลสัตว์)นี้เป็นสิ่งที่สกปรก"  เป็นคำที่ชี้ถึงความหมายอุมูม(ครอบคลุม) ที่ชี้ถึงแก่นแท้ชนิดของทุก ๆ มูลสัตว์  ไม่ว่าจะเป็นมูลสัตว์ใดก็ตาม (ดูหนังสือ อิอานะฮ์ เล่ม 1 หน้า 135)

ท่านบุคอรีย์  ได้ตั้งหัวข้อ  "บทว่าด้วยเรื่องบรรดาปัสสาวะอูฐ  ปศุสัตว์  และแพะ  และคอกของพวกมัน"

ท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุฮะญัร  ได้กล่าวอธิบายไว้ช่วยท้ายของหัวข้อบทนี้ว่า

والتمسك بعموم حديث أبي هريرة الذي صححه ابن خزيمة وغيره مرفوعا بلفظ ‏"‏ استنزهوا من البول فإن عامة عذاب القبر منه ‏"‏ أولى لأنه ظاهر في تناول جميع الأبوال فيجب اجتنابها لهذا الوعيد

"การยึดด้วยความหมายแบบครอบคลุม(อุมูม)จากฮะดิษของท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์  ซึ่งท่านอิบนุคุซัยมะฮ์และคนอื่น ๆ ตัดสินว่าเป็นฮะดิษซอฮิห์  ได้กล่าวรายงานถึงท่านนบีด้วยถ้อยคำที่ว่า "พวกท่านจงทำให้บริสุทธิ์เกลี้ยงจากปัสสาวะเพราะการลงโทษของกุบูรโดยทั่วไปนั้นมาจากเรื่องปัสสาวะ" (ซึ่งการยึดด้วยความหมายแบบครอบคลุมจากฮะดิษท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์นี้) ย่อมดีกว่า  เพราะคำว่า  ปัสสาวะ  มีความชัดเจนในการครอบคลุมถึงบรรดาปัสสาวะทั้งหมด(ไม่ว่าคนหรือสัตว์)  ดังนั้น  จึงจำเป็นต้องห่างไกล (อย่าให้มันมาเปื้อน)  เพราะฮะดิษได้บอกถึงการสัญญาลงโทษ(เนื่องจากสาเหตุของมัน)

ท่านอิมามอัลบุคอรีย์  ได้รายงานจากด้วยสายสืบของท่าน  ถึงท่านมาลิก บิน อะนัส  รอฏิยัลลอฮุอันฮุ  เขาได้กล่าวว่า

قَالَ قَدِمَ أُنَاسٌ مِنْ عُكْلٍ أَوْ عُرَيْنَةَ فَاجْتَوَوْا الْمَدِينَةَ فَأَمَرَهُمْ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِلِقَاحٍ وَأَنْ يَشْرَبُوا مِنْ أَبْوَالِهَا وَأَلْبَانِهَا فَانْطَلَقُوا فَلَمَّا صَحُّوا قَتَلُوا رَاعِيَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَاسْتَاقُوا النَّعَمَ فَجَاءَ الْخَبَرُ فِي أَوَّلِ النَّهَارِ فَبَعَثَ فِي آثَارِهِمْ فَلَمَّا ارْتَفَعَ النَّهَارُ جِيءَ بِهِمْ فَأَمَرَ فَقَطَعَ أَيْدِيَهُمْ وَأَرْجُلَهُمْ وَسُمِرَتْ أَعْيُنُهُمْ وَأُلْقُوا فِي الْحَرَّةِ يَسْتَسْقُونَ فَلَا يُسْقَوْنَ قَالَ أَبُو قِلَابَةَ فَهَؤُلَاءِ سَرَقُوا وَقَتَلُوا وَكَفَرُوا بَعْدَ إِيمَانِهِمْ وَحَارَبُوا اللَّهَ وَرَسُولَهُ

"มีผู้คนจากเผ่าอุกล์และอุร๊อยนะฮ์ได้มา(หาท่านร่อซูลุลลอฮ์ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แล้วพวกเขาก็เกิดเป็นโรค(เกี่ยวกับภายในท้อง) ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จึงใช้ให้พวกเขาเอาอูฐ (ซากาต)ที่มีนมมา  แล้วใช้ให้พวกเขาทำการดื่มปัสสาวะและน้ำนมของมัน  แล้วพวกเขาก็จากไป  ในขณะที่พวกเขาได้หายจากโรคป่วย   พวกเขาได้ทำการฆ่าผู้เลี้ยงอูฐของท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  แล้วพวกเขาก็ลักลอบน้ำปศุสัตว์เหล่านั้นไป  ดังนั้นในช่วงแรกของวันข่าวคราวได้มารายงานให้ทราบ  ท่านนบีจึงส่งคนสืบหาร่องรอยของพวกเขา  และแล้วในช่วงสาย  พวกเขาจึงถูกนำตัวมาได้  ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  จึงใช้ให้ทำการตัดมือและตัดขาและควักลูกตาของพวกเขาออกมา  แล้วโยนปล่อยไว้ที่อัลฮัรเราะฮ์ (สถานที่หนึ่งที่มีหินดำอยู่ใกล้มะดีนะฮ์) พวกเขาจึงขอน้ำดื่ม  แต่พวกเขาไม่ได้รับน้ำดื่ม  อบูกิลาบะฮ์กล่าวว่า  พวกเขาเหล่านั้นได้โขมย  ฆ่า  และกุฟุรหลังจากพวกเขามีความศรัทธา  และพวกเขาได้ประกาศสงคราม(ต่อต้าน)อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์"

ถ้อยคำรายงานของท่านอะนัสที่ว่า (พวกเขาทำการดื่ม)  หมายถึง  ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ใช้ให้พวกเขาทำการดื่ม   ในสายรายงานหนึ่งของอบีรอญาอฺ  ระบุว่า  "พวกท่านจงออกไป  แล้วทำการดื่มน้ำนมและปัสสาวะของอูฐ"  คือท่านนบีได้กล่าวถ้อยคำในเชิงสั่งใช้  และในรายงานของชั๊วะบะฮ์  จากกอตาดะฮ์  ระบุว่า "ท่านนีบได้ผ่อนปรนให้พวกเขานำอูฐซะกาตมา  แล้วพวกเขาก็ดื่ม(น้ำนมของมัน)"  ดังนั้น  การที่พวกเขาดื่มน้ำนมอูฐซะกาตได้  เพราะเป็นผู้เดินทาง  และสำหรับการที่พวกเขาได้ดื่มน้ำนมอูฐของท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ก็ด้วยเหตุที่ท่านนบีได้อนุญาตสิ่งดังกล่าว

ส่วนกรณีที่พวกเขาได้ทำการดื่มปัสสาวะอูฐ  ผู้ที่มีทัศนะว่าปัสสาวะอูฐนั้นสะอาด  ก็ได้ใช้อ้างมันมาเป็นหลักฐาน  ดังนั้นปัสสาวะอูฐสะอาด  ก็ด้วยการอ้างหลักฐานฮะดิษนี้  ส่วนสัตว์ที่รับประทานเนื้อได้(ปัสสาวะก็สะอาด)  ก็ด้วยหลักฐานการกิยาส(นำมาเทียบเคียง) กับปัสสาวะอูฐ (ที่เป็นสัตว์รับประทานเนื้อได้)  และนี้ก็คือทัศนะคำกล่าวของท่านมาลิก  ท่านอะห์มัด  และกลุ่มหนึ่งจากสะลัฟ  และมีทัศนะสอดคล้องกับพวกเขาจากอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์ด้วย  คือ  ท่านอิบนุคุซัยมะฮ์  ท่านอิบนุมุนซิร  ท่านอิบนุฮิบบาน  ท่านอัลอิสต๊อครีย์  และท่านอัรรูยานีย์

ส่วนท่านอิมามอัชชาฟิอีย์และปราชญ์ส่วนมากมีทัศนะว่า  บรรดาปัสสาวะและมูลสัตว์ทั้งหมด ที่รับประทานเนื้อได้หรือรับประทานเนื้อไม่ได้นั้น  ถือว่าเป็นนะยิส

ท่านอิบนุมุนซิร  อ้างหลักฐานว่า  "บรรดาสิ่งต่าง ๆ นั้นฮุกุ่มว่าสะอาดจนกระทั่งมีหลักฐานยืนยันว่ามันเป็นนะยิส"   ท่านอิบนุมุงซิรกล่าวอีกว่า  "ผู้ใดที่อ้างว่า  ปัสสาวะอูฐนี้เจาะจงพิเศษเฉพาะด้วยกับพวกเขา (คือเผ่าอุกล์และอุร๊อยนะฮ์)เท่านั้น  ถือว่าเขาไม่ถูกต้อง  เนื่องจากหลักเฉพาะพิเศษนั้นไม่สามารถนำมายืนยันได้นอกจากด้วยหลักฐาน"  ท่านอิบนุมุงซิรกล่าวอีกว่า "การที่นักปราชญ์ได้ปล่อยให้บรรดาผู้คนทำการขายมูลของแพะในตลาดของพวกเขาและปล่อยให้นำปัสสาวะอูฐใช้ทำเป็นยาทั้งในอดีตและปัจจุบันโดยที่ไม่ถูกตำหนิคัดค้านเลย  ย่อมเป็นหลักฐานที่ชี้ว่า  มูลสัตว์ที่รับประทานเนื้อได้และปัสสาวะอูฐมีความสะอาด"

ท่านอัลฮาฟิซฺ  อิบนุ  ฮะญัร  อัลอิสกอลานีย์  ได้โต้แย้งว่า

"ฉันขอกล่าวว่า  คำกล่าวของท่านอิบนุมุนซิรนั้น  เป็นหลักฐานที่อ่อน  เพราะสิ่งที่มีการขัดแย้งกันนั้น  ไม่จำเป็นต้องทำการตำหนิ(คัดค้าน)  ดังนั้นการปล่อยวางจากการคัดค้าน  มิได้ชี้ถึงการอนุญาตมัน  นอกเหนือไปกว่านั่น  ก็ไม่ได้ชี้ถึงว่ามันสะอาด  และแท้จริงฮะดิษของท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ที่เราได้ผ่านมาแล้วข้างต้น  ได้บ่งชี้ถึงว่าบรรดาปัสสาวะทั้งหมดนั้นเป็นนะยิส"

"ท่านอิบนุลอะรอบีย์  กล่าวว่า  ผู้ที่มีทัศนะกล่าวว่าบรรดาปัสสาวะของอูฐนั้นสะอาดก็ยึดด้วยกับฮะดิษนี้  แต่ทว่าพวกเขาได้ถูกคัดค้านว่า  "ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ทำการอนุญาตให้พวกเขาดื่มเพื่อทำการเยียวยารักษา"  แต่ถูกตอบค้านกลับมาว่า "การเยียวยารักษานั้นมิใช่อยู่ในวิสัยของสภาวะคับขัน (เพราะการเยียวยารักษาเป็นเรื่องปกติ)  ด้วยหลักฐานที่ว่า  การเยียวยารักษาไม่ใช่เป็นสิ่งวายิบ (เพราะหากวายิบก็จำเป็นต้องเยียวยารักษา)  ดังนั้นอย่างไรเล่าที่สิ่งฮะรอมจะถูกอนุญาตให้กับสิ่งที่ไม่วายิบ?" (หมายถึงหากปัสสาวะอูฐเป็นสิ่งฮะรอม(คือเป็นนะยิส)จริง จะถูกอนุญาตให้ดื่มเพื่อสิ่งที่ไม่จำเป็น - หมายถึงการเยียวยารักษา - ได้อย่างไร? ดังนั้นเมื่อการเยียวยารักษาเป็นสิ่งที่จำเป็น  การให้ดื่มปัสสาวะอูฐจึงอนุญาตได้เพราะมันสะอาดและดื่มในสภาวะที่ไม่จำเป็นขับขันอันใด) 

แต่ถูกตอบกลับไปว่า  "ถือห้าม(พูด) ว่ามันไม่ใช่อยู่ในสภาวะคับขันเป็นฏอรูเราะฮ์  แต่ทว่า สิ่งมัน(เช่นปัสสาวะนำมาใช้ได้)ได้อยู่ในสภาวะคับขัน(ฏอรูเราะฮ์)เมื่อมีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกเขาด้วยกับสิ่งดังกล่าว(คือบอกว่าการป่วยนี้เป็นอันตรายอยู่ในสภาวะคับขัน)  และสิ่งที่ถูกอนุญาตเนื่องจากอยู่ในสภาวะคับขันนั้น  ถือว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่ฮะรอมในขณะที่รับประทานมัน(เช่นปัสสาวะอูฐเป็นนะยิสแต่ดื่มได้เพราะป่วยที่อยู่ในขั้นอันตราย)

เพราะอัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ว่า

وَقَدْ فَصَّلَ لَكُم مَّا حَرَّمَ عَلَيْكُمْ إِلاَّ مَا اضْطُرِرْتُمْ إِلَيْهِ

"แท้จริงพระองค์ทรงแยกแยะให้แก่พวกเจ้าไว้แล้ว  ถึงสิ่งที่ทรงบัญญัติห้ามแก่พวกเจ้า  ยกเว้นสิ่งที่พวกเขามีความเดือนร้อน(จำเป็น)ต้องบริโภคมัน" อัลอันอาม 119

ดังนั้น  สิ่งที่ฮะรอม( เช่นห้ามรับประทาน เช่น ปัสสาวะที่เป็นนะยิส หรือเหล้า) บุคคลหนึ่งมีความจำเป็นเมื่ออยู่ในสภาวะคับขันต้องบริโภคมัน  ก็ถือว่าไม่ใช่เป็นสิ่งฮะรอมบนเขา  ซึ่งเสมือนกับซากสัตว์สำหรับผู้ที่อยู่ในสภาวะคับขัน (หิวไม่มีอะไรรับประทาน)

ท่านอิบนุหะญัรกล่าวต่อไปว่า  คำพูดที่ว่า  สิ่งฮะรอมจะไม่อนุญาตนอกจากให้กับสิ่งที่วายิบ(จำเป็นในยามคับขัน)นั้น  ถือว่าไม่ถูกยอมรับเสมอไป (เพราะสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้อันเนื่องจากสิ่งที่ยาอิซฺ) เช่นการละศีลอดในกลางวันของรอมะดอนนั้น  ฮะรอม  แต่พร้อมกับสิ่งดังกล่าวนั้น  ก็อนุญาต (คือไม่วายิบแต่ยาอิซฺ) ให้แก้ศีลอดได้  เช่น  มีการเดินทาง  เป็นต้น (ดังนั้น ปัสสาวะอูฐเป็นนะยิสฮะรอมรับประทาน  ก็อนุญาตให้ดื่มได้เพื่อเยียวยารักษา  แม้หากว่าการเยียวรักษาจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็นการตาม)

สำหรับคำกล่าวของอุลามาอ์ท่านอื่นที่ว่า  "หากปัสสาวะอูฐเป็นนะยิส  ก็ไม่อนุญาตให้นำมาทำการใช้เยียวยา  เพราะท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า  "แท้จริงอัลเลาะฮ์ไม่ทำให้ประชาชาติของฉันหายป่วยในสิ่งที่พระองค์ทรงฮะรอมมัน" รายงานโดยอบูดาวูด  นะยิสเป็นสิ่งฮะรอม  ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้นำมาใช้เยียวยารักษา  เพราะมันไม่ทำให้หาย"  แต่ถูกตอบค้านไปว่า  "ฮะดิษ(ที่รายงานโดยอบูดาวูด)นั้น  ถูกตีความว่า  อยู่ในสภาวะที่ปกติ(ไม่ใช่อยู่ในสภาวะคับขัน)  สำหรับในสภาวะคับขัน  ถือว่านะยิสไม่ใช่สิ่งฮะรอม  ซึ่งเหมือนกับซากสัตว์สำหรับคนที่อยู่ในสภาวะคับขัน (คือรับประทานได้หากมีความหิว)  และไม่ถือว่าเป็นการคัดค้านคำกล่าวของท่านนบีเกี่ยวกับเรื่องเหล้าที่ว่า "มันใช่เป็นยาแต่มันเป็นโรค" ซึ่งท่านนบีได้กล่าวตอบผู้ที่ถามเกี่ยวกับการเยียวยาด้วยเหล้า  เพราะการห้ามเยียวยาด้วยนะยิสนี้  เฉพาะเจาะจงด้วยกับเหล้าเท่านั้น และสามาถนำสิ่งมึนเมาอื่น ๆ มาเปรียบเทียบกับเหล้าได้

และการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่ทำให้มึนเมากับสิ่งที่ไม่ทำให้มึนเมาที่เป็นนะยิสทั้งหลายนั้น  คือ  อยู่ในขอบเขตที่ได้รับการยืนยันนำมาใช้เยียวยาได้ในสภาวะปกติไม่ใช่สภาวะคับขัน (คือหมายถึงนะยิสที่อื่นจากเหล้านั้นไม่สามารถนำมาใช้เป็นยาได้ในสภาวะปกติแต่นำมาใช้ได้ในยามคับขัน  แต่เหล้านั้นไม่สามารถนำมาใช้เป็นยาได้เลยแม้ในยามคับขันก็ตาม)  เพราะการดื่มเหล้าจะนำพาไปสู่ผลเสียมากมาย  และเพราะว่าพวกเขาอยู่ในยุคสมัยญาฮีลียะฮ์  ซึ่งเชื่อว่าเหล้าทำให้หายจากโรค  แต่ทว่าศาสนาได้บัญญัติหลักฐานที่ขัดแย้งกับความเชื่อของพวกเขา"

สำหรับบรรดาปัสสาวะของอูฐนั้น  ท่านอิบนุมุนซิรได้รายงานจากท่านอิบนุอับบาส  โดยยกคำพูดถึงท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ความว่า  "ในบรรดาปัสสาวะของอูฐนั้น  ทำให้หายจากโรคกระเพาะเป็นพิษ"  ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้กิยาสสิ่งที่รับรองว่ามันเป็นยา (เช่นปัสสาวะของอูฐ) ไปเทียบเคียงกับสิ่งที่ยืนยันว่ามันไม่ใช่เป็นยา (เช่น ปัสสาวะของแพะ แกะ  วัว  กระบือ และอื่น ๆ กล่าวคือ เมื่อปัสสาวะอูฐเป็นยารับประทานได้  ก็ไม่สามารถที่จะนำไปกิยาสปัสสาวะ แพะ แกะ วัว ที่ไม่ถูกรับรองว่าเป็นยา  ดังนั้น  ทัศนะที่บอกว่าปัสสาวะอูฐไม่เป็นนะยิสเพราะรับประทาน  จะนำมากิยาสโดยบอกว่า ปัสสาวะแพะ วัว รับประทานได้เช่นกันและไม่เป็นนะยิสนั้น ย่อมไม่ได้)

และด้วยแนวทางนี้  จึงทำให้เกิดการรวมระหว่างบรรดาหลักฐานและสามารถปฏิบัติตามนัยยะของบรรดาหลักฐานได้ทั้งหมด (จากหนังสือฟัตหุลบารีย์ อธิบายซอฮิห์บุคอรีย์)

สรุปจากหลักการข้างต้น  คือ  ปัสสาวะหรือมูลสัตว์ไม่ว่าจะมาจากสัตว์ที่รับประทานเนื้อได้หรือไม่ได้  ถือว่าเป็นนะยิส  ส่วนการซื้อขายขี้เป็ดขี้ไก่เพื่อมาทำปุ๋ยเป็นต้น  ถือว่าให้ทำการซื้อขายได้  แต่ต้องอยู่ในสภาพที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์  หมายถึงอยู่ในสภาพที่เป็นปุ๋ยแล้ว

والله تعالى أعلى وأعلم
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged