ผู้เขียน หัวข้อ: รบกวนขอหลักฐานฮาดีษเรื่องบิดอะที่สามารถมาคัดง้างกับฮาดีษดังต่อไปนี้ได้หน่อย(2)  (อ่าน 7875 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียนกล่าวว่า

บิดอะฮ เป็น สุนนะฮจริงหรือ

เข้าไปในเว็บสุนนะฮสะติ้วเด้น ท่านอัลอัซฮารีย์ โต๊ะครูประจำเว็บ กล่าวว่า " บิดอะฮหะซะนะฮ คือ สุนนะฮ โดยอ้างคำพูดของอิบนุอะษีรว่า
والبدعة الحسنة فى الحقيقة سنة، وعلى هذا التأويل يحمل حديث " كل محدث بدعة" على ما خالف أصول الشريعة، وما لم يخالف السنة
"และในความเป็นจริงแล้วบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือซุนนะฮ์นั่นเอง และให้อธิบายตามนัยนี้ หะดิษที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์" โดยหมายถึง สิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐานของศาสนา และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์ " ดู หนังสือ อันนิฮายะฮ์ เล่ม 1 หน้า 80
..........

ข้อโต้แย้ง

ข้อความข้างต้นขัดกับความเป็นจริง เพราะคำว่า "บิดอะฮ"คือ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่า"สุนนะฮ
บิดอะฮ คือ คำสอนศาสนาที่ไม่มีที่มาจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ หากสิ่งใด ตรงกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ มันเป็น" บิดอะฮ"ได้อย่างไร และบิดอะฮ กลายมาเป็นสุนนะฮได้อย่างไร เพราะท่านนบีกล่าวว่า
عليكم بسنتي وسنة الخلفاء الراشدين المهديين من بعدي ، تمسكوا بها وعضوا عليها بالنواجذ ، وإياكم ومحدثات الأمور ، فإن كل محدثة بدعة ، وكل بدعة ضلالة
พวกท่านจงยึดมั่นในสุนนะฮ(แบบอย่าง)ของฉัน และบรรดาเคาะลิฟะฮผู้ชี้ทางที่ถูกต้อง ผู้ได้รับทางนำหลังจากฉัน จงยึดถือมัน และจงกัดกรามต่อมัน(หนักแน่นอดทน) และพึงระวังสิ่งที่ถูกอุตริขึ้นใหม่ในศาสนา และแท้จริงทุกสิ่งอุตริขึนใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ และทุกบิดอะฮ นั้น เป็นการหลงผิด" - บันทึกโดยอะหมัด และ อัตติรมิซีย์
ชาวอะชาอีเราะฮในปัจจุบันมักอ้างว่า ท่านเคาะลิฟะฮอุมัร ทำบิดอะฮ โดยจัดให้มีอีหม่ามนำละหมาดตะรอเวียะ ทั้งๆที่ ท่านนบีเคยทำ และท่านนบีเองก็สอนให้ตามสุนนะฮเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน แล้วสิ่งที่ท่านเคาะลิฟะฮอุมัรทำนั้น "เป็นบิดอะฮได้อย่างไร
จากหะดิษข้างต้นท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ใช้คำว่า .... وسنة الخلفاء الراشدين (และสุนนะฮ(แบบอย่างของเคาะลิฟะอฮอัรรอชิดีน...) ไม่ได้ใช้คำ بدعة الخلفاء الراشدين (และบิดอะฮของเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน....) เพราะการกระทำของเคาะลิฟะฮในเรื่อง ศาสนา คือ สุนนะฮ ที่ท่านนบีได้รับรองไว้ มันเป็นบิดอะฮได้อย่างไร

วิจารณ์

ก่อนอื่นผมขอทำความเข้าใจก่อนว่า  (1) ซุนนะฮ์นบี سنتي กับ (2) ซุนนะฮ์คุลาฟาอฺอัรรอชิดีน سنة الخلفاء الراشدين นั้น  มีความหมายต่างกัน 

1. ซุนนะฮ์นบี  คือ ซุนนะฮ์ฮะกีกัต  หมายถึง  ซุนนะฮ์แท้ที่ท่านนบีได้พูด ได้กระทำ  ได้ยอมรับ 

2. ซุนนะฮ์คุลาฟาอฺอัรรอชิดีน นั้น คือซุนนะฮ์อิฏอฟียะฮ์  หมายถึง  แนวทางที่ริเริ่มเสริมกระทำขึ้นมาใหม่โดยอยู่บนรากฐานของศาสนา เช่น ท่านอุษมาน หนึ่งในคอลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรม  ได้ทำการเพิ่มอะซานละหมาดวันศุกร์  ทั้งที่ท่านบีไม่เคยทำ  ท่านอุมัรใช้ให้ละหมาดตะรอวิห์ 20 รอกะอัต และใช้ให้ ตะมีม อัดดารีย์ เป็นอิมามละหมาดตะรอวิห์บรรดาสตรีเป็นเอกเทศน์ โดยไม่รวมละหมาดตามอุบัยซึ่งเป็นอิมามนำละหมาดตะรอวิห์บรรดาบุรุษ   ทั้งที่ท่านนบีไม่เคยทำ  ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า มันเป็น "บิดอะฮ์ที่ดี" 

ดังนั้น  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์  ก็คือ  ซุนนะฮ์ นั้น  หมายถึง  ซุนนะฮ์ประเภทที่สอง (ซุนนะฮ์อิฏอฟียะฮ์)

ุหากถามว่า  ใครที่กล่าวว่าึซุนนะฮ์(ประเภทที่สอง) คือบิดอะฮ์ที่ดี 

เราขอตอบว่า  ก็ท่านซัยยิดินา อุมัร อิบนุ ค๊อฏฏ๊อบ  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ไงล่ะครับที่เรียก  ซุนนะฮ์(แนวทางที่ริเริ่มกระทำขึ้นมาใหม่)  ว่าเป็น  บิดอะฮ์ที่ดี  ซึ่งท่านอุมัรเองก็เป็นหนึ่งในคุละฟาอฺอัรรอชิดีน (บรรดาค่อลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรม) ได้เรียกซุนนะฮ์คุลาฟาอฺอัรรอชิดีนว่า "บิดอะฮ์ที่ดี"  เช่นท่านอุมุรได้กล่าวว่า  نعمت البدعة هذه  "(ตะรอวิห์ 20 ร่อกะอัต)นี้ คือบิดอะฮ์ที่ดี"  ทั้งที่ท่านอุมัรน่าจะกล่าวว่า نعمت السنة هذه  "(ตะรอวิห์ 20 รอกะอัต) นี้ คือซุนนะฮ์ที่ดี"     

ดังนั้น  การที่เราเรียกบางอย่างว่า "บิดอะฮ์ที่ดี"  ก็เพราะเราเรียกตามท่านอุมัรผู้เป็นหนึ่งในคุละฟาอฺอัรรอชิดีน  ฉะนั้น  "บิดอะฮ์ที่ดี" ที่ท่านอุมัรได้พูดนี้  ก็คือ "ซุนนะฮ์คุลาฟาอฺอัรรอชิดีน"  ก็แสดงว่า  ซุนนะฮ์คุลาฟาอฺอัรรอชิดีน ตรงนี้(คือในเรื่องละหมาดตะรอวิห์ 20 ร่อกะอัต) ก็เรียกว่า "บิดอะฮ์ที่ดี" ตามทัศนะของท่านอุมัรและบรรดาซอฮาบะฮ์ทั้งหลายก็ไม่คัดค้านคำพูดของท่านอุมันที่ว่า "บิดอะฮ์ที่ดี"

 รายงานโดย อิบนุอบีชัยบะฮ์ ด้วยสายรายงานที่ซอฮิหฺ จาก อัลหะกัม บิน อะอฺร๊อจฐฺ จากท่านอัลอะอฺร๊อจญฺ เขากล่าวว่า

سألت ابن عمرعن صلاة الضحى ؟ فقال : بدعة ونعمت البدعة

" ฉันได้ถาม ท่านอิบนุอุมัร จากเรื่องละหมาด ดุฮา ท่านอิบนุอุมัรกล่าวว่า มันเป็นบิดอะฮ์ และเป็นบิดอะฮ์ที่ดี " ดู อัลมุซันนัฟ ของอิบนุอบีชัยบะฮ์ เล่ม 2 หน้า 406 อัลมั๊วะญัม อัลกะบีร ของท่าน อัฏฏ๊อบรอนีย์ หะดิษที่ 13524 และฟัตหุลบารีย์ เล่ม 3 หน้า 45

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ  นี่คือ สองหลักฐานจากท่านอิบนุอุมัร (ร.ฏ.) ที่ชี้ถึงการแบ่งบิดอะฮ์  เป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ด้วย

ท่าน อับดุร ร๊อซฺซฺาก ได้รายงาน โดยสายรายงานที่ซอฮิหฺ จาก ซาลิมบินอับดิลลาฮฺ จากบิดาของเขา คือท่านอับดุลลอฮ์บุตรอุมัร ได้กล่าวว่า

لقد قتل عثمان وما أحد يسبحها وما أحدث الناس شيئا أحب إلي منها

"ขอสาบาน ว่าแท้จริง ท่านอุษมานถูกสังหารไปแล้ว โดยที่ไม่มีคนใดเลย ที่ได้ทำาการละหมาดดุฮา และไม่มีสิ่งใด ที่ผู้คนได้กระทำมันขึ้นมาใหม่ อันเป็นที่รักสำหรับข้าพเจ้ายิ่ง ไปกว่าละหมาดดุฮา"  ดู อัลมุซอลนัฟ ของท่านอับดุรร๊อซฺซฺาก เล่ม 3 หน้า 78 หะดิษที่ 4868

และสายรายงานเหล่านี้ ท่านอิบนุหะญัร ได้ยืนยันความซอฮิหฺไว้ (ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 3 หน้า 52)

พี่น้องพิจารณากันครับ  เมื่อท่านอุษมานถูกกุมสังหาร  จึงไม่ค่อยเห็นผู้คนทำการละหมาดดุฮากันที่มัสยิด  พอหลังจากนั้นในช่วงระยะหนึ่ง  บรรดาซอฮาบะฮ์ก็เริ่มทำละหมาดดุฮากันที่มัสยิด (ทั้งที่นบีไม่ได้ละหมาดดุฮาที่มัสยิด)  ดังนั้น  ท่านอิบนุอุมัร  จึงกล่าวว่า  การที่บรรดาซอฮาบะฮ์ละหมาดดุฮากันที่มัสยิดนั้น  เป็น "บิดอะฮ์ที่ดี"  ทั้งที่จะเรียกว่า "ซุนนะฮ์ที่ดี"  ก็ได้  หรือกล่าวอีกสำนวนหนึ่งว่า  การละหมาดดุฮานั้นมีรากฐานจากซุนนะฮ์  แต่การบรรดาซอฮาบะฮ์ทำการละหมาดุฮากันที่มัสยิดนั้นนบีไม่ได้ทำ  จึงเป็น "บิดอะฮ์ที่ดี" เพราะละหมาดดุฮาที่มัสยิดนั้นไม่ได้ขัดกับอัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ , และอิจญ์มาอฺ

ดังนั้น  ผมขอย้ำว่า  พี่น้องอย่าสับสนนะครับ  กล่าวคือ  การละหมาดดุฮานั้นเ็ป็นซุนนะฮ์  แต่ท่านอิบนุอุมัร  ได้กล่าวว่าเป็นบิดอะฮ์ในเชิงรูปแบบการละหมาดดุฮาเป็นญะมาอะฮ์ในมัสยิด ซึ่งท่านถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ดี่

รายงานจากมุญาฮิด  เขากล่าวว่า "ฉันและอุรวะห์ บิน ซุบัยร์ ได้เ้ข้าไปมัสยิด  ทันใดนั้นก็เห็นท่านอิบนุอุมัรนั่งอยู่ที่ห้องของท่านหญิงอาอิชะฮ์  และขณะนั้นบรรดาผู้คนกำลังทำละหมาดดุฮาในมัสยิด(มะดีนะฮ์) ดังนั้น  เราจึงถามท่านอิบนุอุมัร เกี่ยวกับการละหมาดของพวกเขา  ท่านอิบนุอุมัรตอบว่า มันเป็นบิดอะฮ์"  รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม  ดู  ซอฮิห์บุคอรีย์ เล่ม 2 หน้า 630 และซอฮิห์มุสลิม เล่ม 2 หน้า 917

ดังนั้น บิดอะฮ์ตรงนี้  ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ดี  เนื่องจากรายงานข้างต้นจากท่านอิบนุชัยบะฮ์นั้น  มาจำกัดความว่า  มันเป็นบิดอะฮ์ที่ีดี 

แต่หากว่า ผู้คัดค้าน กล่าวว่า การกระทำของพวกเขานั้น เป็น ซุนนะฮ์ ซึ่งไม่เรียกว่า บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ แต่เรียกมันว่า ซุนนะฮ์หะสะนะฮ์ เราก็ขอกล่าว จากคำพูดของนักปราชน์ว่า

لا مشاحة فى الإصطلاحات

" ไม่มีการขัดข้องกัน ในเรื่องการให้คำศัพท์"

ซุนนะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือ สิ่งที่กระทำขึ้นมาใหม่ที่ดี และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือ สิงที่กระทำขึ้นมาใหม่ที่ดี จะเรียกอย่างไรก็ได้ครับ

สรุป  คือ : การเรียก บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ นั้น  แรกตามท่านอุมัร ผู้เป็นคอลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรม  และเรียกตามบุตรของท่าน คืออิบนุ อุมัร

และทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้  ก็คือความหมายคำพูดของอิบนุอะษีรที่ว่าว่า

والبدعة الحسنة فى الحقيقة سنة، وعلى هذا التأويل يحمل حديث " كل محدث بدعة" على ما خالف أصول الشريعة، وما لم يخالف السنة

"และในความเป็นจริงแล้วบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือซุนนะฮ์(อีฏอฟียะฮ์)นั่นเอง และให้อธิบายตามนัยนี้ หะดิษที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์" โดยหมายถึง สิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐานของศาสนา และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์ " ดู หนังสือ อันนิฮายะฮ์ เล่ม 1 หน้า 80
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 24, 2008, 01:08 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียนกล่าวว่า

 1. อับดุร-เราะหมาน บุตร อับดิ้ลกอรี ได้เล่าว่า                 

خرجت مع عمر بن الخطاب ليلة في رمضان إلى المسجد ، فإذا الناس أوزاع متفرقون ، يصلي الرجل لنفسه ، ويصلي الرجل فيصلي بصلاته الرّهط ، فقال : والله إني لأرى لو جمعت هؤلاء على قارئ واحد لكان أمثل ، ثم عزم ، فجمعهم على أبيّ بن كعب ، قال : ثم خرجت معه ليلة أخرى ، والناس يصلون بصلاة قارئهم ، فقال : عمر ، نعمت البدعة هذه ، والتي ينامون عنها أفضل من التي يقومون - يريد آخر الليل - وكان الناس يقومون أوله "


          คืนหนึ่งของเดือนเราะมะฏอน ข้าพเจ้าได้ออกไปมัสญิด พร้อมกับท่านอุมัร บุตร อัลคอฏฏอบ แล้วปรากฏว่า  บรรดาผู้คนในขณะนั้นอยู่ใน
  สภาพที่กระจัดกระจาย (ไม่ได้ละหมาดร่วมกัน แต่ต่างทำหรือต่างกลุ่มต่างทำ) บ้างก็ละหมาดคนเดียว,บ้างก็ละหมาดแล้วมีกลุ่มคนมาละหมาด
  ตามหลัง แล้วท่านอุมัรก็กล่าวว่า

          “ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ,ข้าพเจ้าเห็นว่า หากข้าพเจ้ารวมคนเหล่านี้ ให้มาละหมาดตามอิหม่ามคนเดียวคงจะประเสริฐยิ่งกว่า
  หลังจากนั้น ท่านได้ตั้งใจที่จะกระทำเช่นนั้น แล้วท่านก็ได้รวบรวมให้พวกเขาละหมาดตาม อุบัย บุตร กะอับ เขา (อับดุรเราะหมาน)ได้กล่าวต่อไปว่า

          หลังจากนั้นในอีกคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ออกไปพร้อมกับท่านอุมัร โดยที่บรรดาผู้คนกำลังละหมาดร่วมกัน ตามหลังอิหม่ามของพวกเขา, แล้ว
  ท่านอุมัรได้กล่าวขึ้นว่า “ นี้ช่างเป็น บิดอะฮ(การริ่เริ่ม)ที่ดีแท้”  และบรรดาผู้ที่ละหมาด(ญะมาอะฮ)ในช่วงต้นของกลางคืนแล้วนอนย่อมประเสริฐกว่า
  พวกเขานอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาละหมาดนี้คนเดียว

 - หมายถึงช่วงท้ายของกลางคืน
 - โดยที่บรรดาผู้คนได้ละหมาดนี้ในช่วงต้นของกลางคืนนั้นแล้ว
 - หะดิษบันทึกโดย อัลบุคอรีและท่านอื่นๆ

.................................................

  วิจารณ์

          หะดิษข้างต้น ไม่สามารถที่จะเอามาอ้างเป็นหลักฐานได้ว่าในศาสนานั้น มีบิดอะฮฺหะสะนะฮหรือบิดอะฮที่ดี  เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้


       1. การกระทำของท่านอุมัร บุตร อัลคอฏฏ็อบ ในการรวบรวมผู้คนให้มาละหมาดตะรอเวียะร่วมกัน (ญะมาอะฮ) โดย ให้ตามอิหมามคนเดียวกันนั้น   
  ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีขึ้นมาใหม่ โดยการอุตริของท่านอุมัร เพราะสิ่งนี้ได้มีแบบอย่าง(สุนนะฮฺ) ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ทำเป็นแบบ
  อย่างไว้แล้ว  ดังหะดิษอบีซัรริน กล่าวว่า

 صمنا مع رسول الله صلى الله عليه وسلم رمضان ، فلم يقم بنا شيئاً من الشهر حتى بقي سبع فقام بنا حتى ذهب ثلث الليل ، فلما كانت السادسة لم يقم بنا ، فلما كانت الخامسة قام بنا حتى ذهب شطر الليل ، فقلت : يا رسول الله ! لو نفّلتنا قيام هذه الليلة ، فقال : " إن الرجل إذا صلى مع الإمام حتى ينصرف حسب له قيام ليلة " فلما كانت الرابعة لم يقم ، فلما كانت الثالثة جمع أهله ونساءه والناس ، فقام بنا حتى خشينا أن يفوتنا الفلاح ، قال : قلت : وما الفلاح ؟ قال : السحور ، ثم لم يقم بنا بقية الشهر ) حديث صحيح ، أخرجه أصحاب السنن   


          "พวกเราได้ถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน ร่วมกับท่านร่อซูลุลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งในช่วงต้นๆ(ของเดือน) ท่านไม่ได้นำ
  ละหมาดพวกเราเลยสักคืนจากเดือนนั้น จนกระทั้งเหลือเจ็ดคืน แล้วท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งในสามของกลางคืน แล้ว
  ปรากฏว่าในคืนที่หก (นับจากคืนสุดท้าย) ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วในคืนที่ห้า ท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปครึ่งคืน แล้ว

  ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านรซูลว่า ”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(คืนที่เหลือ)จะดีไหม แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า
  “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่ามจนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน แล้วในคืนที่สี่ ท่านไม่ได้นำ

  ละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลืออีกสามคืน ท่านได้ชุมนุมครอบครัวของท่าน บรรดาภรรยาของท่านและบรรดาผู้คน แล้วท่านได้นำละหมาดพวกเรา
  จนกระทั้งพวกเราเกรงว่าจะพลาด  อัล-ฟัลลาห เขา(อบูซัร)กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “อัล-ฟัลลาหนั้นคือ อะไร ท่านได้ตอบว่า คือ การ
  รับประทานสะหูร แล้วคืนที่เหลือในเดือนนั้น ท่านก็ไม่ได้ละหมาดนำพวกเราเลย

  - หะดิษเศาะเหียะ รายงานโดยเจ้าของสุนัน
  ........................

          ส่วนที่ท่านไม่ได้ออกมาละหมาดนำเหล่าเศาะหาบะฮนั้น ต่อมาท่านก็บอกเหตุผลแล้วว่า เกรงจะเป็นฟัรดู แต่ท่านก็ส่งเสริมให้สาวกกระทำ
  อย่างนี้จะเรียก บิดอะฮได้อย่างไร 

 ท่านอบูชามะฮฺ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

وأما قول عمر رضي الله عنه: "نعمت البدعة هذه"[رواه البخاري في "صحيحه" (2/252)

من حديث

عبد الرحمن بن عبد القاري]؛ فالمراد بذلك البدعة اللغوية لا البدعة الشرعية؛ لأن عمر قال ذلك بمناسبة جمعه الناس على إمام واحد في صلاة التراويح، وصلاة التراويح جماعة قد شرعها الرسول صلى الله عليه وسلم ؛ حيث صلاها بأصحابه ليالي، ثم تخلف عنهم خشية أن تفرض عليهم[انظر: "صحيح البخاري" (2/252)
   

          สำหรับคำพูดของท่านอุมัร ว่า "นี้คือ บิดอะฮที่ดีนั้น หมายถึง บิดอะฮฺในทางภาษา ไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนา เพราะท่านอุมัรกล่าว
  เช่นนั้น เพื่อความเหมะสม โดยให้ผู้คนมาร่วมละหมาดตะรอเวียะภายใต้อิหม่ามคนเดียวกัน โดยที่ละหมาดตะรอเวียะญะมาอะฮนั้น ท่านรซูลุลลอฮฺ
  ได้มีบัญญัติมันแล้ว โดยท่านได้ละหมาดกับเหล่าสาวกของท่าน หลายคืน ต่อมาท่านได้ทิ้งพวกเขาให้รอ (โดยไม่ออกมาร่วมละหมาด)เพราะ
  เกรงว่า มันจะถูกบัญญัติให้เป็นข้อบังคับแก่พวกเขา

วิจารณ์

ผมไม่เห็นมีข้อความใดที่ค้านเรื่องบิดอะฮ์ฮะสะนะฮ์สักนิดเดียว  ผมจึงแปลกใจว่าผู้เขียนต้องการเน้นเจาะจงตรงใหนเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในการแยกแยะประเด็น  โดยผู้เขียนยกหลักฐานเรื่องละหมาดตะรอวิห์และคำกล่าวของท่านอุมัร  แล้วจบสรุปประเด็นด้วยคำพูดของท่าน อิมาม อบู ชามะฮ์   ว่า

"สำหรับคำพูดของท่านอุมัร ว่า "นี้คือ บิดอะฮที่ดีนั้น หมายถึง บิดอะฮฺในทางภาษา   myGreat:  ไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนา เพราะท่านอุมัรกล่าว
เช่นนั้น เพื่อความเหมะสม โดยให้ผู้คนมาร่วมละหมาดตะรอเวียะภายใต้อิหม่ามคนเดียวกัน โดยที่ละหมาดตะรอเวียะญะมาอะฮนั้น ท่านรซูลุลลอฮฺ
 ได้มีบัญญัติมันแล้ว โดยท่านได้ละหมาดกับเหล่าสาวกของท่าน หลายคืน ต่อมาท่านได้ทิ้งพวกเขาให้รอ (โดยไม่ออกมาร่วมละหมาด)เพราะ
 เกรงว่า มันจะถูกบัญญัติให้เป็นข้อบังคับแก่พวกเขา"

ผู้เขียนคิดว่า  คำกล่าวของท่าน อบู ชามะฮ์  สนับสนุนทัศนะของตน  แต่ความจริงนั้นตรงกันข้าม  เนื่องจาก ท่านอบูชามะฮ์เอง  ทำการแบ่งแยกเป็น  เป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ และบิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์   หมายถึง  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น คือบิดอะฮ์เชิงภาษา  ส่วนบิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์คือบิดอะฮ์เชิงศาสนา  ดังนั้นด้วยจุดยืนอันนี้ 

ท่านอบู ชามะฮ์ กล่าวว่า " สิ่งที่กระทำขึ้นมาใหม่นั้น  ถูกแบ่งออกเป็น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) และบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ (แล้วท่าน อบู ชามะฮ์ ก็อ้างอิงคำพูดของอิมามชาฟิอีย์  ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น)  จากนั้น  ท่านอบู ชามะฮ์กล่าวว่า  " ฉันขอกล่าวว่า  แท้จริง  มันก็เป็นอย่างเช่นดังกล่าว  เพราะท่านนบี(ซ.ล.) ส่งเสริมให้มีการละหมาดสุนัตในเดือนร่อมะฏอน  โดยที่ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กระทำที่มัสยิด  โดยที่ซอฮาบะฮ์บางส่วนได้ทำการละหมาดตามท่านนบีเพียงไม่กี่คืน  หลังจากนั้น  ท่านนบี(ซ.ล.) ได้ทิ้งการละหมาดดังกล่าวในรูปแบบญะมาอะฮ์  โดยท่านนบี(ซ.ล.)ให้เหตุผลในเรื่องดังกล่าวว่า  เกรงจะถูกฟัรดูแก่พวกเขา  ดังนั้น  เมื่อท่านนบี(ซ.ล.)ได้เสียชีวิต  แล้วการปฏิบัติดังกล่าวก็ยุติลง  ช่วงหลังจากนั้น บรรดาซอฮาบะฮ์จึงลงมติให้ทำการละหมาด(ตะรอวิหฺ)ในเดือนรอมาฏอนที่มัสยิดแบบญะมาอะฮ์ เพื่อเป็นการฟื้นฟูเอกลักษณ์ที่อัลเลาะฮ์ทรงใช้  และได้ส่งเสริมให้กระทำมัน  วัลลอฮุอะลัม

จากที่ได้กล่าวมานี้จึงสามารถสรุปได้ว่า 

فالبدع الحسنة : متفق على جواز فعلها ، والإستحباب لها ، ورجاء الثوب امن حسنت نيته فيها ، وهى كل مبتدع موافق لقواعد الشريعة غير مخالف لشيىء منها ولا يلزم من فعله محذور شرعى .

บรรดาบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น  บรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามได้ลงมติเห็นพร้องว่า  อนุญาติให้กระทำได้   myGreat:และมีความหวังได้ผลบุญ  สำหรับผู้ที่มีเจตนาที่ดี  โดยที่บิดอะฮ์นั้น  จะต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่และสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของหลักศาสนา (ชะรีอะฮ์) และจะต้องไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนาหากได้กระทำมัน" (ดู  อัลบาอิษ อะลา อินการิลบิดะอ์ วัลหะวาดิษ ของท่าน อบี ชามะฮ์  หน้า 93)

ท่านอบู ชามะฮ์  ได้ให้คำนิยามของบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ จากคำพูดของท่านที่ว่า "บรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามได้ลงมติเห็นพร้องว่า  อนุญาติให้กระทำได้"  ซึ่งเขาหมายถึงบุคคลที่คำพูดของเขานั้น  เป็นที่ยอมรับในเรื่องการอิจญฺมาอ์  ดังนั้น  ผู้ที่ไม่เป็นที่ยอมรับกับคำพูดของเขา  ก็ถูกคัดออกไป  เช่นคำกล่าวของท่านอิบนุตัยมียะฮ์  และผู้ที่มีแนวทางเดียวกับเขา  เพราะฉะนั้น  จึงไม่อนุญาตให้กับผู้ที่คัดค้านทัศนะคำกล่าวนี้  เนื่องจากเป็นการแหวกมติของประชาชาติอิสลาม  และการแหวกมติของประชาชาติอิสลามนั้น  เป็นสิ่งที่หะรอม

ดังนั้น  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์นี่เองที่  เขาเรียกว่า บิดอะฮ์เชิงภาษา  ซึ่งหมายถึงบิดอะฮ์ที่อยู่บนรากฐานของศาสนาโดยไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ , และอิจญ์มาอฺ   

และประเด็นที่ท่านอุมัร ได้กล่าวว่า "(ตะรอวิห์) นี้ คือบิดอะฮ์ที่ดี"  มิใ่ช่หมายถึงตัวของละหมาดตะรอวิห์  เพราะประเด็นคำว่า "ตะรอวิห์นี้" นั้น  ยังรวมไปถึงวิธีการละหมาดตะรอวิห์ที่เิกิดขึ้นไปสมัยของท่านอุมัรด้วย  เช่น  มีการละหมาดตอรอวิห์ 20 รอกะอัต , แบ่งแยกในการเป็นอิมามเป็นเอกเทศน์  โดยให้ตะมีมอัดดารีย์ เป็นอิมามนำละหมาดตะรอวิห์ผู้หญิง  ส่วนอุบัยนำละหมาดตะรอวิห์บรรดาผู้ชาย  ผมอยากถามหน่อยเถอะว่า ท่านนบี เคยทำหรือเปล่า?  ซึ่งคำตอบที่แน่นอนก็คือ "นบีไม่เคยทำ"  เนื่องจากท่านอุมัรเป็นผู้ริเริ่มทำมันขึ้นมา  และอยากถามว่า  การละหมาด 20 รอกะอัต และแบ่งแยกจัดส่วนกันเป็นอิมามนั้น  ขัดแย้งกับอัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ , อิจญ์มาอฺ  หรือไม่?  ตอบ  ไม่ขัด  เพราะท่านนบีไม่ได้บอกเจาะจงกำหนดไว้ตายตัวว่า ละหมาดตะรอวิห์มีกี่รอกะอัต  เนื่องจากเป็นการละหมาดสุนัต  ทำมากก็ได้มาก  มักกะฮฺฺทำ 20  ส่วนมะดีนะฮ์ทำ 36 ก็ไม่มีนักปราชญ์คนใดในอดีตตั้งแต่พันปีมาแล้ว ที่ทำการฮุกุ่มว่าบิดอะฮ์ลุ่มหลงเลย  และการแบ่งจัดส่วนการเป็นอิมามละหมาดตะรอวิห์ชายและหญิงนั้น  ก็ไม่ได้ขัดกับอัลกุรอานและฮะดิษสักบท
   
นั่นแหละที่ท่านอุมัรกล่าวว่า

نعمت البدعة هذه

"นี้  เป็นบิดอะฮ์ที่ดี"

หรือจะเรียกว่า ซุนนะฮ์ที่ดี  ก็ไม่แปลก  แต่ท่านอุมัรเรียก "บิดอะฮ์ที่ดี"  หมายถึงบิดอะฮ์เชิงภาษา  ซึ่งเป็นบิดอะฮ์ที่อยู่บนรากฐานของศาสนาโดยไม่ขัดกับอัลกุรอาน , ซุนนะฮ์ , และอิจญ์มาอฺ   ส่วนบิดอะฮ์เชิงศาสนาที่หมายถึง การอุตริฮุกุ่มขึ้นมาใหม่โดยมิได้มีรากฐานมาจากศาสนาและยังขัดกับอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์  , และอิจญ์มาอฺ  นั้น  ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ฏ่อลาละฮ์ (บิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง)
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียนกล่าวว่า

قال ابن رجب: "وأمَّا ما وقع في كلام السلف من استحسان بعض البدع، فإنما ذلك في البدع اللغوية لا الشرعية، فمن ذلك قول عمر - رضي الله عنه - لما جمع الناس في قيام رمضان على إمام واحد في المسجد، وخرج ورآهم يصلون كذلك، فقال: نعمت البدعة هذه ". [جامع العلوم والحكم: 1/129
 

  อิบนุเราะญับกล่าวว่า “ สำหรับสิ่งที่ปรากฏในคำพูดของสะลัฟ จากการที่เห็นว่าบางส่วนของบิดอะฮเป็นสิ่งที่ดีนั้น ความจริง ดังกล่าวนั้น
  เกี่ยวกับบิดอะฮในเชิงภาษา ไม่ใช่ ในด้านศาสนา แล้วส่วนหนึ่งจากดังกล่าวนั้น คือ คำพูดของอุมัร เมื่อได้รวมผู้คนให้มาละหมาดกิยามุเราะมะฏอน
  (ตะรอเวียะ) ภายใต้การนำของอิหม่ามคนเดียวกัน ในมัสญิด และท่านได้ออกมาเห็นพวกเขา กำลังละหมาดเช่นนั้น จึงกล่าวว่า “ นี่คือ บิดอะฮที่ดี”               

  –  ดูหนังสือ ญามิอุลอุลูมวัลหิกัม เล่ม1 หน้า 129 

วิจารณ์

วะฮาบีย์มักจะอ้างคำกล่าวของ ท่าน อิบนุ รอญับ เพื่อปฏิเสธการแบ่งแยกบิดอะฮ์ ทั้งที่ความจริงแล้ว ท่านอิบนุ ร่อญับ ไม่ได้ทำการปฏิเสธเลย  เพราะท่านอิบนุรอญับ แบ่งบิดอะฮ์ออกเป็น 2 ประเภท  คือ (1) บิดอะฮ์เชิงภาษา (2) บิดอะฮ์เชิงศาสนา  ซึ่ง (1) บิดอะฮ์เชิงภาษานั้น  ก็คือซุนนะฮ์ที่ดี(หรือเราเรียกว่าบิดอะฮ์ที่ดี)ตามทัศนะของท่านอิบนุรอญิบ  ส่วน (2) บิดอะฮ์เชิงศาสนา  คือบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงตามทัศนะของท่านอิบนุรอญับนั่นเอง

อิบนุหาญิบกล่าวว่า

إن هذا الحديث يدل بمنطوقه على ان كل عمل ليس عليه أمر الشارع فهو مردود , ويدل بمفهومه على أن كل عمل عليه أمره فهو غير مردود

"หะดิษนี้นั้น ด้วยถ้อยคำของมันแล้ว ชี้ถึง ทุกๆการปฏิบัติ ที่การงานศาสนาไม่ได้อยู่บนมัน ก็ถือว่าถูกปฏิเสธ และด้วยความเข้าใจของหะดิษนี้ ชี้ถึง ทุกๆการปฏิบัติที่การงานของศาสนาอยู่บนมัน ก็ถือว่าไม่ถูกปฏิเสธ"

ดังนั้น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ จึงเป็นบิดอะฮ์ที่มีรากฐานมาจากศาสนา ก็ย่อมไม่ถูกปฏิเสธแต่ประการใด แต่เราเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นมาหลังจากสมัยนบี(ซ.ล.)ว่าเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ เพราะมีรากฐานจากศาสนา แต่ท่านอิบนุร่อญับกล่าวว่า มันไม่ใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ แต่มันเป็นซุนนะฮ์ (ที่เรียกว่าเป็นบิดอะฮ์ตามหลักภาษาเท่านั้นเอง) ดังนั้น จุดยืนของท่าน อิบนุ รอญับ นั้น มีความแตกต่างในเรื่องการเรียกเท่านั้นเอง แต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การปฏิบัติที่เกิดขึ้นหลังจากสมัยนบี(ซ.ล.) โดยอยู่บนรากฐานของศาสนานั้น ทัศนะของเราเรียกว่า บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ แต่ท่านอิบนุ รอญับ เรียกว่าแท้จริงมันคือ ซุนนะฮ์ (ที่อยู่ในรูปแบบของบิดอะฮ์ในเชิงภาษาเท่านั้นเอง)

ท่าน  มุฟตีแห่งอียิปต์  ชัยค์ ด๊อกเตอร์ อะลีย์ ญุมอะฮ์  อธิบายว่า

บรรดาปวงปราชญ์ได้ให้คำนิยามคำว่า บิดอะฮ์ ตามหลักศาสนา(นิติศาสตร์อิสลาม)ไว้สองแนวทางด้วยกันคือ

หนทางที่ 1. คือแนวทางของท่าน อิซซุดดีน บิน อับดุสลาม โดยที่ท่านได้พิจารณาว่า แท้จริงสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยกระทำนั้น เป็นบิดอะฮ์ และท่านได้แบ่งบิดอะฮ์ออกเป็นหุกุ่มต่างๆ โดยกล่าวว่า "(บิดอะฮ์คือ)การกระทำที่ไม่เป็นที่รู้จักกันในสมัยของท่านร่อซุลเลาะฮ์(ซ.ล.)นั้น  คือมันแบ่งออกเป็น บิดอะฮ์วายิบ , บิดอะฮ์หะรอม , บิดอะฮ์สุนัต , บิดอะฮ์มักโระฮ์ , และบิดอะฮ์มุบาห์....." (ดู ก่อวาอิด อัลอะหฺกาม ฟี มะซอลิหฺ อัลอะนาม เล่ม 2 หน้า 204)

ท่านอิมาม อันนะวะวีย์ ได้สนับสนุนกับความหมายดังกล่าวว่า "ทุก ๆ การกระทำที่ไม่เคยมีในสมัยของท่านนบี(ซ.ล.) เรียกว่าบิดอะฮ์ แต่ส่วนหนึ่งเป็นบิดอะฮ์ที่ดี (หะสะนะฮ์) และส่วนหนึ่งเป็นบิดอะฮ์ที่ขัดแย้งกับดังกล่าว(คือบิดอะฮ์ที่น่าตำหนิ)" (ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 2 หน้า 394)

หนทางที่ 2. คือทำความเข้าใจความหมายของบิดอะฮ์ตามหลักศาสนา(ตามทัศนะหนทางแรกที่แบ่งประเภทบิดอะฮ์ที่เป็นบิดอะฮ์ วายิบ , บิดอะฮ์สุนัต , และบิดอะฮ์มาบาห์, และมักโระฮ์)นั้น ให้เจาะจงเฉพาะอยู่ใน(บิดอะฮ์ตาม)หลักภาษา (หมายถึงเป็นซุนนะฮ์ที่ดี) และ(ให้จำกัด)บิดอะฮ์ตามหลักศาสนาให้อยู่ในความหมายบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิเท่านั้น (คือบิดอะฮ์ฮะรอม ) กล่าวคือ(อุลามาอ์ที่อยู่ในหนทางนี้)จะไม่เรียก บิดอะฮ์วายิบ บิดอะฮ์สุนัติ บิดอะฮ์มุบาหฺ และบิดอะฮ์มักโระฮ์ (ตามแนวทางของท่านอิบนุอับดุสลาม) ว่า "เป็นบิดอะฮ์"

ส่วนผู้ที่มีแนวความคิดที่ว่า  คือ ท่าน อิบนุร่อญับ (ร.ห.)  ซึ่งได้อธิบายความหมายดังกล่าวว่า " จุดมุ่งหมายของบิดอะฮ์นั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ ที่เกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีรากฐานแห่งหลักศาสนาที่บ่งชี้ถึง   แต่สำหรับสิ่งที่มีรากฐานแห่ง่หลักการของหลักศาสนาที่บ่งถึงนั้น ก็ย่อมไม่ใช่บิดอะฮ์ แต่หากว่า มันเป็นบิดอะฮ์ก็ตามหลักภาษาเท่านั้น(ไม่ใช่เป็นบิดอะฮ์ตามหลักศาสนา)" (ดู ญาเมี๊ยะอฺ อัลอุลูม วะ อัลหิกัม หน้า 223 ) นั้น

ในความเป็นจริงแล้ว สองแนวทางนี้  ต่างมีความเห็นสอดคล้องกันตามแก่นแท้เนื้อหาในความเข้าใจคำว่า"บิดอะฮ์" (กล่าวคือสอดคล้องในด้าน การกระทำใด ๆ ก็ตาม ที่ไม่มีรากฐานดั้งเดิมตามหลักศาสนา ย่อมเป็นบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิตามทัศนะของอิบนุรอญับ และเป็นบิดอะฮ์หะรอมตามทัศนะของท่านอิซซุดดีนบินอับดุสลาม) แต่ต่างกันตรงที่ แนวทางการวินิจฉัยที่นำไปสู่ความเข้าใจที่ตรงกัน คือ   บิดอะฮ์อันถูกตำหนิ ที่เป็นการกระทำจะได้รับบาปนั้น  คือบิดอะฮ์ที่ไม่มีรากฐานในศาสนาที่บ่งบอกถึง   myGreat: ซึ่งมันก็คือ จุดมุ่งหมายของคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)ที่ว่า "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง" (ทั้งหมดนี้ ถ่ายทอดจาก หนังสือ อัลบะยาน หน้าที่ 204 - 205 ฟัตวาที่ 50)

เพราะฉะนั้น  บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือ ซุนนะฮ์ นั่นเอง ซึ่งท่าน อิบนุ อะษีร ได้กล่าวยืนยันไว้ว่า

"และในความเป็นจริงแล้วบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  ก็คือซุนนะฮ์นั่นเอง   และให้อธิบายตามนัยนี้   หะดิษที่ว่า "ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์"  โดยหมายถึง  สิ่งที่ขัดกับหลักพื้นฐานของศาสนา และสิ่งที่ขัดกับซุนนะฮ์ " ดู หนังสือ อันนิฮายะฮ์ เล่ม 1 หน้า 80 (ถ่ายทอดจากหนังสือ อัลบะยาน ลิมา ยัชฆ่อลุ อัลอัซฮาน หน้า 206 ฟัตวาที่ 50)

ดังนั้น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ตามทัศนะของท่าน อิบนุ ร่อญับ ก็คือบิดอะฮ์ตามหลักภาษาที่มีรากฐานที่มาจากหลักการของศาสนา เนื่องจากท่านอิบนุหาญิบได้จำกัดบิดอะฮ์ตามหลักศาสนาไว้เพียง บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิเท่านั้น คืออยู่ในรูปแบบสรุป(الإجمالى) และบิดอะฮ์ตามหลักภาษาที่มีรากฐานที่มาจากหลักการศาสนา คือ ซุนนะฮ์ ตามทัศนะของอิบนุรอญับนั่นเอง

แต่ตามทัศนะของอุลามาอ์ส่วนใหญ่ แบ่งบิดอะฮ์ออกเป็นสองประเภทตามที่ท่านอิมามอัช-ชาฟิอีย์ ได้กล่าวไว้ และบรรดาอุลามาอ์ก็เอา บิดอะฮ์สองประเภทของอิมามชาฟิอีย์นี้ มาวินิจฉัยโดยวางบนมาตรฐานของฮุกุ่ม 5 แล้วแบ่งออกเป็นแบบรายละเอียด (التفصيلى) เป็น 5 ประเภท ดังนั้น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ตามทัศนะของอุลามาอ์ส่วนใหญ่ คือบิดอะฮ์ที่ไม่ขัดกับอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ อิจมาอ์ และมีรากฐานจากหลักการของศาสนา ฉะนั้น หากบิดอะฮ์อยู่บนพื้นฐานของศาสนา หรืออยู่ภายใต้หลักการของศาสนาไม่ว่าจะมีรูปแบบหรือไม่มีรูปแบบ ก็ย่อมเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ตามหลักศาสนา ซึ่งหากมันอยู่บนพื้นฐานที่หะรอมตามหลักศาสนา ก็ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่หะรอม(หลงผิด) หากมันอยู่บนพื้นฐานที่วายิบ หรือสุนัตตามหลักศาสนา ก็ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ดี (แต่ท่านอิบนุร่อญิบบอกว่ามันเป็นซุนนะฮ์)

ดังนั้น ทั้งสองแนวทาง ถือว่า ดี ทั้งหมด โดยที่มีทัศนะตรงกันว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่โดยมีรากฐานจากหลักศาสนา ย่อมเป็นสิ่งที่กระทำได้ แม้การเรียกชื่อจะต่างกันก็ตาม"

แต่ทว่า การแบ่งบิดอะฮ์ของวะฮาบีย์ ไปเป็น (1) บิดอะฮ์ศาสนา และ (2) บิดอะฮ์ดุนยา นั้น  ยังหานักปราชญ์ทรงคุณธรรมรุ่นก่อน ๆ ไม่เจอสักเท่าไหร่  แม้นักปราชญ์ฮะดิษสักคนก็ไม่มีที่จะอธิบายว่า บิดอะฮ์แบ่งออกเป็นบิดอะฮ์ศาสนาและบิดอะฮ์ดุนยา  no:
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ผู้เขียนกล่าวว่า

อิหม่ามมาลิก  บุตร อะนัส กล่าวว่า
 

من ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة فقد زعم أن محمدا صلى الله عليه وسلم خان الرسالة، لأن الله يقول:
(اليَومَ أكْمَلْتُ لَكُم دِينَكُمْ)
فما لم يكن يومئذ دينا فلا يكون اليوم دينا 

          ผู้ใดอุตริบิดอะฮขึ้นมาในอิสลาม โดยเห็นว่ามันดี (เห็นว่าเป็นบิดอะฮหะสะนะฮ) แน่นอนเขาเข้าใจผิดว่า แท้จริงมุหัมหมัด
  ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิว่าซัลลัม นั้นไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นแห่งพระเจ้า เพราะว่าอัลลอฮทรงกล่าวว่า (วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกเจ้า
  สมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว)แล้วสิ่งใดในวันนั้นไม่เป็นศาสนา ดังนั้นในปัจจุบันนี้ก็ไม่เป็นศาสนา

  - โปรดดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1/49           

วิจารณ์

ข้อควรทราบเกี่ยวกบเรื่องบิดอะฮ์อีกประการหนึ่งคือ  หากนักปราชญ์สะลัฟที่เอ่ยตำหนิเรื่องบิดอะฮ์นั้น  คือพวกเขาจะกล่าวและพูดคำว่า "บิดอะฮ์" เฉย ๆ เพียงอย่างเดียว  โดยไม่มีอะไรมาจำกัดความต่อท้าย  ซึ่งหมายถึง  บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ  ดังนั้น  การกล่าวบิดอะฮ์เฉย ๆ คำเดียวแบบเดี่ยว ๆ  พวกเขาได้กล่าวแบบ แบบมุฏลัก ( مطلق ) โดยไม่มีข้อแม้หรือคำที่มาจำกัดคุณลักษณะของมาต่อท้าย เช่นกล่าวว่า  สิ่งนั้นบิดอะฮ์  สิ่งนี้บิดอะฮ์  สิ่งโน้นบิดอะฮ์  ย่อมหมายถึง บิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงหรือบิดอะฮ์ฮารอมที่ส่วนมากเขาใช้กัน  ซึ่งอยู่ในประเด็นเดียวกับคำกล่าวของอิมามมาลิกข้างต้นนี้
แต่หากว่าเป็นบิดอะฮ์ที่กล่าวแบบมุก๊อยยัด ( مقيد ) คือมีคำที่มาจำกัดต่อท้าย  ก็ย่อมไม่ใช่หมายถึงบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง   เช่น  บิดอะฮ์ที่ดี (ตามคำกล่าวของท่านอุมัร)  บิดอะฮ์วายิบ  บิดอะฮ์สุนัต  บิดอะฮ์มุบาห์  เป็นต้น 

ตัวอย่างจากคำกล่าวของสะลัฟ  เช่นคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด ที่ว่า

اتبعوا ولا تبتدعوا فقد كفيتم

"พวกท่านจงเจริญตาม  และพวกท่านอย่าอุตริบิดอะฮ์ขึ้นมา  เพราะพวกท่านเพียงพอแล้ว"  ดู  หนังสือ มัจญฺมะอ์ อัลซะวาอิด  เล่ม 1 หน้า 88

ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า

ما أتى على الناس عام إلا أحدثوا فيه بدعة، وأماتوا فيه سنة حتى تحي البدع وتموت السنن

" ปีหนึ่งจะไม่ผ่านผู้คนไป นอกจากพวกเขาจะอุตริบิดอะฮ์หนึ่งขึ้นมา  และพวกเขาก็ทำให้ตายกับซุนนะฮ์หนึ่ง  จนกระทั้งบรรดาบิดอะฮ์นั้นฟื้นขึ้นมาและบรรดาซุนนะฮ์ก็ได้ตายลงไป" ดู  หนังสือ มัจญฺมะอ์ อัลซะวาอิด  เล่ม 1 หน้า 88

อิหม่ามมาลิก บุตร อะนัสกล่าวว่า

من ابتدع في الإسلام بدعة يراها حسنة فقد زعم أن محمدا صلى الله عليه وسلم خان الرسالة، لأن الله يقول: (اليَومَ أكْمَلْتُ لَكُم دِينَكُمْ) فما لم يكن يومئذ دينا فلا يكون اليوم دينا

"ผู้ใดอุตริบิดอะฮหนึ่งขึ้นมาในอิสลาม โดยเห็นว่ามันดี   แน่นอนเขาย่อมอ้างว่า  แท้จริงมุหัมหมัด ศอลฯ นั้น ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นแห่งพระเจ้า เพราะว่าอัลลอฮทรงกล่าวว่า (วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว)  เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นศาสนาในวันนั้น  ในวันนี้มันก็ไม่เป็นศาสนาด้วย" โปรดดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 149 

จากที่ได้กล่าวมาแล้วสักครู่นี้  จะได้เห็นได้ว่า  คำกล่าวของซอฮาบะฮ์ที่เกี่ยวกับบิดอะฮ์นั้น  ก็คือบิดอะฮ์ที่อยู่ในความหมายแบบมุฏลัก (مطلق ) ที่อยู่ในความหมายประเภทบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงเท่านั้น และโปรดทำความเข้าใจให้ดี  ไม่เช่นนั้น  หลักการศาสนาจะขัดแย้งกันเอง  แต่ความเป็นจริงแล้วศาสนาอิสลามมีความสมบูรณ์  ไม่มีการขัดแย้งกันเอง  แต่ความเข้าใจของผู้ที่อวดรู้บางคนต่างหากที่ไม่เข้าใจหลักการ  จึงทำให้โลกมุสลิมวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้

และคำกล่าวของอิมามมาลิกก็เช่นเดียวกัน  เพราะบิดอะฮ์ที่อิมามมาลิกกล่าวถึงนั้น  คือบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง  บิดอะฮ์ที่ไม่มีรากฐานมาจากศาสนา  หากผู้ใดเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี  เขาย่อมเป็นผู้อ้างว่าท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นของอัลเลาะฮ์  และบรรดาอุลามาอ์มัซฮับมาลิกีย์ ก็ไม่ได้เข้าใจว่า  บิดอะฮ์  ที่อิมามมาลิกกล่าวไว้นั้น  หมายถึงบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  ที่มาจากบิดอะฮ์วายิบ  บิดอะฮ์สุนัต หรือบิดอะฮ์มุบาห์แต่อย่างใด  ดังนั้นท่านผู้อ่านพึงพิจารณาให้ดีไว้ใน ณ ที่นี้ด้วย

ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าว วิจารณ์คำกล่าวท่านอุมัร(ร.ฏ.) ที่ว่า نعمت البدعة هذه ดังนี้

البدعة: أصلها ما أحدث على غير مثال سابق، وتطلق في الشرع في مقابل السنّة فتكون مذمومة والتحقيق أنها إن كانت مما يندرج تحت مستحسن فى الشرع فهى حسنة وإن كانت مما يندرج تحت مستقبح فهى مستقبحة وإلا فهى من قسم المباح 

ความว่า " บิดอะฮ ที่มาของมันคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน และคำว่าบิดอะฮ์อย่างเดียว ( مطلق ) (คือพูดโดยใช้คำว่า"บิดอะฮ์" เฉย ๆ เพียงลำพังตัวเดียว)ในทางบทบัญญัติ  ได้ถูกนำมาใช้เรียกกับสิ่งที่ตรงข้ามกับซุนนะฮ์  จึงถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ  และจากการตรวจสอบพบว่า  บิดอะฮ์นั้น  หากมันเข้าไปอยู่ภายใต้สิ่งที่นับว่าดีตามหลักการของศาสนา มันก็คือ (บิดอะฮ์)หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี)   wink: และหากว่ามันเข้าไปอยู่ภายใต้หลักการที่ถือว่าน่ารังเกียจ  มันก็คือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ  และถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น(หมายถึงไม่เป็นทั้งบิดอะฮ์ทั้งสองประเภท) ก็ถือว่า มันเป็นบิดอะฮ์ ประเภทที่มุบาห์" ( ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 253)

والله تعالي أعلي وأعلم
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
بسم الله الرحمن الرحيم

การแบ่งแยกบิดอะฮ์เป็น 2 ประเภทตามทัศนะของนักฮะดิษ

บิดอะฮ์นั้นมี  2 ประเภท

1. บิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์ (บิดอะฮ์ลุ่มหลง)  ซึ่งเป็นบิดอะฮ์ตามนัยยะของศาสนา

2. บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (บิดอะฮ์ที่ดี)  ซึ่งเป็นบิดอะฮ์ตามนัยยะของหลักภาษา

คำนิยามของนักปราชญ์ฮะดิษ

ท่านอัลหาฟิซ อิมามอันนะวาวีย์  ให้คำนิยามว่า

وكل مالم يكن في زمنه صلى الله عليه وسلم يسمى بدعة ، لكن منها : ما يكون حسنا ، ومنها : ما يكون بخلاف ذلك

"ทุก ๆ สิ่งที่ไม่มีในสมัยท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เรียกว่า บิดอะฮ์  แต่ทว่า  จากหนึ่งจากบิดอะฮ์นั้น  เป็นสิ่งที่ดี  และส่วนหนึ่ง  ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี" ฟัตหุลบารีย์ ของท่านอิบนุหะญัร 2/393

ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุ รอญับ  ให้คำนิยามว่า

والمراد بالبدعة ما أحدث ممالا أصل له في الشريعة يدل عليه ،وأما ما كان له أصل من الشرع يدل عليه ،فليس ببدعة شرعا ،وان كان بدعة لغة

"จุดมุ่งหมายคำว่า บิดอะฮ์  นั้น  คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่  ที่มาจากสิ่งที่ไม่มีรากฐานในศาสนาที่บ่งชี้ถึงมัน  สำหรับสิ่ง(ที่เกิดขึ้นมาใหม่) ที่มีรากฐานจากศาสนาที่บ่งถึงมันนั้น  ไม่ใช่บิดอะฮ์เชิงศาสนา  แต่หากว่ามันเป็นบิดอะฮ์เชิงภาษา" ดู หนังสือ ญาเมี๊ยะอฺ อัลอุลูม วัลฮิกัม  ของท่านอิบนุรอญับ หน้า 223

ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าว วิจารณ์คำกล่าวท่านอุมัร(ร.ฏ.) ที่ว่า نعمت البدعة هذه ดังนี้

البدعة: أصلها ما أحدث على غير مثال سابق، وتطلق في الشرع في مقابل السنّة فتكون مذمومة والتحقيق أنها إن كانت مما يندرج تحت مستحسن فى الشرع فهى حسنة وإن كانت مما يندرج تحت مستقبح فهى مستقبحة وإلا فهى من قسم المباح

ความว่า " บิดอะฮ ที่มาของมันคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน และคำว่าบิดอะฮ์อย่างเดียว ( مطلق ) (คือพูดโดยใช้คำว่า"บิดอะฮ์" เฉย ๆ เพียงลำพังตัวเดียว)ในทางบทบัญญัติ  ได้ถูกนำมาใช้เรียกกับสิ่งที่ตรงข้ามกับซุนนะฮ์  จึงถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ  และจากการตรวจสอบพบว่า  บิดอะฮ์นั้น  หากมันเข้าไปอยู่ภายใต้สิ่งที่นับว่าดีตามหลักการของศาสนา มันก็คือ (บิดอะฮ์)หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี)และหากว่ามันเข้าไปอยู่ภายใต้หลักการที่ถือว่าน่ารังเกียจ  มันก็คือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ  และถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น(หมายถึงไม่เป็นทั้งบิดอะฮ์ทั้งสองประเภท) ก็ถือว่า มันเป็นบิดอะฮ์ ประเภทที่มุบาห์" ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 253

การวิเคราะห์เรื่องบิดอะฮ์ตามนัยยะของฮะดิษ

ฮะดิษที่นำมาพิจารณาในเรื่องบิดอะฮ์  ว่าจะแบ่งออกเป็นบิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์(ในเชิงศาสนา)  และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (ในเชิงภาษา) นั้น  ใช้ตัวบทต่าง ๆ ดังนี้

1.  ใช้ฮะดิษที่ว่า   
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

أما بعد: فإن خير الحديث كتاب الله وخير الهدى هدى محمد وشر الأمور محدثاتها وكل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

ความว่า" จากนั้น แท้จริงถ้อยความที่ดีที่สุด คือกิตาบุลเลาะฮ์ แต่ทางนำที่ดีที่สุด คือทางนำของมุหัมมัด แต่บรรดาการงานที่ชั่วที่สุด คือบรรดาสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ และทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์ และทุกๆ บิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง" ( รายงานโดยมุสลิม หะดิษที่ 867 อิมามอะหฺมัด รายงานไว้ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 310 ท่านอันนะซาอีย์ รายงานไว้ในสุนันของท่าน เล่ม 3 หน้า 188 และท่านอื่นๆ )

หลักจากนั้น  ใช้ฮะดิษ  ที่รายงานโดย ท่านติรมีซีย์  มาทอนความหมาย  ก็คือ

2.  ฮะดิษที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

من ابتدع بدعة ضلالة لا يرضاها الله ولا رسوله كان عليه مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزارهم شيئا

ความว่า" ผู้ใดที่อุตริทำบิดอะฮ์อันลุ่มหลง ที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ไม่พอใจ แน่นอน เขาย่อมได้รับบาปเหมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติมัน โดยที่บาปของพวกเขาดังกล่าวจะไม่ทำให้สิ่งใดลงน้อยลง จากบรรดาบาปของพวกเขา" อิมาม อัตติรมีซีย์ กล่าวว่า หะดิษนี้ หะซัน ( ดู อัล-อาริเฏาะฮ์ เล่ม 10 หน้า 148)

3.   ฮะดิษที่ว่า  وكل بدعة ضلالة "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่ม"   มิใช่หมายความว่าบิดอะฮ์ทั้งหมด  แต่หมายถึงส่วนมาก  เพราะตรงกับนัยยะของอัลกุรอานที่ว่า
คำตรัสของอัลเลาะฮ์ ที่ว่า
 ( تدمر كل شيء )
 " มันเป็นลมที่จะทำลายทุกๆสิ่ง(แต่ไม่ทั้งหมด)"

4.  หะดิษที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้ที่กล่าวว่า كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة "ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์ และทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

นักปราชญ์ฮะดิษได้ทอนความหมาย  ด้วยกับฮะดิษนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่ว่า
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่1017)

5. บรรดาซอฮาบะฮ์  ก็เข้าใจว่า  บิดอะฮ์ที่ดีนั้น  ก็มี  โดยคำกล่าวยืนยันของท่าน อุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ความว่า

ท่านอุมัรกล่าวไว้ว่า

نعمت البدعة هذه

"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ)นี้" (รายงานโดยบุคอรีย์)

ดังนั้นบิดอะฮ์ที่ดีนี้  ก็คือบิดอะฮ์หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) ซึ่งบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  ก็คือบิดอะฮ์ในเชิงภาษา หรือเราจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ซุนนะฮ์หะสะนะฮ์  ก็ไม่แปลกอะไร

ดังกล่าวนี้  คือหลักฐานอัลฮะดิษที่มาทอนความหมาย (หรือคัดง้าง) ที่นักปราชญ์ฮะดิษได้จากใจจากบรรดาตัวของของหลักฐาน  ไม่ใช่นักฮะดิษเข้าใจมาจากตัวเอง แต่เข้าใจมาจากหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้  ดังนั้นการกล่าวว่ามันเป็นเพียงแค่ทัศนะของนักปราชญ์ฮะดิษเอง  ถือว่าเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากพวกเขาได้เอาตัวบทฮะดิษบทอื่นมาอธิบาย
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
รายละเอียดและอธิบาย

มีบรรดาหะดิษที่กล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์ ซึ่งบางหะดิษกล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์โดยให้ความหมายที่ครอบคลุม( อุมูม ) แต่บางหะดิษกล่าวถึงเรื่องบิดอะฮ์โดยมีความหมายที่เจาะจงถ้อยความ( ตัคซีซ )

ดังนั้น ส่วนหนึ่งจากหะดิษที่ให้ความหมายในเรื่องบิดอะฮ์โดยความหมายที่ครอบคลุม คือ หะดิษของท่าน ญาบิร บิน อับดุลเลาะฮ์ เขากล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

أما بعد: فإن خير الحديث كتاب الله وخير الهدى هدى محمد وشر الأمور محدثاتها وكل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

ความว่า" จากนั้น แท้จริงถ้อยความที่ดีที่สุด คือกิตาบุลเลาะฮ์ แต่ทางนำที่ดีที่สุด คือทางนำของมุหัมมัด แต่บรรดาการงานที่ชั่วที่สุด คือบรรดาสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่ และทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์ และทุกๆ บิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง" ( รายงานโดยมุสลิม หะดิษที่ 867 อิมามอะหฺมัด รายงานไว้ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 310 ท่านอันนะซาอีย์ รายงานไว้ในสุนันของท่าน เล่ม 3 หน้า 188 และท่านอื่นๆ )

คำว่า"บิดอะฮ์" ในหะดิษนี้ ครอบคลุมถึง บิดอะฮ์เดียว หรือหลายๆ บิดอะฮ์ และครอบคลุมถึงบิดอะฮ์หะสะนะฮ์(ที่ดี) และบิดอะฮ์ซัยยิอะฮ์(น่ารังเกียจ)
มีหะดิษอีกส่วนหนึ่งที่รายงานด้วยถ้อยคำที่เจาะจงและทอนความหมายของคำ"บิดอะฮ์" คือคำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

من ابتدع بدعة ضلالة لا يرضاها الله ولا رسوله كان عليه مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزارهم شيئا

ความว่า" ผู้ใดที่อุตริทำบิดอะฮ์อันลุ่มหลง ที่อัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์ไม่พอใจ แน่นอน เขาย่อมได้รับบาปเหมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติมัน โดยที่บาปของพวกเขาดังกล่าวจะไม่ทำให้สิ่งใดลงน้อยลง จากบรรดาบาปของพวกเขา" อิมาม อัตติรมีซีย์ กล่าวว่า หะดิษนี้ หะซัน ( ดู อัล-อาริเฏาะฮ์ เล่ม 10 หน้า 148)

ในหะดิษนี้ ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้เจาะจงและทอนความหมายของคำว่า "บิดอะฮ์ที่หะรอม" นั้น คือบิดอะฮ์อันน่ารังเกียจที่ไม่สอดคล้องกับหลักชาริอะฮ์
ฉะนั้น ตามหลักอุซูล ( อัลกออิดะฮ์ อัลอุซูลียะฮ์) คือ เมื่อมีตัวบทที่รายงานมาจากหลักการของชาเราะอฺ โดยมีถ้อยคำที่ครอบคลุม ( อาม ) และถ้วยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ ) ก็ให้นำเอาถ้อยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ )มาอยู่ก่อนในการนำมาพิจารณา เนื่องจากในการนำถ้อยคำที่เจาะจง ( ค๊อซ ) มาอยู่ก่อนนั้น ทำให้สามารถปฏิบัติได้ทั้ง 2 ตัวบทไปพร้อมๆ กัน ซึ่งแตกต่างกับการที่ เอาถ้อยคำที่ครอบคลุม ( อาม ) มาอยู่ก่อน เนื่องจากจะทำให้ยกเลิกหรือละทิ้งกับตัวบทที่ให้ความหมายเจาะจงไป ( ดู ชัรหฺ อัลเกากับ อัลมุนีร เล่ม 3 หน้า 382)
ฉะนั้น จุงมุ่งหมายของคำกล่าวท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

( كل بدعة ضلالة )

"ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

หมายถึง บิดอะฮ์อันน่ารังเกียจ คือ สิ่งที่อุตริขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่มีหลักฐานจากชาเราะอฺ ไม่ว่าจะด้วยหนทางที่ครอบคลุมหรือเจาะจง

และหลักการนี้ ก็อยู่ในนัยยะเดียวกับคำกล่าวของท่านร่อซูลุเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า

كل عين زانية

" ทุกๆสายตานั้น ทำซินา" ( นำเสนอรายงานโดย อิมามอะหฺมัด ในมุสนัด เล่ม 3 หน้า 394 - 413 อบูดาวูด ได้รายงานไว้ใน สุนันของท่าน หะดิษที่ 4173 อัตติรมิซีย์ หะดิษที่ 2786 ท่านอันนะซาอีย์ เล่ม 8 หน้า 135 และท่านอัตติรมิซีย์กล่าว หะดิษนี้ หะซันซอเฮี๊ยะหฺ

ดังนั้น ถ้อยคำของหะดิษนี้ไม่ใช่หมายถึงทุกๆสายตานั้นทำซินา แต่ทุกๆสายตาที่มองสตรีโดยมีอารมณ์ใคร่ต่างหาก คือสายตาที่อยู่ในความหมายของซินา (ดู หนังสือ อัตตัยซีร บิชัรหฺ อัลญาเมี๊ยะอฺ อัศซ่อฆีร ของท่าน อัลมะนาวีย์ เล่ม 2 หน้า 216)

ท่านอัล-หาฟิซฺ อิมาม อันนะวะวีย์ (ร.ฏ.) กล่าวว่า " คำกล่าวของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า ( كل بدعة ضلالة ) " ทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง" นั้น คืออยู่ในความหมายของ คำคลุมที่ถูกเจาะจง (คือถ้อยคำที่มีความหมายที่ครอบคลุมแต่ถูกเจาะจงหรือทอนความหมายด้วยหะดิษอื่น) จุดประสงค์ของท่านนบี(ซ.ล.) ก็คือ บิดอะฮ์ส่วนมากนั้นลุ่มหลง ในลักษณะจุดมุ่งหมายจากคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.)ก็คือ ส่วนมากของบิดอะฮ์(นั้นลุ่มหลง)

บรรดาอุลามาอ์กล่าวว่า บิดอะฮ์ มี 5 ประเภท คือ บิดอะฮ์วายิบ สุนัต หะรอม มักโระฮ์ และมุบาห์ ดังนั้น ส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ์ที่วายิบ อาธิเช่น การประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับหลักฐานต่าง ๆ ของอุลามาอ์กะลาม เพื่อทำการโต้ตอบ พวกนอกศาสนา พวกบิดอะฮ์ และอื่น ๆ และสำหรับบิดอะฮ์สุนัต คือ การประพันธ์หนังสือในเชิงวิชาการ การสร้างสถานที่ศึกษา สร้างสถานที่พักพึง และอื่น ๆ จากที่กล่าวมา และส่วนหนึ่งจากบิดอะฮ์มุบาห์ คือ การมีความหลากหลายในประเภทต่าง ๆ ของการทำอาหาร และอื่น ๆ และบิดอะฮ์หะรอมและมักโระฮ์นั้น ทั้งสองย่อมมีความชัดเจนแล้ว และฉัน(คืออิมามอันนะวะวีย์)ได้อธิบายประเด็นนี้ ด้วยบรรดาหลักฐานที่ถูกแจกแจงไว้แล้วในหนังสือ ตะฮ์ซีบ อัลอัสมาอ์ วัลลุฆ๊อต ดังนั้น เมื่อสิ่งที่ฉันได้กล่าวไปแล้วนั้น เป็นที่ทราบดีแล้ว ก็จะสามารถรู้ได้ว่า แท้จริง หะดิษ(นี้) มาจากความหมายของคำคลุมที่ถูกเจาะจง และเช่นเดียวกันกับบรรดาหะดิษต่างๆที่มีหลักการเหมือนกับหะดิษนี้ และได้ทำการสนับสนุนกับสิ่งที่เราได้กล่าวมาแล้ว โดยคำกล่าวของท่านอุมัร(ร.ฏ.) เกี่ยวกับละหมาดตะรอวิหฺ ที่ว่า

نعمت البدعة هذه

"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ) อันนี้"

และการที่หะดิษมีความหมายที่ครอบคลุมที่ต้องถูกเจาะจง (คือถ้อยคำที่มีความหมายที่ครอบคลุมแต่ถูกเจาะจงหรือทอนความหมาย)นั้น ก็จะไม่ไปห้ามกับคำกล่าวของร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ที่ว่า ( كل بدعة ) "ทุกบิดอะฮ์" โดยตอกย้ำด้วยคำว่า ( كل ) "ทุกๆ" แต่จะต้องทำการเจาะจงหรือทอนความหมายของคำว่า ( كل ) "ทุกๆ" นี้ด้วย กล่าวคือ ( ความหมายที่ครอบคลุมนี้คือ "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง" โดยทำการเจาะจงหรือทอนความหมายด้วยหะดิษอื่น จึงได้ความว่า มีบิดอะฮ์อื่นที่ไม่ได้อยู่ในความหมายของบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง ซึ่งเหมือนกับคำตรัสของอัลเลาะฮ์ ที่ว่า ( تدمر كل شيء ) " มันเป็นลมที่จะทำลายทุกๆสิ่ง" (นอกบ้านเรือนของพวกเขาเป็นต้น) (ดู ชัรหฺ ซ่อเฮี๊ยะหฺ มุสลิม ของอิมาม อันนะวะวีย์ เล่ม 3 หน้า 423)

ได้รายงานจาก ท่านหญิง อาอิชะฮ์ (ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)

من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد

หมายความว่า "ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงาน(ศาสนา)ของเรานี้ กับสิ่งที่ไม่มีมาจากมัน(คือจากการงานของเรา)แล้ว สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ" (รายงานโดย บุคอรีย์ หะดิษที่ 2698 และมุสลิม หะดิษที่ 1718)

ในสายรายงานหนึ่งของ มุสลิม กล่าวว่า

من عمل عملا ليس عليه أمرنا فهو رد

ความว่า "ผู้ใดที่ปฏิบัติ งานหนึ่งงานใดขึ้นมา ที่การงาน(ศาสนา)ของเรา ไม่ได้ครอบคลุมถึงมัน สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ" (รายงานโดยมุสลิม หะดิษที่ 1718)

ดังนั้น ท่านนบี(ซ.ล.) ไม่ได้กล่าวว่า

من أحدث فى أمرنا هذا فهو رد

"ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงาน(ศาสนา)ของเรานี้ มันย่อมถูกปฏิเสธ"

และท่านนบี(ซ.ล.)ก็ไม่ได้กล่าวว่า

من عمل عملا فهو رد

"ผู้ใดที่ปฏิบัติ การกระทำอันใดอันหนึ่งขึ้นมา มันย่อมถูกปฏิเสธ"

หะดิษดังกล่าวนี้ จะต้องนำเอาหะดิษที่มีข้อแม้หรือจำกัดความหมายมาทอนความหมายแบบกว้าง ๆ ของหะดิษนี้ ( มุฏลัก) เพราะ บรรดาอุลามาอ์ผู้เคร่งครัดในกลุ่มนักปราชญ์แห่งมูลฐานนิติบัญญัติอิสลามได้ กล่าวว่า "หากปรากฏว่ามีหะดิษที่อยู่ในความหมายแบบกว้าง ๆ ( มุฏลัก) และในตัวบทหะดิษเดียวกันนี้ ก็มีความหมายที่บ่งถึงการจัดกัดความ( ( มุก๊อยยัด ) ก็จำเป็นจะต้องตีความกับความหมายแบบกว้าง ๆ นี้ ให้อยู่บนความหมายแบบจำกัดความ ( حمل المطلق على المقيد ) โดยที่ไม่อนุญาติให้ปฏิบัติตามหะดิษที่มีความหมายแบบกว้าง ๆ นี้

เมื่อเป็นอย่างเช่นที่กล่าวมานี้ เราจึงเข้าใจจากหะดิษที่กล่าวมาว่า

من أحدث فى أمرنا هذا ما هو منه فهو مقبول

"ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงานของเรานี้ สิ่งที่มีมาจากการงานของเรา สิ่งนั้นย่อมถูกตอบรับ"

من عمل عملا عليه أمرنا فهو مقبول

"ผู้ที่ปฏิบัติ กับการปฏิบัติหนึ่ง โดยที่การงานของเรา(มีรากฐาน)อยู่บนมัน การปฏิบัตินั้นย่อมถูกตอบรับ"

เมื่อเป็นเช่นอย่างเช่นดังกล่าว หะดิษนี้จึงมีความเข้าใจได้ดังต่อไปนี้

1. อนุญาติให้กระทำบิดอะฮ์ที่ดีและได้รับการสรรเสริญ เมื่อมันดำรงอยู่บนรากฐานของหลักศาสนา(ชาเราะอฺ)ที่ชัดเจน หรือแบบสรุป หรือในแบบของการวินิจฉัย ดังนั้น บิดอะฮ์ในลักษณะนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องศาสนา

2. หะดิษนี้ มีความหมายครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องศาสนาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอิบาดะฮ์ หรือการมุอามะลาต(เช่นธุระกิจการค้าขายเป็นต้น)

3. หะดิษนี้ ชี้ถึงอนุญาติให้กระขึ้นมาใหม่จากเรื่องต่างๆของศาสนาที่ไม่มีอยู่ในสมัยของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ดังนั้น จึงไม่ถูกวางเงื่อนไขว่า บรรดาการกระทำตามหลักศาสนานั้น คือต้องเป็นสิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)เคยทำมาแล้ว เช่นเดียวกัน กับการที่ท่านนบีได้ทิ้งการปฏิบัติบางส่วนนั้น ก็ย่อมไม่ชี้ถึงการ ห้ามกระทำมัน หลังจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) เสียชีวิตไปแล้ว

ประเด็นการคัดค้านของ ท่าน อัช-ชาฏิบีย์

ท่านอิมาม อัช-ชาฏิบีย์ (ร.ห.) มีความเห็นว่า ความเข้าใจต่างๆ ที่มาทอนความหมายในบรรดาหะดิษที่กล่าวมาแล้วนั้น ไร้ประโยชน์ เนื่องจากการยึดเอาสิ่งดังกล่าวนั้น ย่อมทำให้เกิดอันตรายตามหลักการของศาสนา คือ

1. ผลสืบเนื่องดังกล่าวก็คือ ทำให้ศาสนายังไม่สมบูรณ์ ทั้งที่อัลเลาะฮ์ทรงตรัสไว้ว่า

اليوم أكملت لكم دينكم

" วันนี้ เราได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์ สำหรับพวกเจ้าแล้ว"

ตอบ แท้จริง ความหมายของอายะฮ์ "ฉันได้ทำให้สมบูรณ์สำหรับพวกเจ้า" นี้ คือความสมบูรณ์ของบรรดาอุดมการณ์หลักๆ ( อัลมะบาดิ) หรือบรรดาสิ่งที่เป็นหลักการสำคัญๆ ( อัลเกาะวาอิด ) และส่วนหนึ่งของบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็ผนวกอยู่ในอุดมการณ์ของอิสลามด้วย ดังนั้น ผู้ที่กระทำบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้น ไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมในเรื่องศาสนา หรือคิดว่าหลักศาสนานั้นบกพร่อง หรือเขาได้กระทำตามอารมณ์ หรือเขาได้บัญญัติเรื่องศาสนาขึ้นมาเองก็หาไม่ แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันกลับเป็นการปฏิบัติตามหลักการของศาสนา ( อัลกออิดะฮ์ ) ที่ได้นำออกมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ โดยที่มิใช่เป็นการเลียนแบบบทบัญญัติแต่ประการใด และไม่ได้มีเจตนาที่จะดันทุรังหลักการของอัลเลาะฮ์ และฝ่าฝืนท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.)

2. ท่าน อิมาม อัช-ชาฏิบีย์กล่าวว่า ความเข้าใจดังกล่าวนี้ ทำให้ออกจากเส้นตรง เพราะมีรายงานจากอับดุลเลาะฮ์ เขากล่าวว่า " วันหนึ่ง ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้ขีดเส้นยาวให้พวกเราดู แล้วท่านกล่าวว่า (นี้คือทางของอัลเลาะฮ์) และท่านนบีก็ขีดอีกหลายเส้น ทั้งทางขวาและทางซ้าย และกล่าวว่า นี้คือ แนวทางต่างๆ โดยที่ทุกๆ ทางจากมันนั้น จะมีชัยฏอนเรียกร้องไปสู่มัน หลังจากนั้น ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) จึงอ่านอายะฮ์ที่ว่า

وأن هذا صراطى مستقيما فاتبعوه ولا تتبعوا السبل فتفرق بكم عن سبيله

ความว่า "แท้จริง นี้เป็นแนวทางที่เที่ยงตรงของข้า ดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจงตามทางนี้เถิด และเจ้าทั้งหลายอย่าตามทางอื่นๆอันมากมาย แล้วพวกเจ้าก็จะแยกออกไปจากแนวทางของพระองค์ " (อัลอันอาม 153)

ตอบ เส้นที่ยาวซึ่งหมายถึงเส้นทางของอัลเลาะฮ์นั้น ย่อมผนวกบรรดากฏเกนฑ์ที่ถูกวินิจฉัยว่า อนุญาติในเรื่องการมีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ดังนั้น การปฏิบัติด้วยบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็คือการปฏิบัติด้วยสิ่งที่อยู่ในเส้นขีดที่เที่ยงตรงดังกล่าว

และบรรดาคำพูดต่างๆของบรรดานักอถาธิบายจากสะลัฟเกี่ยวกับบิดอะฮ์นั้น ถูกตีความว่า มันหมายถึง บิดอะฮ์ที่น่าตำหนิและบิดอะฮ์ในด้านเอี๊ยะติก๊อต ดังที่ ท่านอัช-ชาฏิบีย์ได้กล่าวรายงานไว้ว่า " ท่านอิบนุบัฏฏอนได้เล่ารายงานไว้ในชัรหฺซ่อเฮี๊ยะหฺอัล-บุคคอรีย์ จากอบูหะนีฟะฮ์ ซึ่งกล่าวว่า "ฉันได้พบกับ อะฏออฺ บิน อบีร่อบาหฺ ที่มักกะฮ์" ฉันจึงถามเขาถึงเรื่องหนึ่ง แล้วท่านอะฏออฺกล่าวว่า "ท่านมาจากใหน ?" ฉันตอบว่า "มาจากกูฟะฮ์" ท่านอะฏอกล่าวว่า "ท่านมาจากชาวบ้านที่ทำให้แตกแยกกับศาสนาของพวกเขา แล้วพวกเขาแยกเป็นพวกเป็นกลุ่ม ? " ฉันตอบว่า "ใช่" ท่านอะฏออฺถาม "ท่านมาจากจำพวกใหนละ? " ฉันตอบว่า "มาจากผู้ที่ไม่ด่าทอสะลัฟ ฉันศรัทธาต่อก่อดัร(การกำหนดสภาวะของอัลเลาะฮ์) และไม่กล่าวหาผู้ใดเป็นกาเฟร เนื่องจากการทำบาปของเขา" ดังนั้น ท่านอะฏออฺกล่าวว่า "เมื่อท่านทราบดีแล้ว ท่านก็จงยึดมั่นมันไว้เถิด"

ท่านอิบนุหะญัร อัล-อัศเกาะลานีย์ ได้อธิบายหะดิษดังกล่าวว่า

هذا الحديث معدود من أصول الإسلام وقاعدة من قواعده فإن معناه : من إخترع فى الدين ما لا يشهده أصل من أصوله فلا يلتفت إليه . إنتهى

" หะดิษนี้ นับว่าเป็น รากฐานของอิสลามและเป็นหลักการหนึ่งจากบรรดาหลักการต่างๆของอิสลาม เพราะแท้จริงความหมายของมันก็คือ ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาในศาสนา กับสิ่งที่ไม่มีรากฐานใดรากฐานหนึ่งจากบรรดารากฐานของศาสนามาสนับสนุน ดังนั้น อย่าไปเหลียวแลกับมัน" ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 5 หน้า 302 - 303

คำกล่าวของท่าน อิบนุหะญัร (ร.ฮ.) ที่ว่า "สิ่งที่ไม่มีรากฐานใดรากฐานหนึ่งจากบรรดารากฐานของศาสนามาสนับสนุน" ย่อมชี้ชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ในศาสนานั้น ก็มีสิ่งที่มีหลักการและรากฐานของศาสนามาสนับสนุนรับรอง และนั่นก็คือสิ่งที่หะดิษได้บ่งชี้หลักการดังกล่าวไว้นั่นเอง
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

" ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งบกพร่องลงเลย จากผลบุญของพวกเขา และผู้ใด ทีได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอน บาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลย จากบรรดาบาปของพวกเขา" (รายงานโดย ท่านอิมาม มุสลิม ไว้ในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน หะดิษที่1017)

ท่านอัสซินดีย์ ได้กล่าวอธิบาย หะดิษดังกล่าวที่รายงานโดยท่าน อิบนุมาญะฮ์ ในหะดิษที่304 ว่า

قوله : ( سنة حسنة) أى طريقة مرضية يقتدى بها ، والتمييز بين الحسنة والسيئة بموافقة أصول الشرع وعدمها

" คำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ว่า( سنة حسنة) (ซุนนะฮ์หะสะนะฮ์) หมายถึง หนทางอันพึงพอใจ ที่ถูกเจริญตาม และการแยกแยะระว่าง หนทางที่หะสะนะฮ์(ดี) และหนทางที่ซัยยิอะฮ์(เลว) นั้น ด้วยการที่มันสอดคล้องกับรากฐานต่าง ๆ ของศาสนาหรือไม่สอดคล้อง"

หรือเราจะเข้าใจอีกนัยหนึ่งว่า

คำว่าمن سن سنة حسنة หมายถึง"ผู้ใด ที่ประดิษฐ์หรือริเริ่มกระทำ แนวทางหนึ่งที่ดีขึ้นมา หรือการงานที่ดีหนึ่งขึ้นมา ในศาสนา โดยสอดคล้องกับหลักการศาสนา"
และคำว่าومن سن سنة سيئة หมายถึง"ผู้ใด ที่ประดิษฐ์ หรือกระทำ แนวทางหนึ่งที่ชั่วหรือเลว หรือการงานที่เลวหนึ่งขึ้นมา ในศาสนา โดยขัดกับหลักการศาสนา"
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้แหละ ท่านนบี(ซ.ล.) จึงได้กล่าวถึง สิ่งที่บรรดาซอฮะบะฮ์ได้กระทำขึ้นมาใหม่ นั้น ว่าเป็น"ซุนนะฮ์" ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า

فعليكم بسنثى وسنة الخلفاء الراشدين

" พวกท่านจงดำรงไว้ ด้วยซุนนะฮ์ของฉัน และแนวทางของบรรดาค่อลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรม"

ดังนั้น สิ่งที่บรรดาซอฮาบะฮ์กระทำขึ้นมาใหม่ ก็คือการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ในศาสนานั่นเอง แต่ สิ่งที่กระทำขึ้นมาใหม่นั้น หากมันสอดคล้องกับหลักการของอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และหลักการของศาสนา ก็ย่อมถึอว่าเป็นสิ่งที่ดี และท่านนบี(ซ.ล.) ก็เรียกมันว่า"ซุนนะฮ์" และคำว่าซุนนะฮ์ของบรรดาซอฮาบะฮ์นี้ บางครั้งก็เรียกว่า"บิดอะฮ์ที่ดี" ดังที่ท่านอุมัรกล่าวไว้ว่า

نعمت البدعة هذه

"เป็นบิดอะฮ์ที่ดี คือ(ตะรอวิหฺ)นี้"

ดังนั้น ซุนนะฮ์ของบรรดาซอฮาบะฮ์นั้น ก็คือ ซุนนะฮ์ในเชิงเปรียบเทียบ( سنة قياسية ) คือเปรียบเทียบกับ ซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) คือเมื่อบรรดาซอฮาบะฮ์ ได้วางแนวทางเอาไว้ โดยสอดคล้องกับซุนนะฮ์หรือหลักการศาสนา ก็ถือว่า เป็นซุนนะฮ์ที่เปรียบเทียบเหมือนกับซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) นั่นเอง และบรรดาอุลามาอ์หลังจากบรรดาซอฮาบะฮ์ ก็ได้เดินตามแนวทางดังกล่าวเช่นเดียวกับซอฮาบะฮ์ โดยยึดคำกล่าวของท่านนบี(ซ.ล.)ที่ว่า

من سن فى الإسلام سنة حسنة ...

"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..."

ดังนั้น คำว่า"من" นี้ ให้ความหมายที่ (อุมูม) ครอบคลุม โดยไม่จำกัด"การกระทำขึ้นในอิสลาม กับหนทางที่ดี" อยู่กับอุลามาอ์ยุคสะลัฟเพียงอย่างเดียว ซึ่งดังกล่าวย่อมเป็นการแช่แข็งตัวบทอย่างชัดเจน โดยที่ตัวบทหะดิษที่ชัดเจนนี้นั้น ก็มีความหมายปฏิเสธสิ่งดังกล่าว และมันเป็นการวางจำกัดข้อแม้กับตัวบทโดยปราศจากหลักฐาน เนื่องจากการกระทำแนวทางที่ดีนั้น หากมันอยู่ในหลักการหรือภายใต้หลักศาสนาแล้ว ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย แต่ต้องอยู่ในกรอบของหลักการศาสนา และอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ศาสนาได้วางเอาไว้ ไม่ใช่จะทำกันง่าย ๆ ตามใจชอบ ดังนั้น บิดอะฮ์หะสะนะฮ์จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย
ดังนั้น คำว่า ซุนนะฮ์ ในหะดิษนี้ ไม่ใช่ความหมายในเชิงศาสนา ที่หมายถึง คำกล่าว การกระทำ การยอมรับ ที่ออกมาจากท่านนบี(ซ.ล.) แต่ คำว่า ซุนนะฮ์นี้ มันอยู่ในความหมายในเชิงภาษา หมายถึง"การริเริ่มทำหนทางที่ดี"

ในหะดิษนี้ อยู่ในความดีเรื่องของ"บริจาคทาน" ซึ่งการบริจาคทาน เป็นสิ่งที่มีรากฐานจากหลักการของศาสนา ดังนั้นการริเริ่มกระทำการ บริจาคทาน ก็คือการ ริเริ่มในการกระทำสิ่งที่มีรากฐานจากหลักการของศาสนา แต่เราจะเจาะจงหรือแช่แข็งหะดิษโดยจำกัดเพียงแค่เรื่องการริเริ่มกระทำความดีด้วยการบริจาคทานอย่างเดียวนั้นไม่ได้ เนื่องจากมีหลักการที่ตรงกันว่า

العبرة بعموم اللفظ لا بخصوص السبب

"การพิจารณานั้น ต้องพิจารณาที่ถ้อยคำที่ความหมายครอบคลุม ไม่ใช่เฉพาะที่สาเหตุ"

ดังนั้น การริเริ่มกระทำสิ่งใดก็ตาม ที่เป็นความดี และมีรากฐานจากหลักการของศาสนาและไม่ขัดกับหลักการของศาสนา แน่นอนว่า สิ่งนั้น ย่อมเป็นแนวทางที่ดี
เพราะฉนั้น คำว่าسَنَّ (ริเริ่มทำขึ้นมา) ไม่ได้มีความหมายว่า"ฟื้นฟู" เลยแม้แต่น้อย และไม่มีอุลามาอ์ท่านใด ตีความหมายว่า"เป็นการฟื้นฟู" นอกจากกลุ่มผู้คัดค้านการแบ่งประเภทบิดอะฮ์ในยุคปัจจุบัน (ที่กล่าวว่าผู้คัดค้านปัจจุบันนั้นก็เพราะว่าอุลามาอ์ที่คัดค้านเรื่องการแบ่งบิดอะฮ์ในอดีตไม่เคยอธิบายว่า"เป็นการฟื้นฟู) ที่พยายามตีความหมายเป็นอย่างอื่นเพื่อให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ

ท่านอิมาม อันนะวาวีย์ ได้ให้ความหมายคำว่าسَنَّ นั้น คือการริ่เริ่มทำขึ้นมาไหม่الإبتداء และการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่الإختراع อิมามอันนะวาวีย์กล่าวอธิบายว่า

من سن في الإسلام سنة حسنة فله أجرها وأجر من عمل بها بعده من غير أن ينقص من أجورهم شيء ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده من غير أن ينقص من أوزارهم شيء

فيه : الحث على الابتداء بالخيرات وسن السنن الحسنات ، والتحذير من إختراع الأباطيل والمستقبحات...

ในหะดิษนี้ ได้ส่งเสริมให้ทำการริเริ่มการกระทำบรรดาความดีงาม และกระทำแนวทางที่ดีขึ้นมา และเตือนให้ระวัง การประดิษฐ์บรรดาสิ่งที่เป็นโมฆะและสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งหลาย และสาเหตุที่นบี(ซ.ล.)กล่าวในหะดิษนี้ คือในช่วงแรกผู้รายงานกล่าวว่า" ได้มีชายคนหนึ่ง(ที่ยากจนได้มา แล้วบรรดาซอฮาบะฮ์ก็ช่วยกันบริจาค) ได้นำถุงกระสอบหนึ่งที่มือของเขายกเกือบไม่ไหว แล้วบรรดาผู้คนก็ติดตาม(บริจาคให้อีก)" ดังนั้น ความประเสริฐอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้ที่ริเริ่ม ด้วยการทำความดีนี้ และสำหรับผู้ที่เปิดประตูของการกระทำความดีงามนี้ และในหะดิษนี้ ได้มา(ตักซีซ) ทอนความหมายของหะดิษที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้ที่กล่าวว่า

كل محدثة بدعة وكل بدعة ضلالة

"ทุกสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาใหม่นั้น เป็นบิดอะฮ์ และทุกบิดอะฮ์นั้น ลุ่มหลง"

โดยที่จุดมุ่งหมายของหะดิษนี้ หมายถึง บรรดาสิ่งที่อุตริทำขึ้นมาใหม่ที่เป็นโมฆะและบรรดาบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิเท่านั้น(สำหรับบิดะฮ์ที่ดีนั้นไม่ถูกตำหนิ)..." (ดู ชัรหฺ ซอฮิหฺมุสลิม ของท่านอิมาม อันนะวาวีย์ เล่ม4 หน้า113 ตีพิมพ์ ดารุลหะดิษ ตีพิมพ์ครั้งแรก ปี ฮ.ศ. 1415- ค.ศ. 1994)

เป้าหมายของหะดิษนั้น คือเป้าหมายตามทัศนะของเรา ที่เอามาจากการอธิบายของ อุลามาอ์ของโลกอิสลาม ดังนั้น อุลามาอ์หะดิษแห่งโลกอิสลามให้ความหมายคำว่าسَنَّ นั้น หมายถึงأبتدأ (ริเริ่มกระทำขึ้นมา) ไม่ใช่ให้ความหมายบิดเบือน ว่าأحيا (ฟื้นฟู) ตามที่ผู้คัดค้านในปัจจุบันนี้ได้ให้ความหมายกัน เพื่อหลีกหนี การตีฟซีร หะดิษ"ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลง" และไม่มีอุลามาอ์ท่านใด ตั้งแต่1400 กว่า ปี ที่ให้ความหมายคำว่าسَنَّ นั้น หมายถึงأحيا (ฟื้นฟู)

ดังนั้น การอธิบายคำว่าسَنَّ นั้น หมายถึงأبتدأ (ริเริ่มกระทำขึ้นมา) นั้น

1. เพราะมันเป็นเจตนารมณ์ของท่านนบี(ซ.ล.) ที่อุลามาอ์หะดิษแห่งโลกอิสลามตั้งแต่1400 กว่าปี ได้เข้าใจกัน

2. การให้ความหมายว่า"ริเริ่มกระทำขึ้นมา" นั้น เป็นการอธิบายที่ตรงกับหลักภาษาอาหรับ ของคำว่าسَنَّ

3. การให้ความหมายคำว่าسَنَّ หมายถึง"การริเริ่มกระทำขึ้นมา" นั้น ย่อมเป็นการอธิบายتفسير หะดิษตามอุลามาอ์หะดิษผู้ปกป้องซุนนะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.) แต่ไม่มีอุลามาอ์หะดิษแห่งโลกอิสลาม อธิบายتفسير คำว่าسَنَّ ให้อยู่ในความหมายأحيا (ฟื้นฟู)

4. การให้ความหมายคำว่าسَنَّ หมายถึง"การริเริ่มกระทำขึ้นมา" นั้น ไม่ใช่เป็นการตีความتأويل เนื่องจากการตีความนั้น หมายถึง การผันความหมายคำเดิมให้อยู่ในความหมายอื่นที่สอดคล้องกับที่เจ้าของภาษาอาหรับเขาใช้กัน แต่การกล่าวว่าسَنَّ หมายถึงأحيا (ฟื้นฟู) นั้น ไม่ใช่เป็นการตีความ เนื่องจากเจ้าของภาษาอาหรับ เขาไม่เคยใช้คำว่าسَنَّ หมายถึงأحيا (ฟื้นฟู)

5. เมื่อคำว่าسَنَّ ไม่ได้ถูกอธิบายให้อยู๋ในความหมายว่าأحيا (ฟื้นฟู) ตามทัศนะของอุลามาอ์หะดิษแห่งโลกอิสลาม และไม่ใช่เป็นการตีความแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า การให้ความหมายคำว่าسَنَّ หมายถึงأحيا (ฟื้นฟู) นั้น คือการتحربف บิดเบือน ความหมายของหะดิษ บิดเบือนหลักภาษาอาหรับ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนตั้งแต่1400 ร้อยกว่าปี


จริงอยู่ว่า หะดิษนี้ ได้กล่าวถึงเรื่อง การศอดะเกาะฮ์ แต่การที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวหะดิษนี้นั้น ไม่ใช่เพราะเรื่องศอดะเกาะฮ์เป็นการเจาะจง แต่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าว เนื่องจากมีชายคนหนึ่งได้ทำการริเริ่มในการทำความดีขึ้นมา(ด้วยการศอดะเกาะฮ์) ดังที่มีหะดิษสายรายงานอื่น รายงานยืนยันไว้ว่า

وعن حذيفة قال سأل رجل على عهد رسول الله عليه وسلم فأمسك القوم ثم أن رجلا أعطاه فأعطاه القوم فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم من سن خيرا فأستن به كان له أجره ومن أجور من تبعه غير منتقص من أجورهم شيئا ومن سن شرا فاستن به كان عليه وزره ومن أوزارمن تبعه غير منتقص من أوزارهم شيئا . رواه أحمد والبزار والطبرانى فى الأوسط ورجاله رجال الصحيح إلا أبا عبيدة بن حذيفة وقد وثقه إبن حبان

"รายงานจาก หุซัยฟะฮ์ เขากล่าวว่า มีชายคนหนึ่งในสมัยท่านนบีได้ขอ(ซอดะเกาะฮ์) และกลุ่มผู้คนเหล่านั้น ไม่ยอมทำการบริจาค หลังจากนั้น มีชายผู้หนึ่ง ได้ทำการให้(บริจาค)กับเขา(ชายผู้มาขอซะดาเกาะฮ์) ดังนั้น บรรดากลุ่มผู้คนเหล่านั้น จึงทำการ(บริจาคทาน)ให้แก่เขา แล้วท่านร่อซูล(ซ.ล.) ก็กล่าวว่า"ผู้ใดที่ริเริ่มขึ้นมากับการทำความดี แล้วก็ถูกเจริญตามด้วยกับความดีนั้น ผลตอบแทนก็จะมีให้แก่เขา และจากบรรดาผลตอบแทนของผู้ที่ได้เจริญรอยตามเขา โดยการตอบแทนของพวกเขานั้น ไม่ได้ลดย่อนลงไปเลยสักสิ่งเดียว และผู้ใดที่ริเริ่มกระทำขึ้นมา กับความชั่ว แล้วความชั่วนั้นได้ถูกกระทำตาม ผลบาปก็จะตกอยู่บนเขา และจากบรรดาบาปของผู้ที่กระทำตามเขา โดยไม่บาปของพวกเขา ไม่ได้ลดย่อนลงเลยสักสิ่งเดียว" รายงานโดย อิมามอะหฺมัด ท่านอัลบัซฺซฺาร และท่านอัฏฏ๊อบรอนีย์ ได้รายงานไว้ใน มั๊วะญัม อัลเอาสัฏ และบรรดานักรายงานของท่านอัฏฏอบรอนีย์นั้น เป็นนักรายงานที่ซอเฮี๊ยะหฺ นอกจาก อบู อุบัยดะฮ์ บิน หุซัยฟะฮ์ ซึ่งท่านอิบนุหิบบาลนั้น ถือว่า เขาเชื่อถือได้(ดู มัจญฺมะอฺ อัลซะวาอิด ของท่าน อัลฮัยษะมีย์ เล่ม1 หน้า167 )


ดังนั้น คำว่าسَنَّ นั้น จึงอยู่ในความหมายที่ว่า"ริเริ่มกระทำขึ้นมา" ซึ่งหากอยู่บนแนวทางที่ดี ก็ย่อมอยู่บนทางนำ และหากอยู่บนแนวทางที่เลว ก็ย่อมลุ่มหลง

หากเราไปดูในหนังสือ ปทานุกรมอาหรับ เราจะไม่พบว่า คำว่าسَنَّ นั้น มีความหมายว่า"ฟื้นฟู" เลยแม้แต่น้อย แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับมีความหมายว่า เริ่มการกระทำ เช่นใน มั๊วะญัม อัลวะซีฏ ให้ความหมายว่า

من سن سنة حسنة : وكل من ابتداء أمرا عمل بها قوم من بعده فهو الذى سنه

"ผู้ใดที่ได้سن (วางหรือกำหนด)แนวทางที่ดี: หมายความว่า และทุก ๆ คนที่ได้ ริเริ่มขึ้นมา กับกิจการงานหนึ่ง ที่กลุ่มชนนั้น ได้ถือปฏิบัติตาม(ด้วยกับแนวทางที่ดี) หลักจากเขาเสียชีวิตแล้ว เขาก็คือผู้ที่ริเริ่มทำการงานนั้นขึ้นมา" (ดู มั๊วะญัม อัลวะซีฏ หมวดسن )

และการฟื้นฟูซุนนะฮ์นะนั้น ย่อมมีหลักฐานที่เป็นเอกเทศของมันอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องไปตีความหะดิษ"من سن في الإسلام سنة حسنة " แต่อย่างใด เช่น

ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ ได้รายงาน จาก ท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دعا إلى هدى كان له من الأجر مثل أجور من تبعه لا ينقص ذلك من أجورهم شيئا ، ومن دعا إلى ضلالة كان عليه من الإثم مثل آثام من تبعه لا ينقص ذلك من آثامهم شيئا

"ผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ทางนำ แน่นอน ย่อมมีผลตอบแทนแก่เขา เหมือนบรรดาการตอบแทนของผู้ที่เจริญตาม โดยดังกล่าวนั้น จะไม่บั่นทอนผลบุญของพวกเขาแม้แต่เพียงเล็กน้อย และผู้ใดที่เรียกร้องไปสู่ความหลงผิด แน่นอน เขาย่อมได้รับบาป เหมือนกับบรรดาบาปของผู้กระทำตาม โดยที่บาปดังกล่าวนั้น จะไม่ถูกบั่นทอนลงแม้แต่เพียงน้อยนิด " รายงานโดยมุสลิม

รายงานจากอบีมัสอูด อัลอันซอรีย์ จากท่านนบี(ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า

من دل على خير فله مثل أجر فاعله

"ผู้ใด ได้ชี้แนะถึงความดีหนึ่ง ดังนั้น เขาก็จะได้รับผลบุญตอบแทน เหมือนกับผู้กระทำตาม" รายงานโดยมุสลิม

รายงาน กะษีร บิน อับดิลลาฮ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ได้ยินท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวว่า

من أحيا سنة من سنتي قد أميتت بعدي فإن له من الأجر مثل من عمل بها من غير أن ينقص من أجورهم شيئا ، ومن ابتدع بدعة ضلالة لا ترضي الله ورسوله كان عليه من مثل آثام من عمل بها لا ينقص ذلك من أوزار الناس شيئا

"ผู้ใดที่ฟื้นฟูซุนนะฮ์หนึ่ง จากซุนนะฮ์ของฉันที่ได้ตายไป หลังจากฉัน แท้จริงแล้ว เขาย่อมได้รับผลตอบแทน เสมือนกับผู้ที่ได้ปฏิบัติตามมัน โดยที่ผลบุญของพวกเขาจะไม่ถูกบั่นทอนแม้แต่เพียงเล็กน้อย และผู้ใดที่อุตริบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง โดยที่ไม่ทำให้พึงพอพระทัยต่ออัลเลาะฮ์และร่อซูลของพระองค์นั้น เขาย่อมได้รับผลกรรม เหมือนกับบรรดาบาปของผู้ที่กระทำมันโดยบาปกรรมของผู้อื่นจะไม่ถูกบั่นทอนสิ่งดังกล่าวสักเพียงนัดเดียว" รายงานโดย ท่านติรมิซีย์ และอิบนุมาญะฮ์
อาจจะมีผู้คัดค้านกล่าวว่า หะดิษที่บอกว่า "ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." นี้ คือ"จำกัดและเจาะจงเฉพาะสิ่งที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์และบรรดาคอลิฟะฮ์ได้วางแนวทางไว้แล้วเท่านั้น" เราขอตอบว่า หะดิษดังกล่าว ย่อมมีความชัดเจนและครอบคลุมอยู่แล้ว ในการริเริ่มส่งเสริม กระทำบรรดาแนวทางที่ดีงามโดยที่ไม่ได้จำกัดว่า จะเป็นคนศตวรรษใหนเป็นการเฉพาะ ดังนั้นการวางเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงกับการกระทำสิ่งหนึ่งขึ้นมาโดยจำกัดเพียงแต่สมัยซอฮาบะฮ์อย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการวางเงื่อนไขเจาะจงที่ปราศจากหลักฐาน

และอาจจะมีผู้คัดค้านอีกว่า หะดิษที่บอกว่า"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." นี้ หมายถึง"การที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์และกระทำสิ่งหนึ่ง ที่เป็นเรื่องของดุนยา หรือหนทางต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ และแนวทางที่เลว นั้น คือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์กระทำขึ้นมา บนหนทางที่อันตรายและเลวร้าย" เราขอตอบว่า การที่พวกท่านจำกัดสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่ที่ยอมรับได้เพียงแค่รูปแบบของเรื่องของดุนยานั้น เป็นการเจาะจงหรือทอนความหมายของหะดิษ โดยไม่มีสิ่งที่มาทอนความหมายหรือเจาะจงกับมันเลย ซึ่งตามหลักวิชาการนั้น ถือว่าใช้ไม่ได้โดยเด็ดขาด และอีกอย่างหนึ่งก็คือ หะดิษนี้พูดถึงการริเริ่มกระทำความดีเกี่ยวกับเรื่องซอดาเกาะฮ์ และเราไม่เชื่อว่าการริเริ่มทำการซอดาเกาะฮ์นี้เป็นเรื่องของดุนยา

หะดิษดังกล่าว ยังได้ระบุอีกว่า"ผู้ใด ที่ได้ทำขึ้นมา ในอิสลาม กับหนทางที่ดี..." ดังนั้น คำว่า"ในอิสลาม" นี้ ย่อมไม่มีความหมายใด นอกจากเรื่องเกี่ยวกับในศาสนาอิสลาม ที่อัลเลาะฮ์ทรงพอพระทัยเท่านั้น

ดังนั้น ความหมายที่ชัดเจนของหะดิษดังกล่าวนั้น คือทุกๆสิ่งที่ได้มีการริเริ่มกระทำขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา หรือดุนยา หะดิษดังกล่าว ย่อมครอบคลุ่มถึงทั้งหมด ซึ่งหากสิ่งใดที่กระทำขึ้น โดยสอดคล้องกับหลักศาสนา สิ่งนั้นย่อมเป็นแนวทางที่ดี และสิ่งใดที่กระทำขึ้นมาใหม่โดยที่ขัดกับหลักการของศาสนา สิ่งที่นั้นย่อมเป็นแนวทางที่เลว และบิดอะฮ์หะสะนะฮ์นั้นจะทำขึ้นมาไม่ได้นอกจากต้องมีเงื่อนไขที่รัดกุม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ถึงคุณ mumin  และพี่น้องที่มีเกียรติครับ  เราขอเชิญพี่น้องมีทัศนะเดียวกันและต่างทัศนะ  ร่วมทำการเสวนาหรือถามเชิงวิชาการ  โดยตามกฏระเบียบนี้อย่างเคร่งครัดครับ  เพื่อที่จะสามารถนำไปสู่ความจริงได้สะดวกขึ้น


ส่วนคุณ mumin ครับ  กรุณาอ่านให้เข้าใจ  ตรงใหนที่ไม่เข้าใจโปรดถาม  หรือตัวบทฮะดิษใดที่นักปราชญ์ฮะดิษเขาอธิบายแล้วสงสัยว่าไม่ตรงกับทัศนะของคน  ก็โปรดอ้างอิงเป็นประโยคมาเลยครับ  เสวนากันคำต่อคำ  ถามกันคำต่อคำ  ตามหลักการเสวนา  ห้ามพิมพ์อะไรนอกเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นของกระทู้นี้   

ซึ่งหากคุณ mumin  ไม่สามารถทำตามระเบียบการเสวนาได้  ผมจะลบสิ่งที่คุณโพสต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้  และที่ผมลบไม่ได้หมายถึงผมได้ซอลิมคุณน่ะครับ  เพราะคุณอาจจะซอลิมตนเองเพราะไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบการเสวนา

والسلام

  :ameen:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 14, 2008, 10:44 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ abubak

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 79
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

*** ผมขอลบข้อความของคุณ abubak ครับ  เพราะไม่ตรงประเด็นการเสวนาและต้องการให้ทำกฏการเสวนาอย่างเคร่งครัดโดยทุก ๆ ฝ่ายครับ  หวังว่าคงเข้าใจ ***

والسلام

 loveit:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 13, 2008, 04:36 PM โดย al-azhary »

Al Fatoni

  • บุคคลทั่วไป
อัสสลามุ อลัยกุม

           บังอัลอัซฮารีย์ครับ ขออนุญาตนำมาเรียบเรียงนะครับ

วัสสลามุ อลัยกุม

ออฟไลน์ mumin

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 41
  • เพศ: ชาย
  • Respect: -1
    • ดูรายละเอียด
 salam

ประเด็นของหัวข้อนี้ ก็ยังรออยู่ครับ ว่าเมื่อไหร่จะมีฮาดีษจากนบีบอกเรื่องมีบิดอะฮาซานะมาซะที (รอจนเมื่อยแล้ว)

วัสสลามมุอลัยกุมว่าเราะมะตุ้ลลอฮ์



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 13, 2008, 08:51 PM โดย al-azhary »
วิถีชีวิตของมุสลิม...

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

เอาเป็นว่าประเด็นอื่นจากนี้ เดี๋ยวผมตั้งกระทู้ใหม่เอาแล้วกันนะครับ

ส่วนประเด็นของหัวข้อนี้ ก็ยังรออยู่ครับ ว่าเมื่อไหร่จะมีฮาดีษจากนบีบอกเรื่องมีบิดอะฮาซานะมาซะที (รอจนเมื่อยแล้ว)


วัสสลามมุอลัยกุมว่าเราะมะตุ้ลลอฮ์


 salam

ฉันว่า...ตามที่คุณ mumin ถามคำพูดนบีที่บอกว่ามีเรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์อย่างชัดเจนนั้น...ฉันว่าป่วยการที่จะไปตอบน่ะ...เพราะข้างต้นก็อธิบายได้มีน้ำหนักแล้ว...การขอหลักฐานที่นบีบอกว่ามีบิดอะฮ์ชัดเจนนั้น...เราก็ถามได้เช่นกันว่า...

....มีบิดอะฮ์เชิงภาษา(บิดอะฮ์ลุฆอวียะฮ์)นั้น...มีสักหลักฐานหนึ่งไหมที่นบีบอกอย่างชัดเจนว่า...มีบิดอะฮ์เชิงภาษา...

...มีหลักฐานสักตัวบทหนึ่งไหมที่นบีบอกอย่างชัดเจนว่ามี...บิดอะฮ์ดุนยา...

ซึ่งเราสามารถตอบได้เลยว่า....บิดอะฮ์ดุนยา...บิดอะฮ์เชิงภาษา...บิดอะฮ์หะสะนะฮ์...นั้นนบีไม่ได้บอกไว้อย่างชัดเจนเลย...

สังเกตุว่าคุณ mumin จะขอตัวบทอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องบิดอะฮ์ฮะสะนะฮ์...แต่ฉันอยากจะบอกว่า...การวิเคราะห์คำพูดของท่านนบีนั้นในอีกแง่มุมหนึ่งมี 2 ประเภท

1. หลักการที่เอามาจากคำพูดของท่านนบีแบบตรงตัวชัดถ้อยคำ...ซึ่งเขาเรียกว่า منطوق  มันตูก...นบีไม่ได้บอกไว้แบบมันตูกหรอกว่า...มีบิดอะฮ์ดุนยา...บิดอะฮ์ลุฆอวียะฮ์...บิดอะฮ์หะสะนะฮ์...

2. หลักการที่เข้าใจมาจากคำพูดของท่านนบี...ซึ่งเขาเรียกว่า مفهوم  มัฟฮูม...นบีไม่ได้บอกถ้อยคำไว้ตรงตัวแต่อุลามาฮะดิษสามารถเข้าใจได้จากตัวบท...เช่น..กรณีของบิดอะฮ์หะสะนะฮ์  เป็นต้น

ดังนั้นคำถามที่คุณ mumin ต้องการที่จะถาม...ตามที่ตนเองต้องการเป็นการเฉพาะนั้น...เป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบ...หากจะพูดให้ลึกไปกว่านี้ก็คือ...เป็นคำถามที่ตบตาผู้อ่าน (ซัฟซะเฏาะฮ์).....วัสลาม

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ุคุณ mumin จะมีอะไรนำเสนอถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ใหมครับ?  และสิ่งที่ผมได้นำเสนอชี้แจงเกี่ยวกับการแบ่งแยกบิดอะฮ์ข้างต้นนั้น  มันผิดตรงใหนบ้าง? ก็ถามมาได้  แต่ให้อยู่ในประเด็นเท่านั้นครับ  หวังว่าคงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

والسلام

 wink:
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
บังไม่ต้องตอบแล้วก็ได้ เขาไม่ได้อ่าน แล้วใช้สติปัญญาไตร่ตรอง

เพราะเขาจะเอา คำจากนบี ที่บอกแค่ว่า "มีบิดอะฮะซานะ"

ดังนั้น เมื่อเขาอยากได้ตรงตัว เขาก็น่าจะหา คำจากนบี มาบอกพวกเราบ้างว่า "ไม่มีบิดอะฮะซานะ"

สรุป เขาจะเอา แค่ตัวอักษร แค่นี้ คำอธิบายจากอุลามะฮะดิสไม่เอา ฮะดิสประกอบอื่นๆ ไม่เอา

เขาเป็นพวกคลั่งไคล้ ท่าน อ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆ ที่ ได้อ่านบทความผ่านเพียงเวปไซต์ และรู้จัก อ เหล่านั้นเพียงผิดเผิน

คนอยากรู้

  • บุคคลทั่วไป
 salamน้องกอดัร
เขาเป็นพวกคลั่งไคล้ ท่าน อ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆ ที่ ได้อ่านบทความผ่านเพียงเวปไซต์ และรู้จัก อ เหล่านั้นเพียงผิดเผิน

น้องกอดัรครับ  และรู้จักองเหล่านั้นเพียงผิดผิด  หรือผิวเผิน หรือ ผิดพลาด   ตกลงยังไงแน่ครับ อิๆๆๆ ออกนอกเรื่องรึป่าวว้าเรา  haๆๆๆๆๆๆๆ

>>>>some body  in   wahabiya   is  the    badboy  damo tadohwakiyah apah    wangwang koh tiuw haruang  we


 boulay:
 

 

GoogleTagged