ผู้เขียน หัวข้อ: ก๊อกๆๆ.. เยี่ยม Blog พี่น้อง  (อ่าน 3107 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
ก๊อกๆๆ.. เยี่ยม Blog พี่น้อง
« เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 12:46 PM »
0

 salam

ด้วยเหตุว่าเป็นคนชอบตระเวณอ่านๆๆๆๆ ตาม Blog  ของพี่น้องมุสลิมหลายๆท่าน  ซึ่งมีเรื่องราวหลากหลายที่น่าสนใจมากๆๆๆๆ
จึงเกิดปิ๊ง !! ไอเดียที่จะตั้งกระทู้เพื่อรวมเรื่องราวเด็ดๆ  จาก  Blog  ของพี่น้องมุสลิมที่ชื่นชอบ
ใครมีอะไรน่าสนใจก็มาแชร์ใจกันอ่านได้ที่นี่   ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 27, 2008, 08:10 PM โดย nujjaba »

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 12:59 PM »
0
คนตั้งกระทู้ขออนุญาตเปิดด้วยบล็อกที่ติดตามมาน๊านนาน
เป็น  Blog  ของคนแถวนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
มองไปรอบๆ ก็จะเจอ   ;D


แค่อย่าเลวกว่าเมื่อวาน


สมัยเรียนม.ต้น หลังสอบทีไรเวลาประกาศผลสอบอาจารย์ใหญ่มักมาประกาศผลสอบในห้อง
ท่านอาจารย์ก็จะประกาศเรียงลำดับไปจากที่ 1 ไป ถึงลำดับสุดท้าย โดยให้ตบมือให้ แค่ 10 อันดับแรก
ตอนนั้นเราเองก็เรียนไม่ติดหนึ่งใน 10 หรอก
แต่ก็แอบสงสัย(ปนอิจฉา)นิด ๆ ว่า เฮ้ย..
แล้วสมมติคนที่ไต่อันดับสูงสุดล่ะ
สมมติว่ามีคนพยายามแทบตาย ไต่อันดับจาสุดท้าย มาอยู่ลำดับที่ 11 ..
ก็ไม่มีคนตบมือให้อ่ะซิ
แอบเคืองเล็ก ๆ ว่า ไม่เห็นยุติธรรมเลย

อือ.. มันก็ไม่ยุติธรรมจริง ๆ นั่นล่ะ

ในกุรอ่านบอกไว้ว่า ผู้ที่ขัดเกลาตัวเองนั้นย่อมประสบผลสำเร็จ (ดูอัชชัมซฺ : 9)
ไม่ได้หมายความว่าขัดเกลาได้ดีเลิศเท่านั้นที่ประสบผลสำเร็จ
แต่เป็นคนที่ขัดเกลาตัวเองอย่างเป็นประจำ
อาจะเป็นวันละนิด .. แต่ทุกวี่วัน
อาจเป็นวันละคืบ .. แต่ไม่เคยหยุดเดิน


เพราะงั้นหลายครั้งการที่เรามักชื่นชมคนดี ๆ ที่ทำ ดี คนนึง
จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ผิดหรอก
แต่ระวังอย่าไปตัดสินที่ทำ ดี ได้ไม่เท่ากับคนที่ทำดี คนแรก นั้นด้วย
รวมถึงอย่าไปตัดสินคนที่ทำ เลว ด้วย
เพราะแต่ละบททดสอบคนเราต่างกัน
คนสถานะหนึ่ง ไม่มีทางเข้าใจอีกสถานะหนึ่งของอีกคน
คนเลววันนี้เขาอาจ เลวน้อย กว่าเมื่อวาน
เช่นกัน คนดีคนนั้นอาจ ดีน้อย กว่าเมื่อวาน
อัลลอฮฺ ซบ. เท่านั้นใช่ไหม? ที่สามารถตัดสินคนได้
เพราะฉะนั้นหมั่นเตือนตัวเอง
ขัดเกลาตัวเอง

แค่อย่าให้วันนี้
เลวกว่าเมื่อวานแล้วกัน

...

วัลลอฮฺอะลัม
อัสลามมุอะลัยกุม
(เอ๊ะ ทำไมมาให้สล่ามตอนท้ายเนี่ย ^^"  )



ก็อปกันซึ่งๆหน้า จาก --> http://deen2do.com/chadumyen/archives/date/2007/04   mycool:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 27, 2008, 01:23 PM โดย nujjaba »

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 01:12 PM »
0
รั้ง...ราก
 

" อ้าจนขากรรไกรค้างแล้วหมอ เมื่อไหร่จะดูเสร็จซักที"
ได้แต่บ่นในใจ ถึงอยากจะพูด ก็พูดไม่ได้
สองมือของหมอพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ล้วงทะลุทะลวงเข้าไปในปาก
แค่จะส่องฟันเจ้าปัญหา ปวด ๆ เสียว ๆ มานานแล้ว
ไม่ไหวแล้ว ทรมาน ปวดแล้วหงุดหงิดทั้งวัน แม้ในยามละหมาด
 
บ่นกะปอดกะแปดในใจเสร็จ หมอก็ตรวจเสร็จพอดี
พร้อมคำวินิจฉัยสภาพฟันซี่นั้น
 
"ฟันผุครับ  เนื้อฟันเปราะและหักบ้างแล้ว โดยการทำลายของจุลินทรีย์
แต่ดีว่า ยังไม่ถึงรากฟัน หมายถึง คุณยังมีวิธีรักษาฟันซี่นี้ได้ครับ เพราะรากยังแข็งแรงอยู่
และคุณมาทันเวลาเท่านั้นเอง ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ มีหวังต้องสูญเสียฟันซี่นี้ไปแน่ ๆ
คงตั้งใจมาถอนสิครับ  เอ..  หมอไม่แน่ใจว่า ทำให้คุณผิดหวังหรือป่าว"
 
ดูเค้าพูดสิ นี่หมอเค้าอารมณ์ดีที่จะเก็บเงินเราได้เพิ่มกว่าเดิมด้วยการรักษาที่แพงกว่า
หรือเค้าดีใจที่เรายังมีโอกาสให้กับฟันซี่นี้ได้ใช้ประโยชน์ต่อไป
เสียก็ยอมแหละ ยังรักษาได้นี่ ดีว่ามาให้ตรวจได้ทันรักษา ไม่งั้นคงต้องเสียฟันให้เจ้าจุลินทรีย์มาหัวเราะเยาะในชัยชนะของมัน
 
......................................................................................
 
วันนี้ ตั้งใจซื้อรองเท้าผ้าใบซักคู่ คู่เก่าคับเต็มที
ช่วงนี้คงต้องออกกำลังกายมากขึ้น เพราะรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของร่างกายที่ขาดการออกกำลังมานาน
 
เดินเลือกซื้อรองเท้าอยู่หลายยี่ห้อ  เจาะเพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันนาน
"ซารีนา" เธอเดินมาดมั่น ในชุดกระโปรงสั้นบาน ลอยเหนือเข่าแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
ริมฝีปากสีแดงสด กับอายแชโดว์สีทองเมทัลลิก สีสันแต่งแต้มทั่วใบหน้า
 
ไม่เอาดีกว่า ไม่กล้าทัก อายเค้า
เจอมุสลิมแบบนี้ ไม่กล้าอยู่ด้วยกันใกล้ๆ
เรายิ่งแต่งตัวมิดชิดแบบนี้แล้ว นึกภาพไม่ออก ถ้าต้องมาเดินคู่กัน
มันคงแปลก ๆ ดูไม่ดี
 
แต่ก็ช้าไปซะแล้ว
สายตาเธอพุ่งชนโครมมาที่เรา
เธอทักทันที ในขณะที่เรากำลังหันหลัง เพื่อลองรองเท้ายี่ห้อนึง
พูดคุย ถามไถ่กันได้สักพัก แอบสังเกตุเห็นแววตาที่รังเกียจและเย้ยหยันกับรองเท้าที่กำลังสวม
 
หรือเธอคิดว่า รุ่นนี้ out ไม่ฮิต ไม่แบรนด์เนม ไม่แฟชั่น เหมือนอย่างที่เธอชอบนะ
นึกๆ ก็เคืองใจอยู่เหมือนกัน
 
เธอเหมือนอ่านใจเราออก และเฉลยในที่สุด
เธอบอก ไม่ได้ดัดจริต หรือเว่อ หรอกนะ
แต่ขอร้อง อย่าไปซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้
เสียงเธอเข้มกว่า ปกติ
เธอว่า มันดูถูกอิสลามของเรา ดูถูกพระเจ้าเรา
วันก่อนเธอได้รับ ฟอร์เวิดเมล์ เป็นภาพโฆษณารองเท้ายี่ห้อนี้
ในภาพสื่อว่า มุสลิมกำลังก้มลงสุหยูดให้กับรองเท้ายี่ห้อนรกนี้
 
เธอว่า เธอไม่เคยรู้สึกถูกทำร้ายจิตใจเท่านี้มาก่อน
มันย่ำยีอิสลามเรา มันกล้าดียังงัย เทียบเคียงพระเจ้าเรากับรองเท้าของมัน
เธอเกลียดชังและเคียดแค้นด้วยไฟรักในอัลลอฮฺ
เธอฟอเวิดแมลล์ส่งต่อให้กับทุกคนที่เธอรู้จัก ให้ประนามร้องเท้ายี่ห้อนี้

 
ฟันเราเสียวแปลบ
รากฟันที่ยังอยู่ระหว่างการรักษา อาจทำให้มีอาการนี้อยู่บ้าง
 
กลับไปมองที่เพื่อนอีกครั้ง ภายนอกอาจถูกชัยฏอน แทะเล็ม ชอนไชจนผุกร่อน
แต่รากฐานแท้ที่ถูกปลูกฝังหยั่งลึกเข้าไปในหัวใจ ยังถูกคุ้มครองอย่างดี
หัวใจที่อยากปกป้องอิสลาม หัวใจที่รักอัลลอฮฺ ยังไม่ถูกปิดกั้น
 
และแน่นอนหากรากยังดี เราก็ยังช่วยกันรักษาหัวใจก้อนนั้นได้บ้าง
แต่สำคัญว่า อย่าทอดทิ้งให้มันถูกกัดกร่อนทำลายไปโดยไม่ได้ทำอะไร
 
ภาพแปลกตาของสาวชุดดำกับสาวชุดกระโปรงสั้นลอย
ก้าวออกมาจากร้านควงคู่กัน โดยไม่มีการซื้อรองเท้ายี่ห้อนั้น
จากหันหนีเธอ เป็นเกาะกุมมือเธอไว้แน่น
 
เมื่ออัลลอฮฺได้ให้เห็นปลายเชือกหล่นมาต่อหน้าแล้ว
จะไม่รีบยึดมันไว้ได้อย่างไร

 
 
พิมพ์ครั้งแรก วารสารโรตีมะตะบะ รายเดือน ฉบับที่ 24 ประจำเดือนมกราคม 2551



ที่มา :  http://yesiamsomebody.spaces.live.com/default.aspx?mkt=en-US&partner=Live.Spaces

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 01:19 PM »
0
แอบชอบจากใน Blog  ด้านบนอีกเรื่อง

อัลลอฮ์  เท่านั้น  คือผู้ตัดสิน

รถซูบารุคันเล็กค่อย ๆ เบรกที่ป้ายรถต้นซอย เมื่อจอดสนิท สาวผมยาว ก้าวเท้าขึ้นมา
กระโปรงสั้น เหนือเข่า โชว์ขาขาว เนียน มันยิ่งถกเผยให้เห็นเนื้อขาขาว ๆ มากขึ้นเมื่อเธอนั่งลง
ไม่ได้ตั้งใจมองหรอกนะ
แต่ทว่า จุดวางสายตากับเรียวขาเธอนั้น อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน
โดยบังเอิญ...... จริงๆ
เฮ้อ....แต่งตัวกันแบบนี้แหละน๊า
ถึงได้มีแต่ข่าว จี้ ฆ่า ข่มขืน
เพราะเนื้อขาว ๆ เนียน ๆ ไปปลุกกระแสเลือดดำของชัยฏอนประจำตัว
ต่อให้เธอเป็นคนดีมีเมตตา กตัญญู เรียบร้อยแสนหวาน มาจากไหน ก็เหอะ
แค่เพียง รูปกายไปยั่วยวน กิเลส ที่ครุกรุ่นให้ลุกโพลงได้สำเร็จ
ความดีงามของเธอ ก็ไม่สามารถหักล้างอำนาจแห่งความชั่วร้าย ที่ถูกปลุกขึ้นมาได้

เราไม่อาจห้ามให้ใครต่อใคร คิดเลว ทำเลว ได้
แต่ เราต้องป้องกันได้และไม่ทำตัวเองให้ จุดเริ่มต้นของความชั่วช้า ให้เกิดขึ้น
เห็นเรียวขาขาวนั้น แล้วหันมามองกระโปรงสีเข้มที่กรอมเท้ามิดชิดของตัวเองแล้ว ก็รู้สึกภูมิใจ
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ศาสนบัญญัติของเรา
ปกป้อง คุ้มครอง หัวใจของเราได้หนาแน่น
และเกินกำลังความชั่วร้ายจะโจมตี

นั่งมองสองข้างทางสลับกับ ขาขาว ๆ ที่เข้าตาอย่างช่วยไม่ได้
สักพัก รถก็เบรกอีกครั้ง เมื่อแล่นมาถึงอาคารเรียนใหญ่กลางซอย

เธอคนนั้น สะพายกระเป๋า อุ้มหนังสือสี่ห้าเล่มแนบอก ค่อย ๆ ลุกขึ้นลงจากรถซุบารุ
ด้วยกระโปรงรัดสั้น ทำให้ลงรถอย่างไม่ค่อยถนัด
หนังสือเล่มหนึ่งของเธอพลัดตกลงมาตรงข้างเท้าเรา
...เหมือนจะตักเตือนเราให้ระมัดระวังความคิดและการตัดสินผู้อื่นอย่างไม่รอบคอบ
ฉันก้มลงหยิบหนังสือเล่มนั้นให้เธอ สายตาเหลือบไปเห็นชื่อหน้าปกที่โชว์หรา
" อิสลาม สำหรับผู้สนใจอิสลาม "

เธอกล่าวขอบคุณและยิ้มให้
เมื่อรถแล่นออกอีกครั้ง ฉันเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออาคารนั้น
“มูลนิธิสันติชน”
อัลลอฮ์...หวังว่าเธอคงไม่ได้ยินเราบ่นในใจเมื่อกี้นะ

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 01:44 PM »
0
เมื่ออิสลามอยู่ที่...


เมื่ออิสลามอยู่ที่ท่อนขา...เส้นทางไปมัสยิดจะเป็นที่ดึงดูดแก่เรามากกว่าเส้นทางไปร้านเกมส์
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่อ้อมแขน...การแบ่งปันจะเป็นที่มุ่งหวังของเรามากกว่าการกอบโกย
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่ปลายนิ้ว...การนับคำซิกรุลลอฮฺจะเป็นที่คุ้นเคยแก่เรามากกว่าการกดเบอร์โทรศัพท์ของใครคนนั้น
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่หน้าท้อง...อาหารของพี่น้องมุสลิมจะเป็นที่โอชารสแก่เรามากกว่าอาหารของผู้ที่ฆ่าพี่น้องมุสลิม
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่สีข้าง...การเข้าเฝ้าอัลลอฮฺในยามค่ำคืนจะเป็นที่ปรารถนาของเรามากกว่าการหลับใหล
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่กระดูกสันหลัง...ที่อยู่อาศัยในโลกหน้าจะเป็นที่หวังพักพิงของเรามากกว่าที่อยู่อาศัยในโลกนี้
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่คอหอย...ความตายจะเป็นที่ระลึกถึงของเรามากกว่าการมีชีวิตอยู่
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่ริมฝีปาก...คำพูดอันอ่อนโยนจะเป็นที่คุ้นชืนแก่เรามากกว่าคำด่าทอ
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่ฟันกราม...ความอดกลั้นต่ออุปสรรคที่มาประสบจะเป็นที่เพิ่มพูนแก่เรามากกว่าความท้อแท้
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่ใบหู...เสียงกุรอานจะเป็นที่รื่นรมย์แก่เรามากกว่าเสียงดนตรี
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่ใบหน้า...กิบลัตจะเป็นที่ผินหน้าของเรามากกว่าจอโทรทัศน์
 
เมื่ออิสลามอยู่ที่ศรีษะ...ความนอบน้อมจะเป็นสิ่งที่เราแสดงออกมากกว่าความโอหัง
 
เมื่ออิสลามอยู่ในดวงตา...ความตายของพี่น้องมุสลิมในดินแดนที่ถูกกดขี่จะเป็นที่หลั่งน้ำตาของเรา
                                        มากกว่าความตายของตัวละครในภาพยนตร์

 
เมื่ออิสลามอยู่ในสำนึก...ปัญหาของประชาชาติอิสลามจะเป็นที่ขบคิดของเรามากกว่าปัญหาของตัวเอง
 
เมื่ออิสลามอยู่ในหัวใจ...ความรักที่มีต่ออัลลอฮฺจะเป็นที่อิ่มเอิบแก่เรามากกว่าความรักใดใด
 
เมื่ออิสลามอยู่ในชีวิต...การใช้ชีวิตเพื่ออิสลามจะเป็นที่พอเพียงแก่เรามากกว่าทุกสิ่งที่บรรจุอยู่ในโลกดุนยา



--------------------------------------------------------------------------------

 
..."ให้อิสลามเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา แล้วเราก็จะมีทุกอย่าง"...

อยากเจอคนเขียนตัวเป็นๆจัง  party:  -->  http://pee-nu-d.spaces.live.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 27, 2008, 01:53 PM โดย nujjaba »

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 02:01 PM »
0
บทกลอนของเด็กอัฟริกันผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม​จาก​UN

Nominated by UN as the best Poem of 2006
Written by an African Kid

When I born, I black : ​เมื่อผมเกิด​​ ​​ผมผิวดำ​​
When I grow up, I black : ​เมื่อผมโตขึ้น​​ ​​ผมก็​​​ยัง​​​ผิวดำ​​​อยู่
When I go in Sun, I black : ​เมื่อผม​​​อยู่​​​ใต้​​​แสงแดด​​ ​​ผมก็คง​​​ยัง​​​ผิวดำ
Wh en I scared, I black : ​เมื่อผมกลัว​​ ​​ผมก็ผิวดำ
When I sick, I black : ​เมื่อผมป่วย​​ ​​ผมก็​​​ยัง​​​ผิวดำ
And when I die, I still black : ​และ​​​เมื่อผมตาย​​ ​​ผมก็​​​ยัง​​​คงผิวดำ


And you white fellow : ​และ​​​คุณ​​…​​เพื่อนมนุษย์ผิวขาว​​
When you born, you pink : ​เมื่อแรกเกิด​​ ​​คุณมีผิวสีชมพู
When you grow up, you white : ​เมื่อคุณโตขึ้น​​ ​​คุณมีผิวสีขาว
When you go in sun, you red : ​เมื่อคุณ​​​อยู่​​​ใต้​​​แสงแดด​​ ​​คุณมีผิวสี​​​แดง
When you cold, you blue : ​เมื่อคุณหนาว​​ ​​คุณมีผิวสีน้ำ​​​เงิน
When you scared, you yellow : ​เมื่อคุณกลัว​​ ​​คุณมีผิวสี​​​เหลือง
When you sick, you green : ​เมื่อคุณป่วย​​ ​​คุณมีผิวสี​​​เขียว
And when you die, you grey : ​เมื่อคุณตาย​​ ​​คุณมีผิวสี​​​เทา


And you calling me colored?? : ​และ​​​คุณเรียกผมว่า​​ ​​คนผิวสี​​??



พี่น้องชาวเว็บ sunnahstudent  อีกท่าน  -->  http://deen2do.com/intifad/archives/19


ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 03:19 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

เป็นแนวคิดที่ดีสำหรับคุณ nujjaba เป็นอย่างมาก  ที่ได้นำเสนอสิ่งน่าสนใจแบบวาไรตี้  จาก  Blog ของพี่น้อง   ซึ่งพี่น้องบางท่านอาจจะไม่นิยมอ่าน Blog  หรือหา Blog กันไม่ค่อยเจอ  และแต่ละ Blog ก็มีสิ่งน่าสนใจเป็นอย่างมาก  ดังนั้น  การรวมเนื้อหาที่คัดสรรแล้วมานำเสนอที่กระทู้  ถือว่าเป็นการบริการความรู้อีกวิธีหนึ่งให้แก่พีน้องครับ   myGreat:


والسلام
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 07:42 PM »
0
Aminah Assilmi, way to Islam



Aminah Assilmi, ประวัติการเข้ารับอิสลามของเธอ

“ฉันดีใจมากที่ได้เป็นมุสลิม อิสลามคือวิถีชีวิตของฉัน อิสลามมันเต้นอยู่ภายในจิตใจของฉัน อิสลามเป็นเลือดเนื้อที่ไหลเวียนในร่างกายฉัน อิสลามคือความแข็งแรงของฉัน อิสลามให้ชิวิตที่น่าพิศวงและสวยงามแก่ฉัน และเพียงแค่อัลลอฮเบนหน้าอันสง่าผ่าเผยของท่านไปจากฉันเพียงน้อยนิด ฉันคงไม่สามารถมีชิวิตรอดมาได้“

ชีวิตของ อามีนะฮ์ อัซซิลมี..ก่อนและหลังตัดสินใจเปลี่ยนเป็นมุสลิม

ณ สหรัฐอเมริกา, ในปี 1975 เป็นปีแรกที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยของเธอ เธอเรียนทางด้านการละเล่น (recreation) หลังจากที่เธอลงทะเบียนเรียนเรียบร้อยแล้ว เธอได้ออกเดินทางไปเมือง Oklahoma เพื่อดูแลธุรกิจของเธอ ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เธอเดินทางกลับวิทยาลัยช้ากว่ากำหนดการสองอาทิตย์ เรื่องการเดินทางที่ล่าช้านั้นไม่มีปัญหาสำหรับเธอในเรื่องการทำงาน แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจอย่างยิ่งคือ การลงทะเบียนทางคอมพิวเตอร์เกิดความผิดพลาดทำให้เธอได้วิชาที่เธอไม่ได้เลือกไว้ นั่นคือวิชาการละคร วิชาที่นักศึกษาต้องออกไปแสดงต่อหน้าผู้คน                        

ปกติแล้วเธอเป็นคนพูดน้อยมาก และจะเป็นคนที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้คน เธอไม่สามารถเปลี่ยนวิชาตัวนี้ได้ เพราะมันเลยกำหนดการไปแล้ว การสอบตกมันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่นอนเพราะเธอเป็นนักเรียนทุน นั่นก็หมายความว่า การได้ "F" เป็นเรื่องที่น่าเสี่ยงเกินไป                        

จากคำแนะนำของสามีของเธอ เธอได้ไปหาอาจารย์วิชาการละครเพื่อต่อรองให้เธอได้ทำงานอื่นแทนการแสดงอย่างเช่น การดูแลเครื่องแต่งกายเป็นต้น อาจารย์เธออนุญาติและตกลงให้เธอไปเรียนอีกวิชานึง…เมื่อเธอไปห้องเรียนวิชาดังกล่าว เธอตกใจมาก ในห้องเรียนเต็มไปด้วยนักศึกษาอาหรับและ “อูฐจอมหลอกลวง“ มันเพียงพอสำหรับเธอแล้วจริงๆ เธอกลับบ้านและตัดสินใจว่าจะไม่ไปเรียนในห้องนั้นเด็ดขาด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ท่ามกลางชาวอาหรับ “ไม่มีทางที่ฉันจะนั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยคนนอกศาสนาที่สกปรก!“

สามีของเธอเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็น เขาชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ามีเหตุผลในทุกๆสิ่งที่ท่านได้มอบให้ เธอควรคิดให้มากกว่านี้ก่อนจะตัดสินใจเลิก ในขณะเดียวกันได้เตือนสติให้คำนึงถึงเรื่องทุนการศึกษาที่เธอได้รับด้วย เธอใช้เวลาตัดสินใจเงียบๆอยู่สองวัน ในที่สุดเธอตัดสินใจกลับไปเรียนในห้องเรียนดังกล่าว เธอรู้สึกว่าพระเจ้าได้มอบหน้าที่เผยแพร่ศาสนาต่อเธอ เธอจะต้องเปลี่ยนชาวอาหรับเหล่านั้นให้นับถือศาสนาคริสต์ให้ได้                        

เธอค้นพบว่าเธอมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จ ตลอดเวลาเธอจะสนทนากับเพื่อนๆของเธอเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ “ฉันยังคงอธิบายต่อไปว่า เขาเหล่านั้นจะลงนรกและอยู่ในนั้นตลอดไปหากเขาไม่ยอมรับพระเยซูเป็นผู้ปลดปล่อย (personal savior) เขาเหล่านั้นสุภาพมากแต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์อยู่ดี ฉันอธิบายพวกเขาว่าพระเยซูรักพวกเรามากและได้ตายบนไม้กางเขนเพื่อช่วยชะล้างบาปของพวกเรา สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำคือการยอมรับท่านด้วยจิตใจ“ เขาเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเป็นคริสเตียน ทำให้เธอตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง “ฉันตัดสินใจอ่านหนังสือของพวกเขา เพื่อสามารถอธิบายพวกเขาได้ว่า ศาสนาของพวกเขาไม่ถูกต้องอย่างไร และมูฮัมหมัดเป็นพระเจ้าตัวปลอม“            

ด้วยปรารถนาของเธอ เพื่อนของเธอคนหนึ่งได้มอบคำภีร์อัลกุรอ่านและหนังสือเกี่ยวกับศาสนาอิสลามแก่เธอ ด้วยหนังสือเหล่านี้ เธอเริ่มทำการศึกษา ซึ่งมันกลายเป็นการศึกษาที่ต่อเนื่องถึงหนึ่งปีครึ่ง เธอได้อ่านอัลกุรอ่านทั้งเล่มบวกกับหนังสือเกี่ยวกับอิสลามอีกสิบห้าเล่ม สลับกันไปสลับกันมากับอัลกุรอ่าน ระหว่างที่เธอทำการศึกษาเกี่ยวกับอิสลามนั้น เธอจะบันทึกไว้ในส่วนที่สามารถเอาคัดค้านได้ และสามารถใช้ในการพิสูจน์เพื่อนๆในห้องเรียนของเธอได้ว่าศาสนาของพวกเขาเป็นศาสนาที่ปลอม                        

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คาดไม่ถึงคือเธอได้เปลี่ยนไปทีละน้อยๆอย่างไม่รู้สึกตัว แต่มันกลับไม่รอดสายตาของสามีเธอ “ฉันเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ แต่มันเยอะพอที่เธอสร้างความรำคาญให้สามีของฉัน เราเคยออกไปนอกบ้านด้วยกันในวันศุกร์และวันเสาร์ เราเคยไปปาร์ตี้ด้วยกัน แต่หลังๆฉันกลับรู้สึกไม่อยากออกไปไหน ฉันเงียบลง และค่อนข้างห่างเหิน“ เธอเลิกดื่มเหล้าและเลิกกินหมู สามีของเธอสงสัยว่าเธอติดพันหนุ่มอื่นอยู่ เพราะ “มันมีแค่เหตุผลเดียว เพื่อผู้ชายเท่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากขนาดนี้“ ในที่สุด สามีเธอขอร้องให้เธอออกไปอยู่ที่อื่น

“ตอนที่ฉันเริ่มเรียนเกี่ยวกับอิสลาม ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะพบสิ่งที่ฉันต้องการเพื่อการดำเนินชีวิตของฉัน ฉันไม่คิดเลยว่าอิสลามจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของฉัน หรือไม่คิดว่าใครจะสามารถโน้มน้าวจริงใจฉันได้ว่า อิสลามจะทำให้ฉันพบความสันติและมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักและปีติ“                        

ตลอดช่วงเวลานั้น เธอยังคงศึกษาเกี่ยวกับอิสลามต่อไป ถึงแม้ว่ามันทำให้เธอเปลี่ยนไปทีละน้อยแต่เธอก็ยังคงเป็นผู้อุทิศตนเพื่อศาสนาคริสต์อยู่ มีอยู่วันหนึ่งซึ่งค่อนข้างทำให้เธอประหลาดใจเป็นอย่างมาก มีคนมาเคาะประตูห้องของเธอ พอเธอเปิดประตู เธอพบชายแต่งกายเป็นอาหรับชื่อว่า อับดุลอาซิส อัลชีค (Abdul-Aziz Al-Sheik) มาพร้อมกับเพื่อนของเขาอีกสามคน มันทำให้เธอรู้สึกรำคาญมากกับการแต่งกายของเขาเหล่านั้น ชุดยาวแบบอาหรับ และสิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าคือเมื่อเธอได้ยินชายคนนั้นพูดว่า เขาคิดว่าเธอพร้อมที่จะเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลาม เธอตอบไปว่าเธอเป็นคริสเตียนและไม่ได้มีแผนการที่จะเปลี่ยนศาสนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็เชิญคนเหล่านั้นเข้าบ้านเพราะเธอมีคำถามมากมายที่จะถามหากพวกเขามีเวลา                        

หลังจากได้รับคำเชิญจากเธอ ชายเหล่านั้นก็เข้าบ้านของเธอ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มถามคำถามต่างๆเกี่ยวกับอิสลามที่เธอได้จดบันทึกไว้แล้วตอนที่เธอศึกษาเกี่ยวกับอิสลาม “ฉันจะไม่ลืมชื่อของชายคนนั้น“ เธอกล่าวว่า อับดุลอาซิส อัลชีคเป็นคนที่อดทนและอ่อนโยนมาก “เขาใจเย็นมากในการสนทนาและตอบทุกๆคำถาม เขาไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันโง่หรือถามคำถามโง่ๆ“ อับดุลอาซิส อัลชีคฟังทุกๆคำถามและโต้แย้งและอธิบายทุกอย่างในเรื่องนั้นๆ “เขาอธิบายว่าอัลลอฮได้บอกพวกเราว่า เราต้องศึกษาหาความรู้และการถามคือหนึ่งในหนทางการหาความรู้ เวลาเขาอธิบายแต่ละอย่าง มันเหมือนกับกลีบดอกไม้บานทีละกลีบๆ จนกระทั่งมันบานเต็มที่ เวลาฉันบอกเขาไปว่าฉันไม่เห็นด้วยกับบางเรื่องและบอกด้วยว่าทำไม เขาตอบกลับมาเสมอว่ามันถูกส่วนหนึ่งและเขาได้สอนให้ฉันวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งกว่านั้น และสอนวิธีการมองจากมุมอื่นๆด้วย เพื่อจะได้รับความเข้าใจที่ครบถ้วน“ มันใช้เวลาไม่นานนักสำหรับเธอกับการยอมรับอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับอิสลาม เพราะในความเป็นจริงแล้วภายในใจของเธอ เธอได้ยอมรับมันมานานกว่าหนึ่งปีครึ่งแล้ว ในวันเดียวกันนั้น เธอได้กล่าว ซาฮาดะฮ ต่อหน้าอับดุลอาซิส และเพื่อนของเขา “ฉันขอสาบานว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของท่าน“ มันเกิดขึ้นในวันที่ 21 May 1977.              

การเข้ารับศาสนาอิสลาม หรือ ศาสนาอะไรก็ตาม มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเสมอไป ยกเว้นในบางคนเท่านั้น เพราะโดยทั่วไปแล้ว คนๆนั้นต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะตามมา มุอัลลัฟอาจจะต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวจากครอบครัวและเพื่อนๆ ถ้าหายไม่ยอมให้ถูกบังคับให้กลับไปนับถือศาสนาที่ครอบครัวนั้นๆนับถืออยู่ ในบางครั้งมุอัลลัฟอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาด้านการเงิน เช่นในกรณีที่ถูกให้ออกจากบ้านด้วยเหตุผลการเข้ารับอิสลาม บางคนอาจจะยังคงได้รับความเคารพจากครอบครัวเหมือนเดิมแต่ก็ยังเจอการต่อต้านลึกๆในช่วงแรกๆของการเข้ารับอิสลาม            

แต่สำหรับกรณีของ อามีนะฮ์ อัซซิลมี นั้น สิ่งที่เธอต้องเผชิญหลังจากการเข้ารับอิสลามนั้น มันไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อแลกกับความเชื่อมั่นและศรัทธาในศาสนาอิสลามของเธอ น้อยคนนักที่จะมอบความไว้วางใจต่ออัลลอฮเหมือนกับกรณีของเธอ เธอยืนหยัดที่จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านั้น เธอตัดสินใจเสียสละสิ่งที่สำคัญยิ่ง ในขณะเดียวกัน เธอยังคงสามารถรักษาท่าทีในเชิงบวกและให้แรงจูงใจต่อผู้คนรอบข้างเกี่ยวกับความงามที่เธอเพิ่งค้นพบและความเชื่อในอิสลาม                        

เธอเสียเพื่อนแทบทุกคนของเธอ เพราะเธอ… “ไม่สนุกสนานเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว“ แม่ของเธอไม่ยอมรับกับการเข้ารับศาสนาอิสลามของเธอและยังคงเชื่อมั่นว่าซักวันหนึ่งเธอจะเบื่อและกลับไปเป็นเหมือนเดิม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคประสาทหรือพี่สาวของเธอนั่นเองคิดว่าเธอมีปัญหาทางด้านจิตใจจนเกือบจะพาเธอไปส่งที่สถาบันโรคจิต ส่วนพ่อของเธอซึ่งปกติแล้วเป็นคนใจที่เย็นมากและเป็นคนที่มีความรู้สูง หลายต่อหลายคนมักจะมาหาพ่อของเธอเพื่อขอคำปรึกษาในปัญหาต่างๆ โดยที่ปกติแล้วพ่อของเธอสามารถให้คำแนะนำกลับไปและทำให้คนเหล่านั้นหายจากความโศกเศร้า แต่สำหรับกรณีของเธอกับการเข้ารับอิสลามนั้น พ่อของเธอตัดสินใจเอาปืนออกมาเพื่อเอามายิงเธอ พ่อของเธอกล่าวว่า “จะดีเสียอีกถ้าเธอตายไป ดีกว่าจะต้องรับความทรมานในนรก“            

ถึงตรงนี้ เธอไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว หลังจากนั้นไม่นานเธอตัดสินใจคลุมฮีญาบ ในวันที่เธอตัดสินใจสวมฮีญาบนั้น เธอถูกไล่ออกจากงาน ทำให้ นอกจากไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัวแล้ว เธอยังไม่มีงานทำอีกด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ มันยังไม่ใช่สิ่งที่เธอกล่าวว่าเธอต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง


อ่านต่อข้างล่าง   ;D                  

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 07:43 PM »
0
เธอและสามีของเธอรักกันมาก แต่ในระหว่างที่เธอตัดสินใจศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามนั้น สามีของเธอเข้าใจผิดคิดว่าเธอกำลังมีคนอื่น เพราะเธอเงียบลงและไม่ค่อยออกไปไหน การเปลี่ยนแปลงของเธออยู่ในสายตาของสามีเธอมาตลอดและนั่นทำให้เกิดความสงสัยแก่สามีของเธอ เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเธอนั้นไม่เกี่ยวกับชายอื่น แต่มันเป็นการยากที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเชื่อได้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้โดยที่ไม่เกี่ยวกับชายอื่นเลย ในที่สุดสามีของเธอขอให้เธอออกไปอยู่ที่อื่น ทำให้เธอต้องอยู่คนเดียว หลังจากเธอเข้ารับศาสนาอิสลาม ความสัมพันธ์ยิ่งเลวร้ายลง เธอหนีไม่พ้นกับการหย่าร้าง ในช่วงนั้น ผู้คนไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับอิสลามมากนัก เธอมีลูกเล็กๆอยู่สองคน เธอรักพวกเขามากที่สุด และโดยปกติแล้วสิทธิการเลี้ยงดูบุตรควรจะเป็นของเธอ แต่เธอได้รับการดูหมิ่นอย่างรุนแรงจากศาล เธอถูกปฏิเสธในสิทธิการเลี้ยงดูบุตรเพียงเพราะเธอเปลี่ยนเป็นมุสลิม ก่อนที่ศาลจะตัดสินให้คำชี้ขาด ศาลได้ให้ข้อเสนอเธอเพียงสองประการ เธอต้องเสียสละศาสนาใหม่ของเธอ เพื่อแลกกับสิทธิการเลี้ยงดูบุตร ถ้าไม่แล้วเธอจะไม่ได้รับสิทธิการเลี้ยงดุบุตร ศาลให้เวลาในการตัดสินใจของเธอเพียง 20 นาที                         

เธอรักลูกๆของเธอมาก มันเหมือนกับฝันร้ายที่สุดที่แม่คนหนึ่งเคยเจอ กับการขอให้เธอเต็มใจที่จะสูญเสียลูกๆของเธอไป ไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี แต่มันเป็นการสูญเสียตลอดไป ในทางกลับกัน เธอก็ไม่สามารถที่จะปกปิดความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเพิ่งค้นพบได้ เธอไม่สามารถอยู่อย่างหน้าไหว้หลังหลอกได้ “มันเป็น 20 นาทีที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของฉัน“ เธอได้กล่างตอนที่เธอให้สัมภาษณ์ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ของลูกๆทุกคน ยิ่งถ้าลูกๆยังเล็กๆแล้ว มันไม่เป็นการยากเลยที่จะจินตนาการเกี่ยวกับความเจ็บปวดเหมือนที่เธอได้รับในทุกๆวินาทีที่ผ่านไป ในช่วง 20 นาทีนั้นที่เธอต้องคิดสำหรับการตัดสินใจ สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดมากที่สุดอีกอย่างนึงคือ คุณหมอเคยบอกเธอว่า เพราะเหตุผลบางอย่างเธอจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป “ฉันได้ขอพรจากอัลลอฮอย่างกับฉันไม่เคยทำมาก่อนเลย ฉันรู้ว่าไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยสำหรับลูกๆของเธอนอกจากที่อัลลอฮ ถ้าฉันปฏิเสธท่าน ฉันจะไม่มีโอกาสแสดงให้ลูกๆของฉันเห็นถึงคุณค่าของอัลลอฮ“ ในที่สุด เธอตัดสินใจไม่ทิ้งศาสนาอิสลาม นั่นทำให้ลูกๆของเธอถูกนำไปมอบให้กับอดีตสามีของเธอ                       

สำหรับคนเป็นแม่แล้ว นี่เป็นการเสียสละอันใหญ่หลวง การเสียสละที่ไม่ใช่เพื่อสมบัติพัสถานใดๆ แต่เป็นการเสียสละเพื่อความศรัทธาและความเชื่อมั่นล้วนๆ “ฉันเดินออกจากศาลด้วยการรับรู้ว่า การมีชีวิตโดยปราศจากลูกๆนั้นยากลำบากแค่ไหน หัวใจของฉันบาดเจ็บ แต่กระนั้นก็ตาม ฉันเชื่อมั่นเสมอว่าฉันตัดสินใจถูกต้องแล้ว“ เธอรู้สึกดีขึ้นหลังจากอ่านกุรอ่านบทนี้…

“อัลลอฮนั้นคือไม่มีผู้ที่ถูกเคารพสักการะใดๆ ที่เที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงมีชิวิต ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลาย โดยที่การง่วงนอน และการนอนหลับใดๆ จะไม่เอาพระองค์ สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นของพระองค์ ใครเล่าคือผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่น ณ ที่พระองค์ได้ นอกจากด้วยอนุมัติของพระองค์เท่านั้นพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ล้อมสิ่งใด จากความรู้ของพระองค์ไว้ได้นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้นเก้าอี้พระองค์นั้นกว้างขวางทั่วชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการรักษามันทั้งสองก็ไม่เป็นภาระหนักแก่พระองค์ และพระองค์นั้นคือผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่“ (อัล-กุรอ่าน 2:255)                       

“ผ้าคลุมผืนนี้ที่ฉันสวมใส่ เตือนผู้คนที่พบเห็นว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณจะยุ่งเกี่ยวด้วย มันได้แสดงให้เห็นว่าฉันมีความเป็นผู้หญิงด้วยจิตใจ และฉันรู้ว่าฉันมีค่ามากกว่าเป็นเพียงร่างกาย ผ้าคลุมผืนนี้ไม่ใช่การกดขี่เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่คุณต้องรู้สึกเห็นใจพวกเรา“

“หรือพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์โดยที่เยี่ยงอย่างของผู้ที่ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้ายังมิได้มายังพวกเจ้าเลย ซึ่งบรรดาความลำบากและความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขาและพวกเขาได้รับความหวั่นไหวจนกระทั่งรอซูลและบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งอยู่กับเขากล่าวขึ้นว่า เมื่อไรเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ? พึงรู้เถิดว่าแท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮใกล้อยู่แล้ว“ (อัล-กุรอ่าน 2:214)             

บางทีบรรยากาศของความยุติธรรมที่ Colorado ยังเบาบางเกินไป บางทีอัลลอฮมีโครงการที่ใหญ่กว่านั้นก็ได้ หลังจากนั้นไม่นาน อามีนะฮ์ อัซซิลมี กลับไปต่อสู้คดีในศาลอีกครั้งและนำกรณีของเธอสู่สื่อมวลชน ถึงแม้ว่าในที่สุดเธอก็ยังไม่ได้รับสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร แต่ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรม ถึงกรณีการตัดสิทธิการเลี้ยงดูบุตรไม่ควรตัดสินบนพื้นฐานของศาสนา แน่นอนความรักที่มีต่ออัลลอฮได้กลืนสู่จิตใจของเธอมากเหลือเกิน ไม่ว่าเธอจะไปไหน ผู้คนจะได้สัมผัสถึงความสวยงามและกิริยาท่าทางต่างๆตามวิถีอิสลาม และทำให้คนจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนเข้ารับศาสนาอิสลาม                       

เพราะการเข้ารับอิสลามของเธอ เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในตัวเธอในทางที่ดี เธอเปลี่ยนเป็นคนที่ดีกว่าเดิม มันมากจนทำให้ครอบครัวของเธอ ญาติพี่น้องของเธอ และผู้คนรอบๆตัวเธอ เริ่มเกิดความประทับใจในความเสมอต้นเสมอปลายของเธอ เกิดความประทับใจในความศรัทธาต่อศาสนาที่มีในตัวเธอซึ่งทำให้เธอเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าครอบครัวของเธอปฏิบัติต่อเธอไม่ค่อยดีนักในตอนแรกที่ทราบเรื่องของเธอ แต่เธอก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันเหมือนเดิม เธอยังคงเคารพพวกเขาโดยปราศจากความเย่อหยิ่ง เหมือนอย่างที่กุรอ่านสอนให้มุสลิมประพฤติตน เธอมักจะส่งการ์ดถึงพ่อแม่ของเธอตามโอกาสต่างๆ และแทบทุกครั้งไป เธอจะเขียนคำแปลกุรอ่านหรือไม่ก็คำแปลซุนนะฮลงไปในการ์ด โดยเธอจะไม่เขียนถึงที่มาของข้อความอันสวยงามนั้นๆ                         

เวลาผ่านไปไม่นาน สมาชิกคนแรกในครอบครัวของเธอที่ตัดสินใจเข้ารับอิสลามตามหลังเธอคือคุณย่าซึ่งอยู่ในวัยกว่า 100 ปี ของเธอนั่นเอง หลังจากที่ย่าของเธอเข้ารับอิสลามไม่นาน ย่าของเธอก็จากโลกนี้ไป “ในวันที่คุณย่ากล่าวซาฮาดะฮนั้น บาปต่างๆก็ถูกลบล้างไปหมดสิ้น ในขณะที่บุญต่างๆยังคงอยู่ คุณย่าได้เสียไปไม่นานหลังจากเข้ารับอิสลาม ซึ่งทำให้ฉันทราบว่า หนังสือเล่มที่บันทึกความดีของคุณย่าคงจะหนักน่าดู มันทำให้ฉันมีความสุขมากๆน“           

คนต่อไปในครอบครัวของเธอที่เข้ารับอิสลามคือ คุณพ่อของเธอนั่นเอง คุณพ่อที่ครั้งหนึ่งเกือบจะฆ่าเธอไปแล้ว การเข้ารับอิสลามของพ่อเธอ ทำให้นึกถึงเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของท่านอุมัร (radiyallahanhu) ท่านอุมัรคือซอฮาบัตท่านนบีมูฮัมหมัด (ซล) ซึ่งเคยเป็นคนที่ตามจองเวรเหล่ามุสลิมยุคแรกๆก่อนที่ท่านจะเข้ารับอิสลาม วันหนึ่งท่านทราบข่าวการเข้ารับอิสลามของน้องสาวท่าน ท่านออกไปโดยในมือมีดาบอยู่ มุ่งหน้าไปเพื่อจะฆ่าน้องสาวท่าน แต่เมื่อท่านได้ฟังกุรอ่านจากการอ่านของน้องสาวท่าน ท่านรับรู้ถึงความจริงและได้ตัดสินใจไปยังท่านนบีมูฮัมหมัด (ซล) เพื่อเข้ารับอิสลามในทันที                       

สองปีหลังจากที่เธอเข้ารับอิสลาม แม่ของเธอได้โทรหาเธอ แม่ของเธอกล่าวว่าเธอประทับใจในความศรัทธาของอิสลามและหวังว่าเธอ (อามีนะ) จะรักษามันไว้อย่างนั้นตลอดไป สองปีให้หลัง แม่ของเธอโทรมาอีกครั้งเพื่อถามว่า ถ้าคนๆนึงต้องการเปลี่ยนเป็นมุสลิม ต้องทำอย่างไรบ้าง? อามีนะฮตอบไปว่า คนๆนั้นจะต้องสาบานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นได้นอกจากอัลลอฮและมูฮัมหมัดคือศาสนทูตของท่าน แม่ของเธอกล่าวว่า “เรื่องนี้แม้แต่คนโง่ก็ทราบ แต่ฉันต้องการถามว่ามันจะต้องทำอะไรอีกบ้าง?“ เธอตอบแม่ของเธอไปว่า ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คนๆนั้นเชื่อและศรัทธา คนๆนั้นได้เป็นมุสลิมแล้ว ถึงตรงนี้แม่ของเธอกล่าวว่า “งั้นเหรอ? งั้นก็อย่าเพิ่งบอกพ่อของเธอหล่ะ“ ตกลงแม่ของเธอไม่ทราบเลยว่า ณ ตอนนั้น สามีของเธอ (พ่อเลี้ยงของอามีนะฮ) ได้คุยกับอามีนะฮในทำนองเดียวกันประมาณสองสามอาทิตย์ก่อนหน้านั้นแล้ว ตกลงสองคนนี้เป็นมุสลิมกันอย่างลับๆมากว่าปีโดยที่ต่างคนต่างเก็บเป็นความลับ                       

หกปีหลังจากได้หย่าจากสามีของเธอ อดีตสามีของเธอก็เข้ารับอิสลาม เขาได้กล่าวว่า ได้ติดตามดูเธอมาตลอดหกปี และต้องการให้ลูกสาวเขามีศาสนาเดียวกับเธอ เขาได้มาหาเธอและได้กล่าวคำขอโทษและขอให้เธอให้อภัยเขา เขาเป็นคนดีและสุภาพมากซึ่งอามีนะฮเองนั้นได้ให้อภัยเขามานานแล้วในเรื่องนั้น                       

บางทีสิ่งตอบแทนจากพระเจ้าที่ดีที่สุดเพิ่งตามมาเป็นอันดับสุดท้ายต่างหาก นั่นคือหลังจากที่เธอได้แต่งงานกับชายคนหนึ่ง ในขณะที่หมอเคยบอกเธอไปแล้วว่าเธอจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้อีก แต่อัลลอฮได้ตอบแทนเธอด้วยการตั้งครรภ์อีกครั้งและเธอได้บุตรชาย ถ้าอัลลอฮต้องการตอบแทนใครสักคน ใครจะห้ามได้? มันเป็นพรจากอัลลอฮอันมหัศจรรย์มาก เธอตัดสินใจตั้งชื่อบุตรของเธอว่า บารากะฮ

“มันไม่ได้ใช้เวลานานเลยที่ทำให้ฉันรับรู้ถึงพรอันประเสริธจากอัลลอฮ ฉันได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการแบ่งปันความจริงเกี่ยวกับอิสลามกับคนรอบข้าง มันไม่สำคัญเลยที่คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ จะเห็นด้วยหรือเข้าใจฉัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันคือการยอมรับจากอัลลอฮเท่านั้น ถึงตอนนี้ฉันพบว่าหลายต่อหลายคนรักฉันโดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลมากมาย ฉันมีความสุขมากเพราะฉันจำได้ว่าถ้าอัลลอฮรักใคร ท่านจะทำให้คนอื่นๆรักคนๆนั้นด้วย ฉันไม่ได้มีค่ามากมายจนควรค่าแก่ความรักเหล่านั้นหรอก แต่ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งตอบแทนที่มาจากอัลลอฮต่างหาก อัลลอฮผู้ยิ่งใหญ่“             

ความเสียสละที่ อามีนะฮ์ อัซซิลมี ได้ทำไปเพื่ออัลลอฮนั้นยิ่งใหญ่มาก อัลลอฮจึงตอบแทนด้วยความเมตตาและรางวัลอันยิ่งใหญ่ ครอบครัวของเธอได้ทิ้งเธอไปหลังจากที่เธอเข้ารับอิสลาม แต่ด้วยความเมตตาจากอัลลอฮ ในที่สุดสมาชิกในครอบครัวเธอส่วนใหญ่เข้ารับอิสลามเหมือนกัน เธอเสียเพื่อนๆไปหลังจากเข้ารับอิสลาม ในขณะที่ตอนนี้เธอเป็นที่รักของหลายต่อหลายคน เธอกล่าวว่า “เพื่อนๆที่รักเธอไม่ทราบว่ามาจากไหนมากมาย“ อัลลอฮให้ความเมตตาเธอมากมายจนไม่ว่าเธอจะไปไหนทุกๆคนรับรู้ถึงความสวยงามของอิสลามและยอมรับถึงความจริงในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนต่างศาสนิกและมุสลิมเอง ต่างมาหาเธอเพื่อขอคำปรึกษาและคำแนะนำ                       

เธอสูญเสียงานไปหลังจากเข้ารับอิสลาม แต่ตอนนี้เธอเป็นผู้อำนวยการของ International Union of Muslim Women. เธอมีโอกาสให้บรรยายธรรมในหลายต่อหลายแห่งทั่วทั้งประเทศและเธอยังคงเป็นที่ต้องการสูง องค์กรของเธอประสพความสำเร็จในการผลักดันให้มีแสตมป์วันรายอ (Eid Stamp) และได้รับการยอมรับจาก United States Postal Service ถึงแม้จะต้องใช้เวลาในการผลักดันหลายปี ในขณะนี้เธอกำลังผลักดันให้วันรายอของอิสลามเป็นหนึ่งในวันหยุดแห่งชาติ                       

เธอมีความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮเป็นอย่างสูง เชื่อมั่นต่อความเมตตาของท่าน เธอไม่เคยสูญเสียความศรัทธาในตัวท่านเลย ครั้งหนึ่งเธอได้รับผลการตรวจสุขภาพว่าเธอมีมะเร็ง คุณหมอบอกเธอว่าเธออาจจะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี แต่ความศรัทธาของเธอที่มีต่ออัลลอฮนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลย “เราทุกคนยังงัยก็ต้องตาย ฉันเชื่อมั่นว่าความเจ็บปวดของฉันเป็นหนึ่งในความเมตตาที่อัลลอฮมอบให้“ มีอุทาหรณ์อันยิ่งใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความรักของคนๆนึงที่มีต่ออัลลอฮอย่างมายมาย เธอได้กล่าวถึงเพื่อนคนหนึ่งที่มีชื่อว่า การิม อัลมีซาวี ผู้ซึ่งในที่สุดได้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเพียง 20 “ก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิตได้ไม่นาน เขาได้บอกเธอว่า อัลลออนั้นเป็นผู้ซึ่งมีความเมตตา ชายคนนี้ได้รับความเจ็บปวดจากโรคมะเร็งอย่างมาก แต่เขายังได้รับความรักที่ทอแสงจากอัลลอฮ เขาได้บอกว่า อัลลอฮคงมีความตั้งใจให้ฉันได้เข้าสวรรค์ด้วยสมุดบันทึกใสสะอาด การเสียชีวิตของเขาสอนให้ฉันได้คิด ขาสอนฉันถึงความรักและความเมตตาจากอัลลอฮ“ ขอความสรรเสริญจงมีแด่อัลลอฮ ในขณะนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง เธอคิดว่าการมีมะเร็งในตัวเธอเป็นความเมตตาจากอัลลอฮอย่างสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน                         

เรื่องราวความศรัทธาและบทลงโทษที่ อามีนะฮ์ อัซซิลมี ได้รับนั้นเป็นเรื่องราวที่ทำให้เรียนรู้ถึงบททดสอบและความสำเร็จที่ตามมาภายหลัง มันเป็นเรื่องราวของความสำเร็จที่มาจากความศรัทธาของเธอต่ออัลลอฮ เป็นเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจต่อพวกเราเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องราวของความเชื่อมั่นและไว้ใจต่ออัลลอฮ เป็นเรื่องราวของความรักและเมตตาจากอัลลอฮ และเป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงความจริงของสัญญาจากอัลลอฮ “จริงอยู่ อัลลอฮได้ทดสอบฉันอย่างที่ท่านได้สัญญาไว้ แต่สิ่งตอบแทนจากท่านที่ฉันได้รับมันมากเกินกว่าคนๆนึงจะคาดหวังไว้“

ขอให้อัลลอฮแสดงถึงความรักความเมตตาและความกรุณาต่อมุสลิมะฮ์ท่านนี้ต่อไป ขอให้อัลลอฮตอบแทนเธอให้เธอมีชีวิตที่ยืนยาวและสามารถสร้างผลงานทางศาสนาอิสลามต่อไป ขอให้อัลลอฮให้ประโยชน์แก่คนทั่วๆไปจากเรื่องราวของเธอ และขอให้ชี้นำจิตใจคนเหล่านั้นได้รับทราบถึงความเป็นจริง ความรัก และความเมตตาของท่าน

แปลโดย Sunshine
จาก http://www.famousmuslims.com/Aminah%20Assilmi.htm
เคยโพสไว้ที่ http://www.baanmuslimah.com/searchpre.php?idarticle=02e78&idroom=02&idsubroom=e

เรื่องราว….การเข้ารับอิสลามของ Aminah Assilmi เป็นเรื่องที่ซันไชน์ประทับใจมากที่สุดเท่าที่อ่านมา จริงๆ ได้ฟังเรื่องราวการรับอิสลามจากหลายๆคน หลายๆเคส แต่เรื่องนี้ประทับใจมากที่สุดก็ว่าได้ นึกถามตัวเอง ถ้าต้องอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอ ไม่รู้จะเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้ หรือ ตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดขนาดนั้นมั้ย? ขนาดเป็นมุสลิมมานาน อยู่ในสังคมมุสลิม ได้รับการศึกษาอิสลาม ฯลฯ เจออะไรนิดอะไรหน่อยก็ใจอ่อน ไม่สู้แล้ว นึกๆแล้วน่าอายจริงๆ…

ที่มา -->  http://deen2do.com/sunshine/archives/date/2007/03   myGreat:

nujjaba

  • บุคคลทั่วไป
Re: เปิดสมอง .. มอง Blog
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 07:53 PM »
0
‘ระหว่าง’ การเดินทาง

ศานติ…

ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุผลนานัปการที่ทำให้ผมต้อง เดินทาง กับยานพาหนะ ไล่ตั้งแต่… รถไฟ รถทัวร์ รถบัสทหาร รถตู้ รถสองแถว รวมไปถึงมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

คงเป็นเพราะว่า… ผมชอบการเดินทางมาตั้งแต่เด็กแล้วมั้ง จำได้ว่าครั้งแรกที่เดินทางออกจากบ้าน {โดยไม่บอกทางบ้าน} คือไปเที่ยวบ้านเพื่อนกับจักรยานคันโปรด {จักรยาน HARO} ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 2 กิโลเมตร ความรู้สึกตอนนั้นกลัวโดนที่บ้านจับได้ เพราะปกติจะไปไหนมาไหนต้องบอกทางบ้านตลอด แต่ครั้งนี้รู้แน่นอนว่าขืนบอกก็มีหวังอดยลโฉมและสัมผัสกับ เกมส์ใหม่ ที่เพื่อนอุตส่าห์นำเสนอ

แต่ความลับไม่มีในโลก… กลับบ้านก็โดนสำเร็จโทษตามระเบียบ ณ ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่า ทำไม… การณ์กลับเป็นเช่นนี้ แต่พอโตขึ้นบางสิ่งหลายๆ อย่างที่ได้สัมผัสมา ทำให้ทราบว่า เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ผมโดนแบบนั้น เพราะทำให้ผมเข็ดไปหลายปีทีเดียว

หลายๆ ครั้งที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวหรือไปไหนมาไหน ผมมักจะสนใจรอบๆ สองข้างทางเสมอ อีกอย่างผมชอบนั่งข้างหน้าด้วย เพราะชอบที่จะดูเส้นทาง โดยเฉพาะทางที่ผมไม่เคยไป ได้ดูวิถีชีวิตของคนรอบข้าง ซึ่งนั่นเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งจริงๆ ที่ได้มีโอกาสสัมผัส แต่… บางครั้งเรามักจะจินตนาการไปไกลแล้วล่ะว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เราประสบกับมันแค่… เศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเค้าเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ ขนาดคนรอบข้างที่เรารู้จักมักคุ้น บางครั้งเรารู้จักกับเค้าเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้นเอง ผมคิดว่า 'มันก็เหมือนเหรียญน่ะ' ที่มันมี 2 ด้าน อยู่ที่ว่าเค้าต้องการให้เรารู้จักในด้านไหน

ไหลไปเรื่อย… เลย เหลือบมองดูหัวข้อด้านบน 'ระหว่าง' การเดินทาง แต่ไหงมันกลายเป็นการอ่านใจคนไปซะงั้น คริคริ เมื่อก่อนสมัยที่ยังโลดแล่นบน space ผมมักจะขีดเขียนหรือร่างลงในกระดาษก่อนที่จะพิมพ์เป็นตัวอักษร แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นไดอารี่ฯ แห่งนี้ ผมกลับที่จะเขียนสดๆ ลงไป ไม่ชอบก็ลบออก หรือถ้าชอบก็เขียนต่อไป หลายวันก่อน อรูชาฮ ได้ comment ว่าไม่เก็บงานเขียนของตัวเองเลย ผมยิ้ม แล้วตอบว่า มันไม่แจ่ม หุหุ {แต่ผมชอบเก็บงานเขียนของคนอื่นน่ะ ^^}

อ่ะ… วกกลับมาหัวข้อเดิมต่อดีกว่า มนุษย์อยู่ในวังวนของการเดินทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นับตั้งแต่การเดินทางในครรภ์ของมารดา การเดินทางบนโลกดุนยา การเดินทางหลังความตาย {ไม่ว่าจะเป็นโลกบัรซัค ทุ่งมะฮซัร สะพานศิรอฏ เป็นต้น} เป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้มี 2 ทางเลือกนั่นก็คือ สวรรค์หรือนรก

จำได้ไหม… ว่าการเดินทางในครรภ์ของมารดาเราเป็นเช่นไร วัลลอฮ ฮุ อะอลัม รู้แต่เพียงว่าเมื่อครั้งที่เราลืมตาดูโลก เป็นที่น่าสังเกตว่าในขณะที่คนรอบข้างกำลังดีใจ หัวเราะ แต่กลับกลายเป็นว่าเรากำลังร้องไห้ ทำไม…

ผมมิอาจเอื้อมยกตัวอย่างทางวิชาการของแพทย์มาสนับสนุน แต่ผมขอแลกเปลี่ยนกับพี่น้องทุกคน ณ ตรงนี้ว่า เป็นไปได้ไหมที่ ทารกแรกเกิดมีความเสียดายกับสิ่งที่จากมา (นั่นคือ โลกของครรภ์มารดา) เนื่องเพราะว่า… เมื่อครั้งที่ทารกอยู่ในนั้น เค้ารู้สึกว่า เพียงพอแล้วสำหรับเค้า ไม่จำเป็นต้องเรียน ไม่จำเป็นต้องทำงาน ถึงเวลาทานอาหารก็มีมารดาอนุเคราะห์ให้ทางสายรก ทีนี้เมื่อถึงกำหนดคลอดออกมา ทำให้ทารกนั้นเกิดความระคนตกใจ แกมแปลกใจและเสียดาย เลยหาทางออกโดยการร้องไห้



และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน

แล้วเราทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิ อยู่ในที่พักอันมั่นคง (คือมดลูก)

แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือด แล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อ แล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง

หลังจากนั้น แท้จริงพวกเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน

แล้ว แท้จริงพวกเจ้าจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้น ในวันกิยามะฮ์

ซูเราะฮ อัล มุอมินูน อายะฮที่ 12 - 16
 


ฮ้าๆ… สมมติฐานฟังไม่ขึ้นเลยซิ คริคริ {มั่วได้ใจมากเลยเรา}

จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี นานเท่าไรแล้วน่ะที่เราได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด่านแรกผ่านมาแล้ว เหลืออีกหลายๆ ด่านที่เราต้องประสบพบเจอ
...
..
.
ทีนี้ สมมติว่าผมจะไป กรุงเทพมหานครฯ โดยรถไฟ ผมต้องมีเงินเพื่อที่จะชำระค่าโดยสารน่ะ ไม่งั้นคงไม่มีโอกาส หรือจะโบกรถดี มันก็ต้องลงทุนนั้นแหละ สรุป การที่เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งหนึ่งนั้น เราต้องลงทุนทั้งสิ้น

เช่นเดียวกับการเดินทางบนโลกใบนี้ ที่ต้องมีการลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่มนุษย์ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝัน



โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย… ข้าจะชี้แนะแนวทางแก่พวกเจ้าไหมเล่า ถึงการค้าที่จะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากการลงโทษอันเจ็บปวด

นั่นคือ พวกเจ้าต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ และต่อสู้ดิ้นรนในทางอัลลอฮ์ ด้วยทรัพย์สินของพวกเจ้าและชีวิตของพวกเจ้า นั่นเป็นการดียิ่งสำหรับพวกเจ้าหากพวกเจ้ารู้

พระองค์จะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้า ซึ่งการทำบาปของพวกเจ้า และจะทรงให้พวกเจ้าเข้าในสวนสวรรค์หลากหลาย มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างของสวนสวรรค์ และที่พำนักอันบรมสุขในสวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร นั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง

ซูเราะฮ อัศ ศ็อฟ อายะฮที่ 9 - 11


ลองถามตัวเราเองซิว่า ณ ตอนนี้ 'เรา' ได้ลงทุน {กับการเดินทางในครั้งนี้} ด้วย เวลาของเรา ทรัพย์สินของเรา และตัวของเรา ให้กับศาสนาอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง?


Blog  ของขาประจำ sunnahstudent นี่เอง   hehe -->  http://deen2do.com/musalmarn
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 27, 2008, 08:00 PM โดย nujjaba »

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
Re: ก๊อกๆๆ.. เยี่ยม Blog พี่น้อง
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 09:08 PM »
0
 salam
ชอบครับ กระทู้นี้  ส่งเสริมครับ (แต่ขอเป็นคนอ่านเหมือนเดิม)
วัสลาม

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด
Re: ก๊อกๆๆ.. เยี่ยม Blog พี่น้อง
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 09:45 PM »
0
 salam


ญาซากัลลอฮ คุณ nujjaba  หลายๆๆ  ค่ะ  เป็นกระทู้ที่ดีมากค่ะ
 mycool:
( ขอก๊อป  น่ะ   ;D ;D )

ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

ออฟไลน์ الأزاهرة

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 139
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ก๊อกๆๆ.. เยี่ยม Blog พี่น้อง
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ม.ค. 27, 2008, 10:08 PM »
0

Little Bird

by Dawud Wharnsby Ali


Little Bird, where has your mother gone?

นกน้อยเอ๋ย..

แม่ของเจ้าอยู่แห่งหนใด

Why are you here all alone?

ไฉนลำพังเพียงเจ้า ณ ที่นี่

Little bird where is your nest?

นกน้อยเอ๋ย..

รังของเจ้าอยู่แห่งหนใด

Why are you so far from all the rest?

ไยเจ้าจึงไกลห่างจากฝูง

Allah knows the language you speak.

อัลลอฮฺทรงรู้ซึ่งภาษาของเจ้า

And Allah can lift you high.

และอัลลอฮฺทรงปรีชายกเจ้าให้สูง

Allah can bring you home again,

พระองค์ทรงนำเจ้ากลับคืนรังได้อีกครั้ง

For Allah is stronger than I,

ด้วยอัลลอฮฺทรงอำนาจกว่าข้า

Allah is stronger than I.

พระองค์ทรงอำนาจกว่าข้า

Little Bird, I wish I could Understand the words you speak.

นกน้อยเอ๋ย..

ข้าปรารถนาจะเข้าใจในถ้อยคำที่เจ้ากล่าว

I wish that you could spend the day with me,

ข้าปรารถนาให้เจ้าใช้ช่วงเวลานี้กับข้า

We could sit and chat as you perch upon my knee.

เราคงสามารถนั่งสนทนากันได้ ขณะที่เจ้าเกาะอยู่บนตักของข้า

Allah knows the language you speak.

อัลลอฮฺทรงรู้ซึ่งภาษาของเจ้า

And Allah can lift you high.

และอัลลอฮฺทรงปรีชายกเจ้าให้สูง

Allah can bring you home again,

พระองค์ทรงนำเจ้ากลับคืนรังได้อีกครั้ง

For Allah is stronger than I,

ด้วยอัลลอฮฺทรงอำนาจกว่าข้า

Allah is stronger than I.

พระองค์ทรงอำนาจกว่าข้า

Little Bird, I’d love to take you home.

นกน้อยเอ๋ย..

ข้าปรารถนาจะนำเจ้ากลับสู่บ้านของเจ้า

Little Bird, your eyes enchant me so

นกน้อยเอ๋ย..

นัยน์ตาของเจ้าทำให้ข้าหลงใหล

Smiling moons in the dark night sky,

ดวงจันทร์ทอแสงยิ้มรับในคืนค่ำอันมืดมิด

I wish that I could lift you up to fly

ข้าปรารถนาจะยกเจ้าให้โบยบินขึ้นไป

Allah knows the language you speak.

อัลลอฮฺทรงรู้ซึ่งภาษาของเจ้า

And Allah can lift you high.

และอัลลอฮฺทรงปรีชายกเจ้าให้สูง

Allah can bring you home again,

พระองค์ทรงนำเจ้ากลับคืนรังได้อีกครั้ง

For Allah is stronger than I,

ด้วยอัลลอฮฺทรงอำนาจกว่าข้า

Allah is stronger than I.

พระองค์ทรงอำนาจกว่าข้า

I’ll tell you a secret my Little Bird,

ข้าจะบอกความลับหนึ่งแก่เจ้า ..

นกน้อยของข้า

Sometimes I feel alone just like you.

ในบางเวลาข้ารู้สึกโดดเดี่ยวเฉกเช่นเจ้า

But we should always know, Allah is nearby,

แต่เราต้องระลึกไว้เสมอ .. อัลลออฮฺทรงอยู่ข้างกายเรา

To hear to be pray and kiss each tear we cry.

พระองค์ทรงสดับทุกถ้อยคำที่เราวอนขอ..กราบกราน และร่ำไห้

Allah knows the language we speak.

อัลลอฮฺทรงรู้ซึ่งภาษาของเรา

And Allah will lift us high.

และอัลลอฮฺจะทรงยกเราให้สูง

Allah will bring us home again.

พระองค์จะทรงนำเรากลับสู่บ้านของเราอีกครั้ง

For Allah is stronger than you and I,

ด้วยอัลลอฮฺทรงอำนาจกว่าเจ้าและข้า

Allah is stronger than I.

พระองค์ทรงอำนาจกว่าข้า

Allah will bring us home again.

พระองค์จะทรงนำเรากลับสู่บ้านของเราอีกครั้ง

For Allah is stronger than you and I.

ด้วยอัลลอฮฺทรงอำนาจกว่าเจ้าและข้า

Allah is stronger than I.

พระองค์ทรงอำนาจกว่าข้า

บทภาษาไทย : พี่สาวคนโต

ที่มา -->  http://deen2do.com/taqwa
อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "ฟิรอูนกล่าวว่า ข้ามิได้ให้พวกท่านออกความเห็นนอกจากสิ่งที่ฉันมีความเห็นเท่านั้น และข้าจะไม่ชี้นำพวกเจ้านอกจากชี้ลู่ทางอันถูกต้องเท่านั้น"  ฆอฟิร 29  ดังนั้น ฟิรอูนจึงเป็นแบบฉบับผู้ที่ชอบกล่าวและเชื่อว่า "ข้าเท่านั้นที่ถูกและข้าเท่านั้นที่เป็นผู้ชี้ทางนำ"

โอเลี้ยงสิบบาท

  • บุคคลทั่วไป
Re: ก๊อกๆๆ.. เยี่ยม Blog พี่น้อง
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ม.ค. 28, 2008, 02:21 PM »
0
 salam

อ่านไปเจอบล็อกสนุกๆ  เลยเก็บมาฝากในกระทู้นี้  บล็อกที่มีชื่อแปลกๆว่า  "โต๊ะปิงปอง"

010 มีเกมมาให้เล่น

มาอัฟด้วยนะครับ ที่ห่างจากโต๊ะปิงปองไปนาน ไม่อยากแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้นครับ
ผมมีเกมมาให้เล่น 2-3 เกม ช่วยๆ กันคิดนิดนึงนะ คิดไม่ออกไม่เป็นไร
 
1.พ่อแก่ๆ คนนึงแบ่งมรดกให้ลูกชาย 4 คน โดยมรดกคือที่ดินดังรูปสีดำข้างล่าง กว้าง 40 คูณ 40 เมตร มีพื้นที่แหว่งไปส่วนหนึ่ง ขนาด 20 คูณ 20 เมตร ซึ่งเป็นที่ดินของคนอื่น  กติกามีอยู่ว่าต้องแบ่งที่ดิน (พื้นที่สีดำ)ออกเป็น 4 ส่วน เท่าๆ กัน และที่ดินของลูกแต่ละคนต้องเป็นเนื้อเดียวกันแบ่งอย่างไรครับ
 
2.ให้บังยูนุซเป็นคนสวน ได้รับมอบหมายให้ปลูกต้นไม้จำนวน 10 ต้น โดยจัดเป็น 5 แถว แถวละ 4 ต้น  บังยูนุซจะจัดอย่างไร ชาวต้นไม้ น่าจะจัดได้นะครับ
 
3.ห้องนอนบังยูนุซ สวิตช์ไฟกับเตียงนอนห่างกัน 5 เมตร บังยูนุซสามารถปิดไฟห้องนอนแล้วกระโดดลงบนเตียง โดยที่ห้องยังสว่างอยู่ได้มั้ยครับ
 
มีคำถามแค่นี้ครับ เอามาแก้ขัด คาดว่าคงให้บังยูนุซใช้สมองและเวลาพอสมควร
คนอื่นๆ ก็ตอบได้ครับ
วัสลาม

011 ตอบคำถามหรรษา

จากคำถามหรรษาของริสกี 3 ข้อ ข้อแรกคือการแบ่งมรดกที่ดินออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกัน ก่อนตอบเหลือบไปเห็นคำตอบของน้อง “พี่หนูดี” ที่ Comment ข้างล่างแล้ว  ก็เสียใจแทนริสกีด้วย ปริศนาด่านแรกถูกทำลายลงเสียแล้ว... ฮ่าๆๆ

แต่! โห...ผมอุตสาห์คิดได้เหมือนกันกลับถูกแย่งตอบซะแล้ว  ไม่เป็นไร  ดูคำตอบอีกอันเลยดีกว่า


นี่ไง..เห็นมั๊ย  มีจุดให้สี่พี่น้องใช้พบปะสังสรรค์กันด้วย  หรือเอาไว้ปลูกมุศ้อลลาให้ทั้งสี่ใช้ละหมาดร่วมกัน

ส่วนคำถามข้อที่สอง มอบหมายให้ "ปลูกต้นไม้จำนวน 10 ต้น ใน 5 แถว โดยปลูกได้แถวละ 4ต้นเท่านั้น"  อืมม... ยากพอดู  ถ้าเรียงโดยยังไม่ออกแบบวิธีเรียงจะได้ทั้งหมด 17 ต้น แบบนี้


อืมมม ต้องลืมวิธีเรียงแบบธรรมดาทิ้งไป  จงลืม..จงลืม..จงลืม..จงลืม..จงลืม..จงลืม..จงลืม..จงลืม.......... แล้วเรียงด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา
อืมมมมมมมมมม  ปรากฎว่าสามารถปลูกได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ครับ...


นี่ไง 5 แถว  แถวละ 4 ต้น  ก็แค่เอาหัวแถวแต่ละแถวมาชนกันเป็นรูปห้าเหลี่ยมคางแม้ว  แค่นี้ ก็ได้ 15 ต้นตามแล้ว  แต่โจทย์เขาบังคับว่าต้องสิบต้นนี่สิ ยังเกินไปตั้ง 5 ต้นแน่ะ   อืมม.. ผมว่าเขาต้องเขียนผิดแน่เลย  ไม่เป็นไร  เดี๋ยวลองใหม่ซิ

..............

........................

..............................

....................................

........................................... ปิ๊ง! คิดออกแล้ว  เชิญชมได้เลยครับ


นี่ไง  ก็แค่เพิ่มจุดตัดไปข้างในอีก  ให้แถวมันซ้อนกันให้มากที่สุด  แต่ละแถวก็จะได้ใช้ต้นไม้ร่วมกันให้มากที่สุด  จำนวนต้นไม้ก็จะสามารถลดลงได้อีก  ถึงจะเรียงกันไม่เป็นระเบียบซักหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้  ก็โจทย์ไม่ได้บังคับนี่  แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว 1.. 2.. 3.. 4.. 5……… 12!!!!  อ้าวสิบสอง!!!! ยังเกินอยู่อีกสองต้น  ไม่เป็นไรเอาใหม่

....................

.........................

..............................

....................................

............................................

...................................................

........................................................

..............................................................

...................................................................... เย่!


...................................................................................................เย่! จริงๆไม่เชื่อ นับดูดิ

ส่วนข้อสุดท้าย ให้ปิดสวิทซ์ไฟแล้วกระโดดลงไปนอนบนเตียงที่ห่างออกไปห้าเมตร  ขอเวลาห้าวินาที แปลงร่างเป็นศรีธนนชัยก่อน แต่นแต้นนนน...

วิธีที่ 1--- ง่ายมาก (เพราะลอกคำตอบน้อง “พี่หนูดี” มา คือปิดไฟตอนเที่ยงสี่สิบห้าซิครับ แดดจัดดี  ทีนี้ห้องก็ยังสว่างโร่เลย
วิธีที่ 2--- ไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะต้องลงทุนหน่อย ... ไปซื้อสวิตซ์ไปแบบมีระบบรีโมคอนโทรชั่น (รีโมท) มาติดตั้ง  แล้วทีนี้คุณก็นอนไขว่ห้างบนเตียงกดรีโมทของคุณตามสบาย
วิธีที่ 4--- หรือถ้าคุณมีงบประมาณจำกัด (บ้านจน) คุณก็แค่นอนอยู่บนเตียง  แล้วเรียกน้องชายที่นั่งทำการบ้านอยู่ห้องข้างๆ มาปิดให้
วิธีที่ 5--- ทำเหมือนวิธีที่ 4 แต่เปลี่ยนจากน้องชายเป็นน้องสาว.... 

ฯลฯ

จาก Blog  :  http://tohpingpong.spaces.live.com/feed.rss    mycool:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 28, 2008, 02:24 PM โดย โอเลี้ยงสิบบาท »

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: ก๊อกๆๆ.. เยี่ยม Blog พี่น้อง
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ม.ค. 28, 2008, 08:21 PM »
0
เสียงอะซาน งานดะอฺวะฮฺ และยะมาอะฮฺตับลีค

เสียงอะซานดังมาแผ่ว ๆ .. ทำให้เพื่อนที่มาหาที่บ้านถาม ‘แถวนี้มีสุเหร่าด้วยหรอ’
เพราะตลอดทางที่เดินเข้าบ้านมาต้นซอยท้ายซอย เพื่อนเดินมาหมดแล้วแต่ไม่เจอมัสยิดซักหลังเดียวเลยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
‘เปล่า เสียงตามสายน่ะ ดังมาจากซอยนู้น’ ปกติบ้านหนึ่งจะมีลำโพงหนึ่งอัน

แต่ด้วยความชราภาพของมันประกอบกับทางมัสยิดไม่ส่งคนมาดูแลทำให้ตอนนี้บ้านฉันกับบ้านคุณยายต้องแบ่งกัน โดยวางไว้บนกำแพง ลำโพงที่มีอายุเยอะแล้วยิ่งทำให้สิ่งเบาลงไปอีก

ในความเป็นจริงแล้ว เสียงอะซาน เป็นเสียงที่ดึงโลกที่ห่างไกลศาสนาออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะขณะที่ใครดูโทรทัศน์ฟังวิทยุบ้างฟังเพลงบ้าง เมื่อเสียงอะซานดัง เขาก็จะปิดเสียงวิทยุ โทรทัศน์ หรืออะไรก็ตามแต่ลง แล้วนั่งฟังเสียงอะซานจนจบ
เพราะไหม ? .. ไม่หรอกไม่เหมือนเสียงอิหม่ามที่มักกะฮฺ แต่มันทำให้หัวใจหลายหัวใจที่ได้ยินชุ่มชื่นจากการห่างหายโลกของศาสนาได้มากโขเลยทีเดียว
สำหรับฉันเสียงอะซาน เหมือนกับ ยะมาอะฮฺตับลีค หรือคนที่พวกคุณเรียกว่า พวกดะอฺวะฮฺ นั่นล่ะ

พวกเขาก็ไม่ได้ดูดี, ดีเด่ หรือเป็นคนดีมากมาย แต่การรู้สึกว่ายังมีคนกลุ่มนี้อยู่ในสังคมบ้านเรา ก็รู้สึกเย็น ๆ แปลกไหมล่ะ
ก็งานที่เขากำลังทำ ทำให้เห็นเป็นภาพน่ามองไม่น้อย ก็ดูสิ เขาเข้าหาคนที่ไม่รู้จัก

เขามักจับจุดระบมของสังคมออกแล้วตรงเข้าเยียวยาจุดนั้นอย่างนิ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป
คนติดยา, คนไม่ละหมาด, คนเล่นการพนัน, คนดื่มสุรา – มุสลิมทั้งนั้น อย่างเถียงนะว่าไม่มี .. ถามว่าใครล่ะรับหน้าที่นี้ไป คนปกติธรรมดาที่ไหนกล้าพอจะเดินเข้าไปลูบหลัง แล้วปลอบว่าอย่าทำเลยนะมันไม่ดี อัลลอฮฺไม่รัก ..

จริงอยู่การออกดะอฺวะฮฺเป็นแค่ซับเซตของงานดะอวะฮฺ แต่มองดี ๆ มันเป็นซับเซตที่มีระบบ ทำงานเป็นทีม และที่สำคัญเป็นทีมที่มีความหลากหลาย แต่ละคนในทีมต่างช่วยกันขัดเกลากันเอง ไม่แบ่งแยกว่าอีหม่านน้อยเข้าทีมนี้ไม่ได้นะ ใครสูบบุหรี่ห้ามเข้า .. ฯลฯ
‘ฟัตวาของเชคบินบาซที่เห็นด้วยกับดะอฺวะฮฺ ไม่เอามาพูด เลือกเอาแต่ฟัตวาที่ไม่เห็นด้วย’ ญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพูดให้ฟัง ทั้งที่ปกติก็เป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลา..แต่เวลานี้ดูออกว่าคงฉุนไม่น้อย

ฉันไม่รู้ว่าวัฒนธรรมการทำให้คนเห็นต่าง ทำงานต่าง วิถีชีวิตคนละแนว กลายเป็นศัตรูกันมันเริ่มที่ไหน แต่ฉันประณามมันโดยไม่ต้องสงสัย เพราะมันก็เหมือนอุดมการณ์ความคิดทั่ว ๆ ไปที่พร้อมจะแพร่ไปสู่เยาวชนอย่างง่ายดาย แล้วสุดท้ายสังคมเราจะเหลืออะไร นอกจากการแยกดี แยกงามไม่ออก คิดไม่เป็นว่าส่วนไหนดี ส่วนไหนไม่ดี สมควรเห็นด้วยกับส่วนไหน ส่วนไหนสมควรถูก Delete ไปจากสังคม

เพราะสำหรับฉัน - ยะมาอะฮฺ, กลุ่ม - ตับลีค ,คณะเก่า, คณะใหม่ หรือกระทั่งคนที่เรียกตัวเองว่าสลาฟีย์ ต่างมีส่วนที่ต้องปรับปรุงทั้งนั้น

อย่าเถียงว่าไม่จริง เพราะสุดท้ายมนุษย์ย่อมวนกลับมาสัจธรรมที่ว่า ’มนุษย์เต็มไปด้วยความผิดพลาด’ แล้วยิ่งอยู่รวมกันเป็นกลุ่มความผิดพลาดรวมย่อมเกิดขึ้น – ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ตาม ..

ที่มา -->  http://deen2do.com/chadumyen/
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged