อีกอย่างหนึ่ง ครับน้องabubuk นายmuminไม่เคยคิดที่จะมองดูตัวเองก่อนว่า เขามีมาได้อย่างไร และเขามาได้ยังไง ในดุนยานี้ เมื่อเขาไม่รู้จักตัวเอง แล้ว เขาไม่รู้จักอัลลออ์ ได้เลย
;Dดังนั้นการมุ่งร้ายต่อพี่น้องมุสลิมด้วยการถากถางไม่ว่าการพูดจาหรือแกล้ง ด้วยสาเหตุไดก็ตาม นั้นคือ สิ่งที่เขาโดยชัยตอนครอบงำเขาอย่างน่า สงสารเสียแล้ว วาฮาบีจะไม่เน้นวิชาตะเซาวุฟเพราะเขาถือว่าวิชานี้ ไม่มีในสมัยท่านนบี(ซล) แต่เขาจะเน้น อัลฮะดิส มากกว่า อัลกรุอ่าน จนบางครั้งความหนักเน้นในอัลฮะดิสนั้นดูจะมากกว่าการยึดมั่นในคำดำรัสของอัลลออ์อย่างน่าหดหู่ใจ
บางครั้ง ชาวอะลุ้ลฮาดิสนั้นมักจะมองข้าม กะลามมุ้ลลออ์ไปอย่างจงใจ ทั้งๆที่ การยึดมั่นนั้น อัลลออ์ต้องมาก่อน แต่วาฮาบีบางกล่มแถบจะทำชีริกท่านร้อซุ้ลเหนือกว่าอัลลออ์ คือ เมื่อท่านนบีพูดหรือกล่าวอะไรแล้ว อัลลออ์จะต้องกระทำตามในสิ่งที่ท่านร้อซุ้ลพูดและกระทำทุกอย่าง แบบบิดพริ้วไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ดูเหมือนว่า ท่านร้อซุลนั้นจะต้องมาก่อนเสมอ เพราะวาฮาบีจะเอาคำพูดของท่านร้อซุ้ลมาผูกมัดกับอัลลออ์ตลอดเวลา ตัวอย่าง
เช่นฮะดิสที่ท่านนบีกล่าวว่าซึ่งวาฮาบีกลุ่มหนึ่งที่ชอบฮุกมผู้อื่นว่าจะต้องตกนรกแน่นอนคือ
"كل بدعة ضلالة، وكل ضلالة في النار" [رواه النسائي في "سننه" (3/188 ـ 189
ทุกบิดอะฮ เป็นการหลงผิด และทุกการหลงผิดนั้น จะอยู่ในนรก รายงานโดย อัลนะสาอีย์ ในสุนันของท่าน 3/188-189
นี่คือการยึดตัวฮาดิส ตรงๆที่ไร้ความรู้ไม่ยอมรับการชี้แจงจากผู้รู้ที่พระองค์ทรงสร้างมาเพื่อการชี้แจงและอธิบายว่า ความหมายคำว่าบิดอะนั้นที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่ที่ท่านนบีทรงห้ามไว้
ดังนั้นความเข้าใจของวาฮาบีแบบคุณ มุมีนนั้นถือว่าอันตรายมาก ที่พาตัวเองไปร่วมตัดสินในสิ่งๆนี้
ด้วยเหตุที่เขาไม่รู้จักตัวเขาเองดีพอว่ามีความรู้มากน้อยแค่ไหน พอเห็นฮะดิส ก็ยึดติดและรับมันมาเลยโดนไม่พิจราณาใดและไม่ทำการศึกษาที่มาที่ไปของตัวบทฮาดิส แต่กลับไปรู้จักและเข้าใจฮะดิสเสียเอง
ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่าว่า
من عرف نفسه فقد عرف ربه
ผู้ที่รู้จักตัวเขาเองแล้วนั้น แน่นอน เขาย่อมรู้จักพระเจ้าของเขา
โดยที่ไม่มีสิ่งใดที่จะใกล้ชิดมากที่สุดไปกว่าตัวของท่าน เพราะถ้าหากท่านไม่รู้จักตัวของท่านเองแล้ว แน่นอนว่า ท่านจะรู้จักพระเจ้าผู้ทรงสร้างตัวของท่านได้อย่างไร?
ดังนั้น ถ้าหากท่านกล่าวว่า แท้จริง ฉันรู้จักตัวของฉันแล้ว ซึ่งความจริงท่านรู้จักเพียงร่างกายภายนอกเท่านั้น ซึ่งประกอบไปด้วย มือ เท้า ศีรษะและร่างกาย แต่ท่านไม่รู้ถึงสภาวะจิตวิสัยภายในตัวของท่าน ซึ่งเมื่อท่านเกิดความโทสะ ท่านก็จะทะเลาะวิวาท เมื่อมีอารมณ์ความใคร่ ท่านก็จะเสพสม เมื่อหิวท่านต้องรับประทาน เมื่อยามกระหายท่านต้องดื่ม
ซึ่งบรรดาสัตว์เดรัจฉานนั้นก็ล้วนมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เหมือนกับท่าน เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นแก่ท่านที่จะต้องรู้จักตัวของท่านเองอย่างแท้จริง จนกระทั่งสามารถรู้ได้ว่า สิ่งใดกันแน่ที่เป็นตัวของท่าน ท่านมาจากไหนในโลกใบนี้ จากสิ่งใดกระนั้นหรือที่ท่านถูกสร้างมา ด้วยเหตุใดที่ท่านมีความสุข และด้วยสิ่งใดที่ทำให้ท่านความทุกข์
แท้จริง ภายในจิตใจของท่านนั้น มีอยู่หลายลักษณะด้วยกัน
1. ลักษณะของสัตว์เดรัจฉาน
2. ลักษณะของสัตว์ร้าย
3. ลักษณะของชัยฏอน
4. ลักษณะของมะลาอิกะฮ์ ดังนั้น จิตวิญญาณจึงเป็นรัตถะแก่นแท้ของท่าน สิ่งที่นอกเหนือจากจิตวิญญาณนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ และเป็นสิ่งที่ถูกให้ยืมแก่ท่าน(ที่ไม่จีรัง) เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่ท่านจะต้องรู้จักต่อสิ่งนี้ คือต้องรู้ว่าสิ่งเหล่านั้น ย่อมต้องการอาหารและความผาสุก ความสุขของสัตว์เดรัจฉาน คือการที่มันได้มีการกิน การดื่ม การหลับนอน การสืบพันธุ์
ดังนั้น หากท่านเป็นส่วนหนึ่งจากพวกเขา ท่านก็จงหาปัจจัยยังชีพและการสืบพันธุ์ ความสุขของสัตว์ร้าย คือการจู่โจมและสังหารเยื่อ ความสุขของชัยฏอน คือ การหลอกลวง ความชั่วและกลอุบาย ดังนั้น ถ้าหากท่านเป็นส่วนหนึ่งจากพวกเขา ท่านก็จงกระทำเหมือนกับที่พวกเขาได้กระทำ , และความผาสุกของมะลาอิกะฮ์อยู่ในการเพ่งพิศ(คุณลักษณะ)ความวิจิตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่มีความโทสะ ไม่มีความใคร่
ดังนั้น หากท่านเป็นส่วนจากพวกเขา ท่านก็จงเพียรพยายามในการรู้จักจุดกำเนิดของท่าน จนกระทั่งรู้หนทางในสู่พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านจะบรรลุไปสู่การเพ่งพิศ(คุณลักษณะ) ความยิ่งใหญ่และ(คุณลักษณะ) ความวิจิตรงดงามของพระองค์ (5) ท่านจะหลุดพ้นจากข้อผูกมัดทางอารมณ์และความโกรธ ท่านจะรู้ว่าคุณลักษณะเหล่านี้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ถูกประกอบขึ้นในตัวของท่าน ซึ่งอัลเลาะฮ์จะไม่ทรงสร้างมัน(คือคุณลักษณะที่สี่) เพื่อให้ท่านเป็นจำเลยของมัน แต่พระองค์จะทรงสร้างมันเหล่านั้น เพื่อให้มันเป็นจำเลยของท่าน ท่านสามารถมัน(คุณลักษณะทั้งสี่) เพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง สามารถใช้มันเป็นพาหนะ ทำให้เป็นอาวุธเพื่อทำการล่า(สัตว์) โดยหาความสุขสำราญด้วยกับมันได้
ดังนั้น เมื่อท่านบรรลุถึงเป้าหมาย (แห่งการรู้จักพระองค์) ท่านก็จงต่อสู้มันภายใต้สองเท้า(ที่มั่นคง)ของท่าน และจงหวนกลับไปยังที่พำนักอันผาสุกของท่านเถิด ซึ่งนั้นก็คือ สถานที่พำนักสำหรับบุคคลพิเศษสำหรับพระองค์ แต่ที่พำนักของคนทั่วไปเป็นเพียงชั้นของสวรรค์ธรรมดาเท่านั้นเอง ดังกล่าวนี้ ท่านจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักความหมายต่างๆ เหล่านั้น(คุณลักษณะทั้งสี่) ด้วยการรู้จักตัวของท่านเองทีละน้อยๆ (เป็นลำดับขั้นตอน)
ดังนั้น ผู้ใดที่ไม่ทำความรู้จักความหมายเหล่านี้ ส่วนที่ได้รับของเขาก็คงเป็นเพียงแค่เปลือกนอก เนื่องจากสัจจะธรรมจะถูกปิดบังด้วยเปลือกนอกนั้น