ผู้เขียน หัวข้อ: แฉ!เบื้องหลังผมถูกแบนจากเวปอัซซุนนะ(วะฮาบี)  (อ่าน 6727 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ abubak

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 79
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam
ผมเองก็ไม่รู้ว่าคุณแกล้งโง่หรือโง่จริงกันแน่ครับ ผมนี่โพสต์อายะฮ์อัลกุรอ่าน
โดยที่ไม่ได้ตัดทอน เพื่อต้องการให้ทราบว่า ถ้ามุสลิมไม่รู้จักต่อสู้ ไม่รู้จักทำอะไรบ้างเลย
ผลที่เกิดมันจะเป็นยังไง จะโดนผู้อธรรม ทำลายมัสยิด ทำลายศาสนาอย่างไรบ้าง
ครั้น ถ้าผมจะโพสต์ไม่ครบ เดี๋ยวคุณก็มาหาว่าผมโพสต์ไม่ครบอายะฮ์อีกนั่นแหละ


บังๆครับที่นี้เรามาดูความโง่เขลาของmuminกันครับว่า สิ่งที่เขาได้กระทำให้เราเห็นนั้นมันมีอะไรบ้าง

1.เราจะเห็นว่า อายะกรุอ่านที่นายมุมียยกมานั้นมันคนละประเด็นกัน กับเรื่องการที่ชาววาฮาบีสลัฟพันธ์เทียมเดินออกประท้วงหน้าสถานทูตเดนมาร์ค
และบังอัลอัชฮารีย์ก็ได้อธิบายและทำการวิจารณ์ในการเข้าใจที่ผิดพลาดของวาฮบีตนนี้เรียบร้อยแล้ว

บังๆครับเรามาดูกันให้ชัดๆว่า วาฮบีมุมีนสลัฟพันธ์เทียมตนนี้ปล่อยความโง่จริงๆหรือแกล้งทำโง่กันแน่ เขากล่าวว่า

กุรอ่านเกี่ยวกับการที่มนุษย์ต้องญีฮาด

[22:40]الَّذِينَ أخْرِجوا مِن دِيَارِهِمْ بِغَيْرِ حَقٍّ إِلَّا أَنيَقولوا رَبّنَا اللَّه وَلَوْلَا دَفْع اللَّهِ النَّاسَ بَعْضَهم بِبَعْضٍ لَّهدِّمَتْصَوَامِع وَبِيَعٌ وَصَلَوَاتٌ وَمَسَاجِد يذْكَر فِيهَا اسْم اللَّهِكَثِيراً وَلَيَنصرَنَّ اللَّه مَن يَنصره إِنَّ اللَّهَ لَقَوِيٌّعَزِيزٌ

[22:40]บรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา โดยปราศจากความยุติธรรม นอกจากพวกเขากล่าวว่า อัลลอฮ์คือพระเจ้าของเราเท่านั้น และหากว่าอัลลอฮ์ทรงขัดขวางมิให้มนุษย์ต่อสู้ซึ่งกันและกันแล้ว บรรดาหอสวด และโบสถ์ (ของพวกคริสต์) และสถานที่สวด (ของพวกยิว) และมัสยิดทั้งหลายที่พระนามของอัลลอฮ์ ถูกกล่าวรำลึกอย่างมากมาย ต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน และแน่นอนอัลลอฮ์ จะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง
อัลลอฮ์อนุญาติขนาดนี้แล้ว แต่อัลอะชาอิเราะห์ก็ยังคงขอดุอาอ์เพียงอย่างเดียว ไม่ขอลงมือทำอะไรทั้งสิ้น
เอ้าๆ เอาเถอะ ไม่ลงมือทำอะไร อย่างน้อยด้วยลิ้นก็น่าจะทำอะไรบ้าง

นีคือสิ่งที่บังอัลอัชฮารีได้ตอกย้ำให้เขาได้รับรู้ถึงความหมายอายะนี้

อัลกุรอานอายะฮ์นี้  บ่งชี้ว่า  ผู้ที่ขับไล่เราออกจากมาตุภูิมิ  ก็ให้เราทำการญีฮาดต่อสู้ได้   แล้วมันเกี่ยวอะำไรกับเรื่องเดนมาร์ค  พวกเขาไม่ได้มาขับไล่อะไรเรานี่ครับ  ดังนั้นอายะฮ์นี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องการประท้วงเดินขบวนกันตามถนนนะครับ  ดังนั้นอย่าพยายามยกอัลกุรอานและฮะดิษมาสนับสนุนรูปแบบการประท้วงเลยครับ  เพราะมันไม่มีตัวบทของศาสนามาสนับสนุนเรื่องการประท้วงจริง ๆ   หากดูในประวัติศาสตร์อิสลามนั้น   พวกที่วางรูปแบบการประท้วงพวกแรกคือ  พวกขบถท่านคอลิฟะฮ์อุษมาน  พวกเขาได้ส่งสารไปตามหัวเมืองที่เป็นพวกพร้องของตนเพื่อประท้วง  และทำการรวมตัวมุ่งไปยังนครมะดีนะฮ์แล้วทำการปิดล้อมบ้านท่านคอลิฟะฮ์อุษมาน 

แต่ผมวิจาร์ณต่อว่า

การเดินประท้วงที่วาฮาบีสลัฟพันธ์เทียมบางกลุ่มที่อุตริกรรมที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมานั้นและกระทำกันเป็นประจำนั้นนั้นมันเป็นบิดอะที่ดอลาละทั้งเชิงศาสนาและดุนยาที่ไม่มีแบบฉบับมาก่อนและการที่สรวมใส่เสื้อผ้าที่เขียนว่ารักนบี ต้องออกมาประท้วงนั้น ถือว่า เป็นสิ่งที่บิดอะที่ฮารอมก็ว่าได้ เพราะมีหลายองค์กรที่เขาไม่กระทำเช่นนั้นแต่เขากลับที่จะออกมาคัดค้านด้วยความสันติโดยใช้วิธีที่เบาก่อนตามลำดับขั้นตอนและขบวนการเพื่อไม่ให้ชาวโลกกล่าวหาว่า มุสลิมหัวรุนแรง เอะอะก็เผาธงเผาสถานทูต  บางครั้งผมเห็นวาฮาบีนั้นมีความรุนแรงกว่าชีอะเรื่องมากในบางรื่องเพราะมีพฤติกรรมที่คล้ายๆกัน

และในความจริงนั้น การล้อเลียนนามชื่อท่านนบีนั้น  ไม่สมควรอยู่แล้วแต่เป็นเพียงความเข้าใจผิดของพวกเขาดังนั้นหน้าที่คือผู้รู้นั้นต้องให้ความเข้าใจแก่เขาเหล่านั้น ซึ่งเราก็ต้องสนับสนุนตรงนี้และเดนมาร์คก็ไม่ได้ขับไล่พี่น้องมุสลิมเราในประเทศของตนเหมือนชาวยิวในปาเสสไตน์และชีอะในอีรักและอัฟกัน  ฉนั้นมันคนละเรื่องกันที่นายมุมีนเข้าใจ

แต่ด้วยความที่เขาต้องการจะแฉในความเขลาของตัวเขาเองจริงๆครับว่า วาฮาบีสลัฟพันะเทียมตนนี้นั้นไม่เข้าใจอายะอัลกรุอ่านโองการนี้เลย พอเห็นภาษาอาหรับก็กระโดดเหยงๆยกลงมาเลยโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของสิ่งที่อัลเลาะประธานโองการนี้มา


ขออัลเลาะเปิดใจเขาด้วยเถอะครับ

ออฟไลน์ คนอยากรู้

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 621
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
 ;Dz
ผมว่าคงจะอยากนะครับน้องabubuk 

เพราะเล่นตะอัศสุบถึงขนาดไม่เปิดใจก่อนเลย อย่างนี้อัลลอฮ์คงจะไม่ฮีดายะ(ทางนำ)ให้แน่  เพราะขาดการอุสซอหอ อิติคาร

 ดังนั้นแนวทางที่เขาเลือกเดินคือหลงตามอุลามะวาฮาบีย์ที่ขาดความบรกัตใดๆ  แม้กระทั้ง การยกให้เป็นคนกอรามัตหรือวาลียุลลอฮ์ก็แทบไม่มี  เพราะพวกเขานั้นมีแต่การเน้นในหลักการฮาดิส(ฮูกมชาเราะ)แต่ไร้ฮากีกัต  คือไม่มีการมอบหมายใดๆให้กับอัลลอฮ์


เราจะเห็นว่า วาฮาบีย์นั้น เขาจะไมใชอบวิงวอนขอดุอาใดๆต่อพระองค์อัลลออ์ เป็นอันดับแรก ของการใช้ความอดทนและเป็นอาวุธที่ดีของมุฮ์มิน  แต่พวกเขาจะต้องใช้กำลังและถึงขั้นลงไม้ลงมือเป็นอันดับแรกเมื่อเกิดเหตุการ์ณใดๆกับพวกเขา   

การซอบัรนั้นจะไว้ทีหลัง  ทั้งที่อัลลอฮ์ทรงตักเตือนเราให้ใข้ความอดทนก่อน เมื่อเกิดเหตุใดก็ตาม และก็ใช้สติปัญญาหาหนทางในการแก้เป็นลำดับ  แต่วาฮาบีย์นั้นชอบที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แบบปากต่อปาก

ตัวอย่างความรุนแรงนั้นมีมากมายที่มันเกิดความเสียหายที่หลังที่จะตามมา  รุนแรงแล้วมันได้อะไร บ้างกับที่ผ่านมา  ทำไมเราไม่ยึดทางสายกลางในการแก้ปัญหาเป็นอันดับแรก

อิสลามเป็นศาสนที่สูงส่ง  ดังนั้นการที่สื่อสิ่งพิมพ์ของประเทศเดนมาร์คดูถูกนั้นก็ใช่ว่า จะเห็นด้วยกันทั้งประเทศ และก็ใช่ว่าศาสนาของพระองค์จะถูกดึงตามลงก็หาไม่  แต่กลับสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง  เพราะยิ่งเป็นที่ถูกมองจากคนต่างศาสนิกว่า  อิสลามนั้นทำไมจึงมีผู้คนนับถือมากและเพิ่มขึ้นทุกวัน  ทั้งๆที่เหล่าประเทศที่นับถือศาสนาเดิม(คริสต์)มีแต่ความตกต่ำและผู้นับถือหันมารับอิสลามมากยิ่งขึ้น

จึงเป็นธรรมดาว่า ปัจจุบันนี้แม้กระทั้งอเมริกาและยุโรปบางประเทศต้องผวากับอัตรการเจริญเติบโตของผู้เข้ารับอัลอิสลาม  ความอิจฉาของเขาจึงมีมาก ระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ของนิกายต่างๆของคริสตร์จักร์เริ่มจะมีการสนับสนุนเป็นยอดเงินลดลง  ยังคงเหลือแค่องค์กร เล็กๆเท่านั้น   

ดังนั้นความอิจฉาของประเทศเหล่านั้นจึงเบนเข็มมาที่การดูถูกบุคคลที่เป็นปฐมแรกที่เผยแพร่ความสมบูรณ์ของอิสลาม ที่นามว่า มุฮำมัด และตกเป็นเป้าหมายมาตลอด ในการดูกถูกและเกลียดชังท่าน  ซึ่งเป็นศาสนทูตองค์สุดท้าย  พวกเขาจึงล้อด้วยภาพการ์ตูนบ้าง ตัวอักษรบ้าง  จริงๆแล้ว  ภาพการตูนนนั้นคือการจิตนาการที่ไปไม่ถึงตัวศสนทูตของเราเลย  แต่ทำไมเราจึงเจ็บปวดด้วย

นี่คือความรักต่อท่านรอซุลแต่อีกมุมหนึ่ง คือการตูนมันก็เป็นการตูนวันยังค่ำ  ตรงนี้ต้องแยกให้ออก


อิสลามเรานั้นน่าจะร่วมมือกันเป็นหนึ่งเพื่ออกกฏหมายระหว่างประเทศ ห้ามที่จะดูถูกหรือใส่ร้าย ศาสดาซึ่งกันและกัน มากกว่าที่จะออกมาเย้วๆหน้าสถานทูต  แบบไม่มีที่มาจากการกระทำในอิสลาม


การแสดงออกถึงความรักต่อรอซุลของอัลลออ์นั้น  สามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ใครถันดด้านไหนก็กระทำได้  แต่ไม่ใช่กล่าวหาผู้ที่ไม่ร่วมกับกลุ่มคณะของตนว่า เป็นบุคคลนอกศาสนาที่ไม่รักต่อท่านนบี

ซึ่งผู้ที่กล่าวเช่นนี้นั้นถือว่า ใช้ไม่ได้ในการที่เขาออกมาพูดแบบไม่มีจิตสำนึก  โดยผูกมักแค่การแสดงออกต่อท่านนบีเพียภายนอก  แต่การเสียสละในทางปฏิบัติในเดือนที่ประเสริฐนั้น  พวกเขากลับรังเกียจและกลับดูถูกว่า  เป็นบิดอะที่ฮาร่อม   


วัลอิยาซุ้บิลลา......




ออฟไลน์ คนอยากรู้

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 621
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
อีกอย่างหนึ่ง ครับน้องabubuk  นายmuminไม่เคยคิดที่จะมองดูตัวเองก่อนว่า เขามีมาได้อย่างไร  และเขามาได้ยังไง ในดุนยานี้ เมื่อเขาไม่รู้จักตัวเอง แล้ว เขาไม่รู้จักอัลลออ์  ได้เลย



 ;Dดังนั้นการมุ่งร้ายต่อพี่น้องมุสลิมด้วยการถากถางไม่ว่าการพูดจาหรือแกล้ง ด้วยสาเหตุไดก็ตาม นั้นคือ สิ่งที่เขาโดยชัยตอนครอบงำเขาอย่างน่า สงสารเสียแล้ว วาฮาบีจะไม่เน้นวิชาตะเซาวุฟเพราะเขาถือว่าวิชานี้  ไม่มีในสมัยท่านนบี(ซล)   แต่เขาจะเน้น อัลฮะดิส   มากกว่า อัลกรุอ่าน  จนบางครั้งความหนักเน้นในอัลฮะดิสนั้นดูจะมากกว่าการยึดมั่นในคำดำรัสของอัลลออ์อย่างน่าหดหู่ใจ 

บางครั้ง ชาวอะลุ้ลฮาดิสนั้นมักจะมองข้าม กะลามมุ้ลลออ์ไปอย่างจงใจ  ทั้งๆที่ การยึดมั่นนั้น อัลลออ์ต้องมาก่อน  แต่วาฮาบีบางกล่มแถบจะทำชีริกท่านร้อซุ้ลเหนือกว่าอัลลออ์  คือ  เมื่อท่านนบีพูดหรือกล่าวอะไรแล้ว  อัลลออ์จะต้องกระทำตามในสิ่งที่ท่านร้อซุ้ลพูดและกระทำทุกอย่าง แบบบิดพริ้วไม่ได้  ไม่ว่ากรณีใดๆ   ดูเหมือนว่า ท่านร้อซุลนั้นจะต้องมาก่อนเสมอ  เพราะวาฮาบีจะเอาคำพูดของท่านร้อซุ้ลมาผูกมัดกับอัลลออ์ตลอดเวลา  ตัวอย่าง

เช่นฮะดิสที่ท่านนบีกล่าวว่าซึ่งวาฮาบีกลุ่มหนึ่งที่ชอบฮุกมผู้อื่นว่าจะต้องตกนรกแน่นอนคือ
 

"كل بدعة ضلالة، وكل ضلالة في النار" [رواه النسائي في "سننه" (3/188 ـ 189

ทุกบิดอะฮ เป็นการหลงผิด และทุกการหลงผิดนั้น จะอยู่ในนรก –รายงานโดย อัลนะสาอีย์ ในสุนันของท่าน – 3/188-189

นี่คือการยึดตัวฮาดิส ตรงๆที่ไร้ความรู้ไม่ยอมรับการชี้แจงจากผู้รู้ที่พระองค์ทรงสร้างมาเพื่อการชี้แจงและอธิบายว่า ความหมายคำว่าบิดอะนั้นที่แท้จริงมันคืออะไรกันแน่ที่ท่านนบีทรงห้ามไว้

ดังนั้นความเข้าใจของวาฮาบีแบบคุณ มุมีนนั้นถือว่าอันตรายมาก ที่พาตัวเองไปร่วมตัดสินในสิ่งๆนี้   

ด้วยเหตุที่เขาไม่รู้จักตัวเขาเองดีพอว่ามีความรู้มากน้อยแค่ไหน พอเห็นฮะดิส ก็ยึดติดและรับมันมาเลยโดนไม่พิจราณาใดและไม่ทำการศึกษาที่มาที่ไปของตัวบทฮาดิส  แต่กลับไปรู้จักและเข้าใจฮะดิสเสียเอง


ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่าว่า

من عرف نفسه فقد عرف ربه                                                             

                                        “ผู้ที่รู้จักตัวเขาเองแล้วนั้น  แน่นอน  เขาย่อมรู้จักพระเจ้าของเขา”

 โดยที่ไม่มีสิ่งใดที่จะใกล้ชิดมากที่สุดไปกว่าตัวของท่าน  เพราะถ้าหากท่านไม่รู้จักตัวของท่านเองแล้ว  แน่นอนว่า  ท่านจะรู้จักพระเจ้าผู้ทรงสร้างตัวของท่านได้อย่างไร? 

ดังนั้น  ถ้าหากท่านกล่าวว่า “แท้จริง  ฉันรู้จักตัวของฉันแล้ว”  ซึ่งความจริงท่านรู้จักเพียงร่างกายภายนอกเท่านั้น  ซึ่งประกอบไปด้วย  มือ  เท้า  ศีรษะและร่างกาย  แต่ท่านไม่รู้ถึงสภาวะจิตวิสัยภายในตัวของท่าน  ซึ่งเมื่อท่านเกิดความโทสะ   ท่านก็จะทะเลาะวิวาท  เมื่อมีอารมณ์ความใคร่  ท่านก็จะเสพสม  เมื่อหิวท่านต้องรับประทาน  เมื่อยามกระหายท่านต้องดื่ม 

ซึ่งบรรดาสัตว์เดรัจฉานนั้นก็ล้วนมีสิ่งต่างๆ  เหล่านี้เหมือนกับท่าน  เพราะฉะนั้น  จึงจำเป็นแก่ท่านที่จะต้องรู้จักตัวของท่านเองอย่างแท้จริง  จนกระทั่งสามารถรู้ได้ว่า  สิ่งใดกันแน่ที่เป็นตัวของท่าน  ท่านมาจากไหนในโลกใบนี้  จากสิ่งใดกระนั้นหรือที่ท่านถูกสร้างมา  ด้วยเหตุใดที่ท่านมีความสุข  และด้วยสิ่งใดที่ทำให้ท่านความทุกข์ 

แท้จริง  ภายในจิตใจของท่านนั้น มีอยู่หลายลักษณะด้วยกัน

1.   ลักษณะของสัตว์เดรัจฉาน

2.   ลักษณะของสัตว์ร้าย

3.   ลักษณะของชัยฏอน

4.   ลักษณะของมะลาอิกะฮ์
ดังนั้น  จิตวิญญาณจึงเป็นรัตถะแก่นแท้ของท่าน  สิ่งที่นอกเหนือจากจิตวิญญาณนั้น  ย่อมเป็นสิ่งที่แปลกใหม่  และเป็นสิ่งที่ถูกให้ยืมแก่ท่าน(ที่ไม่จีรัง)  เพราะฉะนั้น  จึงจำเป็นที่ท่านจะต้องรู้จักต่อสิ่งนี้  คือต้องรู้ว่าสิ่งเหล่านั้น  ย่อมต้องการอาหารและความผาสุก  ความสุขของสัตว์เดรัจฉาน  คือการที่มันได้มีการกิน  การดื่ม  การหลับนอน  การสืบพันธุ์

 ดังนั้น  หากท่านเป็นส่วนหนึ่งจากพวกเขา   ท่านก็จงหาปัจจัยยังชีพและการสืบพันธุ์  ความสุขของสัตว์ร้าย  คือการจู่โจมและสังหารเยื่อ  ความสุขของชัยฏอน  คือ  การหลอกลวง  ความชั่วและกลอุบาย  ดังนั้น  ถ้าหากท่านเป็นส่วนหนึ่งจากพวกเขา  ท่านก็จงกระทำเหมือนกับที่พวกเขาได้กระทำ  ,  และความผาสุกของมะลาอิกะฮ์อยู่ในการเพ่งพิศ(คุณลักษณะ)ความวิจิตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า  พวกเขาไม่มีความโทสะ  ไม่มีความใคร่ 

ดังนั้น  หากท่านเป็นส่วนจากพวกเขา  ท่านก็จงเพียรพยายามในการรู้จักจุดกำเนิดของท่าน  จนกระทั่งรู้หนทางในสู่พระผู้เป็นเจ้า  แล้วท่านจะบรรลุไปสู่การเพ่งพิศ(คุณลักษณะ) ความยิ่งใหญ่และ(คุณลักษณะ) ความวิจิตรงดงามของพระองค์ (5)   ท่านจะหลุดพ้นจากข้อผูกมัดทางอารมณ์และความโกรธ  ท่านจะรู้ว่าคุณลักษณะเหล่านี้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ถูกประกอบขึ้นในตัวของท่าน   ซึ่งอัลเลาะฮ์จะไม่ทรงสร้างมัน(คือคุณลักษณะที่สี่) เพื่อให้ท่านเป็นจำเลยของมัน  แต่พระองค์จะทรงสร้างมันเหล่านั้น  เพื่อให้มันเป็นจำเลยของท่าน   ท่านสามารถมัน(คุณลักษณะทั้งสี่) เพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง  สามารถใช้มันเป็นพาหนะ  ทำให้เป็นอาวุธเพื่อทำการล่า(สัตว์)  โดยหาความสุขสำราญด้วยกับมันได้ 

ดังนั้น  เมื่อท่านบรรลุถึงเป้าหมาย (แห่งการรู้จักพระองค์) ท่านก็จงต่อสู้มันภายใต้สองเท้า(ที่มั่นคง)ของท่าน  และจงหวนกลับไปยังที่พำนักอันผาสุกของท่านเถิด  ซึ่งนั้นก็คือ  สถานที่พำนักสำหรับบุคคลพิเศษสำหรับพระองค์  แต่ที่พำนักของคนทั่วไปเป็นเพียงชั้นของสวรรค์ธรรมดาเท่านั้นเอง  ดังกล่าวนี้  ท่านจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักความหมายต่างๆ  เหล่านั้น(คุณลักษณะทั้งสี่)  ด้วยการรู้จักตัวของท่านเองทีละน้อยๆ (เป็นลำดับขั้นตอน) 

ดังนั้น  ผู้ใดที่ไม่ทำความรู้จักความหมายเหล่านี้  ส่วนที่ได้รับของเขาก็คงเป็นเพียงแค่เปลือกนอก  เนื่องจากสัจจะธรรมจะถูกปิดบังด้วยเปลือกนอกนั้น

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่าว่า

من عرف نفسه فقد عرف ربه                                                             

                                        “ผู้ที่รู้จักตัวเขาเองแล้วนั้น  แน่นอน  เขาย่อมรู้จักพระเจ้าของเขา”
ขอโทษครับ ฮาดีสนี้อุสตาสผมบอกว่าเป็นฮาดีสموضوع แต่พี่อัลอัสฮารีบอกว่า มีการบอกเล่าแต่สายรายงานไม่ถึงท่านนบี หรือเข้าข่ายضعيف
ดูได้ที่ http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=1678.msg13195#msg13195
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
 salam

กระทู้นี้ เสวนากันไปพอสมควรแล้ว และคิดว่าคงไม่มีอะไรมากกว่านี้
ขออนุญาตปิดเลยนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 13, 2008, 10:18 PM โดย قطوف من أزاهير النور »
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

 

GoogleTagged