ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุใดจึงมีการลดฐานะในการเป็นพยานของสตรี?  (อ่าน 4309 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

เหตุใดจึงมีการลดฐานะในการเป็นพยานของสตรี?

1. อิสลามไม่ได้กำหนดให้การเป็นพยานของบุรุษเท่ากับการเป็นพยานของผู้หญิงสองคนในลักษณะโดยรวม  แต่ทว่ายังมีกรณีต่าง ๆ ที่ไม่สามารถรับการเป็นพยานได้นอกจากสตรีเท่านั้นและไม่สามารถรับการเป็นพยานของบุรุษได้เลย  กล่าวคือ  ในทุก ๆ กรณีที่เกี่ยวข้องกับสตรีจากสิ่งที่บุรุษไม่สามารถเห็นได้  ซึ่งดังกล่าวนี้  บ่งชี้ให้เราทราบว่า  การเป็นพยานนั้น  ขึ้นอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์และความรู้  ไม่ใช่บนพื้นฐานของความเป็นเพศสตรีและเพศบุรุษ

2.  ในกรณีต่าง ๆ ของการค้าขาย , การซื้อ , การประกอบการค้า , ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจในลักษณะโดยรวมนั้น  สตรีก็ยังคงทำงานโดยจำกัดขอบเขต  ประสบการณ์ของนางในสิ่งดังกล่าว มีน้อยกว่า หากคำนึงถึงประสบการณ์ของบุรุษที่มุ่งมั่นทำงานตลอดวันในสภาพที่สืบเนื่อง และด้วยเหตุดังกล่าวนี้  อัลกุรอานได้ให้แนวทัศนะที่ว่า การเป็นพยานของผู้บุรุษคนเดียวเท่ากับการเป็นพยานของสตรีสองคน กล่าวคือ ในแง่ที่ว่าประสบการณ์ของบุรุษใน ณ ที่นี้  ย่อมเท่าเทียบกับสตรีสองคน  ดังนั้น ในประเด็นนี้ไม่ใช่หมายความว่า  ไม่ไว้ใจต่อสตรีหรือลดฐานะของนาง  แต่มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ในชีวิตการทำงาน  และสตรีเองก็สามารถที่จะได้รับประสบการณ์เฉกเช่นนี้ได้  โดยที่ผู้พิพากษาสามารถรับการเป็นพยานของสตรีคนเดียวได้ ตราบใดที่เขามีความมั่นใจในสิ่งดังกล่าว  เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะรับการเป็นพยานของบุรุษที่ไม่รู้หนังสือเพียงคนเดียวที่ขาดประสบการณ์ พร้อมกับปฏิเสธการเป็นพยานของสตรีผู้มีความรู้และมีประสบการณ์ในชีวิตการทำงาน

3.  ยังมีอีกด้านหนึ่งที่อิสลามได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับกรณีของการเป็นพยานของบุรุษและสตรี  สรุปคือ  สตรีจะมีประจำเดือน  ซึ่งเป็นกรณีที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาและความแปรปรวนทางอารมณ์ และสืบเนื่องดังกล่าว  ทำให้มีผลกระทบต่อการเป็นพยานของนางเมื่อการเป็นพยานได้มีขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าว  นอกเหนือจากนั้น  สตรียังมีความอ่อนไหวมากว่าบุรุษ  ซึ่งบางครั้งอาจจะเกิดความสงสารและเห็นอกเห็นใจแก่ฝ่ายจำเลย  ดังนั้น  สิ่งดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อการเป็นพยานของนางโดยไม่ตั้งใจ และด้วยเหตุดังกล่าวนี้  อิสลามได้บ่งชี้ให้เห็นจากสภาพต่าง ๆ เช่นนี้  คือให้มีพยานสตรีสองคน ซึ่งเมื่อคนใดเกิดหลงลืมหรือผิดพลาด  แน่นอนว่า อีกคนหนึ่งสามารถเป็นส่วนเสริมข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดนั้นได้ (1)

แต่ใน ณ ที่นี้ ก็อนุญาตแก่ผู้พิพากษารับการเป็นพยานของสตรีคนเดียวได้  ตราบใดที่มีความมั่นใจในการเป็นพยานของนาง

-----------------
(1) ซูเราะฮ์ อัลบะกอเราะฮ์ 282

อ้างอิง จากหนังสือ حقائق إسلامية فى مواجهة حملات التشكيك "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม ในการเผชิญต่อการสร้างความสงสัย" ของท่าน ศาสตราจารย์ มะหฺมูด หัมดีย์ ซักซูก หน้า 105 - 106  ตีพิมพ์โดย สภาสูง เกี่ยวกับกิจการอิสลาม  ประเทศอียิปต์  ปี ฮ.ศ. 1422 - ค.ศ. 2001     
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
เหตุใดจึงมีการลดฐานะในการเป็นพยานของสตรี?

1. อิสลามไม่ได้กำหนดให้การเป็นพยานของบุรุษเท่ากับการเป็นพยานของผู้หญิงสองคนในลักษณะโดยรวม  แต่ทว่ายังมีกรณีต่าง ๆ ที่ไม่สามารถรับการเป็นพยานได้นอกจากสตรีเท่านั้นและไม่สามารถรับการเป็นพยานของบุรุษได้เลย  กล่าวคือ  ในทุก ๆ กรณีที่เกี่ยวข้องกับสตรีจากสิ่งที่บุรุษไม่สามารถเห็นได้  ซึ่งดังกล่าวนี้  บ่งชี้ให้เราทราบว่า  การเป็นพยานนั้น  ขึ้นอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์และความรู้  ไม่ใช่บนพื้นฐานของความเป็นเพศสตรีและเพศบุรุษ

2.  ในกรณีต่าง ๆ ของการค้าขาย , การซื้อ , การประกอบการค้า , ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจในลักษณะโดยรวมนั้น  สตรีก็ยังคงทำงานโดยจำกัดขอบเขต  ประสบการณ์ของนางในสิ่งดังกล่าว มีน้อยกว่า หากคำนึงถึงประสบการณ์ของบุรุษที่มุ่งมั่นทำงานตลอดวันในสภาพที่สืบเนื่อง และด้วยเหตุดังกล่าวนี้  อัลกุรอานได้ให้แนวทัศนะที่ว่า การเป็นพยานของผู้บุรุษคนเดียวเท่ากับการเป็นพยานของสตรีสองคน กล่าวคือ ในแง่ที่ว่าประสบการณ์ของบุรุษใน ณ ที่นี้  ย่อมเท่าเทียบกับสตรีสองคน  ดังนั้น ในประเด็นนี้ไม่ใช่หมายความว่า  ไม่ไว้ใจต่อสตรีหรือลดฐานะของนาง  แต่มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ในชีวิตการทำงาน  และสตรีเองก็สามารถที่จะได้รับประสบการณ์เฉกเช่นนี้ได้  โดยที่ผู้พิพากษาสามารถรับการเป็นพยานของสตรีคนเดียวได้ ตราบใดที่เขามีความมั่นใจในสิ่งดังกล่าว  เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะรับการเป็นพยานของบุรุษที่ไม่รู้หนังสือเพียงคนเดียวที่ขาดประสบการณ์ พร้อมกับปฏิเสธการเป็นพยานของสตรีผู้มีความรู้และมีประสบการณ์ในชีวิตการทำงาน

3.  ยังมีอีกด้านหนึ่งที่อิสลามได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับกรณีของการเป็นพยานของบุรุษและสตรี  สรุปคือ  สตรีจะมีประจำเดือน  ซึ่งเป็นกรณีที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาและความแปรปรวนทางอารมณ์ และสืบเนื่องดังกล่าว  ทำให้มีผลกระทบต่อการเป็นพยานของนางเมื่อการเป็นพยานได้มีขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าว  นอกเหนือจากนั้น  สตรียังมีความอ่อนไหวมากว่าบุรุษ  ซึ่งบางครั้งอาจจะเกิดความสงสารและเห็นอกเห็นใจแก่ฝ่ายจำเลย  ดังนั้น  สิ่งดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อการเป็นพยานของนางโดยไม่ตั้งใจ และด้วยเหตุดังกล่าวนี้  อิสลามได้บ่งชี้ให้เห็นจากสภาพต่าง ๆ เช่นนี้  คือให้มีพยานสตรีสองคน ซึ่งเมื่อคนใดเกิดหลงลืมหรือผิดพลาด  แน่นอนว่า อีกคนหนึ่งสามารถเป็นส่วนเสริมข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดนั้นได้ (1)

แต่ใน ณ ที่นี้ ก็อนุญาตแก่ผู้พิพากษารับการเป็นพยานของสตรีคนเดียวได้  ตราบใดที่มีความมั่นใจในการเป็นพยานของนาง

-----------------
(1) ซูเราะฮ์ อัลบะกอเราะฮ์ 282

อ้างอิง จากหนังสือ حقائق إسلامية فى مواجهة حملات التشكيك "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิสลาม ในการเผชิญต่อการสร้างความสงสัย" ของท่าน ศาสตราจารย์ มะหฺมูด หัมดีย์ ซักซูก หน้า 105 - 106  ตีพิมพ์โดย สภาสูง เกี่ยวกับกิจการอิสลาม  ประเทศอียิปต์  ปี ฮ.ศ. 1422 - ค.ศ. 2001     

สาเหตุหลักๆก็เนื่องมาจาก.......กลัวความใจอ่อนและอ่อนไหวอีกอย่างหนึ่งก็คือกลัวความไม่เข้มแข็งพอของสตรีใช่ไหมคะ..........
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^


สิทธิสตรีด้านบัญัติศาสนา


ในทัศนะของอิสลาม ทั้งหญิงและชาย พวกเขามีสิทธิ และหน้าที่ความรับผิดชอบต่อบทบัญญัติศาสนาโดยเท่าเทียมกัน เช่น

หากผู้ศรัทธาคนใด ไม่ว่าหญิงหรือชาย เมื่อเขาฝ่าฝืนบัญญัติ บทลงโทษของเขาจะได้รับเท่าเทียมกัน
(กุรอ่าน5:38) ?บรรดาผู้ลักขโมยชาย และหญิง??
(กุรอ่าน2:24) ?บรรดาผู้ผิดประเวณีหญิงและชาย??

ตามบัญญัติอิสลาม(เรียกว่า?ชารีอัต?) เมื่อมีข้อขัดแย้งกันเรื่องในเรื่องใดๆ จนต้องมีการเรื่องพยานมายืนยัน ในเรื่องเล็กน้อย จะใช้พยานสองคน ในเรื่องใหญ่ๆจะใช้พยานสี่คน โดยอิสลามถือว่า การใส่ร้ายหญิงที่มิได้ทำผิดประเวณีว่า นางทำผิดประเวณี เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง จะต้องนำพยานมาสี่คน

บทลงโทษว่าด้วยการ?ฆ่าตกตายตามกันไป? หากทายาทของผู้ตายที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ให้อภัยแก่ฆาตรกร การให้อภัยของเธอนั้น เป็นที่ยอมรับ ถึงแม้จะทำไปโดยไม่ปรึกษาทายาทคนอื่นๆเลยก็ตาม เช่นเดียวกับทายาทที่เป็นผู้ชาย

การปฎิบัติศาสนากิจของทั้งผู้ชายและผู้หญิง กระทำโดยเท่าเทียมกัน

 

เ รื่องการเป็นพยานของผู้หญิงสองคน เท่ากับผู้ชายเพียงคนเดียว ใช้ได้ในบางสถานการณ์ และจะเป็นสถานการณ์ที่ผู้หญิงโดยธรรมชาติมักมีความสงสารมากกว่าผู้ชายอยู่แล ้ว และอาจจะเห็นแก่อารมณ์ของตนเอง ทำให้ขั้นตอนยุติธรรมไม่สามารถดำเนินการต่อได้ เช่น

การตัดมือผู้กระทำความผิดฐานขโมย
การประหารตกตามกันไปแก่ฆาตรกร
การับมรดก และการดำเนินการตามคำสั่งเสียของผู้ตาย

เท่าที่นับดู ก็มีเท่านี้ที่ต้องใช่พยานสตรีมากกว่าชายในการลงโทษ

เรื่องทั่วๆไปที่เกี่ยวกับศาสนา พยานของผู้หญิงหนึ่งคน เทียบเท่ากับของผู้ชายหนึ่งคนโดยไม่มีเงื่อนไข เช่น

การเป็นพยานเห็นเดือนในการกำหนดเดือนอิสลาม
การเป็นพยานการพบปะของสายรายงานวจนะสองคน

ยังมีพยานบางเรื่องอีกเช่นกันที่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถให้การได้ และเมื่อมีคำพยานของชาย-หญิงขัดกัน คำพยานของหญิงจะเป็นที่ยอมรับเหนือกว่าชาย  เช่น

การให้นมของตนแก่เด็กคนนั้น คนนี้
การมา-หรือหยุดประจำเดือนของหญิงคนนั้น คนนี้ (ใช้ในช่วงขณะที่รอระหว่างสามีเสียชีวิต หรือหย่าตามกฏหมายอิสลาม) เป็นต้น

 

 




สิทธิสตรีเกี่ยวกับการบริหารปกครอง และการเมือง


ถ ึงแม้ว่าอิสลามจะไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเป็นผู้นำรัฐ แต่สิทธิและหน้าที่ของพวกนาง ในฐานะประชาชนคนหนึ่งก็มิได้สำคัญน้อยไปกว่าบุรุษเลย เราอาจแบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้ดังนี้



สตรีกับการเลือกผู้นำรัฐ(เลือกตั้ง)

ท ่านนบีมุฮัมมัด มิได้มีฐานะเป็นเพียงผู้นำด้านจิตวิญญาณแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผู้นำปวงชน และผู้นำรัฐในเวลาเดียวกันด้วย การยอมรับของประชาชนที่มีต่อผู้นำรัฐเป็นสิ่งจำเป็น ถึงแม้ท่านนบีเองไม่ต้องได้รับเลือกจากปวงชน ก็ยังได้ตำแหน่งเป็นผู้นำทางการเมือง การปกครองอยู่ดี แต่เพื่อเป็นการวางแนวทางแก่ขนรุ่นหลัง ท่านได้ปฎิบัติให้ประชาชนดูเป็นตัวอย่าง เรียกว่า ?การให้สัตยาบัน?(บัยอัต) ซึ่งสตรีก็มีสิทธิให้สัตยาบันแก่ผู้นำรัฐ เช่นเดียวบุรุษ
(กุรอ่าน60:12) ?โอ้ นะบีเอ๋ย เมื่อบรรดาหญิงผู้ศรัทธาได้มาหาเจ้าโดยพวกนางเพื่อให้ปฏิญาณแก่เจ้า??

สตรีกับการออกกฎหมาย

ค รั้งหนึ่ง ท่านอุมัร ซึ่งตอนนั้นท่านได้เป็นผู้นำรัฐอิสลามแล้วมีความต้องการที่จะกำหนดสินสอดขั้ นต่ำของเจ้าสาว และหากมีการหย่าเกิดขึ้น ก็ใช้ให้เจ้าผู้หญิงคืนสินสอดให้แก่ผู้ชาย ขณะนั้นเองมีผู้หญิงคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า อัลลอฮ์เองยังไม่กำหนดสินสอดขั้นต่ำ แล้วท่านเป็นใคร? จะมากำหนดสินสอดขั้นต่ำ พร้อมทั้งยกเอาโองการกุรอ่าน เป็นหลักฐาน
(กุร อ่าน4:4) ?และจงให้แก่บรรดาหญิงซึ่งมะฮัรของนาง ด้วยความเต็มใจ แต่ถ้านางเห็นชอบที่จะให้สิ่งหนึ่งแก่พวกเจ้าจากมะฮัรนั้นแล้ว ก็จงบริโภคสิ่งนั้น?
เมื่อท่านอุมัรได้ยินดังนั้น ท่านกล่าวว่า ?วันนี้อุมัรเป็นฝ่ายผิด ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นฝ่ายถูก?

แสดงให้เห็นหลายประการด้วยกัน
๑. ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่เป็นที่รู้จัก มิเช่นนั้น จะมีการกล่าวชื่อนางกำกับไว้
๒. แสดงถึงระดับการศึกษาของหญิงคนนั้น
๓. แสดงถึงสภาพสังคมการเมืองที่เปิดกว้างพร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชอย่างแทะจริง
๔. ผู้หญิงมีบทบาทในพลเมืองร่วมอย่างเท่าเทียมกันกับผู้ชาย

สตรีกับการแก้ไขวิกฤติการณ์

ใ นปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่7 ท่านนบีมุฮัมมัด พร้อมด้วยสาวกจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังมักกะฮ์ เพื่อแสวงบุญ แต่ชาวมักกะฮ์ซึ่งยังคงยึดครองสถานที่ศักสิทธิ์ดังกล่าวอยู่ ได้ขัดขวางท่านทุกวิถีทาง จนกระทั่งนำมาซึ่งข้อตกลงที่ว่า ?ท่านจพไม่แสวงบุญในปีนี้ แต่จะมาปีหน้าแทน? เรียกว่า ?สนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์?

สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวสร้างความหนักใจแก่บรรดาสาวกเป็นอย่างมาก นอกจากเงื่อนไขที่เอาเปรียบแล้ว การละทิ้งการแสวงบุญในปีนี้ เพื่อมาในปีถัดไป ดูจะเป็นเรื่องที่หนักที่สุด ท่านนบีทาบดีถึงความรู้สึกดังกล่าว แต่การออกคำสั่งให้สาวกทำการ ?โกนผม? และ?เชือดสัตว์พลี? ซึ่งเป็นสัญญาณการสิ้นสุดของการแสวงบุญ ทั้งๆที่ยังไม่ได้แสวงบุญเลย ได้สร้างความหนักใจแก่ท่านไม่น้อย หากท่านออกคำสั่งแล้วคนปฎิบัติตาม นั่นก็เป็นผลดี แต่หากท่านออกคำสั่งแล้ว สาวกดื้อดึง หรือล่าช้า ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้น น่าจะออกมาในรูปหลัง

ท่านปรึกษาเรื่องนี้กับภรรยาของท่านคือ ท่านหญิงอุมมุ้ลซัลมา ท่านหญิงได้เสนอทางออกแก่ท่านว่า ?ท่านจงออกไป ทำการโกนผม และเชือดสัตว์พลี โดยไม่ใช้คำพูดสั่ง แต่ใช้ตัวท่านเอง เป็นบบฉบับ? ท่านก็ทำตามที่ท่านหญิงแนะนำ ผลปรากฎว่า บรรดาสาวกของท่านทำตามท่านทันทีโดยไม่มีการรีรอ
?..วิกฤติที่คลี่คลายได้ด้วยผู้หญิงเพียงคนเดียว?..

ครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสิทธิ และบทบาทสตรีในโลกอิสลาม จะเห็นได้ชัดครับว่า สตรีในอิสลาม มีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุรุษเลยแม้แต่น้อย หากจะเทียบ อาจเทียบได้เช่นกันกับ นักเรียนสองคนในชั้นที่ได้คะแนนรวมเท่ากัน แต่เมื่อแบ่งออกมาเป็นรายวิชาแล้ว ปรากฎว่า ในบางวิชานักเรียนคนแรกได้คะแนนมากกว่า อีกวิชานักเรียนคนที่สองได้คะแนนมากกว่า แต่เมื่อสรุปผลออกมาแล้ว นักเรียนทั้งคู่ได้คะแนนเท่าๆกันนั่นเองครับ

แนวคิดของอิสลามเรื่องสิทธิสตรี วางพื้นฐานอยู่บน?ความเท่าเทียมกัน?(Equality) ไม่ใช่ ?การเลียนแบบพฤติกรรม?(Identicality)



ที่มา : คุณการ์ฟิลด์  http://deen2do.com/sastudent

يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด


สิทธิสตรีด้านบัญัติศาสนา


ในทัศนะของอิสลาม ทั้งหญิงและชาย พวกเขามีสิทธิ และหน้าที่ความรับผิดชอบต่อบทบัญญัติศาสนาโดยเท่าเทียมกัน เช่น

หากผู้ศรัทธาคนใด ไม่ว่าหญิงหรือชาย เมื่อเขาฝ่าฝืนบัญญัติ บทลงโทษของเขาจะได้รับเท่าเทียมกัน
(กุรอ่าน5:38) ?บรรดาผู้ลักขโมยชาย และหญิง??
(กุรอ่าน2:24) ?บรรดาผู้ผิดประเวณีหญิงและชาย??

ตามบัญญัติอิสลาม(เรียกว่า?ชารีอัต?) เมื่อมีข้อขัดแย้งกันเรื่องในเรื่องใดๆ จนต้องมีการเรื่องพยานมายืนยัน ในเรื่องเล็กน้อย จะใช้พยานสองคน ในเรื่องใหญ่ๆจะใช้พยานสี่คน โดยอิสลามถือว่า การใส่ร้ายหญิงที่มิได้ทำผิดประเวณีว่า นางทำผิดประเวณี เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง จะต้องนำพยานมาสี่คน

บทลงโทษว่าด้วยการ?ฆ่าตกตายตามกันไป? หากทายาทของผู้ตายที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ให้อภัยแก่ฆาตรกร การให้อภัยของเธอนั้น เป็นที่ยอมรับ ถึงแม้จะทำไปโดยไม่ปรึกษาทายาทคนอื่นๆเลยก็ตาม เช่นเดียวกับทายาทที่เป็นผู้ชาย

การปฎิบัติศาสนากิจของทั้งผู้ชายและผู้หญิง กระทำโดยเท่าเทียมกัน

 

เ รื่องการเป็นพยานของผู้หญิงสองคน เท่ากับผู้ชายเพียงคนเดียว ใช้ได้ในบางสถานการณ์ และจะเป็นสถานการณ์ที่ผู้หญิงโดยธรรมชาติมักมีความสงสารมากกว่าผู้ชายอยู่แล ้ว และอาจจะเห็นแก่อารมณ์ของตนเอง ทำให้ขั้นตอนยุติธรรมไม่สามารถดำเนินการต่อได้ เช่น

การตัดมือผู้กระทำความผิดฐานขโมย
การประหารตกตามกันไปแก่ฆาตรกร
การับมรดก และการดำเนินการตามคำสั่งเสียของผู้ตาย

เท่าที่นับดู ก็มีเท่านี้ที่ต้องใช่พยานสตรีมากกว่าชายในการลงโทษ

เรื่องทั่วๆไปที่เกี่ยวกับศาสนา พยานของผู้หญิงหนึ่งคน เทียบเท่ากับของผู้ชายหนึ่งคนโดยไม่มีเงื่อนไข เช่น

การเป็นพยานเห็นเดือนในการกำหนดเดือนอิสลาม
การเป็นพยานการพบปะของสายรายงานวจนะสองคน

ยังมีพยานบางเรื่องอีกเช่นกันที่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถให้การได้ และเมื่อมีคำพยานของชาย-หญิงขัดกัน คำพยานของหญิงจะเป็นที่ยอมรับเหนือกว่าชาย  เช่น

การให้นมของตนแก่เด็กคนนั้น คนนี้
การมา-หรือหยุดประจำเดือนของหญิงคนนั้น คนนี้ (ใช้ในช่วงขณะที่รอระหว่างสามีเสียชีวิต หรือหย่าตามกฏหมายอิสลาม) เป็นต้น

 

 




สิทธิสตรีเกี่ยวกับการบริหารปกครอง และการเมือง


ถ ึงแม้ว่าอิสลามจะไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเป็นผู้นำรัฐ แต่สิทธิและหน้าที่ของพวกนาง ในฐานะประชาชนคนหนึ่งก็มิได้สำคัญน้อยไปกว่าบุรุษเลย เราอาจแบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้ดังนี้



สตรีกับการเลือกผู้นำรัฐ(เลือกตั้ง)

ท ่านนบีมุฮัมมัด มิได้มีฐานะเป็นเพียงผู้นำด้านจิตวิญญาณแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผู้นำปวงชน และผู้นำรัฐในเวลาเดียวกันด้วย การยอมรับของประชาชนที่มีต่อผู้นำรัฐเป็นสิ่งจำเป็น ถึงแม้ท่านนบีเองไม่ต้องได้รับเลือกจากปวงชน ก็ยังได้ตำแหน่งเป็นผู้นำทางการเมือง การปกครองอยู่ดี แต่เพื่อเป็นการวางแนวทางแก่ขนรุ่นหลัง ท่านได้ปฎิบัติให้ประชาชนดูเป็นตัวอย่าง เรียกว่า ?การให้สัตยาบัน?(บัยอัต) ซึ่งสตรีก็มีสิทธิให้สัตยาบันแก่ผู้นำรัฐ เช่นเดียวบุรุษ
(กุรอ่าน60:12) ?โอ้ นะบีเอ๋ย เมื่อบรรดาหญิงผู้ศรัทธาได้มาหาเจ้าโดยพวกนางเพื่อให้ปฏิญาณแก่เจ้า??

สตรีกับการออกกฎหมาย

ค รั้งหนึ่ง ท่านอุมัร ซึ่งตอนนั้นท่านได้เป็นผู้นำรัฐอิสลามแล้วมีความต้องการที่จะกำหนดสินสอดขั้ นต่ำของเจ้าสาว และหากมีการหย่าเกิดขึ้น ก็ใช้ให้เจ้าผู้หญิงคืนสินสอดให้แก่ผู้ชาย ขณะนั้นเองมีผู้หญิงคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า อัลลอฮ์เองยังไม่กำหนดสินสอดขั้นต่ำ แล้วท่านเป็นใคร? จะมากำหนดสินสอดขั้นต่ำ พร้อมทั้งยกเอาโองการกุรอ่าน เป็นหลักฐาน
(กุร อ่าน4:4) ?และจงให้แก่บรรดาหญิงซึ่งมะฮัรของนาง ด้วยความเต็มใจ แต่ถ้านางเห็นชอบที่จะให้สิ่งหนึ่งแก่พวกเจ้าจากมะฮัรนั้นแล้ว ก็จงบริโภคสิ่งนั้น?
เมื่อท่านอุมัรได้ยินดังนั้น ท่านกล่าวว่า ?วันนี้อุมัรเป็นฝ่ายผิด ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นฝ่ายถูก?

แสดงให้เห็นหลายประการด้วยกัน
๑. ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่เป็นที่รู้จัก มิเช่นนั้น จะมีการกล่าวชื่อนางกำกับไว้
๒. แสดงถึงระดับการศึกษาของหญิงคนนั้น
๓. แสดงถึงสภาพสังคมการเมืองที่เปิดกว้างพร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชอย่างแทะจริง
๔. ผู้หญิงมีบทบาทในพลเมืองร่วมอย่างเท่าเทียมกันกับผู้ชาย

สตรีกับการแก้ไขวิกฤติการณ์

ใ นปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่7 ท่านนบีมุฮัมมัด พร้อมด้วยสาวกจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังมักกะฮ์ เพื่อแสวงบุญ แต่ชาวมักกะฮ์ซึ่งยังคงยึดครองสถานที่ศักสิทธิ์ดังกล่าวอยู่ ได้ขัดขวางท่านทุกวิถีทาง จนกระทั่งนำมาซึ่งข้อตกลงที่ว่า ?ท่านจพไม่แสวงบุญในปีนี้ แต่จะมาปีหน้าแทน? เรียกว่า ?สนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์?

สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวสร้างความหนักใจแก่บรรดาสาวกเป็นอย่างมาก นอกจากเงื่อนไขที่เอาเปรียบแล้ว การละทิ้งการแสวงบุญในปีนี้ เพื่อมาในปีถัดไป ดูจะเป็นเรื่องที่หนักที่สุด ท่านนบีทาบดีถึงความรู้สึกดังกล่าว แต่การออกคำสั่งให้สาวกทำการ ?โกนผม? และ?เชือดสัตว์พลี? ซึ่งเป็นสัญญาณการสิ้นสุดของการแสวงบุญ ทั้งๆที่ยังไม่ได้แสวงบุญเลย ได้สร้างความหนักใจแก่ท่านไม่น้อย หากท่านออกคำสั่งแล้วคนปฎิบัติตาม นั่นก็เป็นผลดี แต่หากท่านออกคำสั่งแล้ว สาวกดื้อดึง หรือล่าช้า ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้น น่าจะออกมาในรูปหลัง

ท่านปรึกษาเรื่องนี้กับภรรยาของท่านคือ ท่านหญิงอุมมุ้ลซัลมา ท่านหญิงได้เสนอทางออกแก่ท่านว่า ?ท่านจงออกไป ทำการโกนผม และเชือดสัตว์พลี โดยไม่ใช้คำพูดสั่ง แต่ใช้ตัวท่านเอง เป็นบบฉบับ? ท่านก็ทำตามที่ท่านหญิงแนะนำ ผลปรากฎว่า บรรดาสาวกของท่านทำตามท่านทันทีโดยไม่มีการรีรอ
?..วิกฤติที่คลี่คลายได้ด้วยผู้หญิงเพียงคนเดียว?..

ครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสิทธิ และบทบาทสตรีในโลกอิสลาม จะเห็นได้ชัดครับว่า สตรีในอิสลาม มีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุรุษเลยแม้แต่น้อย หากจะเทียบ อาจเทียบได้เช่นกันกับ นักเรียนสองคนในชั้นที่ได้คะแนนรวมเท่ากัน แต่เมื่อแบ่งออกมาเป็นรายวิชาแล้ว ปรากฎว่า ในบางวิชานักเรียนคนแรกได้คะแนนมากกว่า อีกวิชานักเรียนคนที่สองได้คะแนนมากกว่า แต่เมื่อสรุปผลออกมาแล้ว นักเรียนทั้งคู่ได้คะแนนเท่าๆกันนั่นเองครับ

แนวคิดของอิสลามเรื่องสิทธิสตรี วางพื้นฐานอยู่บน?ความเท่าเทียมกัน?(Equality) ไม่ใช่ ?การเลียนแบบพฤติกรรม?(Identicality)



ที่มา : คุณการ์ฟิลด์  http://deen2do.com/sastudent




ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลย..........หาข้อมูลได้ดีมากๆค่ะ
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^



จากข้างบน


อ้างถึง

เรื่องมีอยู่ว่า มีสตรีนางหนึ่งพยายามนำเสนอตนเองว่าผู้หญิงนั้นสามารถเป็นผู้นำเท่าเทียมเหมือนผู้ชาย นางนี้มักบอกกับสังคมว่า ผู้ชายบางครั้งไม่มีความสามารถ อ่อนแอ จึงทำให้นางจำเป็นต้องเป็นผู้นำแทนผู้ชายจนถึงทุกวันนี้ และมักจะเรียกร้องสิทธิของสตรีที่เกินเลยกรอบของศาสนา เช่น ไม่เห็นด้วยที่มีภรรยาได้ 4 คน เป็นปัญหาความยุติรรมต่อคนที่ 1 และมักจะเรียกร้องไปว่า เราต้องรักเดียวใจเดียวเท่านั้น ผู้ชายชอบเจ้าชู้ ผู้ชายชอบแอบมีภรรยาคนที่ 2 อยู่เสมอ ชอบมีกิ๊กนอกทำเนียบ จึงจำเป็นที่เรานั้นต้องลุกขึ้นมาเรียกความเป็นธรรม นางกล่าวเช่นนี้อย่างบ่อยครั้ง อยากให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้




ไปเจออันนี้มา จาก  อบูนัซซอเราะฮฺ , http://ibnuubbas.spaces.live.com/   






สิทธิและหน้าที่

 

?แล้วพระเจ้าของพวกเขาก็ตอบรับพวกเขาว่า แท้จริงข้าจะไม่ให้สูญเสียซึ่งงานของผู้ทำงานคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม...? อาละอิมรอน : 195

การฉายภาพของกุรอานอายะฮฺนี้บ่งบอกถึงความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงสำหรับการตอบแทนความดีจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา คือส่วนหนึ่งที่อิสลามได้นำเสนอต่อสังคมโลก

            กระนั้นหลายคนก็ไม่วายมองอิสลามว่าไม่เป็นธรรมบ้าง มอบสิทธิให้บุรุษมากกว่าสตรีบ้าง ถ้าจะใช้มารตรฐานของตะวันตกก็คงต้องเข้าใจอย่างนี้ต่อไป..ผมในฐานะมุสลิมคนหนึ่งขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่จาบจ้วงอิสลามโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์รวมถึงข้อกล่าวหาแรกว่าอิสลามไม่เป็นธรรม แต่ต้องยอมรับโดยสิโรราพในข้อที่สองว่าบุรุษมีสิทธิมากกว่าสตรี (ในบางเรื่อง) จริง อันนี้ผมไม่เถียง

            ก่อนจะฟังเหตุผล ถ้าต้องการความจริง กรุณาถอดแว่นตาอันเก่าออก แว่นที่ใช้เลนส์มองของยิว นะซอรอ และผู้ไม่หวังดีต่ออิสลาม..แล้วมองอิสลามใหม่อีกครั้ง เป็นงัยบ้าง..ไม่เป็นไรถ้ายังเบลออยู่พักสายตาด้วยเรื่องเล่าเบาสมองย่อหน้าถัดไปนี้

            ณ โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวง นักเรียนมาเรียนตามปกติ ที่ไม่ปกติคือครูยังไม่มา นักเรียนคุยกันแซ่ดดดดทั้งห้อง..ลุกเดินกันจ้าละหวั่น ครูมาถึงเข้าห้องเรียน เริ่มสอน เหตุการณ์กลับตาลปัตรทุกคนนั่งเงียบ ปล่อยให้ครูเดินไปมาและพูดคุยอยู่คนเดียว

                คุณคิดว่านักเรียนเหล่านี้กำลังถูกริดรอนสิทธิจากกฎระเบียบของโรงเรียน ครูกำลังเอาเปรียบนักเรียนใช่มั๊ย?   

                หรือว่า...?

                ถ้าครูมีหน้าที่รับผิดชอบ (ด้านการสอนและเตรียมสอน) ก็สมควรได้รับสิทธิบางอย่างมากกว่านักเรียน

                ครูจะนั่งสอน ยืนสอน หรือเดินสอนก็ได้ แต่นักเรียนไม่มีสิทธิยืนหรือเดินในห้องเรียนนอกจากได้รับอนุญาตจากครู

                ครูจะพูด หรือเขียนตอนไหนก็ได้ แต่นักเรียนต้องฟังครูพูด และเขียนเมื่อครูสั่งให้จดตาม

                นักเรียนทำความผิด ครูมีสิทธิว่ากล่าวตักเตือน จนถึงลงโทษเพื่อสั่งสอนได้ แต่หากครูทำผิดสิทธิในการลงโทษจะเป็นของครูใหญ่ทันที ตรงนี้นักเรียนไม่มีสิทธิ

                คุณกล้าพูดมั๊ยว่าโรงเรียนนี้ไม่ให้ความเป็นธรรมกับเด็ก..? ที่พูดได้เต็มปาก คือทุกคนยอมรับว่าครูมีสิทธิ (และหน้าที่) มากกว่านักเรียน

                เอาล่ะครับเริ่มปรับตาได้แล้วใช่มั๊ย..ทีนี้ลองมามองอิสลามอีกครั้ง

                อิสลามมอบสิทธิ (พร้อมหน้าที่) ให้บุรุษมากกว่าสตรีเนื่องจากสรีระทางธรรมชาติที่ต่างกัน

                เหตุที่ลูกชายมีสิทธิรับมรดกมากกว่าลูกสาว เพราะถ้ามีครอบครัวฝ่ายชาย (สามี) มีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูฝ่ายหญิง (ภรรยา)

                ฝ่ายชายมีหน้าที่จ่ายมะฮัรให้ฝ่ายหญิงเมื่อต้องการแต่งงาน ขณะเดียวกันศาสนาก็มอบสิทธิแก่สามีในการหย่าขาดภรรยาได้โดยตรง

                ภรรยามีหน้าที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของสามี และมีสิทธิได้รับการปกป้อง คุ้มครองจากสามีเช่นกัน

ลืมไม่ได้อีกประเด็นนึงที่สังคมมักกล่าวถึง เรื่องการมีสิทธิของผู้ชายในการครอบครองภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน

                มองมุมหนึ่งผู้ชายได้เปรียบชัดๆ มีเมียได้หลายคน แต่หากลองมองต่างมุมผู้หญิงนั่นแหละที่ได้เปรียบ

                ผู้ชายไม่มีสิทธิแต่งงานกับหญิงที่มีคู่ครองแล้ว แต่สิทธิของผู้หญิงยังคงมีอยู่ตราบใดที่ชายคนนั้นยังมีภรรยาไม่ครบโควต้า (อิอิอิ) อย่าคิดมากไปแค่นำมาเล่าเรียกรอยยิ้มของผู้อ่านเท่านั้น ไม่อยากให้มองโลกแง่ร้ายเกินไป

                จริงๆ แล้วเรื่องนี้สำหรับมุสลิม (ะฮฺ) เค้าเลิกต่อต้านนานแล้ว เพราะรู้ เข้าใจ และรับได้กับหลักการอิสลามที่อัลลอฮฺกำหนดไว้ เหลือแต่ต่างศาสนิกเท่านั้นที่ต้องหาเหตุผลมาอธิบายกันต่อไป (รายละเอียดไว้ว่ากันทีหลัง)

                สำคัญว่า เราต้องขจัดความเชื่อเก่าๆ ออกไปก่อน ความเชื่อที่ว่าความยุติธรรมคือการที่สองฝ่ายได้รับอย่างเท่าเทียมกัน

                ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าของครอบครัวหนึ่ง ลูกชายสองคนกำลังแย่งส้มที่พ่อให้มาหนึ่งใบ แม่ตัดสินด้วยการแบ่งส้มให้คนละครึ่งใบ ทั้งๆ ที่พี่ชายอยากได้แค่เปลือกส้มทั้งใบไปทำการฝีมือ และน้องชอบกินส้มเป็นที่สุด

                ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า ความยุติธรรมมิใช่การที่ทุกคนจะได้รับเท่ากันเสมอไป อยู่ที่ประโยชน์สูงสุดของแต่ละฝ่ายต่างหาก..

                ถามต่อ แล้วจะมีใครที่รู้ถึงผลประโยชน์ที่มนุษย์พึงได้รับดีกว่าอัลลอฮฺอีกเล่า?

                ถ้าสังคมยังรั้นยืนกรานตามเดิมว่า ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน (ในทุกเรื่อง) ต่อไป..ระวังให้ดี

                วันดีคืนดีอาจเห็นนักเรียนฟ้องร้องขอความเป็นธรรมจากครูใหญ่ให้ครูมีสิทธิเท่ากับนักเรียน

                ทีนี้ในชั้นเรียนใครจะลุกเดินไปไหน เข้า ออกห้องเมื่อไหร่ จะคุยกับใคร ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน ครูไม่สามารถดุ ว่ากล่าวตักเตือน หรือลงโทษนักเรียนได้ ถึงเวลาแห่งการปลดแอกจากความป่าเถื่อนของระบบเก่าอันคร่ำครึเสียที

                 เท่าที่ผ่านชีวิตมา (เกือบ) ยี่สิบปียังไม่เคยเห็นนักเรียนคิดเพี้ยนๆ อย่างนี้ซักที พวกเขายังคงอ่อนเยาว์เกินกว่าที่มลทินจะเจือปนกับความคิดอันบริสุทธิ์

                แต่ไม่รับประกันอนาคตนะขืนปลูกฝังให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตัวเองผิดต่อไป อีกหน่อยนักเรียนอาจรวมตัวประท้วงหน้ากระทรวงศึกษาธิการ โวยวายให้เปลี่ยนระบบการศึกษา ให้ครูมานั่งเรียนแล้วนักเรียนผลัดกันสอน.. ไม่ไหวเลยพวกครูเนี่ยะสอนเก่งแต่ทฤษฎี

                มุสลิมคงไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้น เพียงแค่ฟังอัลลอฮฺสอน ร่อซูลสั่ง ไม่ว่าหน้าไหนชายหรือหญิงก็ขานรับเป็นเสียงเดียวกันว่า เราเชื่อฟัง และปฏิบัติตามแล้ว

ตราบใดที่มนุษย์ทั่วไปเชื่อว่ายังงัยๆ ครูก็เป็นครูอยู่วันยันค่ำ ตราบนั้นมุสลิม (ที่แท้จริง) ก็เชื่อว่าสิทธิ (และหน้าที่) ของบุรุษและสตรีย่อมต่างกันอยู่คืนยันรุ่ง

                ?...และสำหรับบรรดาชายนั้นมีฐานะเหนือพวกนางขั้นหนึ่ง...? อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ : 228





يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ญะซากั้ลลอฮ์ค่ะน้อง............ที่นำบทความดีๆมาเล่าให้ฟังกันค่ะ    แต่.........ทุกเรื่องก้อต้องมีเหตุผล   มีที่มาและมีบทสรุปด้วยตัวของมันเองใช่ไหมคะ ;) ;) ;)
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

 

GoogleTagged