ผู้เขียน หัวข้อ: "เรื่องที่ได้แต่คิด"  (อ่าน 1274 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
"เรื่องที่ได้แต่คิด"
« เมื่อ: ก.พ. 13, 2008, 12:07 AM »
0

เรื่องที่ได้แต่คิด
(คำปรารถมิใช่บทความทางวิชาการ)

"อบุล  ลัยซฺ  อะลี  อะห์หมัด  อบูบักร  อัชชิยามีย์"


มนุษย์เราในฐานะเป็นสัตว์ประเสริฐมักมีเรื่องต้องให้ใช้ปัญญาคบคิดเสมอ  หากมีปัญญาแล้วไม่รู้จักใช้ความคิดในหนทางที่ก่อเกิดประโยชน์ มีปัญญาก็ย่อมเหมือนกับไม่มี  ซึ่งเมื่อมนุษย์ไม่มีปัญญาแล้วไซร้สถานะของมนุษย์ก็ย่อมมิได้แตกต่างอันใดเลยกับสัตว์โลกทั้งหลายและย่อมมิอาจกู่ร้องได้เลยว่าตนเป็นสัตว์ประเสริฐ  เพราะความประเสริฐจักเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการใช้สติปัญญาไปในหนทางอันถูกอันควร 

ครั้นเมื่อใช้ปัญญาอันเปรียบดั่งอาวุธไปในทางผิดหรือมิชอบก็ย่อมมีสภาพวิปริตแปรเปลี่ยนสู่มหันตภัยอันใหญ่หลวงได้เช่นกัน  ยิ่งเมื่อปัญญาขาดคุณธรรมเป็นตัวกำกับด้วยแล้วย่อมนำพาสู่หายนะทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น  ลางทีก็โดยตรงลางทีก็ทางอ้อมเป็นอย่างนี้ระคนไป


มนุษย์ที่เจือสมว่าตนเองเป็นผู้มีปัญญาทั้งที่ตนขาดเขลา  และกล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้รู้เสียเต็มประดาย่อมหลงผิดและถลำลึก  นึกอุปโลกน์เอาเองว่าตนรู้ตนเป็นเลิศแล้วในสรรพวิชา มนุษย์จำพวกนี้มักเรียกว่า  "พวกหลงตัวเอง"  ตัวเองหลงยังมิพอกลับชี้แนะและชักนำสาธารณชนให้หลงมัวเมาไปกับความจอมปลอมด้วย  ข้อนี้เสียหายหนัก  ซ้ำร้ายเมื่อมีผู้บอกกล่าวและทัดทานก็หารับฟังไม่  กลับดันทุรังและหนักข้อและกล่าวหาโต้แย้งเป็นมั่นเหมาะว่าที่ค้านตนหาได้รู้จริงไม่  มนุษย์จำพวกนี้ซึ่งมาในคราบผู้รู้  ผู้ทรงภูมิ  มีให้เห็นอย่างดาษดื่นในสังคมที่ยุ่งเหยิง  และมักเป็นต้นตอของปัญหาความแตกแยก  การถือพรรคถือพวก  และการสังกัดกลุ่มอย่างมิรู้จบ  ใครเล่าจะคอยปรามหรือฉุดรั้งพวกเขาสู่การเห็นถูกเป็นถูกเห็นผิดเป็นผิด  ดูเหมือนว่าจะไม่มีเอาเสียเลย!


ฝ่ายสาธารณชนซึ่งมักเป็นพลพรรคและสังกัดกับกลุ่มอยู่กับอาจารย์ผู้เปรียบดังเจ้าสำนัก  โดยมากก็หาได้ใคร่ครวญอย่างมีสติไม่  จนหลงคล้อยตามคารมของเจ้าสำนักอย่างมิลืมหูลืมตา  ขาดวิจารณญาณแห่งตน  ท่านว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นมิผิดเพี้ยน  และเมื่อท่านว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสัจธรรมที่มิอาจก้าวล่วงหรือขัดได้  ด้วยเพราะเป็นคำของครูจึงเทอดทูนโดยหลงลืมเสียสนิทว่าครูหรืออาจารย์ของตนก็คือ  ปถุชนสามัญที่ผิดได้พลาดได้เป็นธรรมดาโลก  เมื่อเชื่ออย่างปักใจแล้วว่าคำของครูถูกต้องเป็นที่สุดแล้ว  ก็หาได้สอบสวนหรือใช้พลังทางสติปัญญาของตนต่อไปไม่  คือหยุดอยู่เพียงนั้นสิ้นสุดแล้วไม่ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปอีกแล้ว 


ทั้งๆ  ที่หลักการของศาสนาเรียกร้องให้ใฝ่หาความจริง ความชัดเจน  อันตั้งอยู่บนหลักฐานที่มาของคำชี้ขาดว่าถูกต้องและอิงคำชี้ขาดของผู้รู้เป็นคำตอบให้กับปัญหาของตน  แล้วยุติเพียงนั้นก็พอทำเนา  แต่ที่มันวุ่นวายโกลาหลไปถ้วนทั่วก็เพราะว่าพลพรรคที่สังกัดและเทิดทูนคำของครูฝ่ายตน  หาได้ยุติเพียงนั้นกลับมีทิฐิและเที่ยววิจารณ์คำครูของฝ่ายอื่นว่าผิดถนัดเพราะขัดกับคำของครูฝ่ายตน ยิ่งครูของฝ่ายเป็นปรปักษ์กับครูของอีกฝ่ายก็ยิ่งซ้ำเติมให้หนักขึ้นไปอีก  รอยร้าวแห่งความแตกแยกในระหว่างพี่น้องร่วมศาสนาอันเกิดจากมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัย  ก็ยิ่งปริร้าวมากขึ้นเป็นลำดับ  ฝ่ายหนึ่งก็ยืนกรานอีกฝ่ายหนึ่งก็ดันทุรัง  ยิ่งนานวันก็ยิ่งเหินห่างและยากเกิดกว่าจะเยียวยาให้โรคร้ายที่คุกคามเอกภาพและสามัคคีธรรมในสังคมมุสลิมให้บรรเทาลดน้อยลง



คำปรามาสที่ว่า  "รวมกันมิใช่แขก" ก็ยิ่งสำแดงให้ประจักษ์ชัดว่าสมจริงและเป็นจริงจนยากจะลบล้าง  คงไม่มีโศกนาฎกรรมหรือเรื่องเศร้างบทใดที่น่าสมเพชมากไปกว่าเรื่องที่พี่น้องในศาสนาเป็นศัตรูในระหว่างกัน  ห้ำหั่นกันด้วยวาจาเฉือดเฉือน  และสำแดงความมีอคติกันซึ่งๆ หน้า เมื่อสบโอกาสทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยแต่ละฝ่ายหลงลืมไปเสียสนิทว่า  ขึ้นเชื่อว่า  "คนเดินดิน"  ย่อมไม่ผ่านพ้นความผิดความถูกไปได้ 


กล่าวคือไม่มีมนุษย์คนใดที่มิใช่นบีจะพูดถูกไปเสียหมดไม่ผิดเลย  และไม่มีมนุษย์คนใดที่มิใช่อิบลีสจะพูดผิดและคิดผิดไปเสียหมด  หาถูกหาควรมิได้เลย  ลืมไปว่ามนุษย์ย่อมมีผิดและมีถูกระคนกันไป  คิดแล้วก็ชวนเศร้าใจยิ่งนักที่การณ์เป็นเหมือนกับว่าศัตรูของชนมุสลิม  ก็คือพี่น้องมุสลิมด้วยกันหาใช่ใครอื่น  ทั้งๆ ที่ศัตรูตัวจริงกำลังจักขบกัดเข้าเต็มกรามฝังเขี้ยวงาของมันที่ต้นคอของมุสลิมทุกคน  โดยมิได้เลือกว่าเป็นมุสลิมกลุ่มใด  ขอเพียงแต่เป็นมุสลิมก็เป็นพอ  ศัตรูเห็นชัดและปักใจว่ามุสลิมเป็นศัตรู  แต่มุสลิมกลับมิรู้ตัวว่ากำลังจะถูกเล่นงานแบบเหมารวมรวบหัวรวบหางโดยสิ้นทั่วทุกคนไป


ด้วยเพราะเหตุที่กำลังเห็นผิดไปว่ามุสลิมอีกฝ่ายหนึ่งคือศัตรูของตนที่ต้องล้างผลาญอย่างไม่ลดราวาศอก  กว่าจะรู้ว่าใครเป็นศัตรูก็เกือบจะสายไปอยู่รวมร่อ ครั้นจะปลุกให้ตื่นเตือนให้รำลึกว่าศึกมาประชิดแล้วก็เกรงว่าจะโดนข้อหาอาญากบฎศึก  ครั้นจะพูดเตือนให้รอมชอมประนีประนอมระหว่างฉันท์พี่น้องโดยผู้เตือนไม่สังกัดไม่เข้าพรรคของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพราะเห็นจริงว่าเป็นพี่น้องร่วมศาสนาด้วยกันทั้งสิ้นทั้งปวง  ก็ถูกลบหลู่จาบจ้วงว่าเป็นพวกตีสองหน้าลิ้นสองแฉกพูดกับพวกนั้นก็ได้พูดกับพวกนั้นก็ดี  ทั้งๆ ที่เป็นพวกเดียวกันหาใช่คนอื่น


หากผู้เตือนที่กล่าวเป็นบุคคลที่เห็นแก่  "มวลชน"  และขาดจุดยืนที่มั่นคง  มุ่งมั่นคงหากินหาพวกพ้องจากคนทั้งสองฝ่ายโดยยึดกระแสเป็นหลัก  กล่าวคือเปลี่ยนที่เปลี่ยนทางต่างคนต่างกลุ่มก็พูดต่างเรื่องต่างบทตรงนี้ทำได้ตรงโน้นทำไม่ได้  เรียกว่าพูดเอาใจในแต่ละกลุ่มเป็นหลักอย่างนี้ก็คงไม่ผิดที่จะตราหน้าว่า  ผู้เตือนเยี่ยงนี้เป็นคนสับปลับตีสองหน้า แต่ถ้าผู้เตือนที่มีจุดยืนมีอุดมการณ์เห็นพี่น้องร่วมศาสนาเป็นชนกลุ่มเดียวไม่แบ่งแยก  แล้วพูดตามหลักตามเกณฑ์เป็นบรรทัดฐานไม่ผิดเพี้ยนเบี่ยงเบนตามกระแสแล้วก็คงผิดถนัดที่จะตราหน้าผู้เตือนเยี่ยงนี้ว่าเป็นคนสับปลับตีสองหน้า 


คำว่า  "แสวงจุดร่วม  สงวนจุดต่าง"  มิได้หมายความว่า  ใครเขาทำอะไรกันก็เฮโลสาระพาคลุกคลีตีโมงไปกับเขาเสียทุกอย่างโดยมิแยกแยะว่าควรหรือมิควร  แต่น่าจะมุ่งหมายถึงว่า จุดร่วมอันเป็นแก่นธรรมของศาสนาที่ถูกเห็นชอบจากทุกฝ่ายว่าควรดำรงไว้นั้น  ต้องแสวงหาเป็นหนทางสู่การก่อเกิดหรือฟื้นฟูเอกภาพที่สั่นคลอนให้กลับมาตั้งมั่นอีกคำรบหนึ่งในสังคมโดยภาพรวมในทำนองเดียวกัน 


คำว่า "สงวนจุดต่าง" ก็คงมิได้หมายความถึงการเป็นใบ้และนิ่งเงียบไม่บอกกล่าวไม่ตักเตือนไปเสียทุกกรณีแต่น่าจะหมายถึงจุดต่างอันเป็นเรื่องปกติของความคิดที่หลากหลายที่ปฏิเสธมิได้เลยว่า  ความเห็นต่างกันทัศนะต่างกันเป็นเรื่องสามัญที่อยู่และเป็นไปตามธรรมชาติที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงกำหนดวางไว้ในกมลสันดานของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม 


และความต่างกันความไม่เหมือนกันในสังคมก็ไม่จำเป็นต้องแตกแยกกันแต่ให้ต่างฝ่ายต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน  สงวนท่าทีและความคิดของตนในกรอบของความพอดี  ไม่ก้าวล่วงเลยเถิดไปสู่การละเมิดต่อผู้อื่นที่เห็นต่างกัน  ถึงแม้ตนจะไม่ยอกรับความคิดเห็นของอีกฝ่ายแต่ก็มิได้หมายความว่าเมื่อไม่ยอมรับและไม่เห็นชอบด้วยการกระทำนั้นๆ  ของอีกฝ่ายก็ไม่สามารถประกาศจุดยืนของฝ่ายตนได้  จริงๆ  แล้วสามารถประกาศได้แต่เป็นประกาศเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ส่วนจะเชื่อหรือมิเชื่อก็รับผิดชอบกันเอาเอง  จะไปกดขี่บังคับอีกฝ่ายให้เชื่อนั้นคงมิได้  เพราะหากกระทำเช่นที่ว่านั้นได้โลกนี้ก้คงมีแต่ผู้ศรัทธาไม่มีผู้ปฏิเสธอยู่รวมกันในโลกใบนี้ 


การเข้าใจถึงเหตุผลและการยอมรับถึงความต่างจึงเป็นเรื่องที่ต้องสงวนเอาไว้  ไม่เลยจากกรอบและขอบเขตของการอยู่ร่วมกันโดยปกติสุข  อย่าลืมว่าอิสลามอุบัติขึ้นท่ามกลางความเชื่ออื่นๆ ที่รายล้อมอยู่อย่างดาษดื่น  แต่กระนั้นอิสลามก็ยังสามารถอยู่ร่วมกับความเชื่ออื่นเหล่านั้นตราบจนทุกวันนี้  โดยอิสลามได้กำหนดขอบเขตและหลักการอย่างชัดเจน  เพื่อดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์และเอกลักษณ์ของความเป็นอิสลามที่เด่นชัดซึ่งผู้มีปัญญาย่อมสามารถมองเห็นและสัมผัสถึงความเป้นเอกที่โดดเด่นนั้นได้อย่างง่ายดาย 


อิสลามมิกชนย่อมอยู่ร่วมกับความหลากหลายที่แตกต่างกันของสังคมโลกโดยมิบิดเบือนกันได้ฉันท์ใด  พี่น้องมุสลิมซึ่งมีเลือดสีเดียวกันก็น่าจะอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องที่เคารพในความต่างกันฉันท์นั้น  แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่คาดหวังนี้คงเป็นเรื่องที่ได้แต่คิดเท่านั้น  เพราะเท่าที่ตรองดูเห็นทีจะยากยิ่งนักหากมุสลิมในสังคมทุกวันนี้ยังไม่เริ่มคิด  แต่คนที่คิดได้ก็คงได้แต่เพียงคิด! 


ทำไม?  จึงเป็นเช่นนั้นก็ลองคิดดูกันเอาเองเผื่อจะได้คิด!  แต่ถ้ายังคิดไม่ออกก็ให้พยายามคิดกันต่อไป  อย่าเป็นคนสิ้นคิดก็แล้วกัน


วัลลอฮุวะลียุตเตาฟีก...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 28, 2008, 01:07 AM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: "เรื่องที่ได้แต่คิด"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.พ. 13, 2008, 10:49 PM »
0
 salam


ยะซากัลลอฮฺ เจ้าค่ะ  loveit:
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: "เรื่องที่ได้แต่คิด"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.พ. 13, 2008, 11:53 PM »
0
อ้างถึง
คั้นจะปลุกให้ตื่น  เตือนให้รำลึกว่าศึกมาประชิดแล้วก็เกรงว่าจะโดนข้อหาอาญากบถศึก  ครั้นจะพูดเตือนให้รอมชอมประนีประนอมระหว่างฉันทืพี่น้องโดยผู้เตือนไม่สังกัด

คั้น >> ครั้น
กบถ >> กบฎ  หรือ ขบถ อย่างใดอย่างหนึ่ง

 loveit:
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
Re: "เรื่องที่ได้แต่คิด"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.พ. 14, 2008, 07:30 AM »
0
ขอบคุณครับ เรื่องคำผิด แก้เป็นคำถูกแล้ว
 wink:

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา