ผู้เขียน หัวข้อ: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม "  (อ่าน 5819 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด

 salam


อัลอัมดูลิลละห์ กับบุคคลที่อัลลอฮฺ ทรงประทานฮิดายัตแก่พวกเขาเหล่านี้ yippy:
^
^
มาดูที่ไป - ที่มาของการเข้ารับอิสลาม ของพี่น้องของเรากันดี กว่า   wink:

ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม "
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.พ. 10, 2008, 05:30 PM »
0
ประเดิมด้วยคนแรก

  เค้ามีนามว่า   >>>>>[b]เอส. เอ . บอร์ด[/b]  ชาวอเมริกา
 "   รู้สึกว่าตอนนั้นเป็นปี ค.ศ. 1920  ขณะที่ผมนั่งอยู่ที่สำนักงานแพทย์แห่งหนึ่ง
      ผมเหลือบไปเห็นเอกสารชิ้นหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า  African Times and Orient Review
     ตีพิมพ์ในลอนดอน  ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบเอกสารชิ้นนั้นขึ้นมา เพื่อจะอ่านฆ่าเวลา 
     เมื่อผมเปิดไปข้างในปรากฏว่าในเอกสารชิ้นนั้นมีบทความเกี่ยวกับอิสลามอยู่บทหนึ่ง 
     และในบทความชิ้นนั้นก้อมีสิ่งหนึ่งที่เตะตาผม จนลืมมันไม่ลงมาจนกระทั่งทุกวันนี้
    สิ่งนั้นก็คือ ประโยคที่ว่า  " ลาอิลาฮา อิลลัลลอฮฺ "
    สมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ในหัวใจของคนมุสลิมทุกคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย
             หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้เป็นมุสลิม และได้รับการตั้งชื่อ ว่า " เศาะลาฮุดดีน "
    ผมเชื่อว่า อิสลามเป็นความศรัทธาที่ถูกต้อง เพราะอิสลามสอนเรื่อง ความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า
   และไม่ทรงให้เราตั้งภาคีสิ่งใดเทียบเคียงกับพระองค์  นี่เป็นคำสอนที่สอดคล้องกับความเป้นจริงทางธรรมชาติที่สุด
  เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่กิจการใด ๆ ก็แล้วแต่ จะมีนายสองคนเป็นผู้บังคับบัญชางาน   และความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในอิสลาม ก็คือ
  อิสลามสามารถปลุกเร้าคนอาหรับให้เชื่อมโลก เข้าเป็นอณาจักรเดียวกันได้ โดยไม่ต้องใช้เวทย์มนต์คาถาแต่อย่างใด
  แม้แต่ในอันดาลูเซีย ( ปัจจุบัน คือ สเปน ) พวกอาหรับก็เคยเข้าไป ประกาศ ชัยชนะมาแล้ว
 

ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม "
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.พ. 10, 2008, 05:49 PM »
0
          เมื่อก่อนหน้านี้ พวกมุสลิมมัวร์( !!)   พบว่าสเปนยังคงเป็นป่าทึบอยู่   แต่ต่อมาพวกมัวร์ ก็เปลี่ยนป่าทึบแห่งนั้นเป็น " สวนดอกไม้ "
  เรื่องนี้ผมต้องขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ส่งคนชื่อ John W. Draper มาบอกความจริงแก่คนทั้งโลกไว้ในหนังสือเรื่อง The Intellectual Development
  of  Europe
      ของเขา ว่า อิสลามมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ก่อให้เกิดอารยธรรมสมัยใหม่ และ คนผู้นี้ก็ได้แสดงความรู้สึกเสียใจที่นักประวัติศาสตร์
  คริสเตียนบางคนพยายามปิดบังมิให้ชาวโลกรู้ว่า  ยุโรปนั้นเป็นหนี้อิสลาม อยู่
       
         คำอธิบายของ นาย Draper ถึงสภาพของชาวยุโรปที่พวกมัวร์ไปพบ ขณะนั้น ว่า

"    คนสมัยนั้นยังคงอยู่ในสภาพป่าเถื่อน  กักขฬะ ร่างกายสกปรกมอมแมม  จิตใจมืดทึบ
      อาศัยอยู่ในกระท่อมที่ปูด้วยหญ้าพวกกก และมีเสื่อฟางกั้น เป็นผนัง ซึ่งสภาพเช่นนี้ ถือว่า มั่งมีแล้ว
      พวกยุโรปสมัยนั้น ดำรงชีพด้วยการกินถั่ว  รากไม้ และแม้กระทั่งเปลือกไม้ ห่มร่างกายด้วยหนังสัตว์ที่ยังไม่ได้ฟอก"
   
     นอกจากนั้นแล้ว  พวกยุโรปยังเป็นหนี้บุญคุณ พวกซาราเซ้นอีกด้วย  เพราะพวกซาราเซ็น สอน ให้พวกนี้ รู้จักการทำความสะอาด
     และเปลี่ยนเสื่อผ้า ซึ่งก่อนหน้านี้  พวกยุโรปใส่มันจนขาดรุ่งริ่ง แล้วจึงเปลี่ยน

     

ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม "
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.พ. 10, 2008, 05:57 PM »
0
         


            พวกอาหรับจะต้องมีพระผู้เป็นเจ้า อยู่กับพวกเขาอย่างแน่นอน จึงสามารถเปลี่ยนคนที่มีสภาพกักขฬะ  หยาบช้าป่าเถื่อน โง่เง่า
   และเชื่อโชคลาง ผีสางเทวดาให้มาเป็นประชาชาติที่ก้าวหน้า ในปัจจุบันได้
     พระผู้เป็นเจ้า  ศาสดามูฮัมหมัด และคัมภีร์อัลกุรอ่าน  ได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกมาแล้ว และถ้าปราศจาก 3 สิ่งนี้
    สิ่งมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ในวงการวิทยาศาตร์ก็คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
                "   จงศึกษาหาความรู้ แม้ว่าท่านจะต้องไปไกลถึงเมืองจีนก็ตาม "

 นี่คือ คำสอนของท่านศาสดาฮัมหมัด

ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม "
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.พ. 10, 2008, 06:09 PM »
0
คนที่สอง

อิบรอฮีม  เคาะลีล อะห์มัด ( Ibrahim Khalil Ahmad)         ชาวอิยิปต์

อัลฮัจญ์  อิบรอฮิม เคาะลีล อะห์มัด   เดิมชื่อ  อิบรอฮิม  เคาะลีล ฟิโลบุส
เป็นพระในศาสนาคริสต์นิกาย ค๊อบติก  ได้ศึกษา วิชา เทววิทยา จนได้รับปริญญา ขั้นสูง จากมหาวิทยาลัย ปริ๊นส์ตัน USA

>>>เขาได้ศึกษาอิสลาม เพื่อหาข้อบกพร่อง ช่องโหว่ไว้สำหรับโจมตีต่อต้านอิสลาม
แต่แทนที่จะเป็นไปตามนั้น  ในที่สุดเขาก็ได้ ยอมรับอิสลามพร้อมด้วยบุตร ของเขาทั้ง 4 คน
หนึ่งในจำนวนนั้น ปัจจุบันได้เป็ฯศาตราจารย์ผู้เปรื่องปราชญ์ในมหาวิทยาลัย ซอร์บอร์น  ปารีส ฝร้งเศส
เขาได้เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ :

ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม "
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.พ. 10, 2008, 06:22 PM »
0
เด๋วมาต่อให้ เจ้า ค่ะ พี่น้อง

ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

ออฟไลน์ สวรรค์ชั้น 7

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 21
  • เพศ: หญิง
  • Allah know everything
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม "
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.พ. 11, 2008, 08:53 AM »
0
อืม 

อัลฮัมดูลิลละห์กับพี่น้องจริงๆ

อัลลอฮูอักบัร อัลลอฮูอักบัร อัลลอฮูอักบัร party:
ชีวิตที่ไม่มีอิสลาม ก้อเหมือนนักเดินทางที่ไม่มีแผนที่..........

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด
Re: "ทำไมข้าพเจ้าจึงเข้ารับอิสลาม "
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ก.พ. 11, 2008, 05:18 PM »
0
ต่อ ค่ะ
^
^
ผมได้ถูกส่งไปยังโรงเรียนอเมริกันมิชชั่นนารี  จนกระทั่งผมจบมัธยมศึกษา
ในปี ค.ศ. 1942  ผมได้ประกาศนียบัตรจากขั้นสูงจาก มหาวิทยาลัยอัสยูต  ทำให้มีความรู้ด้านเทววิทยา เพื่อเตรียมศึกษาต่อ 
ผมยังได้คำรับรองจาก สถาบันคริสตจักร อัล-อัตตะรีน ในอเล็คซานเดรีย  และยังได้รับคำรับรองจากสภาคริสตจักร แห่ง อิยิปต์ใต้
( The Church Assembly of Lower Egypt )   และยังได้คำรับรองใบที่สาม จาก สภาคริสตจักร แห่ง สะโนดัส เพื่อรับรองถึงคุณสมบัติการเป็นนักศาสนา
ซึ่งเป็นแหล่งรวมบรรดานักบวช คริสเตียน จากซุดาน และ อิยิ  ทางสะโนดัสได้ท้วงติงการเข้าศึกษาของผม ในฐานะที่เป็นนักศึกษาต่างชาติ
ณ ที่นั่น ผมได้ศึกษากับบรรดาครูทั้งชาวอิยิปต์ และอเมริกัน จนจบการศึกาในปี 1948
         ผมได้รับการสนับสนุนให้ถูกแต่งตั้งไปประจำที่เยรูซาเล็ม  ขณะนั้นยังไม่เกิดสงคราม  พอเกิดสงครามผมถูกส่งไปยังเมือง อัสนา  ในอิยิปต์ ตอนเหนือ
ในปีเดียวกันผมได้รับอนุญาติให้ทำวิทยานิพนธ์ ที่มหาวิทยาลัยอเมริกันในกรุงไคโร  เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรม ต่างๆ ที่พวกมิชชั่นนารีในหมุ่พวกมุสลิม
ความสนิทสนมของผม กับอิสลามนั้น ได้เริ่มมาแล้ว ในคณะเทววิทยา ณ ที่นั้น 
ผมได้ศึกษาอิสลามตลอดทั้งวิธีการต่างๆ ทั้งหมดที่เราสามารถเขย่าความศรัทธาของมุสลิม  และยกประเด็นที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่างๆ เพื่อเป็นการทำลายความเข้าใจในศาสนาของบรรดามุสลิม

ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

ออฟไลน์ - ครูจริงใจ-

  • อยากเป็นคนดีที่อัลลอฮฺรัก
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 817
  • เพศ: หญิง
  • ทุกวินาทีของเราไม่เคยรอดพ้นจากบันทึกของรอกิบ-อาติด
  • Respect: +96
    • ดูรายละเอียด
ชาวอเมริกันรับอิสลามมากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่น
ใหม่

อาห์หมัด (ดรูว์) มาร์แชล (Ahmad Drew Marshall) อายุ 23 ปี นักศึกษามหาวิยาลัยเดลาแวร์ เขารู้จักอิสลามตอนเรียนวิชาศิลปะอิสลาม ดรูว์ถูกเลี้ยงดูมาอย่างโปรแตสแตนท์เพรสไบทีเรียน ก่อนจะหันมารับอิสลามเมื่อสองปีก่อน


โดย SUMMER HARLOW, The News Journal
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล

เดลาแวร์, สหรัฐอเมริกา – ดรูว์ มาร์แชล (Drew Marshall) เป็นเหมือนเด็กนักเรียนทั่วๆ ไปในมหาวิทยาลัย ซึ่งเข้าห้องเรียนและยามว่างก็นั่งดื่มกาแฟที่คาเฟ่น้วก

มาร์แชลสูง 6 ฟุต (183 ซม.) ไว้เคราบางๆ สวมเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อน ไม่มีอะไรสะดุดตา...

...จนกระทั่งเขาทักทายคนรู้จักเป็นภาษาอารบิกว่า “อัสลามุอลัยกุม”

ดรูว์ มาร์แชล หนุ่มอเมริกันผิวขาววัย 23 ซึ่งตอนนี้เรียกตัวเองว่า อาห์หมัด มาร์แชล (Ahmad Marshall) เปลี่ยนมารับอิสลามเมื่อสองปีก่อน

เขาสวมเสื้อเชิร์ต กางเกงสแล็ค ถือกระเป๋าหิ้วแบบหนุ่มออฟฟิศ เขาดูเหมือนเป็นอาจารย์มากกว่าจะเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 4

มาร์แชลบอกว่า เมื่อเขาแต่งตัวแบบนี้ดูเหมือนคนทั่วไปจะให้เกียรติเขามากขึ้นกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงทั้งการแต่งตัวและชื่อเป็นการแปลกแยกตัวเขาเองออกจากชีวิตในวันเก่า

มาร์แชลเรียนวิชาเอกด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิชาโทด้านอิสลามศึกษา เขาอ้างฮะดิษและโองการจากอัล-กุรอานอย่างคล่องแคล่ว พูดสลับไปมาระหว่างภาษาอังกฤษกับอารบิกอย่างว่องไว มาร์แชลบอกว่าเรื่องนี้ง่ายมากๆ ภาษาอารบิกก็คล้ายๆ กับสูตรคณิตศาสตร์ ฝึกง่ายจะตาย

เมื่อ 6 ปีก่อนสมัยเรียนชั้นไฮสกูล เช้าวันที่ 11 กันยายน 2001 เขานั่งในคาเฟทีเรียของโรงเรียน ตอนนั้นการเรียนภาษาอารบิกไม่เคยอยู่ในสมองเลย

และก็คล้ายๆ กับทุกคนในอเมริกา มาร์แชลจำได้ถึงตอนที่นั่งดูทีวีเครื่องบินชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ (มหกรรมแหกตาระดับโลก แหกตาซะยิ่งกว่านีล อาร์มสตรองเหยียบดวงจันทร์อีก! แต่บังเอิญหนนี้ไม่ได้ถ่ายในสตูดิโอ แถมมีคนบริสุทธิ์ตายหลายร้อยคนด้วย – ผู้แปล) ตอนนั้นทุกคนมีแต่ความกลัว สับสน และโกรธแค้น

“ผมจำได้ว่าตอนเกิดเหตุการณ์ 9/11 ผมบอกว่าเนี่ยเดี๋ยวต้องเกิดสงครามโลกครั้งที่สามแน่ๆ พวกเราต้องจัดการกับบินลาเดนซะ” เขากล่าว “ผมก็เหมือนกับเด็กอเมริกันคนอื่นๆ ที่มีแต่ความเคียดแค้น เราทุกคนตำหนิผู้ก่อการร้ายมุสลิม”

แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นกลับนำชาวอเมริกันนับพันนับหมื่นเข้าสู่หนทางแห่งอิสลาม

“คนทั่วไปอยากรู้ในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน และ 9/11 เป็นตัวกระตุ้นที่ดี ผลก็คือ คนจำนวนมากหันมาตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างในอิสลามที่เหมาะกับพวกเขา” อิสมัท ชาห์ กล่าว, เขาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ และเป็นที่ปรึกษาของสมาคมนักเรียนมุสลิมของมหาวิทยาลัย (MSA หรือ Muslim Students Association)

บางทีอาจเป็นเพราะ 9/11 ที่ทำให้ชาวอเมริกันหันมารับอิสลามเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้อิสลามเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก, มุคตาดาร์ ข่าน กล่าว, เขาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขารัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยเดลาแวร์

จากผลการศึกษาของ Pew Research ที่ออกมาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาพบว่า 1 ใน 4 ของชาวอเมริกันมุสลิมทุกวันนี้เป็นพวกมุสลิมใหม่ ครึ่งหนึ่งหันมารับอิสลามเมื่ออายุยังไม่เต็ม 21 ปี     

“ตอนนี้คนอยากรู้ว่าอิสลามคืออะไร” ข่านกล่าว “อิสลามเป็นเรื่องที่ฮ็อตที่สุดที่คนทั้งโลกกำลังพูดถึง”

แต่ อิบราฮิม ฮูเปอร์ โฆษกของ CAIR หรือ สภาความสัมพันธ์อเมริกันอิสลาม (Council on American-Islamic Relations) บอกว่ามุสลิมใหม่เจอกับการท้าทายอย่างมาก ทันทีที่รับอิสลามพวกเขาอาจโดนกล่าวหาว่าหันหลังให้ชาติพันธุ์และภูมิหลังของตัวเอง หรือไม่ก็ไม่สนใจเพื่อนหรือครอบครัว

อิบราฮิม ฮูเปอร์ ก็เป็นมุสลิมใหม่เช่นเดียวกัน

เรย์ ดูแรน (Ray Duran) นักเรียนชั้นปีที่สาม มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ หันมารับอิสลามหลังเหตุการณ์ 9/11 และเจอคำถามว่าเขาจะกลายไปเป็นพวกหัวรุนแรงหรือเปล่า

แต่ดูแรนบอกว่า ในฐานะที่เป็นลูกของชาวเม็กซิกันอพยพ บอกได้เลยว่าเขารู้วิธีจัดการกับความเห็นของพวกเหยียดผิว เรื่องพวกนี้ชาวอพยพเจอมานักต่อนักแล้ว

“ผมรู้ว่ามีคนพูดจาแย่ๆ เยอะโดยไม่ได้ศึกษาอะไรเลย พวกนี้ชอบทึกทักเอาเอง” เขากล่าว

เมื่อต้องเจอกับความท้าทายดังกล่าว ชาวมุสลิมใหม่จึงต้องหันเข้าหาชุมชนมุสลิมเพื่อการสนับสนุนทั้งด้านความรู้และสังคม

ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา การเป็นมุสลิมในสหรัฐฯ เป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว, หนึ่งในสมาชิกของสมาคมนักเรียนมุสลิม มหาวิทยาลัยเดลาแวร์กล่าว






จากซ้าย: รอย ดูแรน (Roy Duran), อาห์เมด เซแบอร์, ดีมาร์ กัซซิม, และ อัมเบอร์ มาจิด กำลังสนทนากับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในสมาคมนักเรียนมุสลิม มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ ในการประชุมครั้งล่าสุดของพวกเขาที่เซ็นทรัลพาร์กในเมืองน้วก


‘บางคนชอบตัดสินโดยไม่รู้จริง”

ตอนที่ อมานี อัลคอต เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย พ่อของเธอกังวลว่าการที่เธอคลุมฮิญาบอาจโดนล้อได้

“คนบางคนชอบตัดสินคนอื่น” อัลคอตกล่าว เธออายุ 18 ปี เรียนชั้นปีสองมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ “บางคนคิดว่าฉันคลุมฮิญาบ ก็เลยเป็นพวกหัวรุนแรง”

อัลคอตเป็นเด็กนักเรียนเพียงที่คลุมฮิญาบในชั้นเรียนวิชาอิสลามและความสัมพันธ์ต่างประเทศของผู้ช่วยศาสตราจารย์มุคตาดาร์ ข่าน

เธอบอกว่าก็สังเกตเหมือนกันว่า มีคนมองตอนเธอเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำละหมาด

อัลคอตประหลาดใจมากๆ ที่พบว่าทุกวันนี้มีชาวอเมริกันจำนวนมากหันมารับอิสลาม “ทั้งๆ ที่พวกเขาได้ยินแต่ภาพพจน์แย่ๆ ของมุสลิมเนี่ยแหละ” เธอบอก

มาจอรี เบเลส เด็กนักเรียนชั้นปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ กล่าวว่า เธอรู้ว่าคนจำนวนมากคิดว่ามุสลิมเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย แต่เธอไม่เคยเจอพฤติกรรมที่ไม่ดีจากผู้อื่นต่อความเป็นมุสลิมของเธอ

“คนก็ให้เกียรติฉันดีนี่” เธอบอก “ฉันไม่คิดหรอกนะว่า พอรู้ว่าใครเป็นมุสลิมแล้ว จะมีคนบอกว่า หลีกให้ห่างจากยัยคนนี้เหอะ!”

สำหรับมาร์แชลแล้ว ตอนเขาสนใจศึกษาอิสลาม เขาไม่สนใจเรื่องการก่อการร้าย

มาร์แชลบอกว่าเมื่อก่อนเขาใช้ชีวิตแบบเยาวชนอเมริกันทั่วไป ไปปาร์ตี้สนุกสนานตลอด ไม่เคยสนใจพ่อแม่

แต่ตอนนี้, เมื่อเป็นมุสลิม, เรื่อง “ปาร์ตี้, ปาร์ตี้, ปาร์ตี้” นั้นเลิกไปเลย

“ผมมีความเป็นปัจเจกชนมากขึ้น” มาร์แชลกล่าว

เขาเติบโตมาใน Hockessin ในครอบครัวอเมริกันจ๋า มีน้องสาวคนนึง ที่บ้านเลี้ยงหมา มีเรือไว้ตกปลาตอนสุดสัปดาห์ ครอบครัวเขาไปโบสถ์ไลม์สโตนเพรสไบทีเรียน แม่เขาสอนโรงเรียนศาสนาวันอาทิตย์ที่นี่

แต่มาร์แชลรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในชีวิตของเขาที่ไม่เข้าท่า

“ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเองน่ะ”

สมัยเรียนไฮสกูล มาร์แชลไม่ถูกใจที่เห็นเพื่อนนักเรียนปฏิบัติต่อเพื่อนแบบไม่ให้เกียรติ เขาไม่ชอบการชกต่อย ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ วัตถุนิยม และการแข่งขันกันทำตัว “เจ๋ง”

เขาเจอคำตอบสุดท้ายตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสอง

เมื่อสงสัยอยากรู้ มาร์แชลเลยลงเรียนวิชาศิลปะอิสลาม ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนมารับอิสลามหรอก; เขาแค่ประทับใจในอัล-กุรอาน บทกวี และอะไรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิสลามเท่านั้น

“เรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับผมก็คือ การได้ยินเสียงอาซาน” เขาบอก “แม้มันเป็นภาษาอื่นที่ผมไม่เข้าใจ แต่ช่างเป็นเสียงที่สวยงามบริสุทธิ์ที่นำผมเข้าไปสู่ความยิ่งใหญ่ของอิสลาม”

เขาเริ่มอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน และยิ่งศึกษา เขายิ่งอยากรู้มากขึ้น

แม่ของเขา, แซลลี มาร์แชล, บอกว่า เธอคิดว่าลูกชายของเธอประทับใจอิสลามเพราะความอ่อนโยนของศาสนา และความน่ารักของคนและการให้เกียรติผู้อื่นที่เขาเจอตอนไปมัสยิดทุกครั้ง

“ดรูว์ชอบเด็กนักเรียนมุสลิม เพราะพวกเขาจริงใจ ไม่จิงโจ้ สนุกสนานได้โดยไม่ต้องดื่มเบียร์” เธอกล่าว “พวกเด็กมุสลิมไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ชกต่อยกับคนอื่น อิสลามสอนว่าต้องให้เกียรติและดูแลผู้ปกครอง โดยเฉพาะแม่ อิสลามช่วยให้ดรูว์ได้เติบโตไปเป็นชายหนุ่มที่ฉันภาคภูมิใจที่สุด”

‘ผมไม่เห็นจะคิดถึงชีวิตแบบเก่าๆ เลย’

ดูแรน, ลูกชายของผู้อพยพชาวเม็กซิกัน, เติบโตมาอย่างเด็กคาทอลิกในสแครนตัน รัฐเพนซิลวาเนีย ครอบครัวและเพื่อนของเขาตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนมาเป็นมุสลิม แต่ทุกคนก็เห็นว่าแม้เป็นมุสลิมแล้ว ดูแรนก็ยังเป็นดูแรนคนเดิม

“พวกเขารักที่จะเห็นผมมีศรัทธาในศาสนา แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอิสลามอยู่ดี” ดูแรนกล่าว

ดูแรนสวมรองเท้าไนกี้ ถุงเท้าสีดำ กางเกงขาสั้นสีกากี และสวมหมวกเบสบอลตรามหาวิทยาลัยเดลาแวร์ เขามิได้แตกต่างไปจากเด็กนักเรียนอีกหลายพันคนในมหาวิทยาลัยเลย

เพราะเหตุนี้เอง เลยไม่มีใครกลัวหรือล้อเลียนเขา, ดูแรนกล่าว

แต่ตอนที่เขาต้องละหมาดที่มหาวิทยาลัย แล้วเจอคนมองแบบแปลกๆ เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร ดูแรนบอกว่าเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนกัน

เขาเป็นที่ปรึกษาของหอพักมหาวิทยาลัย แต่ดูแรนก็ยังไม่ได้บอกใครๆ ที่พักชั้นเดียวกันว่าเขาเป็นมุสลิม -- เขาต้องการให้ทุกคนรู้จักความเป็นดูแรนก่อน ทั้งชั้นนั้นมีแต่นักเรียนผิวขาว

“ก็น่าสนใจดีนะที่เห็นว่าพวกเขามีปฏิกิริยายังไงตอนรู้ว่าผมเป็นมุสลิม” เขากล่าวยิ้มๆ

ส่วนมาร์แชลบอกว่าเขาเคยโดนถามว่าทำไมเขาถึง “ข้ามไปอยู่ซะอีกด้านหนึ่ง”

“พวกเค้าล้อเล่นน่ะ แต่นั่นเป็นเพราะพวกเค้าไม่กล้าพูดตรงๆ” เขากล่าว

มาร์แชลไม่เคยกังวลว่าใครจะคิดยังไงต่อการที่เขาเป็นมุสลิม เขาบอกว่าความมั่นใจของเขาเต็มเปี่ยม

ซาเนียร์ มีร์ซา สาวน้อยวัย 20 ประธานของสมาคมนักเรียนมุสลิมของมหาวิทยาลัยบอกว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมาเธอรู้สึกว่าตัวเองต้องพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองก็เป็นชาวอเมริกันคนหนึ่ง ต้องพยายามเป็นพิเศษที่จะแสดงให้เห็นว่าการเป็นมุสลิมมิได้หมายความถึงความรุนแรง

“แย่นะ ไม่แฟร์เลย” เธอกล่าว “และก็, จะพิสูจน์ยังไงล่ะว่าคุณมีความเป็นอเมริกันมากกว่า? มันไม่ใช่ว่าฉันคลุมฮิญาบแล้วฉันจะไม่ใช่อเมริกัน หรือการเป็นอเมริกันต้องแต่งตัวเปิดเผย ต้องโป๊ ต้องดื่มเหล้า ต้องปาร์ตี้ ต้องฟังเพลงที่มีข้อความสัปดน ฉันไม่คิดหรอกนะว่าแบบนั้นคือการเป็นอเมริกันชน แต่อเมริกันคือความยุติธรรม, ความเท่าเทียมกัน, และเสรีภาพในการพูดต่างหาก”

มาร์แชลและดูแรนบอกว่า การเปลี่ยนมาเป็นมุสลิมมิได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นอเมริกันน้อยกว่าคนอื่นๆ

ดูแรนยังคงเล่นบาสเกตบอล ยังคงทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย, แต่ตอนนี้, เขากล่าว, เขาอุทิศเวลาให้กับการละหมาดมากขึ้น ให้กับพระเจ้ามากขึ้น

และบางครั้งที่มาร์แชลหวลนึกถึงเบียร์เย็นๆ ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว เขาพบว่าน้ำเปล่าเย็นๆ ก็ทำให้เขาสดชื่นได้เช่นกัน

“ผมต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพราะต้องการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า” มาร์แชลกล่าว “ผมไม่ได้นึกถึงชีวิตแบบเก่าๆ เท่าไหร่ เพราะสิ่งดีๆ ในวิถีชีวิตแบบเก่านั้นผมก็ยังปฏิบัติอยู่ในทุกวันนี้”


ท่าน ฮะซัน อัลบัศรีย์ (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) กล่าวว่า :
 
วัลลอฮฺ คนที่เป็นมุอฺมินจริงๆนั้น ท่านจะเห็นว่าเขาจะไม่ตำหนิใครเลยนอกจากตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
จะคิดว่าตนคือผู้บกพร่องเสมอจะเสียใจ และโทษตนเอง ...แต่ คน ฟาญิร (ไม่ดี) จะกระทำโดยไม่สนใจสิ่งใดและไม่เคยโทษตนเอง..

 

GoogleTagged