ความจริงผมน่าจะเชื่อท่านฮิชาม บินอุรวะฮ์(เป็นตาบีอีน และเป็นหลานของท่านหญิงอาอิฉะฮ์ ร.ฎ. สิ้นชีวิตในปี145หรือ146)ตั้งแต่แรก ซึ่งท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า"พวกท่านอย่าไปถามผู้คนในสิ่งที่พวก เขาได้อุตริมันขึ้นมา เพราะพวกเขาจะเตรียมข้ออ้าง(คำตอบ)ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่จงถามเรื่องซุนนะฮ์ซิแล้วพวกเขาจะไม่ รู้จักมันเลยว่าซุนนะฮ์ว่าซุนนะฮ์ในเรื่องนั้นๆเป็นอย่างไร" จากหนังสืออัล-อิบดาอ์ฟีมะฎอรร์อัล-อิบดาอ์หน้า41 โปรดคิดสักนิดเถอะครับ สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากข้อคิดคำคมจากนักวิชาการท่านหนึ่งใน อดีตเพื่อหวังความเมตตาจากอัลลอฮ์ให้ความแหลมคมของข้อความนี้จะ ไปทิ่มแทงหรือสกิดหัวใจของใครบางคนแถวนี้ให้ฉุกยั้งคิดได้ (ขออัลลอฮ์ทรงรับดุอาอ์ด้วยเถิด) ท่านอิหม่ามมาลิก บิน อนัส(สิ้นชีวิตในปีฮ.ศ.179) ได้กล่าวไว้ ดังการรายงานของท่านอิบนุ มาญิชูน ว่า"ผู้ใดอุตริสิ่งใดขึ้นมาในอิสลาม โดยมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แน่นอนเขาผู้นั้นกล่าวหาท่าน นบีย์มูฮัมหมัดว่าทุจริต(หรือบกพร่อง)ในการปฏิบัติหน้าที่รอซู้ล เพราะอัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงตรัสเอาไว้แล้วว่า วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นสิ่งใดก็ตามถ้าหากในวันนั้นมิใช่เป็นเรื่องของศาสนา มาในวันนี้มันก็มิใช่เป็นเรื่องของศาสนา" จากหนังสือ อัล-เอี๊ยะอ์ติศอม เล่มที่1หน้า49 สุดท้ายก็วัดกันที่จุดยืน
ผมได้เคยชี้แจงไปในเว็บนี้แล้ว กล่าวคือ :
ข้อควรทราบเกี่ยวกบเรื่องบิดอะฮ์อีกประการหนึ่งคือ หากนักปราชญ์สะลัฟที่เอ่ยตำหนิเรื่องบิดอะฮ์นั้น คือพวกเขาจะกล่าวและพูดคำว่า "บิดอะฮ์" เฉย ๆ เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีอะไรมาจำกัดความต่อท้าย ซึ่งหมายถึง บิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ ดังนั้น
การกล่าวบิดอะฮ์เฉย ๆ คำเดียวแบบเดี่ยว ๆ พวกเขาได้กล่าวแบบ แบบมุฏลัก ( مطلق ) โดยไม่มีข้อแม้หรือคำที่มาจำกัดคุณลักษณะของมาต่อท้าย เช่นกล่าวว่า สิ่งนั้นบิดอะฮ์ สิ่งนี้บิดอะฮ์ สิ่งโน้นบิดอะฮ์ ย่อมหมายถึง บิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงหรือบิดอะฮ์ฮารอมที่ส่วนมากเขาใช้กัน ซึ่งอยู่ในประเด็นเดียวกับคำกล่าวของอิมามมาลิกข้างต้นนี้
แต่หากว่าเป็นบิดอะฮ์ที่กล่าวแบบมุก๊อยยัด ( مقيد ) คือมีคำที่มาจำกัดต่อท้าย ก็ย่อมไม่ใช่หมายถึงบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง เช่น บิดอะฮ์ที่ดี (ตามคำกล่าวของท่านอุมัร) บิดอะฮ์วายิบ บิดอะฮ์สุนัต บิดอะฮ์มุบาห์ เป็นต้น
ตัวอย่างจากคำกล่าวของสะลัฟ เช่นคำกล่าวของท่านอิบนุมัสอูด ที่ว่า
اتبعوا و
لا تبتدعوا فقد كفيتم
"พวกท่านจงเจริญตาม และพวกท่านอย่าอุตร
ิบิดอะฮ์ขึ้นมา เพราะพวกท่านเพียงพอแล้ว" ดู หนังสือ มัจญฺมะอ์ อัลซะวาอิด เล่ม 1 หน้า 88
ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า
ما أتى على الناس عام إلا أحدثوا فيه
بدعة، وأماتوا فيه سنة حتى تحي البدع وتموت السنن
" ปีหนึ่งจะไม่ผ่านผู้คนไป นอกจากพวกเขาจะอุตริ
บิดอะฮ์หนึ่งขึ้นมา และพวกเขาก็ทำให้ตายกับซุนนะฮ์หนึ่ง จนกระทั้งบรรดาบิดอะฮ์นั้นฟื้นขึ้นมาและบรรดาซุนนะฮ์ก็ได้ตายลงไป" ดู หนังสือ มัจญฺมะอ์ อัลซะวาอิด เล่ม 1 หน้า 88
อิหม่ามมาลิก บุตร อะนัสกล่าวว่า
من ابتدع في الإسلام
بدعة يراها حسنة فقد زعم أن محمدا صلى الله عليه وسلم خان الرسالة، لأن الله يقول: (اليَومَ أكْمَلْتُ لَكُم دِينَكُمْ) فما لم يكن يومئذ دينا فلا يكون اليوم دينا
"ผู้ใดอุตร
ิบิดอะฮหนึ่งขึ้นมาในอิสลาม โดยเห็นว่ามันดี แน่นอนเขาย่อมอ้างว่า แท้จริงมุหัมหมัด ศอลฯ นั้น ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นแห่งพระเจ้า เพราะว่าอัลลอฮทรงกล่าวว่า (วันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว) เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นศาสนาในวันนั้น ในวันนี้มันก็ไม่เป็นศาสนาด้วย" โปรดดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 149
จากที่ได้กล่าวมาแล้วสักครู่นี้ จะได้เห็นได้ว่า
คำกล่าวของซอฮาบะฮ์ที่เกี่ยวกับบิดอะฮ์นั้น ก็คือบิดอะฮ์ที่อยู่ในความหมายแบบมุฏลัก (مطلق ) ที่อยู่ในความหมายประเภทบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงเท่านั้น และโปรดทำความเข้าใจให้ดี ไม่เช่นนั้น หลักการศาสนาจะขัดแย้งกันเอง แต่ความเป็นจริงแล้วศาสนาอิสลามมีความสมบูรณ์ ไม่มีการขัดแย้งกันเอง แต่ความเข้าใจของผู้ที่อวดรู้บางคนต่างหากที่ไม่เข้าใจหลักการ จึงทำให้โลกมุสลิมวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้
และคำกล่าวของอิมามมาลิกก็เช่นเดียวกัน เพราะบิดอะฮ์ที่อิมามมาลิกกล่าวถึงนั้น คือบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง บิดอะฮ์ที่ไม่มีรากฐานมาจากศาสนา หากผู้ใดเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เขาย่อมเป็นผู้อ้างว่าท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ไม่ซื่อสัตย์ต่อสาส์นของอัลเลาะฮ์ และบรรดาอุลามาอ์มัซฮับมาลิกีย์ ก็ไม่ได้เข้าใจว่า บิดอะฮ์ ที่อิมามมาลิกกล่าวไว้นั้น หมายถึงบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ที่มาจากบิดอะฮ์วายิบ บิดอะฮ์สุนัต หรือบิดอะฮ์มุบาห์แต่อย่างใด ดังนั้นท่านผู้อ่านพึงพิจารณาให้ดีไว้ใน ณ ที่นี้ด้วย
ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าว วิจารณ์คำกล่าวท่านอุมัร(ร.ฏ.) ที่ว่า نعمت البدعة هذه ดังนี้
البدعة: أصلها ما أحدث على غير مثال سابق، وتطلق في الشرع في مقابل السنّة فتكون مذمومة والتحقيق أنها إن كانت مما يندرج تحت مستحسن فى الشرع فهى حسنة وإن كانت مما يندرج تحت مستقبح فهى مستقبحة وإلا فهى من قسم المباح
ความว่า " บิดอะฮ ที่มาของมันคือ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน
และคำว่าบิดอะฮ์อย่างเดียว ( مطلق ) (คือพูดโดยใช้คำว่า"บิดอะฮ์" เฉย ๆ เพียงลำพังตัวเดียว)ในทางบทบัญญัติ ได้ถูกนำมาใช้เรียกกับสิ่งที่ตรงข้ามกับซุนนะฮ์ จึงถือว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ถูกตำหนิ และ
จากการตรวจสอบพบว่า บิดอะฮ์นั้น หากมันเข้าไปอยู่ภายใต้สิ่งที่นับว่าดีตามหลักการของศาสนา มันก็คือ (บิดอะฮ์)หะสะนะฮ์(บิดอะฮ์ที่ดี) 
และหากว่ามันเข้าไปอยู่ภายใต้หลักการที่ถือว่าน่ารังเกียจ มันก็คือบิดอะฮ์ที่น่ารังเกียจ และถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น(หมายถึงไม่เป็นทั้งบิดอะฮ์ทั้งสองประเภท) ก็ถือว่า มันเป็นบิดอะฮ์ ประเภทที่มุบาห์" ( ดู ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 4 หน้า 253)
หรือว่าไม่ยอมอ่านอีก?
