การยึดครองดินแดนโดยอิสลามถือเป็นการล่าอาณานิคมหรือไม่?
1. การยึดครองดินแดนโดยชาวมุสลิม ไม่ถือว่าเป็นรูปแบบของการล่าอาณานิคมอย่างสิ้นเชิง เพราะการล่าอาณานิคมนั้นเป็นการปกครอโดยการขูดรีดทรัพย์สมบัติ และทรัพยาการทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยังจะละเลยที่จะพัฒนาเศรษกิจ วัฒนธรรม และอาระธรรมในดินแดนที่ถูกยึดครองอีกด้วย ประวัติศาสตร์เป็นที่ประจักษ์ทราบว่า ผู้ยึดครองชาวมุสลิม เป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม และการปกครองของชาวมุสลิมตั้งอยู่บนความยุติธรรม และการปกครองของชาวมุสลิมตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเที่ยงธรรมและขันติธรรม อันดาลุเซีย ปัจจุบันคือ ประเทศสเปน เคยรุ่งเรื่องและเจริญในทุก ๆ ด้านในสมัยที่ชาวมุสลิมปกครอง อีกทั้งเหนือกว่าประเทศยุโรปอื่น ๆ ในสมัยนั้น เนื่องจากว่าได้รับวัฒณธรรม และความกว้างหน้าทางวิชาการที่ชาวอาหรับเป็นผู้ริเริ่มมาใช้ โดยปัจจุบันยังสามารถเห็นได้จากสถาปัตยกรรม และอารยธรรมอิสลาม
2. ในประเทศที่ชาวมุสลิมยึดครอง มีการเรียกเก็บภาษีเพื่อใช้ในการป้องกันรัฐมุสลิมจากศัตรู ดังนั้นทุกคนที่ได้ขึ้นทะเบียนในกองทัพจึงได้รับการยกเว้นจากการเสียภาษีดังกล่าว Sir. Thomas W. Amold ได้กล่าวว่า ชนเผ่าชาวคริสต์ที่พำนักอยู่ใกล้ ๆ กับอัลตอกียะฮ์อยู่ร่วมกับชาวมุสลิมอย่างสันติ ได้ประกาศว่า ในกรณีที่มีสงครามชาวคริสต์เหล่านั้น พร้อมที่จะสู้รบเคียงไหล่กับชาวมุสลิมหากได้รับการยกเว้นการเสียภาษี ( จากหนังสือ อัดดะวะฮ์ อิลัลอิสลาม ของ เซอร์ โทมัส อาร์นอลด์ แปลโดยฮะซัน อิบรอฮีม และคนอื่น ๆ ตีพิมพ์โดย มักตะบะฮ์ อันนะฮ์เฏาะฮ์ อัลมิสรียะฮ์ หน้า 79 - 80)
3. การสู้รับในหนทางของอัลเลาะฮ์เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะปล้นสะดมทรัพย์สมบัติของเชลยในสงคราม เป็นสิ่งที่อิสลามห้ามไว้ และถือเป็นอาชญากรรม คร้งหนึ่งได้มีผู้เรียนนบีว่า มีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ ท่านได้ตอบย้ำถึง 3 ครั้งว่า "เขาจะได้ถูกปฏิเสธที่จะได้รับรางวัลจากอัลเลาะฮ์" (จากหนังสือ มิอะฮ์ ซุอาล อะนิลอิสลาม ของท่านชัยค์ มุฮัมมัด ฆอซะลี หน้า 92)
4. การยึดครองของอาณานิคมตะวันตกกับการยึดครองของชาวมุสลิมนั้น แตกต่างกันมาก เพราะข้อกล่าวหาที่ว่า การยึดครองของชาวมุสลิมนั้น มุ่งที่จะรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลโดยสิ้นเชิง ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างเพียงแต่ตัวอย่างเดียวในบรรดาหลาย ๆ ตัวอย่างว่า การยึดครองของชาวมุสลิมนั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายทางเศรษฐกิจ หากแต่จุดมุ่งหมายนั้นอยู่ที่ศาสนาเป็นสำคัญ มีสนธิสัญญาสันติภาพฉบับหนึ่ง ลงนามโดย คอลิด บิน วาลิด กับพวกประชาชนเมืองต่าง ๆ ใกล้กับเมืองเฮิร์ท HIRD ซึ่งมีข้อความว่า "หากพวกเราชาวมุสลิมปกป้องท่านจากศัตรู ท่านจะต้องชำระภาษี แต่หากไม่ประสงค์ที่จะได้รับการคุ้มครอง ก็ไม่ต้องชำระภาษี" สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ชาวมุสลิมได้คืนภาษีให้แก่ราษฏรที่อยู่ในเขตยึดครองที่ซีเรีย เนื่อง ว่าในสมัยนั้น ท่านอุมัร อิบนุ ค๊อฏฏอบ ไม่สมารถที่จะปกป้องดินแดนนั้นได้ เพราะเหตุว่าชาวมุสลิมต้องทำสงครามกับอีกฝ่ายหนึ่งในขณะเดียวกัน ดังนั้น ท่านคอลิด บิน วาลิด จึงได้เขียนถึงราษฏรที่อยู่ในซีเรียว่า "พวกเราฝ่ายปกครองของคืนเงินให้แก่พวกท่าน เนื่องการที่เคยเรียกเก็บเงินภาษีจากพวกท่านนั้น ก็เพื่อต้องการที่จะคุ้มครองพวกท่าน แต่เมื่อไม่สามารถให้การคุ้มครองพวกท่านได้ จึงขอคืนเงินดังกล่าวแก่ท่านที่ตกลงกันไว้ก็สำหรับเฉพาะกรณีที่เราชนะสงครามและสามารถคุ้มครองพวกท่านได้" ( จากหนังสือ อัดดะวะฮ์ อิลัลอิสลาม ของ เซอร์ โทมัส อาร์นอลด์ หน้า 79
อ้างอิงจากหนังสือ ฮะกออิก อิสลามียะฮ์ หน้า 47 - 49 ของท่าน ศาสตราจารย์ ดร. ฮัมดี ซักซูก