11. ห้ามสตรีปฏิเสธตัดพ้อต่อสามีผู้ร่วมชีวิต
รายงานจากท่านอิบนุอับบาส (ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา) กล่าวว่า ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "ฉันถูกทำให้ได้เห็นนรก ดังนั้น ชาวนรกส่วนมาก จะเป็นบรรดาผู้หญิง ซึ่งพวกนางชอบปฏิเสธ จึงถูกตั้งคำถามขึ้นว่า พวกนางปฏิเสธอัลเลาะฮ์กระนั้นหรือ? ท่านนบีกล่าวว่า พวกนางปฏิเสธต่อสามีผู้ร่วมชีวิต ปฏิเสธต่อการปฏิบัติอันดีงาม หากท่านปฏิบัติดีต่อคนหนึ่งคนใดจากนางเป็นเวลานาน หลังจากนั้นนางได้เห็นสิ่งหนึ่ง(ที่นางไม่พอใจ)จากท่าน นางก็จะกล่าวว่า ฉันไม่เห็นความดีใด ๆ จากท่านเล๋ย" รายงานโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม
รายงานจาก อัสมาอ์ บุตรี ยะซีด ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา นางกล่าวว่า "ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เดินผ่านพวกเรา ซึ่งเรากำลังอยู่ในหมู่บรรดาผู้หญิงทั้งหลาย แล้วท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ได้ให้สลามแก่พวกเรา และกล่าวว่า พวกเธอจงระวังเกี่ยวกับการปฏิเสธบรรดาผู้ที่ให้ความอำนวยสุข พวกเรากล่าวว่า โอ้ ร่อซูลลัลลอฮ์ อะไรคือการปฏิเสธบรรดาผู้ที่ให้ความอำนวยสุขหรือ? ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า บางครั้งอาจจะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่คลองโสดอยู่กับบิดามารดาของนางเป็นเวลานาน จากนั้นอัลเลาะฮ์ทรงประทานสามีให้แก่นางและพระองค์ทรงประทานให้นางมีทรัพย์สินและบุตร แล้วนางก็เกิดความโกรธขึ้นมาครั้งหนึ่ง แล้วนางก็ชอบกล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นเขามีดีอะไรสักวันหนึ่งเลย" หะดิษ หะซัน รายงานโดยท่านอิมามอะห์มัด ,อบูดาวูด , และท่านอัตติรมีซีย์
ดังนั้น การปฏิเสธตัดพ้อต่อสามี คือการปฏิเสธเนี๊ยะมัติเช่นเดียวกัน ซึ่งการตัดพ้อน้อยใจ ก็คือ ความไม่พอใจต่อค่าเลี้ยงดูของสามี ซึ่งท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำการอธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว เพื่อไม่ให้สตรีผู้เป็นภรรยาอ้างข้อแก้ตัวต่ออัลเลาะฮ์ ตะอาลา ในขณะที่พระองค์ทรงถามพวกนางเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้เป็นสามี ว่า เธอปฏิบัติดีต่อเขาหรือว่าเธอตัดพ้อไม่พอใจสิ่งอำนวยสุขของเขาหรือว่านางมีความไม่พอใจต่อค่าเลี้ยงดู!?
เพราะฉะนั้นพฤติกรรมเช่นนี้ เป็นสิ่งทำให้มีผลตามมาที่อันตรายและเป็นบาปอันใหญ่หลวง ซึ่งทางที่ดีพวกนางต้องละทิ้งพฤติกรรมดังกล่าวและให้มีการตักเตือนซึ่งกันและกันในหมู่พวกนาง ว่าสิ่งดังกล่าวนั้นเป็นสาเหตุให้ต้องถูกลงโทษในวันกิยามะฮ์
วัลลอฮุอะลัม