ปรัชญาของความพอเพียง
ปัจจุบันปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกำลังได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง  หน่อยงานและองค์กรต่าง ๆ ได้พยายามร่วมมือกันชี้แจงให้คนในสังคมรับรู้ถึงปรัชญาข้อนี้ว่า สามารถแก้ไขปัญหาสังคมในด้านเศรษฐกิจและการเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างไร..ซึ่งหากทุกคนมีความเข้าใจและปฏิบัติตามปรัชญาข้อนี้แล้วก็จะมีส่วนช่วยพลักดันให้ชีวิตความเป็นอยู่นั้น  ดีขึ้นและยังส่งผลให้ประเทศมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย  อย่างไรก็ตามประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจหลากหลายและไม่ชัดเจนถึงความหมายและและหลักแนวคิดที่แท้จริงของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงได้จัดทำหนั้งสือ "เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร" ขึ้น  โดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะอธิบายความหมายของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  รวมทั้งกรอบแนวคิดของหลักปรัชญาฯ ที่มุ่งเน้นความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา  อันมีคุณลักษณะสำคัญ  คือ  สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับตลอดจนได้อธิบายคำนิยามของความเพียงพอที่ประกอบด้วย  ความพอประมาณ  ความมีเหตุมีผล  มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว  ภายใต้เงื่อนไขของการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมที่ต้องอาศัยความรู้และเงื่อนไขคุณธรรม  ซึ่งพอที่จะทำให้เราเข้าใจความหมายของเศรษฐกิจได้โดยสรุปได้ดังนี้
- 
ความพอเพียง  คือ  รู้จักพอประมาณ พออยู่  พอมี  พอใช้  ประหยัด  และไม่เบียดเบือนผู้อื่น
- 
ความมีเหตุผล  คือ  ตัดสินใจกระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เดความพอเพียงต้องใช้เหตุผลและพิจารณาด้วยความรอบคอบ
- 
ความมีภูมิคุ้มกันที่ดี  คือ เตรียมใจให้พร้อมกับผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- 
การมีความรู้  คือ  นำความรู้มาใช้ในการวางแผนและดำเนินชีวิต
- 
การมีคุณธรรม  คือ  มีความซื่อสัตย์สุจริต  สามัคคี  และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เราจะเห็นได้ว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเริ่มต้นที่ตนเองและยังส่งผลเกื้อหนุนต่อกันในบั้นปลาย  เพราะฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมเป็นปัญร่วมกันและต้องร่วมมือร่วมใจระหว่างกันและกันในการแก้ปัญหา  การแก้ไขปัญหาจึงต้องเริ่มที่ต้นตอนั่นคือ  กิเลส  ความอยากมีอยากได้ที่เกินความพอดีของคน  ซึ่งบ่อยครั้งที่มันหันกลับมาทำลายตัวเองและสังคม
ท่านนบีมูมัดมัด (ซ.ล.) ได้เคยบอกกับพวกเราให้รับรู้ถึงสัณชาติญาณดิบของคนว่า
"มาตรแม้นว่ามนุษย์คนหนึ่งนั้นได้รับครอบครอบสองหุบเขาที่เต็มไปด้วยทรัพย์สิน  แน่นอนที่สุดเขาย่อมจะแสวงหุบเขาที่สาม  และไม่มีส่งใดจะบรรจุดเติมเต็มท้องของมนุษย์ได้นอกจากดินเท่านั้น (เป็นการเปรียบเทียงทำนาองว่า  ความตายคือสิ่งเดียวที่สามารถหยุดยั้งกิเลสและความต้องการของมนุษย์ได้)" (รายงานโดยบุคอรี ฮะดิษที่ 6072 และมุสลิม ฮะดิษที่ 2390)
จากคำกล่าวของท่านนบี (ซ.ล.) ชี้ให้เห็นว่า  ความที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งก็ย่อมที่จะมีความยากความต้องการโดยไม่มีที่สิ้นสุดตราบใดที่เขายังคงหายใจ  การแก้ไขจึงเริ่มกันจากตรงนี้
นับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา  อิสลามได้พยายามสอนทางออกให้กับมวลมนุษย์ในการดำเนินชีวิตโดยเริ่มจาก้อนเนื้อที่เราเรียกมันว่าหัวใจ  พยายามปลูกจิตสำนึกให้เข้าถึงแก่นแท้แห่งชีวิต  ซึ่งมีนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) เป็นแบบอย่างจากหลักการเหล่านั้น
ในเรื่องของความเพียงพอ  เมื่อเราศึกษาคำสอนและการปฏิบัติตัวของศาสดา  เราจะเห็นได้ว่านบีมูฮัมมัด (ซ.ล.)  เป็นถึงองค์ศาสดาผุ้ยิ่งใหญ่พระองค์ท่านน่าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเยี่ยมจอมราชัน  และน่าจะทิ้งทรัพย์สมบัติและมรดกกองโตไว้ให้ภรรยาและลูกหลานของท่าน  หลังจากที่ท่านได้จากไป  แต่หน้าประวัติศาสตร์กลับบันทึกให้เราทราบว่าท่านพอใจที่จะนอนบนเสื่อหยาบ ๆ ท่านหิวไม่ต่างไปจากคนจนหิว  ท่านยอมอดเพื่อให้คนที่หิวมากกว่าได้อิ่ม  ท่านรับประทานอาหารเหมือนคนอื่นรับประทาน  ท่านรีดนมแพะ  ท่านเย็บท่านปะรองเท้าและเสื้อผ้า  ท่านไม่เคยฟุ้งเฟ้อ  ท่านสมถะ  และท่านยังดูแลครอบครัวได้เป็นอย่างดี  ในวันที่ท่านเสียชีวิต  ท่านได้ทิ้งอาหารให้ภรรยาของท่านเพียงไม่กี่ชิ้นและผ้าไม่กี่ผืน  ท่านไม่เคยให้อำนาจบารมีของความเป็นผู้นำทั้งที่มีผู้ตามท่านนับแสน ๆ คนเพื่อหาประโยชน์เข้ากระเป๋าเหมือนที่ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเราเขาทำกันอยู่  และแม้นว่าท่านต้องการภูเขาอุฮุดทั้งลูกก็พร้อมที่จะกลายเป็นทองในชั่วพริบตา  ท่านจึงเป็นแบบฉบับของความพอเพียงอย่างเต็มตัว
แบบอย่างหนึ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจจากแนวทางแห่งท่านนบีที่ใช้เป็นหลักปฏิบัติในเรื่องความพอเพียงก็คือ  الزهد  (อัซซุฮด์) ความสันโดษและปล่อยวางไม่ยึดติดกับสภาวะรอบข้าง  รู้จักเสียสละ  สมถะ  พอเพียง  ความหมายเหล่านี้ล้วนเข้าอยู่ภายใต้คำว่า  الزهد  (อัซซุฮด์) ทั้งสิ้น
ในขณะที่มีซอฮาบะฮ์ท่านหนึ่งถามท่านนบีว่าจะทำอย่างไรให้พระเจ้าและคนรอบข้างรัก  ท่านตอบว่า
"ท่านจงอยู่อย่างสมถะบนโลกใบนี้แล้วอัลเลาะฮ์จะรักท่าน  และจงปล่อยวางในสิ่งที่มนุษย์ครอบครอง (รู้จักพอไม่คิดแย่งชิงแข่งขันอันก่อให้เกิดโลภและริษยา) มนุษย์จะต่างพากันรักท่าน"  รายงานโดย อิบนุมาญะห์ ฮะดิษที่ 4102
ในขณะที่ท่านศาสดาได้สอนแนวทางให้กับเหล่าสาวกตัวท่านเองก็ยังคงเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต   คำขอพรของท่านต่อพระผู้อภิบาลหลาย ๆ บทที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์  ของความ الزهد  (อัซซุฮด์) ของท่านนบี  ท่านเคยขอพรว่า
اَللَّهُمَّ إجْعَلِ الدُّنْيَا فِى أَيْدِيْنَا وَلاَ تَجْعَلْهَا فِى قُلُوْبِنَا
"โอ้ผู้ทรงอภิบาลได้โปรดทำให้โลกนี้นั้นอยู่แค่ในมือของเรา  และโปรดอย่าทำให้มันต้องผนึกในใจของเราเลย"
ทุกท่านครับ
ความสุขที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในสังคมตามหลักปรัชญาแห่งความพอเพียงจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า  เราสามารถทำให้คนมีกำลังทรัพย์มากขึ้น อยู่ดี  กินดีขึ้น  เพราะนั่นไม่ได้เป็นหลักประกันว่ามีความพอเพียงและตั้งมั่นอยู่ในความพอดี  แต่มันอยู่ที่ว่าทำอย่างไงให้มือของคนในสังคมยังคงแสวงหาปัจจัยยังชีพเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองและชีวิตคนที่เราต้องรับผิดชอบดูแลไม่แบมือขอใคร  รู้จักเสียสละแบ่งปันให้กับคนที่เขาอ่อนแอกว่า  ไม่ยึดติดและหวงแหน  และพร้อมที่จะหวงแหน  และพร้อมที่จะแบกรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  นี่ต่างหาก  คือปรัชญาของคำว่า "พอเพียง"
อ้างอิงจาก : สารไคโร 50