ผู้เขียน หัวข้อ: บรรดาฮิกมะฮ์และปรัชญาต่าง ๆ แห่งบทบัญญัติอิสลาม  (อ่าน 37903 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
ชื่อหนังสือที่อ้างอิงคล้ายๆกับชื่อกระทู้เลย
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Tameem Addari

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 13
  • Once Dawah Forever Dawah...
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
กาย ใจ ชีวิต ลมหายใจและสายเลือด มอบเป็นอิสลามพลี...

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
ฮิกมะฮ์การกล่าวตักบีรในการเลื่อนรุกุ่นละหมาด

เป็นที่ทราบดีว่า  ในการละหมาดนั้น  มีการซิกรุลลอฮ์และมีการสรรเสริญพระองค์อย่างมากมาย   ส่วนหนึ่งนั้นคือ การตักบีรเคลื่อนรุกุ่นในขณะละหมาด  เมื่อจะทำการรุกั๊วะก็จะกล่าว อัลลอฮุอักบัร(อัลเลาะฮ์ทรงยิ่งใหญ่) เมื่อก้มลงสุยูดก็จะกล่าวว่าอัลลอฮุอักบัร  เมื่อเงยขึ้นมาจากสุยูดก็กล่าวว่าอัลลอฮุอักบัร  เมื่อจะขึ้นยืนรอกะอัตต่อไป  ก็กล่าวว่าอัลลอฮุอักบัร (อัลเลาะฮ์ทรงยิ่งใหญ่) ฮิกมะฮ์ดังกล่าวนั้น  เพื่อจะตอกย้ำให้ผู้ละหมาดรำลึกถึงอัลเลาะฮ์เสมอ  เพื่อให้รู้ว่าอัลเลาะฮ์เท่านั้นทรงยิ่งใหญ่ในจิตใจของเขา  อย่าเอาสิ่งอื่นเข้ามาอยู่ในจิตใจในขณะละหมาด  เพื่อเขาจะได้ละหมาดเหมือนกับเห็นอัลเลาะฮ์  ด้วยสื่อการฟื้นฟูและตอกย้ำให้กล่าว "อัลลอฮุอักบัร" ในทุกท่วงท่าของละหมาด  แต่ถ้าหากเราละหมาดโดยกล่าวว่า อัลลอฮุอักบัร (อัลเลาะฮ์ยิ่งใหญ่กว่าน่ะ อัลเลาะฮ์ยิ่งใหญ่กว่าน่ะ)  แต่หากใจเรานึกสิ่งอื่น  แสดงว่าปากกับใจไม่ตรงกัน  จนกระทั่งกลายเป็นคนโกหกและกลับกลอกในละหมาดนั่นเอง  วัลอิยาซุบิลลาฮ์  ขอให้เราพยายามตั้งใจละหมาดกันน่ะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 24, 2009, 05:20 AM โดย As-Zaleek »
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ฮิกมะฮ์และปรัชญาแห่งบทบัญญัติอิสลาม
« ตอบกลับ #93 เมื่อ: มี.ค. 09, 2010, 09:35 PM »
0

อะไรคือฮิกมะฮ์ที่มารดามีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตร?


"ศาสนาได้มอบสิทธิการเลี้ยงบุตรให้แก่มารดาก่อนบิดา 
เพราะมารดานั้นมีความรักห่วงคิดถึงต่อบุตร  มีความเอ็นดูเมตตา 
มีความอดทนในการเลี้ยงดูบุตรมากกว่าผู้เป็นบิดา 
และเพราะว่ามารดากนั้นมีความอดทนสูงในการเลี้ยงดูอัน
เนื่องจากนางอุ้มครรภ์มาอย่างยากลำบากและคลอดมาอย่างยากลำบาก 
ท่านนบีจึงกล่าวว่า "เธอย่อมมีสิทธิ์ยิ่งต่อบุตรตราบใดที่ยังไม่แต่งงาน(ใหม่)"




อะไรคือฮิกมะฮ์ที่มารดาชอบอุ้มบุตรด้วยมือซ้าย?


ในขณะที่เด็กทารกกำลังส่งเสียงร้องไห้จอแจอย่างจ้าละหวั่น 
เชื่อผมไหมครับว่าพวกเราจะได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเสมอๆ 
เธอคนนี้มาพร้อมกับวิธีการโอบอุ้มทารกน้อยอย่างทะนุถนอม
ยากจะหาใครเปรียบได้  และคอยตระกองกอดเจ้าตัวเล็กไว้ที่อ้อมอก
จนกระทั่งเสียงนั้นสงบลง  แล้วคุณผู้อ่านเชื่ออีกไหมครับว่าเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย
จะหยุดงอแงทุกครั้งเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของเธอคนนี้ 
แน่นอนครับว่าผู้หญิงที่มีความสามารถพิเศษที่ผมพูดถึงอยู่นั้น 
คงไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจากผู้เป็น”มารดา”นั่นเอง
แล้วคุณผู้อ่านเคยสังเกตไหมครับว่า 
ผู้เป็นมารดาจะอุ้มบุตรของตนให้แนบอยู่บนหน้าอกซีกซ้าย
คุณเคยสังเกตเห็นฮิกมะฮ์ในสิ่งดังกล่าวหรือไม่ครับ ?

นั่นล่ะครับ.. เพราะว่าแท้จริงแล้ว  มารดาจะอุ้มบุตรของตน
โดยวิธีการวางบุตรให้อยู่ใกล้กับหัวใจของนาง 
ว่าแต่...คุณผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ 
เกี่ยวกับความเป็นความจำเป็นในการกระทำสิ่งดังกล่าว ?

ผมจะนำเสนอบรรดาข้อบ่งชี้ดังต่อไปนี้  ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นไปได้ที่ว่า
“เสียงเต้นของหัวใจมารดา คือเสียงแรกที่ทารกได้ยินก่อนคลอดออกมา”
ตลอดระยะเวลาที่มารดาตั้งครรภ์  ทารกนั้นจะอยู่ในครรภ์มดลูก
ซึ่งอยู่ใกล้กับการเต้นของหัวใจผู้เป็นมารดา 
ดังนั้นน้ำคร่ำที่อยู่รอบๆ ตัวทารกในมดลูกนั้น
จะเป็นสิ่งที่ทำให้ทารกมีระบบการเต้นของหัวใจ 
จากจุดนี้เองได้ทำให้เราทราบว่าสถานภาพที่ทารกมีชีวิตอยู่ในครรภ์นั้น 
เขาจะได้ยินระบบการเต้นของหัวใจผู้เป็นมารดา

ทารกจะได้รับสารอาหารมาหล่อเลี้ยง  โดยไม่รู้สึกหิวและกระหาย 
ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
และสภาพอากาศหนาวร้อนภายนอกครรภ์ 
หลังจากทารกถึงคราวคลอดนั้น  ทารกจะมีความรู้สึกหนาวและร้อนเกิดขึ้น 
มีความรู้สึกหิวกระหาย  และสำคัญที่สุดคือทารกจะขาดจากการได้ยินเสียง
ระบบการเต้นของหัวใจมารดาเช่นในระยะเวลาที่เขาเคยอยู่อย่างสุขสบายในครรภ์

ตามหลักการดังกล่าวนี้  ความเกี่ยวพันจากการที่ทารกเคยได้ยินเสียงจังหวะ
การเต้นของหัวใจผู้เป็นมารดา  พร้อมกับความรู้สึกสบายก่อนหน้านั้น 
ทำให้ทารกรู้สึกคิดถึงคะนึงหาเสียงเต้นของหัวใจมารดาในช่วงระยะเวลาดังกล่าว

เช่นนี้ผู้เป็นมารดาสมควรตระหนักถึงฮิกมะฮ์ข้างต้น  ในขณะที่ได้โอบอุ้ม 
ตระกองกอดบุตรของตน  และนี่แหละคือความน่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง 
ความผูกพันจากจังหวะการเต้นของหัวใจ  จากแม่สู่ลูก..
มาถึงตรงนี้  คุณผู้อ่านรู้ไหมครับว่าผมกำลังคิดอะไร  ?

ผมเฉลยให้ก็ได้ครับ  เพราะว่าคุณคงเดากันไม่ถูกหรอก 
ตอนนี้ผมกำลังคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่  ผู้หญิงคนที่ผมรักมากๆในชีวิต 
นั่นแน่ะ...อย่าตกใจไปนะครับว่าสาวที่ไหนกัน  ก็ ........  “แม่”  ของผม


อัลฮัมดุลิลลาฮฺ....

กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่สุดจะบรรยายเลยค่ะ ชอบสุดๆ 
myGreat: myGreat:
 loveit: loveit:

ปกติเวลาอุ้มเด็ก ก็จะอุ้มข้างซ้ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
มันเป็นของมันเองค่ะ ทั้งๆที่เป็นคนถนัดขวา
และก็ยังไม่ได้เป็นแม่คนด้วย...
ได้อ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ
ตอนอ่านแรกๆก่อนได้อ่านถึงบทเฉลยก็คิดว่า มันต้องเกี่ยวกับหัวใจแน่ๆ ;D
ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเสียงของหัวใจ  loveit:
และเท่าที่เคยสังเกตมา ผู้หญิงหลายๆคนเลยก็อุ้มเด็กน้อยข้างซ้ายกัน

 loveit:

ว่าแล้วก็คิดถึงผู้หญิงคนนั้น คนที่เคยอุ้มชูเรามาแต่เล็กแต่น้อย
อ้อมกอดแม่ต่างจากอ้อมกอดใครๆที่เคยได้กอด
แม่กอดลูกโดยไม่มีขัดเขินต่างจากพ่อค่ะ
ลูกเองก็กอดแม่ได้อย่างไม่ขัดเขินเช่นกัน
เพราะมันรู้สึกคุ้นเคยรุ้สึกคุ้นใจ อย่างคนที่หัวใจคุ้นเคย...  loveit:


ญะซากัลลอฮุคอยรอนผู้นำเสนอค่ะ...

เดี๋ยวจะกลับมาอ่านต่อค่ะ เหลืออีก 4 หน้า อินชาอัลลอฮฺ...
ค่อยๆอ่าน จะได้ค่อยๆซึมค่ะ....อ่านไปซึ้งไปกับฮิกมะฮฺและปรัชญา
แห่งบทบัญญัติแห่งอิสลาม....  loveit:

วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
ฮิกมะฮ์การห้ามดอกเบี้ย


1. เป็นการทำลายเกียรติทรัพย์สินของมุสลิมด้วยการเอาเงินเพิ่มโดยมิได้มาด้วยการแลกเปลี่ยน

2. สร้างความเดือนร้อนแก่คนยากจน  เพราะส่วนมากผู้ให้กู้ยืมจะร่ำรวย  ส่วนผู้ขอกู้เป็นคนจน  เมื่อคนรวยเอาเงินมากกว่าสิ่งที่ให้กู้ไป  ก็จะสร้างความเดือดร้อนแก่คนจน

3. ไร้ความดีงามและความเห็นอกเห็นใจในเรื่องการกู้ยืมซึ่งกันและกัน

เมื่อก่อนตอนเด็กๆที่เรียนเรื่องการห้ามกินดอกเบี้ย ไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดอัลลอฮฺ
ถึงได้ห้ามสิ่งนี้นักหนา...

วันเวลาผ่านไป...จึงเข้าใจเลยว่าสิ่งนี้ช่างเป็นความน่ารังเกียจโดยแท้
อัลลอฮฺจะไม่สั่งห้ามสิ่งใด เว้นแต่สิ่งนั้นจะก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน...

และมันช่างมีอานุภาพทำลายล้างระบบสังคมได้แบบถึงรากถึงโคนเลยทีเดียว

คนจนไม่มีเงินลงทุนทำกิจการ...ต้องเอาที่ดินผืนน้อย(บางคร้ังมีแค่ผืนนั้นผืนเดียวด้วยซ้ำ)
เอาไปค้ำประกันเพื่อกู้เงิน...ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าของเงินกู้
ไม่ว่าเงินที่เขานำไปลงทุนจะได้กำไรหรือไม่ได้กำไรก็ตาม ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้นายทุน
ท้ายที่สุด...ก็ไม่มีความสามารถจะประคองกิจการต่อไปได้...
ต้องปล่อยให้ที่ดินที่เอาไปค้ำประกันถูกยึด...

ถ้าเราได้เห็นสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในสังคม...เราจะบอกได้อีกหรือไม่ว่า
นั่นคือความดีงาม...นั่นคือการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน...
เปล่าเลย...มันคือความเห็นแก่ตัว มันคือการเอาเปรียบ...

คนมีเอาสมบัติของคนจนไปครอบครอง...ไม่แปลกเลยที่ดอกเบี้ยคือสิ่งต้องห้าม
และผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้รับโทษทัณฑ์...

ที่สำคัญ...ระบบธนาคาร...เงินที่เขาเอาไปปล่อยให้คนไม่มีเงินกู้
ก็ไม่ใช่เงินของเจ้าของธนาคารเลย แต่เป็นเงินของผู้คนที่นำเงินไปฝากธนาคาร...
แล้วสุดท้ายก็ได้ดอกเบี้ยของผู้กู้และได้อสังหาริมทรัพย์ที่ผู้กู้เอามาค้ำประกันเป็นทรัพย์นำมาใช้จ่าย...

...เหมือนคนที่ทำมาหากินด้วยการกินน้ำตาคนจนเป็นอาหาร...
เหมือนการทำนาบนหลังผู้อื่น...

ต่อให้ร่ำรวยล้นผืนฟ้า...มีเงินกองเท่าภูเขา...
ก็ไม่น่าเชิดชูยกย่องแต่อย่างไร...

ปล.ชอบกระทู้นี้มากๆ ขอขุดค่ะ...

วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
ฮิกมะฮ์การห้ามถอนขนที่ใบหน้า


1400 ปีมาแล้ว  ที่พวกเขาเพิ่งตรวจพบถึงฮิกมะฮ์การห้ามถอนขนที่ใบหน้า  จากการทดลองพบว่า เส้นขนคิ้วทุก ๆ เส้นนั้นจะเชื่อต่อกับเซลล์ที่มาจากส่วนของศีรษะ  การถอนขนหรือถอนขนบนใบหน้านั้น  จะนำไปพาไปสู่การถอนเซลล์ออกไปจากร่างกาย
ส่วนอีกฮิกมะฮ์หนึ่งก็คือ  เป็นการเปลี่ยนแปลงการสรรสร้างของอัลเลาะฮ์ตะอาลา 

และสตรีผู้ถอนขนที่ใบหน้าหรือขอให้ทำการถอนขนนั้นจะถูกทำให้ห่างไกลจากความเมตตาของอัลเลาะฮ์ตะอาลา  และภายใต้ขนคิ้วนั้นจะไม่เซลล์ที่อาจจะก่อมะเร็ง   ทุกครั้งที่ทำการถอนขนคิ้ว  ก็จะนำไปสู่การกระตุ้นเซลล์ดังกล่าว  วัลลอฮุอะลัม


ตอนที่ไม่รู้ก็เคยถอนขนคิ้วค่ะ แต่พอได้รู้ก็เลิกถอนไปนานแล้ว...
ก็เลยอยากขุดประเด็นนี้ขึ้นมา เผื่อพี่น้องเราผ่านเข้ามาอ่านและยังไม่รู้ในเรื่องนี้
จะได้กระจ่างใจ และละทิ้งสิ่งที่จะทำให้ตนเองเสียหายไป ^^

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged