ผู้เขียน หัวข้อ: ถกประเด็นสดผ่านทีวี, "ความจริงเกี่ยวกับอิสลาม"  (อ่าน 1683 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด

อัสสลามุ อลัยกุม

              พอดีเผอิญไปเจอคลิปๆ หนึ่งจากยูทิวป์ เกี่ยวกับการถกประเด็น เรื่อง "ความจริงเกี่ยวกับอิสลาม" ระหว่างนักจิตวิทยาชาวอเมริกา เชื้อสายอาหรับ "วาฟา ซุลฏอน" (ผู้ไม่มีศาสนา )กับ "อิบรอฮีม" (ชาวมุสลิม) การถกประเด็นเป็นไปอย่างดูเดือดมากๆ โดยมีผู้สื่อข่าวอัล-ญะซิเราะฮฺ เป็นผู้ดำเนินรายการ เนื้อหาเป็นเช่นไรบ้าง ผมคงไม่เกริ่นนำแล้ว ขอให้ท่านผู้อ่านติดตาข้างล่างนี้ได้เลย อินชาอัลลอฮฺ

วัสสลามุ อลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
MEMRI TV PROJECT
ARAB-AMERICAN PSYCHOLOGIST
WAFA SULTAN
[/size][/color]

AL-JAZEERA TV (QATAR)
FEBRUARY 21, 2006
[/size][/color]

________________________________________

ชมคลิปดังกล่าว ภาคแรก (ภาษาอาหรับ) ได้ -->  Part I : http://www.youtube.com/watch?v=XN2fqe4oWsI

WAFA SULTAN:  The clash we are witnessing around the world is not a clash of religion, or a clash of civilizations. It is a clash between two opposites, between two eras. It is a clash between a mentality that belongs to the Middle Ages and another mentality that belongs to the 21st century. It is a clash between civilization and backwardness, between the civilized and the primitive, between barbarity and rationality. It is a clash between freedom and oppression, between democracy and dictatorship. It is a clash between human rights, on the one hand, and the violation of these rights, on the other hand. It is a clash between those who treat women like beasts, and those who treat them like human beings. What we see today is not a clash of civilizations. Civilization do not clash but compete.

วาฟา ซุลฏอน : ความขัดแย้ง, เรากำลังพิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นว่า มันไม่ใช่ความขัดแย้งทางศาสนา หรือความขัดแย้งทางอารยธรรม  (แต่) มันคือความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายที่ตรงข้ามกัน, ระหว่าง 2 ยุคสมัย  มันคือความขัดแย้งทางทัศนคติที่เหมาะกับยุคกลาง (ยุคของนบี ศ.ล.) กับอีกทัศนคติหนึ่งที่เหมาะกับยุคศตวรรษที่ 21  (คือปัจจุบัน) มันคือความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมกับความล้าหลัง  ระหว่างอารยชนกับพวกดึกดำบรรพ์  ระหว่างพวกนิยมความป่าเถื่อนกับพวกรู้จักใช้เหตุและผล  ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ  มันคือความขัดแย้งระหว่างสิทธิมนุษยชนที่อยู่ในมือของคนๆ หนึ่ง กับผู้ละเมิดความถูกต้องทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในมือของคนๆ หนึ่งเช่นกัน  มันเป็นความขัดแย้งระหว่างพวกที่ปฏิบัติต่อบรรดาผู้หญิงเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน กับผู้ซึ่งปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีมนุษยธรรม  เราเห็นอะไรบ้างในวันนี้... ไม่ใช่ความขัดแย้งทางอารยธรรมหรอกหรือ? อารยธรรมไม่ใช่ความขัดแย้ง เว้นแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเท่านั้นเอง

AL-JAZEERAH REPORTER: I understand from your words that what is happening today is a clash between the culture of the west, and the backwardness and ignorance of the Muslims?

ผู้รายงานข่าวอัล-ญะซีเราะฮฺ : ผมเข้าใจคำพูดของคุณดีที่ว่า อะไรกำลังเกิด ณ วันนี้ที่เป็นความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมตะวันตก กับความล้าหลัง (คุณหมายถึง) ความเขลาของบรรดามุสลิม (ใช่ไหม)?

WAFA SULTAN:  Yes, that is what I mean.

วาฟา ซุลฏอน : ใช่, นั่นแหละสิ่งที่ฉันหมายถึงหล่ะ

AL-JAZEERAH REPORTER: Who came up with the concept of a clash of civilizations? Was it not Samuel Huntington? It was not Bin Laden. I would like to discuss this issue, if you don’t mind…

ผู้รายงานข่าวอัล-ญะซีเราะฮฺ : ใครหล่ะครับ? ที่ทำให้ความคิดเรื่องความขัดแย้งทางอารยธรรมอุบัติขึ้น? คงจะไม่ใช่ นายซามูเอล ฮันติงตัน? ไม่ใช่ นายบิน ลาเดน ใช่ไหม?  ผมต้องการถกประเด็นนี้ครับ  หากคุณไม่มีปัญหาอะไร...

WAFA SULTAN:   The Muslims are the ones who began using this expression. The Muslims are the ones who began the clash of civilization. The Prophet of Islam said: “I was ordered to fight the people until they believe in Allah and His Messenger.” When the Muslims divided the people into Muslims and non-Muslims, and called to fight the orders until they believe in what they themselves believe, they started this clash, and began this war. In order to stop this war, they must reexamine their Islamic books and curricula, whish are full of calls for takfir and fighting the infidels.

วาฟา  ซุลฏอน: บรรดาชาวมุสลิมนั่นแหละที่เป็นผู้เริ่มใช้ถ้อยคำนี้ บรรดาชาวมุสลิมนั่นแหละที่เป็นผู้เริ่มต้นความรุนแรงทางอารยธรรม ศาสดาแห่งอิสลามได้กล่าวไว้ว่า “ฉันถูกบัญชาให้ทำการต่อสู้กับผู้คนทั้งหลาย จนกว่าพวกเขาจะศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์” เมื่อชาวมุสลิมได้แบ่งแยกผู้คนทั้งหลายให้เป็นมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม และได้เรียกร้องให้ทำการต่อสู้ตามพระบัญชาจนกว่าพวกเขาจะศรัทธาในสิ่งที่พวกเขา (ชาวมุสลิม) ศรัทธา พวกเขาได้เริ่มต้นความขัดแย้งนี้ และเริ่มต้นสงครามนี้ขึ้น (ดังนั้น) เพื่อที่จะยุติสงครามนี้ลง  พวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบบรรดาตำรับตำราต่างๆ เกี่ยวกับอิสลามและเนื้อหาต่างๆ ในนั้น ซึ่งมันเต็มไปด้วยคำที่ให้เรียกผู้คนว่า “ตักฟีรฺ” (เป็นพวกปฏิเสธศรัทธา) และ (คำสั่งสอนเกี่ยวกับ) การต่อสู้กับพวกนอกศาสนาทั้งหลาย   

My colleague has said that he never offends other people’s beliefs. What civilization on the face of this earth allows him to call other people by names they did not choose for themselves? Once he calls them Ahl Al-Dhimma, another time he calls them the “People of the book”, and yet another time he compares them to apes and pigs. Or he calls the Christians “those who incur Allah’s wrath.” Who told you they are “People of the Book”? They are not the People of the Book; they are people of many books.

เพื่อนร่วมงานของฉันเคยกล่าวว่า เขาไม่เคยทำให้ศาสนิกอื่นๆ โกรธเขืองเลย  อารยธรรมอะไรหรือ? บนหน้าแผ่นดินนี้ที่อนุญาตให้พวกเขาเรียกคนอื่นๆ ด้วยชื่อต่างๆ ซึ่งพวกเขาไม่ได้เลือกให้กับพวกเขาเลย?  บางครั้งเขา (ชาวมุสลิม) เรียกพวกนั้น (ศาสนิกอื่นที่อาศัยอย่างถาวรในประเทศอิสลาม) ว่า “อะฮฺลุซซิมมะฮฺ” พออีกเวลาหนึ่งเขาก็เรียกพวกนั้นว่า “ชาวคัมภีร์” และซ้ำในบางครั้งยังเปรียบเทียบพวกเขาเป็น apes และ pigs อีกด้วย หรือพวกเขา (ชาวมุสลิม) เรียกชาวคริสเตียนว่า “บรรดาผู้ซึ่งประสบกับความพิโรธแห่งอัลลอฮฺ” ใครบอกพวกคุณหรือว่าพวกเขาคือ “ชาวคัมภีร์” พวกเขาหาใช่เป็นแค่ชาวแห่งคัมภีร์เพียงเล่มเดียว (อะฮฺลุลกิตาบ - คำเอกพน์) แต่พวกเขาคือชาวแห่งคัมภีร์หลายๆ เล่มต่างหาก (อะลุลกุตุบ - พหุพจน์)

All the useful scientific books that you have today are theirs, the fruit of their free and creative thinking. What gives you the right to call them “those who incur Allah’s Wrath,” or “those who have gone astray,” and then come here and say that your religion commands you to refrain for offending the beliefs of others? I am not a Christian, a Muslim, or a Jew. I am a secular human being. I do not believe in the supernatural, but I respect other’ right to believe in it. 

ในบรรดาตำรับตำราอันทรงเกียรติของนักวิทยาศาสตร์ที่พวกคุณมีอยู่ ณ วันนี้นั้น ก็เป็นของพวกเขา (คริสเตียน และยิว)  พวกเขาไม่ตระหนี่ผลงาน และความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาหรอก พวกคุณจะเรียกพวกเขาให้มันถูกๆ ยังงัยดีหละ “บรรดาผู้ถูกอัลลอฮฺกริ้วโกรธ” (al-Maghdhubi ‘alaihim) หรือ “บรรดาผู้หลงผิด” ดีหละ (adh-Dhaalleen)  กลับมานี่ใหม่... ฉันขอถาม (พวกคุณตรงๆ) นะว่า “ศาสนาของพวกคุณนั้นสั่งให้พวกคุณกล่าวตอนท้ายของบท (หมายถึงซูเราะฮฺฟาติหะฮฺ) กับศาสนิกอื่นๆ แบบนี้หรือ?”  ฉันไม่ใช่คริสเตียน ไม่ใช่มุสลิม หรือยิว  (แต่) ฉันคือผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนา (ไม่มีศาสนา)  ฉันไม่เชื่อในพระผู้ทรงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ  แต่ฉันก็ความเคารพในความเชื่อของศาสนาอื่นๆ นะ

Ibraheem  (ผู้ร่วมรายการสัมภาษณ์) : Are you a heretic?

อิบรอฮีม : คุณเป็นพวกไม่มีศาสนาหรือ?

WAFA SULTAN:   You can say whatever you like. I am a secular human being who dose not believe in the supernatural…

วาฟา ซุลฏอน: คุณจะพูดยังงัยก็ได้แล้วแต่คุณ ฉันคือ ผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนา ผู้ซึ่งไม่เชื่อในพระผู้ทรงอยู่เหนือกฎเกณ์ธรรมชาติ

Ibraheem (ผู้ร่วมรายการสัมภาษณ์) : If you are a heretic, there is no point in rebuking you, since you have blasphemed against Islam, the Prophet, and the Koran…

อิบรอฮีม : ถ้าหากคุณเป็นพวกไม่มีศาสนาแล้ว มันก็ไม่มีประเด็นอะไรที่จะไปต่อว่าคุณได้นี่ แต่แล้วคุณก็ได้ทำการดูหมิ่นต่อต้านอิสลาม, ท่านศาสดา ศ.ล. และคัมภีร์อัล-กุรฺอาน

WAFA  SULTAN  :   These are personal matters that do not concern you. Oh my brother, you can believe in stones, as long as you don’t throw them at me. You are free to warship whoever you want, but other people’s beliefs are not your concern, whether they believe that the Messiah is God, son of Mary, or that Satan is God, son of Mary. Let people have their beliefs.

วาฟา ซุลฏอน : มีเรื่องสำคัญส่วนตัวเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณสักเท่าไร โอ้ พี่น้องของฉัน คุณสามารถเชื่อในก้อนหินได้ ตราบนานเท่าที่คุณไม่ขว้างมันใส่ฉัน คุณมีอิสระที่จะเชื่อใครก็ได้ที่คุณต้องการ แม้ว่าศาสนิกชนอื่นๆ จะไม่เห็นด้วยกับคุณก็ตาม หรือไม่ว่าพวกเขาจะศรัทธาว่า อัล-มะซิหฺ (นบีอีซา อ.ล.) เป็นพระเจ้า, ผู้เป็นบุตรของมัรยัม  หรือ (จะศรัทธา) ว่า ชัยฏอน เป็นพระเจ้า... บุตรของมัรยัม  แค่ขอให้พวกเขาได้มีความเชื่อของพวกเขาเองเถอะ

The Jew have come from the tragedy (of the Holocaust), and forced the world to respect them, with their knowledge, not with their terror, with their work, not their crying and yelling. Humanity owes most of the discoveries and science of the 19th and 20th centuries to Jewish scientists. 15 million people, scattered throughout the world, united and won their rights through work and knowledge. We have not seen a single Jew blow himself up in a German restaurant.

ชาวยิวได้เคยประสบกับโศกนาฏกรรมจากการถูกทำลายล้างมาแล้ว และบังคับให้ชาวโลกเคารพนับถือพวกเขาด้วยกับความรู้ของพวกเขา ไม่ใช่ด้วยกับการก่อการร้ายของพวกเขา, ด้วยกับการงานของพวกเขาต่างหาก พวกเขาไม่ร่ำไห้และตะโกนออกมาหรอก   มนุษยชาติเป็นหนี้บุญคุณแก่บรรดานักค้นพบและนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ แห่งศตวรรษที่ 19 และ 20 ซึ่งล้วนแต่เป็นชาวยิวเสียส่วนใหญ่ทั้งสิ้น,  15 ล้านคนจากพวกเขา (ชาวยิว) ได้อาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายตามส่วนต่างๆ ของโลก  รัฐต่างๆ และชัยชนะของพวกเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วยกับการงานและความรู้ของพวกเขา  เราไม่เคยเห็นชาวยิวสักคนเลยที่ระเบิดร้านอาหารของเยอรมัน

We have not seen a single Jew destroy a church. We have not seen a single Jew protest by killing people. The Muslims have turned three Buddha statues into rubble. We have not seen a single Buddhist burn down a Mosque, kill a Muslim, or burn down an embassy. Only the Muslims defend their beliefs by burning down churches, kill people, and destroying embassies. This path will not yield any results. The Muslims must ask themselves what they can do for humankind, before they demand that humankind respect them. …

เราไม่เคยเห็นชาวยิวสักคนเดียวที่ทำลายโบสถ์คริสต์  เราไม่เคยเห็นชาวยิวสักคนเดียวที่ออกมาประท้วงเมื่อผู้คน (ของเขา) ถูกสังหาร  (แต่) ชาวมุสลิมได้ทำลายพระพุทธรูปจนกลายเป็นผุยผง (โดยพวกฏอลิบันที่อัฟกานิสถาน) เราไม่เคยเห็นชาวพุทธสักคนเดียวที่เผามัสญิด สังหารชาวมุสลิม หรือเผาสถานทูตของพวกเขา  มีแต่ชาวมุสลิมเท่านั้นแหละที่ปกป้องศรัทธาของพวกเขาด้วยกับการเผาโบสถ์ต่างๆ ของชาวคริสเตียน สังหารผู้คน และทำลายสถานทูตต่างๆ นี้คือผลลัพธ์ของคำอนุญาต (ของคำสั่งสอน) เหล่านั้นหรือ? ชาวมุสลิมต้องกลับมาถามตัวว่าซะบ้างว่า พวกเขาสมควรทำอะไรได้บ้างให้กับมนุษยชาติ? ก่อนที่พวกเขาจะเรียกร้องให้ชาวโลกเคารพนับถือตัวเอง ...

------------------------------------------------
* มีต่อภาค 2 โปรดติดตาม, อินอัลลอฮฺ
* ผมแปลเนื่องจากอยากทราบความหมาย ส่วนตัวก็ไม่ได้เรียนมาด้านนี้ ทำให้ความหมายบางประโยคอาจจะคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้น หากท่านผู้รู้ตรวจพบเจอ ก็ช่วยท้วงติงด้วย เพราะผมต้องการฝึกแปลด้วย ซึ่งมันจะจำเป็นสำหรับผมอย่างมากในอนาคต ช่วยๆ กันนะครับ, ญาซากั้ลลอฮุ ค็อยร็อน ล่วงหน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 08, 2008, 01:31 PM โดย Al Fatoni »
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม