ผู้เขียน หัวข้อ: สังเขปชีวประวัติ แช็คมุฮัมมัดอาลี ซุกรี่ บิน อุสมาน (โต๊ะกีแซะห์) อยุธยา  (อ่าน 9401 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

krudawut

  • บุคคลทั่วไป

      ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงเรื่องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ของท่านแช็คมุฮัมมัดอาลี ชุกรี่ อิบนิอุสมาน ณ นครมักกะห์มุกัรรอมะห์  ความว่า : -
ในขณะที่ท่านแช็คมุฮัมมัดอาลี  ชุกรี่  (โต๊ะกีแซะห์)  เจริญวัยได้เพียง ๗ ขวบ ท่านได้มีโอกาส (ถึงสะรู) เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ มหานครมักกะห์  ซึ่งเดิมบิดามารดาของท่านได้ทำหนังสือเดินทางพร้อมทั้งเตรียมค่าใช้จ่ายและสัมภาระ (สะรอ) เพื่อให้ “โต๊ะกีหวังเฮง” พี่ชายของท่านเดินทางไปบำเพ็ญฮัจญ์ตามที่ตั้งใจไว้ ทว่า โต๊ะกีหวังเฮงกลับล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ไม่สามารถรักษาให้หายได้ทันกำหนดเดินทาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บิดามารดารวมทั้งบรรดาญาติพี่น้องของท่านจึงปรึกษาหารือกัน ในที่สุดทุกคนต่างลงความเห็นว่าสมควรให้ “อาลี”  (โต๊ะกีแซะห์)  ไปแทน ขณะนั้นโต๊ะกีฯ กำลังสาละวนอยู่กับการเลี้ยงควายที่กลางทุ่งนา บิดาของท่านจึงได้ใช้เด็กไปตาม โดยให้แจ้งว่า “อาเยาะห์ของท่านจะให้ท่านเดินทางไปทำฮัจญ์แทนพี่ชายซึ่งล้มป่วยอยู่”  ทันทีที่ท่านทราบข่าวก็รีบมุ่งตรงกลับมายังบ้าน ครั้นมาถึงแล้ว ท่านอุสมาน บิดาของท่านจึงเรียกพบแล้วบอกว่า “พรุ่งนี้เยาะห์จะให้เอ็งไปมูเกาะห์แทนไอ้บัง”  หลังจากนั้นบิดามารดาของท่านก็โกนผมเปียให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ท่านจึงได้อำลาบิดามารดาตลอดจนญาติสนิทมิตรสหายทุกคน แล้วออกเดินทางสู่มหานครมักกะห์โดยเรือสำเภาลำใหญ่เป็นระยะเวลาแรมเดือน   เมื่อแช็คมุฮัมมัดอาลี  ชุกรี่ เดินทางมาถึงมหานครมักกะห์แล้วท่านได้บำเพ็ญฮัจญ์จนครบตามรู่ก่น หลังจากนั้นก็มุ่งสู่นครมาดีนะห์เพื่อซิยาเราะห์ (เยือน) กุโบรของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์ (ซบ.) เจ้า  ครั้นเสร็จสิ้นจากกรณียกิจดังกล่าวแล้วท่านได้เดินเท้ามุ่งหน้าสู่นครมุเซร (ไคโร) ประเทศอิยิปต์ โดยปราศจากพาหนะ  และทุกครั้งเมื่อตกกลางคืนก่อนเข้าสู่นิทรา ท่านก็จะต้องขุดหลุมฝังร่างของตนเอง เหลือแต่โพรงจมูกไว้สำหรับหายใจเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันให้รอดพ้นจากกรงเล็บของสัตว์ดุร้าย ทั้งเสือสิงห์กระทิงแรดที่คอยดักซุ่มหาเหยื่อมนุษย์ ยอดภักษาหารอันโอชะของมัน
   เมื่อเดินทางถึงประเทศอิยิปต์แล้ว ท่านได้รับหน้าที่เป็นครูสอนวิชาคัดลายมือภาษาอาหรับ  (อิสตะมุน) ณ โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง และในทุกๆ วันศุกร์ หลังจากละหมาดญุมอัตแล้ว ท่านจะเดินทางไปซิยาเราะห์กุโบร (เยือนสังเวชนียสถาน) ของท่านอิหม่ามชาฟีอีย์ (ร.ด.)  ผู้นำมัซฮับของเรา เป็นเวลาต่อเนื่องกันถึง ๔๐ วันศุกร์โดยมิได้ขาด ทั้งนี้ ท่านได้พำนักอยู่ที่ประเทศอิยิปต์เป็นเวลานานกว่า ๑๕  ปี
   ครั้นต่อมาท่านแช็คมุฮัมมัดอาลี ชุกรี่ ได้นิวัตสู่สยามประเทศ อันเป็นมาตุภูมิเกิดในขณะที่มีอายุ ๔๐ ปี ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานท่านได้สมรสกับโต๊ะเชย หญิงชาวบางลำพู ผู้เป็นธิดาของโต๊ะวัง แห่งชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ (วัดตองปุ) ซึ่งต่อมาท่านก็ได้ให้กำเนิดบุตรีด้วยกัน  ๕  คน คือ โต๊ะเพี้ยน  โต๊ะผึ่ง  โต๊ะผาด  โต๊ะซะห์  และโต๊ะหยา 
   จำเนียรกาลล่วงผ่านไปจนกระทั่งท่านมีอายุย่างเข้าสู่ปีที่ ๖๐ ขณะนั้นท่านได้ล้มป่วยอยู่ราว  ๑๐  วัน  ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น ท่านได้นำเชือกเส้นหนึ่งมาผูกไว้บนขื่อ โดยถือปลายเชือกอีกข้างไว้และเมื่อจะอาบน้ำละหมาด ท่านก็จะนำปลายเชือกเส้นนั้นมาพันไว้ กับเท้าของตนเองจนกระทั่งเสร็จกิจ  หลังจากนั้น ท่านก็เรียกภรรยาและบุตรหลานมาจนครบทุกคน แล้วรับสั่งให้จับเชือกเส้นนั้นไว้ โดยพร้อมเพรียงกัน  จนกระทั่งเวลาได้ล่วงผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ท่านจึงกล่าวขึ้นว่า  “ในขณะที่เราจับเชือกอยู่นั้น เราถูกพาขึ้นไปยัง เจ็ดชั้นฟ้าและดิ่งลงมาจนจรดเจ็ดชั้นแผ่นดินด้วยอาการอาเชกมะชูก”เมื่อท่านเล่าจบ ทุกคนจึงปล่อยเชือก ส่วนตัวท่านเองก็หายจากอาการป่วยจนเป็นปกติดังเดิม นับแต่นั้นเป็นต้นมาท่านแช็คมุฮัมมัดอาลี ชุกรี่ ก็ได้เริ่มให้ “มุบัยยิอะห์”  แห่งสายธารตอรีกัตกอดิรียะห์เรื่อยมา  ครั้นเมื่อโต๊ะเชยเสียชีวิตลงแล้ว ท่านก็ได้สมรสกับหญิงชาวคลองตะเคียนอีกคนหนึ่งนามว่า โต๊ะกะห์  สุการี  ธิดาของโต๊ะกีเดชกับโต๊ะเนาะห์  และได้ให้กำเนิดธิดาด้วยกันอีก ๒ คน คือ กุหลาบ  และสุเรียม สำหรับ กุหลาบ นั้นได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัย   
   ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖  เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  โดยขบวนรถไฟพระที่นั่งจะออกจากสถานีหัวลำโพงมายังสถานีอยุธยาและมีหมายกำหนดการจะเสด็จพยุหยาตราชลมารคอีกต่อหนึ่งด้วย  ซึ่งก่อนหน้าขบวนรถไฟพระที่นั่งจะมาถึงสถานีอยุธยานั้น ได้มีตำรวจ นายหนึ่งนั่งเรือเร็วมาพบโต๊ะกีฯ ถึงที่บ้านภูเขาทองเพื่อเรียนให้ท่านทราบว่า  “ในวันนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯมาทำพิธีบวงสรวงฯที่จังหวัดอยุธยา จึงใคร่ขอเรียนเชิญท่านไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จฯ และชมเรือพระที่นั่งด้วยขอรับ”
เมื่อได้รับคำเชิญแล้ว โต๊ะกีฯ พร้อมด้วยเหล่าสานุศิษย์ จึงออกเดินทางโดยเรือมาดคู่บารมี ซึ่งได้อัญเชิญเครื่องสูงทั้งหมดของท่านไปด้วย  เมื่อเรือมาดล่องผ่านลำน้ำเจ้าพระยาจนกระทั่งมาจอดเทียบคู่เรือพระที่นั่งแล้ว  ตำรวจนายนั้นก็ได้เชิญโต๊ะกีฯ ขึ้นไปประทับรอเฝ้าฯรับเสด็จบนเรือพระที่นั่งเป็นเวลาราวหนึ่งชั่วโมง ครั้นพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จฯ พร้อมด้วยบรรดาข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ได้มาถึงยังท่าเทียบเรือแล้ว โต๊ะกีฯ ก็ได้ขึ้นไปกระทำพิธีรับเสด็จฯ และได้ติดตามกระบวนเสด็จพยุหยาตราชลมารคไปจนถึงตำบลบ้านแพน หลังจากนั้นท่านจึงหันหัวเรือเดินทางกลับยังบ้านภูเขาทอง
   นอกจากนี้ ยังมีอีกครั้งหนึ่งขณะที่โต๊ะกีฯ มาพำนักอยู่ ณ บ้านตลาดขวัญ เมื่อท่านได้ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาส คลองบางกอกน้อย ท่านจึงมีบัญชาให้เหล่าสานุศิษย์จัดเตรียมเรือมาดเพื่อล่องลำน้ำไปยังกองเรือพระที่นั่งซึ่งจอดเทียบอยู่ที่ท่าราชวรดิษฐ์  ขณะนั้นตำรวจหลวงนายหนึ่งได้มาเรียนเชิญโต๊ะกีฯ ขึ้นไปประทับรอบนเรือพระที่นั่ง ครั้นพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาถึงแล้ว ท่านก็ได้ขึ้นไปรับเสด็จฯ และติดตามกระบวนพยุหยาตราชลมารคไปจนถึงปากคลองบางกอกน้อย  หลังจากนั้นท่านก็เบนหัวเรือกลับมายังฝั่งพระนคร เพื่อล่องเข้าไปสู่ปากคลองบางลำพู  และในคืนนั้นเองท่านพร้อมด้วยเหล่าสานุศิษย์ก็ได้ประทับค้างแรมอยู่ ณ บ้านของธิดาท่าน ที่ชุมชนมัสยิดจักพงษ์ ข้างวัดชนะสงคราม (วัดตองปุ) เป็นเวลาหนึ่งคืน  ท่านแช็คมุฮัมมัดอาลี ชุกรี่ ได้ถึงแก่อนิจกรรม(กุมบาลีกะเราะห์มาตุลลอฮ์ หมายถึง ย้ายคนรักไปหาที่รัก) ในขณะที่มีอายุได้ ๘๔  ปีสังเขปประวัติของท่านก็จบลงแต่เพียงเท่านี้

ออฟไลน์ kakashi

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 190
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกน้อยๆ ของข้าน้อยเอง
อ้างถึง
“ในขณะที่เราจับเชือกอยู่นั้น เราถูกพาขึ้นไปยัง เจ็ดชั้นฟ้าและดิ่งลงมาจนจรดเจ็ดชั้นแผ่นดินด้วยอาการอาเชกมะชูก”

ขุดครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ ผู้รู้อธิบายด่วน

 

GoogleTagged