ผู้เขียน หัวข้อ: กำเนิดมุฮัมหมัดซ๊อลล้อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  (อ่าน 2628 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/

السلام عليكم ورحمة الله وبركات

อัลฮัมดุลิ้ลลาฮิร็อบบิ้ลอาละมีน 
วัซซ่อล่าตุวัสลามมุอะลาซัยยิดินามุฮัมหมัด  ว่าอะลาอาลิฮีวะซ้อฮฺบิฮีอัจมะอีน


กำเนิดมุฮัมหมัด
โดย  อาจารย์อรุณ  บุญชม


อามินะห์มารดาของท่านนบี ซ้อลล้อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เล่าว่า
  "เมื่อฉันแต่งงานกับอับดุลลอฮฺนั้น เขาได้มีโอกาสอยู่กับฉันเพียงสิบวันเท่านั้น แล้วเขาก้ออกเดินทางไปกับคาราวานสินค้าไปยังเมืองชามในวันที่สิบเอ็ด

ฉันตื่นในตอนรุ่งสางของคืนหนึ่ง ภายหลังจากอับดุลลอฮฺเดินทางไปแล้ว  ฉันนอนไม่หลับอีกเลยเพราะคิดถึงเขามาก  ต่อมาฉันง่วงและเคลิ้มหลับไป  ฉันฝันเห็นรัศมีพวยพุ่งขึ้นมาจากท้องของฉัน

และทอแสงอยู่เหนือศรีษะฉันและรอบตัวฉันก็สว่างไสว  ไปด้วยรัศมีเจิดจ้านั้น  ฉันได้ยินเสียงก้องดังมาว่าในครรภ์เธอนั้นคือผู้นำแห่งประชาชาตินี้”
 
“ฉันปรารถนาเหลือเกินที่จะมีอับดุลลอฮฺอยู่เคียงข้างเพื่อจะบอกข่าวดีนี้แก่เขา  ฉันได้เล่าความฝันนี้ให้อับดุลมุตตอลิบปู่ของมูฮำหมัดได้ทราบ เขากล่าวแก่ฉันว่า   “อะมินะฮฺเอ๋ย จงปกปิดข่าวนี้อย่าให้ใครทราบเป็นอันขาด”


บ่าร่อกะฮ์ อุมมุอัยมัน หญิงรับใช้ของอะมินะฮฺ ได้เล่าว่า

“ฉันเป็นเพื่อนแก้เหงาและเป็นคนคอยปลอบใจนายหญิงของฉัน  ในขณะที่นานผู้ชายไม่อยู่  นายหญิงมองมาที่ฉันแล้วพูดขึ้นว่า  อุมมุอัยมันเอ๋ย  ฉันมั่นใจแล้วว่าขณะนี้ฉันตั้งครรภ์แต่ฉันนั้นก็ไม่แน่รู้สึกลำบากและเจ็บปวด

เหมือนกับผู้หญิงอื่นที่มีครรภ์”


“ทุกครั้งที่ฉันเคลิ้มหลับจะมีผู้มาบอกฉันในความฝันว่า  เธอตั้งครรภ์ผู้นำและนบีของประชาชาตินี้  อุมมุอัยมันเอ๋ย  เมื่อไหร่หนออับดุลลอฮฺจึงจะกลับมา?  เมื่อไหร่เขาจึงจะกลับมา?  และเมื่อไหร่เขาจึงจะกลับมา?”

แต่อับดุลลอฮฺสามีของนางได้เสียชีวิตแล้ว  ไม่มีโอกาสจะได้กลับมาได้  เขาป่วยขณะเดินทางและเสียชีวิตที่นครมะดีนะฮฺ  อยู่กับญาติตระกูลบะนี อันนัจญาร  เขามีอายุได้พียงสิบแปดปีเท่านั้น ขณะที่อามินะฮฺมีอายุสิบหกปี

ในคืนหนึ่งที่มีดวงจันทร์ทอแสงของฤดูใบไม้ผลิ  อามินะฮฺตื่นขึ้นในตอนย่ำรุ่งด้วยอาการตกใจและหวาดหวั่น  นางเรียกคนรับใช้เข้ามากล่าว่า

“อุมุอัยมันเอ๋ย  คืนนี้ฉันฝันติดต่อกันหลายครั้ง  และเหมือนๆ กัน  มีผู้มาบอกฉันว่า  กำหนดคลอดใกล้เข้ามาแล้ว  เธอจะคลอดผู้นำของประชาชาตินี้  และเขายังได้กำชับให้ฉันกล่าวขณะคลอดว่า

“ฉันขอปกป้องเขาด้วยผู้ทรงเอกะ  จากความชั่วร้ายของผู้มีความริษยาทุกคน  และเขาบอกให้ฉันตั้งชื่อแก่ทารกนั้นว่า มุฮำหมัด”

และแล้วในยามค่อนรุ่งของคืนวันจันทร์  อามินะฮฺ  รู้สึกว่าถึงเวลาคลอดแล้วขณะนั้น  ไม่มีใครอยู่กับอามินะฮฺเลย  นอกจากอุมมุอัยมันเพียงคนเดียวเท่านั้น  อามินะฮฺรู้สึกกลัว  แต่เมื่อมองไปรอบๆ

ก็พบว่ามีรัศมีพวยพุ่งขึ้นมาทำให้ห้องนั้นสว่างไสวไปทั่ว  อามินะฮฺรู้สึกคล้ายกับมีพวกผู้หญิงนุ่งห่มด้วยผ้าสีขาว  นั่งล้อมเตียงอยู่และคิดว่าเป็นญาติ แต่อามินะฮฺก็แปลกใจว่าคนเหล่านั้นรู้ข่าวการคลอดบุตรได้อย่างไร

ทั้งที่นางก็ไม่ได้บอกใครเลยสักคน

หลังจากคลอดแล้ว  อามินะฮฺก็ไม่พบผู้ใดอยู่ในห้อง  อามินะฮฺมั่นใจว่า  นั่นคือการให้ความสำคัญของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ส่งมะลาอิกะฮฺมาให้ความอบอุ่นแก่นางในยามที่ต้องอยู่เดียวดายตามลำพัง

และให้ความช่วยเหลือในการคลอดบุตรสุดที่รัก ผู้นำของประชาชาตินี้

ยังมีต่อครับ  อินซาอัลลอฮ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 14, 2008, 04:24 AM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
(ต่อครับ)

ยามเช้าอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้โลกทั้งโลกเจิดจ้าขับไล่ความมืดมนไปสิ้นนั่นคือ  เช้าที่นบีผู้ประเสริฐถือกำเนิดขึ้นมา เป็นยามเช้าที่มะลาอิกะฮฺในฟากฟ้าได้ประกาศขับไล่ไร้ศรัทธา

ความโง่งมออกไปและได้ประกาศให้ความสงบและสันติเข้ามาสู่คาบสมุทรอาหรับ  ซึ่งผู้คนในดินแดนแห่งนี้ยึดมั่นอยู่กับความไร้ศรัทธา  และตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺผู้เป็นเจ้านับเป็นพันๆ ปี  และหลายร้อยยุค

ได้ถือกำเนิดทารกคนหนึ่งที่นครมักกะฮฺแต่ไม่เหมือนทารกทั้งหลาย  เพราะเขาเป็นสัญญลักษณ์แห่งความรัก  ความบริสุทธิ์ และเป็นมนุษยชาติไปสู่แนวทางที่ถูกต้องดีงามและไปสู่ความศรัธทา

มารดาของทารกน้อยผู้นี้ชื่อ  อามินะฮฺ  บุตรีของวาฮับ  ซึ่งเป็นคนที่มีเกียรติของเผ่ากุเรซ  บิดาชื่อ  อับดุลมุตตอลิบ  หัวหน้าเผ่ากุเรซ เป็นที่พึ่งพิงของผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก

อับดุลลอฮฺบิดาของมุฮำหมัด  เดินทางไปค้าขายร่วมกับคาราวานที่เดินไปยัง  “ชาม”  เขาเกิดความคิดก่อนที่คาราวานจะเคลื่อนขบวนว่า ควรจะแวะเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องตระกูลบนี อันนัจญาร ที่นครมะดีนะฮฺด้วย

ต่อมาเขาก็ป่วยและเสียชีวิตลงขณะที่บุตรชาย “มุฮำหมัด” อยู่ในครรภ์มารดาได้หกเดือน

เมื่ออะมีนะฮฺผู้เป็นมารดาคลอดมุฮำหมัด  อับดุลมุตตอลิบผู้เป็นปู่ดีใจมากและได้กล่วแก่อะมีนะฮฺ ว่า

“เด็กน้อยที่น่ารักคนนี้ มาแทนบิดาของเขา อัลดุลลอฮฺ เธอมองดูหน้า ปาก และดวงตาทั้งสองของเจาสิ มันช่างคล้ายบิดาของเขาเหลือเกิน ทำไมหนอเด็กคนนี้จึงงดงามและมีราศียิ่งกว่าทารกคนใด”


เช้าวันหนึ่ง อัลดุลมุตตอลิบได้เข้าไปหาอามินะฮฺพร้อมด้วยสุภาพสตรีจากตระกูลบะนีสะอิดคนหนึ่งชื่อว่าฮะลีมะฮฺ

อับดุลมุตตอลิบ กล่าวขึ้นว่า

“อามินะฮฺเอ๋ย สุภาพนตรีอาหรับคนนี้มีตระกูลดี ฉันนำเขามาหาเธอเพื่อให้เป็นแม่นมของมุฮำหมัด ลูกของเราและเขาจะนำเด็กไปอยู่กับเขาในถิ่นชนบทที่มีอากาศบริสุทธิ์ สงบและสบาย”

ฮาลีมะฮฺ  พูดขึ้นเมื่อเห็นเด้กครั้งแรกว่า

“เด็กน้อยคนนี้ช่างงดงามน่ารักจริงนอนอยู่บนที่นอนขนสัตว์มีผ้าไหมสีเขียวรองร่างอยู่  เด้กน้อยกำลังหลับปุ๋ยมีกลิ่นหอมโชยออกมา  ใบหน้าอิ่มเอิบแย้มยิ้มตลอดเวลาแม้กำลังหลับ  เมื่อฉันเอามือวางบนอกเขาก็ยิ้ม

และลืมตาขึ้นส่งประกายวาวโรจน์ ฉันก้มลงจูบหน้าผาก  แล้วใช้มือช้อนร่างเขาขึ้นมา เอาเต้านมขวาให้เขาดื่มมีน้ำนมไหลออกมามากมายและเขาก็เริ่มดูดนม”

ฮะลีมะฮฺวะดียะฮฺ กล่าว่า

“เมื่อฉันเดินทางมามักกะฮฺนั้น  แนมีลาผอมและอ่อนแอตัวหนึ่งเป็นพาหนะ  มันเป็นลาที่ผอมมาก  จนเกือบเดินไม่ไหว  ดังนั้นฉันจึงมาถึงมักกะฮฺล่ากว่าคนอื่นๆ เป็นอันมาก

เมื่อฉันนำมุฮำหมัดขึ้นขับลาตัวนั้นพร้อมกับฉันลาตัวนั้นก็เปลี่ยนสภาพเป็นลาที่เข้มแข็ง  เดินได้รวดเร็วเหมือนม้า  และมันได้นำเรากลับมาถึงชนบทก่อนใครๆ  ที่เดินทางกลับพร้อมฉัน”

“เพื่อนร่วมเดินทางของฉันทั้งชายหญิงพากันกล่าวว่า ลาของของฮะลีมะฮฺเป็นอะไรไป  ขณะไปมักกะฮฺมันผอมจนเดินไม่ไหว  และไปถึงมักกะฮฺทีหลังพวกเราพวกเราตั้งหลายวันแต่เที่ยวขากลับ

มันเดินเป็นลมพัด  และทิ้งห่างพวกเราทุกคน”

ฉันรู้ได้ทันทีด้วยตนเองว่า  ฉันกำลังอุ้มทารกน้อยที่มีศิริมงคล  ในตัวเขามีความเร้นลับจากองค์อัลลอฮ์และมีดวงประทีปจากอาณาจักรเบื้องบน”  ฮะลีมะฮ์ซะดียะฮ์แม่นมของมุอัมหมัดเล่าว่า

“ฉันเดินทางมามักกะฮ์  พร้อมกับแม่นมหลายคน   เพื่อรับจ้างเลี้ยงทารกให้ครอบครัวของคนรวย  และไม่มีแม่นมคนใดยอมรับเอามุฮัมหมัดไปเลี้ยง  เพราะมุอัมหมัดเป็นเด็กกำพร้า”

หญิงแม่นมคนหนึ่งกล่าวว่า

 “เด็กคนนี้จะมีประโยชน์อะไรกับเรา?  เขาเป็นเด็กกำพร้า  แม่ก็ยากจน?  ฉันมีอาชีพเป็นแม่นม?  จะหวังประโยชน์อันใดจากเขาได้”

เมื่อแม่นมทุกคนไม่ยอมรับเอามุฮัมหมัดไปเลี้ยง  ฉันจึงกล่าวแก่สามีซึ่งไปกับฉันด้วย

“เอาไปซิเด็กคนนี้คงมีความดีแก่เรา”

ฉันจึงเอามุฮัมหมัดไป  และต่อมาบ้านของฉันก็เต็มไปด้วยความดีงานในด้านต่างๆ  จนเป็นที่อิจฉาของแม่นมทั้งหลาย


ได้ปรากฎในคัมภีร์ของพวกยะฮูดีย์ว่า  จะมีเด็กกำพร้าเกิดขึ้นในนครมักกะฮ์  ซื่อ  มุฮัมหมัด  จะเป็นนบี  และศาสนฑูตยังประชาชารติอาหรับและมนุษย์ชาติทั้งปวงและเมื่อมุฮัมหมัดถือกำเนิดขึ้นมา 

พวกยะฮูดีย์ก็ทราบว่ามุฮัมหมัดกำเนิดแล้ว  พวกเขาจึงส่งคนออกสืบเสาะหาข่าว  ฮะลีมะฮ์ซะดียะฮ์เล่าว่า

“เมื่อฉันนำมุฮัมหมัดออกเดินทางกลับโดยมีสามีติดตามอยู่เคียงข้าง และลาของฉันก็พาฉันนำหน้าคนอื่นๆ ไปฉันได้กล่าวแก่สามี ว่า

“เด็กน้อยที่อยู่กับเรานี้ ในตัวของเขามีสิ่งเร้นลับที่มาจากอัลลอฮฺ และในระหว่างทางนั้นเองพวกยะฮูดียฺกลุ่มหนึ่งได้พบกับเรา ฉันได้เล่าให้พวกเขาฟังถึงความศิริมงคลของทารกน้อย

ฉันขอให้พวกเขาทำนายอนาคตของเด็กน้อยว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาบางคนพูดขึ้นว่า “จงฆ่ามันเสีย”

“ฉันตกใจส่งเสียงร้องลั่น พวกเขาคนหนึ่งถามว่า เด็กคนนี้เป็นเด็กกำพร้าใช่ไหม? ฉันตอบพร้อมกับชี้ไปที่สามีของฉันว่าไม่ใช่ นี่คือพ่อของเด็ก และฉันก้คือแม่ของเขา พวกเขาพูดขึ้นว่า

ถ้าหากเขาเป็นเด็กกำพร้า พวกเขาจะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอนที่สุด”


ทารกน้อยมุฮำหมัดได้ใช้เวลาอยู่กับแม่นมฮะลีมะฮฺเป็นเวลาสองปี ต่อมาฮาลีมะฮฺก็ได้นำมุฮำหมัดมาคืนให้แก่ผู้เป็นแม่ คือ อามินะฮฺ ภายหลังจากหย่านมแล้วมารดาเห็นว่าอากาสในนครมักกะฮฺร้อนจัด

จึงขอร้องให้ฮะลีมะฮฺนำมุฮำหมัดไปอยู่ด้วยอีกระยะหนึ่ง ฮะลีมะฮฺได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับมุฮำหมัดในทะเลทรายและคำพูดยะฮุดียฺ  ฮะลีมะฮฺได้กล่าวแก่มารดามุฮำหมัดว่า

 “ฉันเกรงว่ามุฮำหมัดจะได้รับอันตราย”

อะมีนะฮฺ มารดาเอ่ยขึ้นว่า “อย่ากลัวไปเลย ฮะลีมะฮฺเอ๋ย เพราะอัลลอฮฺจะปกป้องรักษาเขาเอง ขณะที่เขาหลุดพ้นท้องฉันออกมานั้น เขาได้เงยศรีษะขึ้นฟ้า”

ฮะลีมะฮฺ กล่าวว่า

 “ฉันได้นำมุฮำหมัดกลับไปยู่กับฉัน ในท้องถิ่นชนบทเป็นคำรบที่สอง ในระหว่างทางฉันได้พบกับพวกนะซอรีกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเข้ามาดูและตรวจสอบลักษณะของเด็กน้อยอย่างละเอียดและกล่าวว่า

“เราจะเอาเด็กคนนี้กลับไปบ้านเมืองของเรา  และไปให้กษัตริย์ของเรา เด็กคนนี้มีบุญญาธิจการใหญ่หลวงเรารู้จักดี”

“ฉันตะโกนขึ้นสุดเสียง  ขณะนั้นฉันเข้าไปใกล้ชุมชนที่ฉันอาศัยอยู่แล้ว  จึงมีพวกผู้ชายถือดาบออกมาจากหมู่บ้านหลายคนและได้มาช่วยฉันไว้”

ฮะลีมะฮฺกลับมามักกะฮฺอีกครั้งหนึ่งพร้อมด้วยมุฮำหมัดซึ่งมีอายุห้าขวบ  อามินะฮฺผู้เป็นมารดาได้มาต้อนรับด้วยการสวมกอดและจูบครั้งแล้วครั้งเล่า  เช่นเดียวกับปู่ของมุฮำหมัดก็ได้ให้การต้อนรับด้วยการสวมกอด

และจูบด้วยความคิดถึงอย่างที่สุดพร้อมกับส่งเสียงดังลั่นว่า

 “ขอต้อนรับลูกรักของฉัน ขอต้อนรับลูกรักของฉัน”

หลังจากนั้น อับดุลมุตตอลิบได้หันไปทางฮะลีมะฮฺพลางกล่าวขึ้นว่า

“ฮะลีมะฮฺเอ๋ย มีอะไรเกิดขึ้นแก่มุฮำหมัดบ้าง ขณะที่เขาอยู่กับเธอ?”

ฮะลีมะฮ์กล่าวว่า

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับมุฮำหมัดนั้นประหลาดยิ่ง นับตั้งแต่มุฮำหมัดเข้าไปอยู่ในบ้านของฉัน ก็มีแต่ความเพิ่มพูนและความดีงามด้นต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย”

“ฉันมีแพะที่ผ่ายผอมและอ่อนแออยู่หลายตัว ที่เคยให้นมเพียงเล็กน้อย ต่อมามันก็ได้กลายเป็นแพะที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ และให้น้ำนมแก่เราอย่างมากมาย”

ฮะลีมะฮฺหยุดนิ่งชั่วครู่ และใช้ความคิดอย่างหนัก แล้วหันไปทางอับดุลมุตตอลิบ และเอ่ยขึ้นว่า

 “แต่ยังมีเรื่องประหลาดยิ่งที่เกิดกับมุฮำหมัดขณะที่อยู่กับฉันในบ้านชนบท เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันสนเท่ห์ และต้องคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน”

 อับดุลมุตตอลิบ กล่าวขึ้นว่า

“มีเรื่องอะไรหรือฮะลีมะฮฺ”  นางจึงเล่าว่า ตอนเช้าของวันหนึ่งมุฮำหมัดกับเพื่อนๆ ในวัยเด็กได้ออกไปเล่นกันในทะเลทราย ทันใดนั้นก็มีชายสามคนเข้ามาจับตัวมุฮำหมัด เด็กๆ กลัวและพากันหลบหนี

แต่ก็มีบางคนที่เข้ไปหาชายทั้งสามนั้น แล้วพูดว่า

“ปล่อยตัวมุฮำหมัดนะ ปล่อยเขาสิ เขาเป็นหลานของอับดุลดมุตตอลิบหัวหน้าเผ่ากุเรซนะ แต่ชายทั้งสามก็ไม่พูดอะไรสักคำ”

จากนั้นคนหนึ่งได้เอื้อมมือผ่าท้องมุฮำหมัดและปล่อยแสงเจิดจ้าจากแหวนที่นิ้วของเขาเข้าไป คนที่สองผ่าอกและนำเนื้อก้อนหนึ่งออกมาจากหัวใจแล้วขว้างทิ้งลงกับพื้น คนที่สามใช้มือลูบท้องและอกของมุฮำหมัด

ทุกอย่างที่กลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อจากนั้น ทั้งสามได้สอมกอดและจูบมุฮำหมัดและหลังจากนั้นก็หายไปทันที เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ อับดุลมุตอลิบได้ส่งเสียงขึ้นว่า

“เป็นเรื่องสำคัญ เป็นความเร้นลับอันยิ่งใหญ่”

และฮะลีมะฮฺก็ยังคงเล่าต่อไปว่า
 
“เมื่อฉันรู้ข่าวนี้จากเด็กๆ ฉันตกใจและกลัวว่ามุฮำหมัดจะได้รับอันตราย ฉันพร้อมด้วยชาวบ้านจึงพากันออกไปยังทะเลทรายด้วยอาการตกใจและกลัวสุดขีด พวกเราได้เห็นมุฮำหมัดเดินกลับมาคนเดียวด้วยใบหน้าที่เปล่งราศี”

อามีนะฮฺ มารดาของมุฮำหมัดแสดงความประหลาดใจอย่างยิ่ง ปู่ของมุฮำหมัดถึงกับอุทานออกมาว่า “พวกเขสคือมาลาอิกะฮฺที่จากฟากฟ้า มุฮำหมัดต้องเป็นบุคคลสำคัญอย่างแน่นอน”


แล้วเราจะมาต่อกันครับ อินซาอัลลอฮ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 14, 2008, 04:24 AM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ มุคลิศ

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 159
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
จะติดตามอ่านครับ  ขออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทน

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
          อามีนะฮฺมารดาของมุฮำหมัดมีความประสงค์จะเดินทางไปเยี่ยมหลุมศพอับดุลลอฮฺ ผู้เป็นสามีที่นครมะดีนะฮฺ อามินะฮฺได้ออกเดินทางไปพร้อมด้วยมุฮำหมัดและคนรับใช้คือ “บ่ารอกะห์อุมมุอัยมัน”

เมื่ออามีนะฮฺเดินทางไปถึงมะดีนะฮฺก็ได้เยี่ยมหลุมศพของสามี และพำนักอยู่ที่มะดีนะฮฺหลายวัน ต่อมาอามีนะฮฺได้ล้มป่วยลงกระทันหัน และอาการเพลียมากท่ามกลางทะเลทรายที่ไม่อาจเยียวยารักษาได้

วิญญาณอามีนะฮฺก็ล่องลอยออกจากร่างไปสู่องค์ผู้อภิบาล มุฮำหมัดและหญิงรับใช้ต่างร่ำไห้ ด้วยความขมขื่นและทุกข์โศกในการจากไปของอามินะฮฺ ทั้งสองได้ช่วยกันขุดหลุมฝังร่างอันไร้วิญญาณของอามินะฮฺ

ด้วยความระทมทุกข์แสนสาหัส


          มุฮำหมัดจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าทั้งบิดาและมารดาขณะที่มีอายุเพียงหกขวบเท่านั้น อับดุลมุตตอลิบก็เสียใจอย่างสุดซึ้งในการจากไปของอะมินะฮฺ บุตรสะใภ้เท่าๆ กับที่เสียใจในการจากไปของอับดุลลอฮฺบุตรชาย

เมื่อครั้งก่อน ดังนั้นอับดุลมุตตอลิบได้กลายเป็นคุณปู่ ทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน และมุฮำหมัดก็อยู่ในตำแหน่งของหลานคนโปรด

           อับดุลมุตตอลิบมักพามุฮำหมัดหลานรักไปยังกะอฺบะฮฺพร้อมกับตนเองด้วยเสมอๆ โดยจะให้มุฮำหมัดนั่งชิดกับตน บางครั้งก็ให้นั่งตัก และมักล้อเล่นกับมุฮำหมัด จนเป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวกุเรซว่า

มุฮำหมัดเป็นบุตรสุดที่รักของอับดุลมุตตอลิบยิ่งกว่าลูกคนใดทั้งหมด

          แต่แล้วกำหนดสภาวการณ์ของพระเจ้า ก็ได้ตอกย้ำความเศร้าโศกให้แก่มุฮำหมัดยิ่งขึ้นไปอีก ปู่อับดุลมุตตอลิบล้มป่วยลงด้วยวัยชราอายุมากกว่าแปดสิบปี เขานอนแบบอยู่กับที่ไปไหนมาไหนไม่ได้

ขณะนั้น มุฮำหมัดอายุแปดขวบคอบเฝ้าปรณนิบัติปู่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ทุกครั้งที่อาการป่วยกำเริบอับดุลมุตตอลิบก้จะรวบเอาร่างของหลานรักมาแนบอกและพรมจูบไปทั่ว

          ในวันหนึ่ง อะบูตอลิบได้มาเยี่ยมอาการป่วยของบิดา อับดุลมุตตอลิบซึ่งมีอาการเพียบหนัก ซึ่งเขาเข้ามาพบบิดากำลังร้องไห้ อะบูตอลิบจึงกล่าวแก่บิดาว่า

           “คุณพ่อครับ คุณพ่อร้องไห้หรือทั้งที่คุณพ่อเป็นถึงผู้อาวุโสและเป็นผู้นำของเผ่ากุเรซ”

          “ฉันรู้ดีว่าคุณพ่อเป็นคนกล้าหายพร้อมเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงได้อย่างมั่นคง แล้วอะไรเล่าทำให้ท่านร้องไห้ขณะนี้?”

          “ฉันกลัวว่ามุฮำหมัดจะมีอันตรายภายหลังฉันจากไป”

          อะบูตอลิบ กล่าวว่า
          “คุณพ่อครับ มุฮำหมัดก็เหมือนกับลูกของฉันคนหนึ่ง เพราะเป็นบุตรของน้องชายฉันเอง อับดุลลอฮฺ และอับดุลลอฮฺก็เป็นบุคคลที่ฉันรักและยกย่อง แล้วท่านจะกลัวเขาเป็นอันตรายทำไม
พวกเราพร้อมพลีชีพ และทรัพย์สินมีค่าของเราป้องกันเขา?”

           อับดุลมุตตอลิบ จึงกล่าวว่า
           “อะบูตอลิบเอ๋ย เขยิบเข้ามาใกล้ๆ และฟังคำพูดของฉัน”

          อะบูตอลิบเขยิบร่างเข้าใกล้บิดา แล้วกล่าวขึ้นว่า
          “พร้อมจะรับฟังและปฏิบัติตามแล้ว”

          อับดุลมุตตอลิบ จึงพูดว่า
          “ภายหลังฉันตายไปแล้ว เจ้าจงเอามุฮำหมัดไปไว้ในบ้านของเจ้า และถือว่าเขาเป็นบุตรคนหนึ่งของเจ้า และจงให้ความรักความเอ็นดู และสงสารเขาเป็นพิเศษและเจ้าจงเป็นทั้งปู่ ทั้งพ่อและแม่ของเขา”

           “ต่อไปมุฮำหมัดจะต้องเป็นบุคคลสำคัญ ถ้าหากเผ่ากุเรซขัดขวางและประกาศเป็นศัตรูกับเขา เจ้าจะต้องปกป้องเขา เจ้าจะต้องเป็นปราการอันแข็งแกร่งให้เขา และถ้าหากกุเรซทำสงครามกับเขา เจ้าจะต้องช่วยเหลือเขา
 และเจ้าจะต้องไม่ปล่อยปละละเลยเขา อย่ามอบเขาให้แก่ศัตรูเป็นอันขาด แม้พวกเจ้าจะถูกสังหารหมดสิ้นก็ตาม อะบูตอลิบเอ๋ย นี่คือคำสั่งเสียของฉัน”
 
         จากนั้นอับดุลมุตตอลิบก็หลับตาและเสียชีวิตลงอย่างสงบ

          มุฮำหมัดได้อาศัยอยู่บ้านของอะบูตอลิบผู้เป็นลุง ภายหลังจากปู่อับดุลมุตตอลิบเสียชีวิต อะบูตอลิบยากจนและมีบุตรหลายคน มุฮำหมัดได้พบการปฏิบัติจากลุงด้วยดี ยกย่องให้เกียรติ

และให้ความเมตตาสงสารประดุจผู้เป็นพ่อ และอะบูตอลิบก็รักมุฮำหมัดประดุจลูกแท้ๆ หรือยิ่งกว่า

          มุฮำหมัด แม้จะอยู่ในวัยแปดขวบแต่ปรากฏความน่าเกรงขาม ชอบใช้ความคิดและตรึกตรอง อันเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเป็นคนสำคัญและยิ่งใหญ่ในอนาคต มุฮำหมัดอาศัยอยู่ในบ้านของผู้เป็นลุง

ซึ่งเป็นคนยากจน ดังนั้น มุฮำหมัดจึงช่วยเหลือลุงของตนในกิจการบางอย่าง อันจะเป็นประโยชน์ให้แก่อะบูตอลิบสามารถจัดหาปัจจัยมาเลี้ยงดูบุตรของตน ซึ่งมีอยู่หลายคนได้อย่างพอเพียง

          มุฮำหมัดได้ขอร้องลุงให้มอบฝูงแพะแก่ตน เพื่อนำไปเลี้ยง ซึ่งลุงยินยอมมอบให้มุฮำหมัดไล่ต้อนฝูงแพะของตนไปตามทุ่งหญ้า และหุบเขาต่างๆ เพื่อหาทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์

และในเวลาไม่นานนักฝูงแพะของมุฮำหมัดก็อ้วนพลีให้น้ำนมและผลผลิตอย่างมากมาย และนี่ก็เป็นอีกเครื่องหมายหนึ่งที่ชี้ว่า เด็กที่มีศิริมงคลมีความเพิ่มพูน


          ได้เล่าจากอาลี บุตรอะบูตอลิบ ว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าว่า
           “ฉันไม่เคยคิดจะกระทำกิจกรรมใดอันเป็นกิจกรรมของพวกยาฮิลียะฮฺ นอกจากเพียงสองครั้งเท่านั้น แต่อัลลอฮฺได้ทรงปกป้องคุ้มครองฉัน”

          “ครั้งแรกฉันได้กล่าวแก่เด็กที่เลี้ยงแพะอยู่กับฉันในที่ราบสูงของนครมักกะฮฺว่า เจ้าจงเฝ้าแพะให้ฉันด้วย ฉันจะลงไปที่มักกะฮฺเพื่อสรวลเสเฮฮาในยามค่ำที่นั่นเหมือนๆ กับเด็กหนุ่มชาวกุเรซสรวลเสเฮฮากัน
 
เด็กเลี้ยงแพะคนหนึ่งกล่าวว่า เชิญเลย ฉันจึงมุ่งหน้าไปยังนครมักกะฮฺจนไปถึงบ้านหลังแรกที่เชิงเขา ฉันได้ยินเสียงปี่ เสียงกลองกำลังบรรเลงอยู่ ฉันได้ถามคนในบ้านนั้นว่า นั่นเสียงอะไร พวกเขาตอบว่า

งานแต่งงาน ฉันนั่งลงมองพวกเขา แต่อัลลอฮฺได้ปิดหูของฉันจนฉันไม่ได้ยินอะไรเลย แล้วฉันก็ง่วงนอนและหลับไปตื่นอีกครั้งเมื่อแสงตะวันกระทบร่าง”

          “และในคืนที่สอง  ฉันก็ได้กระทำเหมือนกับคืนแรก  ฉันนั่งฟังการขับลำนำ  แต่อัลลอฮ์ได้ปิดหูของฉัน  ฉันไม่ได้ยินอะไรเลยแล้วฉันก็ง่วงนอน  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าฉันหลับไป 

จนแสงตะวันกระทบร่างจึงตื่นขึ้นจึงหลับมาหาเพื่อเลี้ยงแพะของฉัน  และฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง  หลังจากนั้นฉันก็ไม่เคยตั้งใจทำความชั่วอีกเลย  จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้ให้เกียรติฉัน

โดยการแต่งตั้งเป็นศาสนทูต

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
               มุฮัมหมัดเติบโตและเข้มแข็งขึ้น  และได้ขอติดตามลุงไปทำการค้าที่เมือง “ชาม” ลุงตอบรับคำขอของเขาด้วยดี  และนำเขาติดสอยห้อยตามไปทำการค้าด้วย 
มุฮัมหมัดได้พบเห็นตลาดการค้าของชามที่เต็มไปด้วยสินค้านานาชนิด  และเรียนรุ้สภาพการตลาด  และวีการทำธุรกิจการค้า

              อะบูตอลิบ  สังเกตุพบว่า  ผลกำไรที่ตนได้รับจากการค้ามีมากขึ้น  และการค้าก็เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว  จนได้กลายเป็นที่รักของพ่อค้าทั่วไป  ซึ่งต่างก็รุมซื้อสินค้าของเขา  และอัลลอฮ์ก็ได้เปิดเส้นทางธุรกิจของเขา
กว้างขวางขึ้น  ปัจจัยยังชีพของเขาและลูกๆ  ก็มีมากขึ้น  สภาพความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้นเป็นอันมาก  ทั้งนี้ด้วยสิริมงคล  และความประเสริฐของมุฮัมหมัด   เด็กน้อยผู้บริสุทธิ  และซื้อสัตย์  มุอัมหมัดยังคงอยู่ในบ้าน
ของผู้เป็นลุง  จนถึงวัยหนุ่ม

              ในนครมักกะฮ์มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง  ชื่อ  คอดียะฮ์บุตรสาวของคุวัยลิด  เป็นสตรีผู้มีเกียรติชาวกุเรซ  เป้นบุคคลที่มีความประพฤติดีงาม  และมีชื่อเสียงดีในท่ามกลางชาวมักกะฮ์และเป็นเศรษฐีนีที่มีทรัพย์สินมหาศาล 
นางเป็นนักธุรกิจด้านการค้าระหว่างเมืองชามกับเยเมน  นางได้เคยว่าจ้างผู้ชายหลายคนให้เดินทางไปยังเมืองชามกับคาราวานการค้าของนาง  และจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาอย่างคุ้มค้ากับงานที่พวกเขาทุ่มเทลงไป

              นางได้ยินถึงความซื่อสัตย์และความสมถะของเขาและนางก็วาดความหวังว่าจะมอบกิจการการค้าของนางให้อยู่ในการบริหารของเขาและนางก็ได้ส่งคนไปแจ้งให้มุฮัมหมัดทราบถึงความประสงค์ของนาง

              มุฮัมหมัด  สนองตอบความประสงค์ของนางคอดียะฮ์ด้วยดี  เขาเดินทางไปกับกองคาราวานแรกของนาง  ที่เดินทางไปยังเมืองชามโดยมี  “มัยซะเราะฮ์”  ซึ่งเป็นคนรับใช้ของคอดียะฮ์ติดตามไปด้วย 
เพื่อคอยรับใช้มุฮัมหมัดในระหว่างเดินทางทั้งไปและกลับ  และในการเดินทางคราวนี้กองคาราวานสินค้าเป็นอันมากของชาวกุเรซเดินทางไปพร้อมกับมุอัมหมัดด้วย

              มุฮัมหมัดกลับจากชาม  เขาได้จำหน่ายสินค้าที่กองคาราวานนำไปจนหมดสิ้น  เขากลับมาพร้อมกับผลกำไรอันมหาศาล  ถึงกับทำให้คอดียะฮ์ตกใจและตื่นตะลึงกับผลกำไรจำนวนมหาศาลที่ได้รับ 
นางไม่เคยได้รับผลกำไรมากมายเหมือนอย่างนี้มาก่อนเลย  มันเป็นจำนวนหลายเท่าที่นางเคยได้รับจากผู้อื่น

              เมื่อมุฮัมหมัดเดินทางกลับถึงมักกะฮ์  ประชาชนต่างพากับพูดคุยถึงความมหัศจรรย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมุฮัมหมัด
              ช่างที่กองคาราวานต่างๆ เดินทางไปนั้น  เป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอากาศในทะเลทราย  นักเดินทางต้องเผชิญกับความร้อนแรงอย่างทรหด  ใบหน้าของพวกเขาถูกเปลวแดดลามเลีย
จนไหม้เกรียม  แต่มุฮัมหมัดไม่รู้สึกถึงความร้อนแรงนี้  และไม่ได้รับผลกระทบจากความร้อนแต่อย่างใด

              คนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปกับมุอัมหมัด  กล่าวว่า
              “ใบหน้าของเราต้องเผชิญกับเปลวแดอันร้อนแรง  ส่วนมุฮัมหมัดนั้นมีก้อนเมฆคอยบดบังแสงแดดให้  ก้อนเมฆจะลอยตามมุอัมหมัดตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะไปทางใด  เพื่อปกป้องมุฮัมหมัดให้พ้นจาก
ความร้อนแรงของตะวัน”

              บางคนกล่าวว่า
              “พวกเราเห็นก้อนเมฆด้วยตาของพวกเรา  เราคิดว่ามันคงจะเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งแล้วหายไปเหมือนก้อนเมฆธรรมดาทั่วๆ ไป  แต่ก้อนเมฆที่เราเห็นมันติดตามมุฮัมหมัดตลอดเวลาทั้งไปและกลับ 
คล้ายกับฟ้าส่งมันมายังมุฮัมหมัดเพียงคนเดียว”

              ข่าวเรื่องก้อนเมฆแพร่สพัดไปในนครมักกะฮ์  ผู้คนทั้งหนุ่มสาวและแก่ชราทั้งหญิงและชายชาวกุเรซต่างก็พูดคุยถึงเรื่องนี้รอบๆ กะอ์บะฮ์และในที่ชุมชุมนุมต่างๆ  คอดียะห์ได้ทราบข่าว
เรื่องก้อนเมฆจึงสอบถามมัยซะเราะฮ์ว่า  “ข่าวเรื่องก้อนเมฆนี้ถูกต้องไหม  มัยซาเราะฮ์”

              มัยซาเราะฮ์  ตอบว่า
              “ข้าขอสาบานต่อนายหญิงว่า  ก้อนเมฆนั้นมาบดบังแสดงแดดให้แก่มุฮัมหมัดจริงๆ  ตั้งแต่เขาเริ่มเดินทางออกจากมักกะฮ์  จนเข้าสู่เมืองชาม  และนับแต่เขาเริ่มเดินทางออกจากชาม  จนมาถึงมักกะฮ์ 
ก้อนเมฆได้กระจายเหนือเขา  และไม่เคลื่อนที่หนีเขาไป  แต่มันจะเคลื่อนตามเขามันจะหยุด  เมื่อเขาหยุด  คล้ายกันมันถูกตรึงอยู่เหนือเขา  หรือถูกกล่าวด้วยเชือกอยู่เหนือเขาเพียงคนเดียว”

              คอดียะฮ์เริ่มตรึกตรองถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมุฮัมหมัดชายหมุ่มผู้ซื่อสัตย์  เขาเป็นชายหมุ่มที่อัลลอฮ์ส่งก้อนเมฆมาให้ความร่มเย็นแก่เขา  และปกป้องเขาจากความร้อนแรงของดวงตะวันและเปลวร้อนของทะเลทราย

              ชายหนุ่มที่คนหนุ่มชาวกุเรซโจษขานกันว่า  เป็นผู้มีสติปัญญาล้ำลึก  สงวนตัวและไกลจากความต่ำทรามทุกชนิด  คอดียะฮ์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วที่จะได้มุฮัมหมัดเป็นสามีของนาง

              มุฮัมหมัดคิดตรึกตรองในเรื่องการแต่งงานนี้  และได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับลุง  คือ  อะบูตอลิบ  ซึ่งผู้เป็นลุงก็เห็นด้วย  และอวยพรให้มุฮัมหมัดได้รับความเพิ่มพูน  และแล้วการแต่งงานระหว่างมุฮัมหมัด อายุยี่สิบห้าปี
กับคอดียะฮ์อายุสี่สิบปีก็เสร็จสมบูรณ์ลง  และทั้งสองก็เป็นคู่สมรสที่ดีต่อกันและกันรักกันอย่างที่สุด

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
              มุฮัมหมัดไปเยือนกะอ์บะฮ์  และเวียนรอบกะอ์บะฮ์  เพราะเป็นมัสยิดแรกที่ถูกก่อสร้างขึ้นเพื่ออัลลอฮ์  บางครั้งมุอัมหมัดจะนั่งใกล้ๆ กะอ์บะฮ์ภายหลังจากตอวาฟแล้ว  แล้วเขาก็จะทอดสายตาจับจ้องกะอ์บะฮ์และบริเวณโดยรอบ  มุฮัมหมัดได้มองไปพบอะไรหรือ

              เขาเห็นรูปเคารพที่สลักจากก้อนหินมากมายรายรอบอยู่ที่กะอ์บะฮ์  ซึ่งพวกกุเรซเรียกว่าพระเจ้า  พวกกุเรซยกย่องเชิดชูรูปเคารพเหล่านั้น  ยอมก้มกราบสวามิภักดิ์และเชือดสัตว์ถวายในวันรื่นเริงต่างๆ 
พวกเขาจะห้อมล้อมรูปเคารพเหล่านั้น  เพื่อวิงวอนขอความช่วยเหลือและขออภัยโทษ

              มุฮัมหมัดมองดูภาพเหล่านี้ด้วยสายตาที่สลด  และสมเพททั้งต่อรูปเคารพและผู้ที่สักการะ  และผู้ที่ยกย่อง
              กุเรซคนหนึ่งกล่าวแก่มุฮัมหมัด  ว่า
              “มุฮัมหมัดเอ๋ย  ไม่สมควรที่ท่านจะนั่งห่างพวกเรา  และไม่เคารพยกย่องพระผู้เป็นเจ้าของเรา  เหมือนที่พวกเราเคารพและยกย่อง”

              มุอัมหมัดกล่าวขึ้นว่า
              “รูปเคารพเหล่านี้  เป็นเพียงก้อนหินที่ไม่สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้ใดได้และแม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถป้องกันได้”


              มุฮัมหมัดรู้สึกรวดร้าวและข่มขื่นในสิ่งที่เขาได้เห็นพวกพ้องยกย่อง  และให้เกียรติรูปเคารพเหล่านี้  และเขายิ่งเจ็บปวดขึ้นไปอีกที่ได้พบเห็นคนหนุ่มสาวชาวกุเรซนั่งมั่วสุมกันดื่มสุรา  เล่นการพนัน  และทำธุรกิจที่มีดอกเบี้ยและกระทำชั่วทุกรูปแบบ

              ด้วยเหตุนี้มุฮัมหมัดไปเยือนกะอ์บะฮ์  และเวียนรอบแล้ว  หันกลับโดยไม่ยอมเข้าร่วมกับพวกพ้องที่ตกอยู่ในความหลงผิดอย่างงมงาย

              มุฮัมหมัดได้เริ่มปล่อยวางสิ่งต่างๆ  เพื่อการอิบาดะฮ์และมุ่งวิเคราะห์และพิจารณาสรรพสิ่งในชั้นฟ้าและแผ่นดิน  ภูเขา  ดวงดาว  แล้วถามตัวเองว่า

              “ใครสร้างจักรวาลอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ใครที่จัดระบบของสรรพสิ่งเหล่านี้  แน่นอนต้องเป็นผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สมควรได้รับการสักการะ  สนองคุณ  กล่าวคำสดุดีและสรรเสริญ”
มุฮัมหมัดครุ่นคิดถึงผู้สร้างมุนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง  ดังนั้นมุฮัมหมัดจึงทิ้งนครมักกะฮ์  และความเสื่อมโทรมด้านต่างๆ  ไว้เบื้องหลังมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกหนึ่งใกล้นครมักกะฮ์  พำนักอยู่ในภ้ำเรียกกันว่า  “ภ้ำฮิรออ์”

              มุฮัมหมัด  พำนักในภ้ำหลายวัน  หลายสัปดาห์โดยไม่กลับบ้าน  เฝ้าครุ่นคิดถึงจักรวาล  และผู้สร้าง  พร่ำกล่าวถ้อยคำสดุดีและสรรเสริญสายตาจับจ้องไปยังท้องฟ้าและดวงดาวต่างๆ 
เขามองไปยังเทือกเขาและสรรพสิ่งรอบข้างด้วยความครุ่นคิดหาต้นกำเนิด

              ขณะที่มุฮัมหมัดกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิด  และไตร่ตรองนั่นเอง  เขาก็ได้ยินเสียงเรียก  มุฮัมหมัดเหลียวมองไปรอบกายก็ไม่พบผู้ใดแต่เขาได้ยินเสียงอีกครั้งหนึ่ง  ตัวเขาสั่นสะท้าน  เขาแหงนมองดูฟ้า 
เขาพบบุคคลหนึ่งลงมาจากฟ้า  พลางกล่าวว่า

              “มุฮัมหมัดเอ๋ย  ข้าคือยิบรีล  ส่วนเจ้านั่นคือ  ศาสนทูตของอัลลอฮ์ที่มายังประชาชาตินี้”

              ทันทีที่ยิบรีลลงมาก็ตรงเข้าสวมกอดมุฮัมหมัดแล้วพูดขึ้นว่า  “เจ้าจงอ่านเถิด”  มุฮัมหมัดกล่าวว่า
              “ฉันอ่านไม่เป็น  (คือฉันไม่เคยศึกษาและไม่รู้การอ่าน)”
              ยิบรีล  จึงกอดรัดเขาอีกครั้งหนึ่ง  แล้วกล่าวว่า
              “เจ้าจงอ่านเถิด”  มุฮัมหมัดกล่าวตอบว่า  “ฉันอ่านไม่เป็น”  ยิบรีลจึงกอดรัดเขาอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม  แล้วกล่าวว่า  “จงอ่านด้วยพระนามขององค์อภิบาลเจ้าซึ่งทรงสร้าง  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากก้อนเลือด 
จงอ่านเถิด  และองค์อภิบาลเจ้าผู้ทรงเกียรติ  ซึ่งทรงสอนด้วยปากกาทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่ยังไม่รู้”

              มุฮัมหมัด  ได้อ่านถ้อยคำดังกล่าว  แล้วมองดูก็พบว่ายิบรีลกำลังลอยสูงขึ้นฟากฟ้า  มุฮัมหมัดตัวสั่นด้วยความตกใจ  และหวาดกลัว  เขากลับไปหาคอดียะฮ์ด้วยร่างอันสั่นเทา  พลางกล่าวว่า

              “ห่มผ้าให้ฉันทีเถิด  ห่มผ้าให้ฉันทีเถิด”  คอดียะฮ์  จึงเอาผ้ามาห่มให้เขา  จนเมื่อความกลัวและตกใจบรรเทาและคืนสู่สภาพปกติ  มุฮัมหมัดจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คอดียะฮ์ได้ทราบ 
คอดียะฮ์จึงนำมุฮัมหมัดไปหาผู้รู้ท่านหนึ่งนามว่า  “อะระเกาะฮ์”  บุตรเนาฟั้ล  และได้เล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่มุฮัมหมัดขณะอยู่ในถ้ำฮิรออ์

              อะรอเกาะฮ์  พอใจมาก  พลางกล่าวว่า
              “มุฮัมหมัดเอ๋ย  จงรับทราบข่าวดีเถิด  นั่นคือบัญชาที่เคยลงมายังมูซา  และอีซา  ก่อนหน้าเจ้า  และประชาชาตินี้จะได้รับข่าวดีเพราะเจ้า”

              ยิบรีลได้ลงมาหามุฮัมหมัดหลายครั้ง  เพื่อมาสอนหลักการศาสนาใหม่ที่เรียกร้องไปสู่การสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว  ผู้สร้างจักรวาล  และจัดระบบสรรพสิ่งทั้งปวงโดยไม่มีคู่พาคีใดๆ 
ในการปกครองของพระองค์

              และนับแต่บัดนั้น  มุฮัมหมัดก็ได้กลายเป็นนบี  และศาสนฑูตที่มายังพวกพ้องเพื่อชี้นำพวกเขาไปสู่สัจธรรม  และฉุดดึงพวกเขาออกจากความมืดมนไปสู่แสงสว่างอันเป็นแสงแห่งคุณธรรม และทางนำสู่อัลอิสลามอย่างแท้จริง


จบแล้วครับ  อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 14, 2008, 10:20 PM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



 

GoogleTagged