วันเกิดของท่านศาสดา (ซ.ล.) และการจัดงานเฉลิมฉลองโดยอาจารย์อรุณ บุญชม
*คัดจากวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม อันดับหนึ่งของ ดร.อิซซัต อะลี อีด อะตียะห์ แห่งมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร กรุงไคโร ประเทศอิยิปต์ ในเชื่อเรื่อง البدعة تحديرها وموقف الاسلام منها
โดยผ่านการสอบจากคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วย
1.ดร.มูฮัมหมัด มูฮัมหมัด อะบูซะห์บะห์ คณบดีคณะอุซูลุดดีนแห่งอัสยูต
2.ดร.อัซซัรบาซีย์ หะซะนัยน์ อาจารย์วิชาอัลฮะดีษ คณะอุซูลิดดีน
3.ดร.มุสตอฟา อะมีน อัตตาซีย์ อาจารย์วิชาอัลฮะดีษ คณะอุซูลุดดีน การจัดงานเฉลิมฉลอง เพื่อรำลึกถึงท่านศาสดานบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) เนื่องในวันเกิดของท่าน เป็นสิ่งที่นักปราชญ์มุสลิมมีทัศนะและความเห็นที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและหลักฐานที่แต่ละท่านมีอยู่
บางท่านส่งเสริม บางท่านตำหนิ และบางท่านก็ตำหนิอย่างรุนแรง แต่ทุกท่านจะมีทัศนะที่ตรงกันอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงศาสดานบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) เนื่องในวันเกิดของท่าน
ไม่เคยมีการกระทำกันในยุคของท่านศาสดา ในยุคซอฮาบะห์ และตาบิอีน แต่ได้เกิดขึ้นในยุคหลัง และจากจุดนี้เองนักปราชญ์มีมุมมองแตกต่างกันออกไป และพยายามชักนำหลักฐานและเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนมุมมองของตน
ทั้งในแง่มุมที่ส่งเสริมให้กระทำ ในแง่มุมที่ตำหนิอย่างรุนแรง
การนำเอาบทความชิ้นนี้จากวิทยานิพนธ์ของ ดร.อิซซัต อะลี อีด อะตียะห์ แห่งมหาวิทยาลัยอัลอัซอัร มาพิมพ์เผยแพร่ เพื่อเป็นข้อมูลในมุมมองหนึ่งของการจัดงานเฉลิมแลองเพื่อรำลึกถึงท่าน
ศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) เนื่องในวันเกิดของท่าน
บทความชิ้นนี้คงเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่าน ที่จะนำไปเป็นข้อมูลสำหรับท่าน เพื่อจะมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมมุสลิมให้มั่นคงต่อไป
วันเกิดของท่านศาสดา ซ้อลล้อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และการจัดงานเฉลิมฉลอง นักวิชาการ มิได้มีการขัดแย้งกันในเรื่องที่ว่าการจัดงานเมาลิด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคหลัง ซึ่งยุคหลัง ซึ่งในยุคของท่านศาสดาเองไม่ได้เคยจัดให้มีขึ้นมาก่อน และแม้ในยุคของซอฮาบะห์และตาบิอีนก็ตาม
ท่านสะคอวีย์ได้กล่าวว่า “การจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านศาสดานั้นเกิดขึ้นหลังจากศตวรรษที่สามไปแล้ว”
บุคคคลแรกที่ได้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นก่อนที่กรุงไคโร คือท่านเจ้าเมืองอัลมุอิซลิดีนิ้ลลาห์ ซึ่งอยู่ในราชวงศ์ฟาติมีย์ ในปี ฮ.ศ. 362 และการจัดงานเมาลิด ได้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา จนถึงท่านแม่ทัพ
อัลอัฟด้อล บัด รุ้ลยะมาลีย์ จึงได้ยกเลิกการจัดงานเมาลิดในปี ฮ.ศ. 488 ในสมัยคอลีฟะห์อัลมุสตะลาบิ้ลลาห์ และเมื่อท่านอามิร บิอะห์กามิ้ลลาห์ บุตรของอัลมุสตะลาบิ้ลลาห์ ได้ขึ้นครองตำแหน่งคอลีฟะห์
จึงได้ฟื้นฟูการจัดงานเมาลิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในปี ฮ.ศ. 495
ส่วนบุคคลแรกที่ริเริ่มจัดงานเมาลิดขึ้นที่อิรบิ้ล คือ กษัตรย์อัลมุซอฟฟัร อะบูสะอีด ในศตวรรษที่ 6 หรือที่ 7 ท่าฮาฟิซอะ บุ้ลคอตตอบ อุมัร บุตร อัลฮะซัน ซึ่งรู้จักกันดีในนามของ เดียห์ยะห์ อัลกัลป์บีย์
ได้เรียบเรียงหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งในปี ฮ.ศ. 644 ส่งเสริมการจัดงานเมาลิดหนังสือเล่านั้นชื่อ التنويرفي مولدالبشيرالنذير ท่านได้กล่าวชมเชยการจัดงานเมาลิด และได้อ้างอิงหลักฐานมากมาย
ดังนี้ การจัดงานเมาลิดในโอกาสอันประเสริฐจึงได้มีขึ้นมา และได้วิวัฒนาการมาจนตราบเท่าถึงทุกวันนี้
และเมื่อพูดถึงทัศนะของนักวิชาการ ในเรื่องการจัดงานเมาลิด ก็พอจะแยกออกได้เป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกได้ประณามและกล่าวว่า การจัดงานเมาลิดเป็น “บิดอะห์” เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ และโดยที่
ท่านนบี รวมทั้งคนในยุคซอฮาบะห์ และตาบิอีน ไม่มีผู้ใดจัดกันขึ้นมา นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง
ส่วนอีกแง่หนึ่งก็คือ การจัดงานเมาลิดเป้นการเจาะจงกระทำในวันหนึ่ง เป็นการเฉพาะคือ ในวันเกิดของท่านศาสดาโดยไม่มีสิ่งใดที่ทำต้องเจาะจงลงไปอย่างนั้น
และอีกทั้งยังมีฮะดีษห้ามการกระทำในรูปแบบที่ต้องกระทำในวันหนึ่งวันใดโดยเฉพาะ เช่น การที่ท่าน นบี (ซ.ล.) ได้ห้ามการเจาะจงกระทำสิ่งที่ไม่มีข้อบัญญัติให้เจาะจงเหมือนเช่นการจัดงานเมาลิดแล้ว
ก็คงจะไม่ถูกห้ามกระทำเพราะที่ประชาชนเจาะจงเอาวันนี้เป็นวันเฉลิมแลอง ก็เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าเป็นวันที่มีความประสริฐ ทั้งที่ไม่มีความประเสริฐใดๆ เลย ดังนั้นการจัดเมาลิดอย่างน้อยที่สุดในทัศนะของศาสนา
ต้องถือว่าเป็นมักโรห์ เป็นการจำเป็นที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติตามกิตาบ และซุนนะห์ในการพิจารณาวันต่างๆ ในแง่ของการยกย่องให้เกียรติและเจาะจงวันบางวันในการทำอิบาดะห์ หรือเฉลิมฉลองโดยละเลยบางวัน
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่ามีผลดีหรือผลเสียในการปฏิบัติเช่นนั้นก็ตาม
บุคคลที่มีชื่อเสียงที่คัดค้านการจัดงานเมาลิดก็คือ ท่านตายุดดีน อุมัร บุตร อะลี อัลลัคมีย์ อัสสะกันดะรีย์ อัลมาลิกีย์ ซึ่งรู้จักกันในนาม “อัลฟากิฮานีย์” โดยท่านได้เรียบเรียงหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง
ชื่อ المورد فى الكلام على عمل المولد โดยคัดค้านการจัดงานเมาลิด และถือว่าเป็นข้อห้ามทั้งนี้เพราะไม่มีหลักฐานทั้งในกิตาบ และซุนนะห์ และไม่เคยมีรายงานจากนักการศาสนาคนใดได้กระทำ
และท่านได้สรุปในตอนท้ายว่า แม้คนหนึ่งได้จัดงานเมาลิดขึ้นจากทรัพย์ของเขา เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของเขา และมิตรสหายของเขาโดยไม่มีอะไร นอกเหนือไปจากการร่วมชุมนุมรับประทานอาหาร
และพวกเขาไม่ได้กระทำการใดๆ ที่เป็นบาปเลย งานเมาลิดที่เขาจัดขึ้นนั้น ก็ถือว่าเป็นบิดอะห์ที่มักโรห์น่าเกลียดและสมควรถูกประณาม เพราะเป็นสิ่งที่อุตริกรรมกระทำขึ้นโดยปราศจากหลักฐานทางศาสนา
แต่ถ้าหากในการจัดงานนั้นมีการร่วมชุมนุมระหว่างคนแปลกหน้า และมีการสละทรัพย์ ทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ และมีสิ่งที่ชั่วร้ายปะปนอยู่ด้วย เช่น ดนตรี และมีการปะปนระหว่างชายหญิงหรือเสมือนเช่นนี้
ก็เป็นการกระทำที่ฮะรอมอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ท่านฟากิฮานี ไม่เพียงแต่ปฏิเสธงานเมาลิด และกว่าว่า มักโรห์หรือฮะรอมเท่านั้น แต่ท่านยังพิจารณาถึงอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ท่านเห็นควรว่าต้องนำมาเอาใจใส่และพิจารณา นั่นก็คือการจัดงานเมาลิดในเดือนรอบีอุ้ลเอาวั้ล
เพื่อระลึกถึงันเกิดของท่าน นบี (ซ.ล.) อันเป็นสิ่งที่นำความปลาบปลื้ม ปิติยินดีมาสู่มนุษย์ชาติ แต่ในทางตรงข้ามมันก็เป็นเดือนที่ท่านนบี (ซ.ล.) เสียชีวิต ความปลาบปลื้มยินดีในเดือนนี้ มิได้มากไปกว่าความโศกเศร้าเสียใจเลย
สิ่งที่ท่านฟากิฮานีย์ กล่าวพร้อมด้วยอ้างอิงหลักฐานต่างๆ นั้น เป็นทัศนะที่ตรงกับท่าน อิบนุตัยมียะห์ และท่านซาติบีย์ และผู้รู้ท่านอื่นๆ ที่มีทัศนะเช่นเดียวกับบุคคลทั้งสองจากกลุ่มที่มีทัศนะว่า
สิ่งที่ท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้ละเลยไม่กระทำทั้งที่มีเหตุอันสมควรให้กระทำนั้น ไม่อนุญาตให้อุตริทำขึ้นมาและการทำอุตริทำขึ้นมานั้นถือว่าเป็นบิดอะห์ และการจัดงานเมาลิดในทัศนะของพวกเขา ก็ถือว่าเข้าอยู่ในข่ายนี้
และในทางตรงกันข้าม ก็มีอีกฝ่ายหนึ่งที่มีทัศนะว่าอนุญาตให้จัดงานเมาลิด และยิ่งกว่านั้นเป็นงานที่สมควรจัดขึ้น และถือเป็นสิ่งดีงาน ผู้ที่เป็นตัวแทนของฝ่ายนี้ ก็คือท่านสุยูตี โดยท่านมีทัศนะว่าการที่ท่าน
ฟากิฮานีย์ตัดสินว่าการจัดงานเมาลิดมักโรห์นั้น ความจริงหาได้เป็นอย่างที่ท่านฟากิฮานีย์กว่าวไม่ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงานที่ควรกระทำ ซึ่งไม่เคยปรากฎในสมัยแรกๆ เพราะการเลี้ยงอาหาร โดยมิได้ปฏิบัติสิ่งที่เป็นบาปนั้น
ถือว่าเป็นบิดอะห์ที่ได้ผลบุญ (บิดดอะห์ มันดูบะห์) ตามที่ท่านอัลอิซ อิบนุ อับดุสสลาม ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในหนังสือของท่านชื่อ قواعد ส่วนที่ท่านฟากิฮานีย์ ล่าวว่าฮะรอมนั้น
แท้จริงแล้วการฮะรอมมิได้เกิดขึ้นที่ตัวของงานที่จัดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นเพราะมีสิ่งอื่นบวกเข้าไป ถ้าหากสิ่งที่บวกเข้าไปเหล่านี้ (คนตรี การปะปนระหว่างชายหญิง) เกิดขึ้นในการรวมตัวกันเพื่อทำละหมาด
ไม่จำเป็นต้องถูกตำหนิและประณามแต่อย่างใด
ในที่นี้ท่านสุยูตีย์ ได้มองข้ามจุดสำคัญจุดหนึ่งไปนั่นก็คือการคัดค้านไม่ได้อยู่ที่การเลี้ยงอาหาร โดยไม่มีสิ่งที่เป็นบาปเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือไม่ได้อยู่กับสิ่งที่บวกเข้ามาในงานเมาลิด แต่การคัดค้านการจัดงานเมาลิดนั้น
เน้นอยู่ที่การเจาะจงเอาวันเกิดของท่านนบี (ซ.ล.) โดยเฉพาะเป็นวันจัดงานอันเป็นการเจาะจงที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ให้มุ่งเจาะจงกระทำเช่นนั้น
อ่านอิบนุฮะยัร ได้ให้ทัศนะว่าการจัดงานเมาลิดนั้นเป็นบิดอะห์ ที่มีทั้งสี่งที่ดีและไม่ดีปะปนกัน ผู้ใดพยายามรักษาแต่สิ่งที่ดี พยายามออกห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดี ก็ถือได้ว่าเป็นบิดอะห์ที่ดี (บิดอะห์ อะซะนะห์)
แต่ถ้าไม่พยายามกระทำแต่เฉพาะสิ่งที่ดีๆ คือทำคละกันไปทั้งดีและชั่ว มันก็เป็นบิดอะห์ที่ไม่ดี ท่านอิบนุฮะยัรได้อ้างฮะดีษบทหนึ่งเป็นหลักฐานว่า อนุญาตให้เจาะจงเอาวันที่เหมือนวันนี้ เป็นวันทำอิบาดะห์เป็นการเฉพาะได้
เพื่อขอบคุณอัลลอฮ์ตะอาลาที่ช่วยให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆ และอนุญาตให้ยึดถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปี โดยท่านได้อ้างฮะดีษที่ซอเฮียฮ์ รายงานจากท่านนบี (ซ.ล.) ว่า ในขณะที่ท่านเดินทางสู่นครมะดีนะห์
ท่านได้พบชาวยิวทำการถือศีลอดในวันอาซูรอ ท่านถามว่าวันนี้เป็นวันอะไร จึงได้ทำการถือศีลอดกัน? พวกเขาตอบว่า วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นวันที่อัลลอฮ์ตาอาลา ได้ช่วยให้ท่านนบีมูซาพ้นจากเงื้อมือของฟิรเอาน์
และพรรคพวกของเขา และเป็นวันที่พระองค์ได้ให้ฟิรเอาน์และพรรคพวกของเขาจมน้ำตาย ท่านนบีมูซาได้ถือศีลอดในวันนี้ เพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระองค์ ดังนั้นพวกเราจึงได้ทำการถือศีลอดในวันนี้ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ (ซ.ล.)
ได้กล่าวว่า พวกเรามีสิทธิ์และสมควรปฏิบัติตามมูซายิ่งกว่าพวกท่าน ดังนั้นท่านจึงถือศีลอดในวันอาซูรอ และได้ใช้ให้เหล่าอัครสาวกทำการถือศีลอดในวันอาซูรอ
ผู้ให้ความสนใจกับหลักฐานที่ท่านอิบนุฮะยัรยกขึ้นมาอ้างอิงว่า อนุญาตให้จัดงานเมาลิดได้นั้น หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ห้ามการจัดงานเมาลิดนั้น โดยไม่ได้พิจารณารูปภายนอกของงาน
ว่าจะมีสิ่งประกอบที่ตรงกับบัญญัติศาสนา หรือข้อปฏิบัติศาสนา หรือมีสิ่งที่เป็นมักโรห์อยู่ในงานหรือไม่ ก็จะพบว่าการอ้างอิงหลักฐานนี้ได้อาศัยหลักการ “กิยาส”
โดยยังเข้าไปไม่ถึงตัวบทที่เป็นหลักฐานจากซุนนะห์ที่ชี้ชัดถึงการเจาะจงจัดงานเฉลิมฉลองในวันเกิดของท่านนบี (ซ.ล.) หรือเจาะจงว่ามีการแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นการขอบคุณอัลลอฮ์ที่ได้ประทานเนียะมัตให้
แต่ท่านอิบนุ้ลฮาจ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อัลมัดคอล” ว่าท่านได้พบหนักฐานอย่างชัดเจน ในเรื่องการเจาะจงเอาวันเกิดของท่านนบี (ซ.ล.) เป็นวันที่แสดงออกถึงคยวามยินดี คือการให้เหตุผลของท่านนบี (ซ.ล.)
ที่ใช้ให้ทำการถือศีลอดในวันจันทร์ โดยกล่าวว่า “เพราะมันเป็นวันที่ฉันเกิด เป็นวันที่ฉันได้รับการแต่งตั้ง และเป็นวันทีได้รับวะฮีย์”
หลักฐานชิ้นนี้ เป็นการโต้ตอบที่เพียงพอแล้วต่อคำกล่าวที่ว่าการจัดงานเมาลิดนั้นเป็นการเจาะจงกระทำในสิ่งที่ไม่มีตัวบทให้เจาะจงกระทำ เพราะการเจาะจงนี้มีตัวบทหลักฐานจากซุนนะห์
อนึ่งเกี่ยวกับคำอ้างที่ว่า การจัดงานเมาลิดเป็นสิ่งใหม่ที่อุตริทำขึ้น โดยท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ (ซ.ล.) และบุคคลในยุคหลังจากท่านก็ไม่ได้จัดกันขึ้นมานั้น ตามคยวามเห็นของ อิบนุ้ลฮาจนั้นเห็นว่าเป็นเพราะท่านนบี (ซ.ล.)
มีความเมตตาต่อประชากรของท่านจึงไม่ได้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นเพราะกลัวว่าจะกลายเป็นฟัรดูที่ประชากรของท่านจะต้องกระทำ สิ่งที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือการที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กำหนดเขตหวงห้ามขึ้นที่นครมะดีนะห์
แล้วก็กล่าวว่า
“ข้าแต่อัลลอฮ์ ความจริงอิบรอฮีมได้กำหนดเขตหวงห้ามขึ้นที่นครมักกะห์ และข้าพเจ้าก็ได้กำหนดเขตหวงห้ามขึ้นที่มะดีนะห์ ด้วยเหตุเดียวกับที่อิบรอฮีมได้กำหนดเขตหวงห้ามที่มักกะห์
และสิ่งใดที่อิบรออีมหวงห้ามที่มักกะห์ก็เป็นสิ่งที่หวงห้ามด้วยเช่นเดียวกันที่มะดีนะห์
ทั้งๆ ที่ท่านได้กำหนดเขตหวงห้ามขึ้นที่มะดีนะห์ แต่ท่านไม่ได้ออกบัญญัติในเรื่องการล่าสัตว์ หรือตัดต้นไม้ในเขตหวงห้ามที่มะดีนะห์ ว่าต้องเสียค่าปรับแต่อย่างใด
ทั้งนี้เพื่อเป็นการผ่อนปรนแก่ประชากรของท่านและเพื่อเป็นการแสดงความปราณีแก่พวกเขา นี่เหป็นแง่หนึ่ง
ส่วนอีกแง่หนึ่งเราเห็นว่าการที่ซอฮาบะห์ไม่ได้จัดงานฉลองวันเกิดของท่านนบี (ซ.ล.) ขึ้น ก็เพราะเหล่าซอฮาบะห์มัวยุ่งอยู่กับงานที่มีความสำคัญกว่า เช่น การทำสงครามและจัดการปกครองรัฐอิสลาม
ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร หรือพวกเขาอาจเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านนบี (ซ.ล.) เป็นการส่วนตัว หรือจัดกันสขึ้นภายในครอบครัวเป็นการเฉพาะ
ซึ่งยังไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสังคมเพราะเป็นวันที่ไม่มีสัญลักษณ์เจาะจงเหมือนเช่นในวันอีกก็เป็นได้
ส่วนคำอ้างที่ว่า ความเสียใจในวันนี้ ควรเป็นสิ่งที่ถูกแสดงออกมายิ่งกว่าความยินดีนั้น ก็สามารถที่จะโต้ตอบได้ตามคำที่ท่านสุยูตีย์ได้กล่าวไว้ว่า ก็สามารถสนับสนุนไห้แสดงออกถึงการขอบคุณ
ในความโปรดปรานที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้าให้มีความอดทนและขันติให้อดกลั้น และซ่อนเร้นปกปิด ในขณะที่ประสบกับภัยพิบัติและความโศกเศร้าเสียใจ ดังจะเห็นได้จากการที่ศาสนากำหนดให้มีการทำอะกีเกาะห์
และแจกเป็นทาน เพื่อแสดงออกถึงความขอบคุณ และดีใจเมื่อได้บุตร และห้ามมิให้มีการรำพึงรำพัน และแสดงอาการตื่นตระหนกในยามที่เกิดล้มตาย และไม่ให้มีการเชือดสัตว์หรือทำอย่างอื่นๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ดี
และควรกระทำอย่างยิ่งในเดือนนี้ก็คือ แสดงออกถึงความปลื้มปิติยินดีในการเกิดของท่านนบี (ซ.ล.) โดยมิได้แสดงอาการโศกหเศร้าเสียใจในการที่ท่านได้อำลาจากโลกนี้ไป ท่านอิบนุรอยับได้กล่าวว่า
”อัลลอฮ์และรอซู้ลมิได้ใช้ให้ยึดถือเอาวันที่บรรดานบีประสบภัยภิบัติ และวันตายของพวกเขาเป็นอนุสรณ์ แล้วจะเป็นอย่างไรกับบุคคลที่ไม่ถึงขั้นนบี”
เราอาจกล่าวเสริมคำพูดของท่านสุยูตีย์ได้อีกว่าแท้จริงท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ความตายของท่านเป็นเนียะมัต มิได้เป็นภัยภิบัติแต่อย่างใด โดยท่านกล่าวว่า
"แท้จริงเมื่ออัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเรียงไกร เมื่อประสงค์จะประทานความเมตตาแก่ประชาชาติใด จากบรรดาบ่าวของพระองค์ พระองค์จะเก็บชีวิตนบีของประชากรนั้น ไปเปป็นมิ่งขวัญรอคอยพวกเขาอยู่ข้างหน้า
และเมื่อพระองค์ประสงค์ให้เกิดความพินาศแก่ประชากรใด พระองค์จะลงโทษประชากรนั้น ในขณะที่นบีของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ พระองค์จะให้เกิดความพินาศแก่พวกเขา โดยมีนบีของพวกเขามองดูอยู่
และพระองค์จะให้นบีของพวกเขาได้รับความเสียใจในความพินาศของพวกเขา ได้กล่าวหานบีว่าโกหกและฝ่าฝืนคำสังของนบี
สิ่งที่เหลืออยู่ที่จะต้องพิจารณาก็คือ การที่ท่านนบี (ซ.ล.) ถูกเจาะจงให้ถือกำเนิดขึ้นมาในเดือนรอบีอุ้ลเอาวั้ล โดยไม่ได้ถือกำเนิดในเดือนอื่นที่มีความประเสริฐ เช่นเดือนรอมาดอน หรือในเดือนศักดิ์สิทธิ์เช่น
เดือนมุฮัรรอม เดือนรอยับและเดือนอื่นๆ ในรอบปี มีเคล็ดลับอย่างไรในการเจาะจงนี้ สำหรับท่านอินุ้ลฮาน มีทัศนะที่ดีคือรอเบียะเป็นฤดูใบไม้ผลิ เป็นฤดูฝนแรก เป็นที่มาของความชุ่มฉ่ำ สดชื่น
เป็นสิ่งแสดงออกของความปิติยินดี ตรงตามตัวอักษรและความหมายจึงเหมาะสมที่จะเป็นเดือนเกิดของท่านนบี (ซ.ล.) ประกอบกับหลักคำสอนของท่านเป็นคำสอนที่เที่ยงธรรมยุติธรรมและสอดคล้อมกับธรรมชาติ
ของมนุษย์ที่ชื่นชอบฤดูฝน และอีกประการหนึ่งท่านนบี (ซ.ล.) ไม่ได้มีเกียรติด้วยเวลาหรือสถานที่ แต่เวลาหรือสถานที่ต่างหากที่ได้รับเกียรติเพราะท่าน เพราะตำแหน่งและความประเสริฐของท่าน
ปวงปราชญ์มีความเห็นพ้องกันว่า สถานที่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกก็คือสถานที่ที่ใช้ฝังศพของท่านนบี แล้วด้วยเหตุใดเล่าเดือนที่ท่านนบีเกิด จะไม่เป็นเดือนที่ประเสริฐที่สุด
และวันที่ท่านเกิดจะไม่ได้รับเกียรติว่าเป็นวันที่มีเกียรติที่สุด
เคล็ดลับต่างๆ เหล่านี้ ที่ท่านอินุ้ลฮาจได้นำมากล่าวไว้ เป็นสิ่งที่สนับสนุนความเห็นของเราที่ว่าอนุญาตให้จัดงานเมาลิดได้
และเราขอสรุปข้อความที่ได้กล่าวมาแล้วว่า อนุญาตให้จัดงานเมาลิดได้ในแบบส่วนตัว หรือในแบบครอบครัวและที่ควรจัดงานเมาลิดก็เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้
1. มีตัวบทที่ให้เจาะจงวันจันทร์เป็นวันถือศีลอด เพราะเป็นวันที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ (ซ.ล.) เกิด
2. ท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์ (ซ.ล.) ส่งเสริมให้ถือศีลอดในวันอาซูรอ เพื่อแสดงความขอบคุณอัลลอฮ์ที่ให้นบีมูซา (อ.ล.) และสาวกพ้นภัยภิบัติ นั่นย่อมแสดงว่ามีการส่งเสริมให้ถือศีลอดในวันเกิดของท่าน
และเฉลิมฉลองด้วยการทำอิบาอะห์และตออะห์
3. ท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์ (ซ.ล.) จะเพิ่มการเอาใจใส่เป็ฯพิเศษในบางเวลาที่มีความสำคัญและประเสริฐ เช่น ใจบุญพิเศษในเดือนรอมาฎอน และมุมานะในการทำอิบาดะห์มากขึ้นในเดือนรอมาฎอนยิ่งกว่าเดือนอื่นๆ
และวันที่ประเสริฐที่สุดก็คือ วันที่ท่านนบี (ซ.ล.) เกิด
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ควรชี้นำได้ว่า การจัดงานเมาลิดตามที่เราวิเคราะห์นั้น ไม่เข้าอยู่ในคำนิยามของคำว่าบิดอะห์ เพราะการจัดงานเมาลิดตามที่เราวิเคราะห์ ไม่จำเป็นต้องอ้างว่ามีบัญญัติศาสนา
หรือศาสนาส่งเสริมให้มีการเจาะจงหรือพาดพิงสิ่งที่ไม่มีในศาสนาไปถึงแต่อย่างใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ กาจัดงานเมาลิดจึงไม่เข้าอยู่ในคำนิยามของคำว่า บิดอะห์ ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมใด เพราะมีหลักฐานจากซุนนะห์ และหลักฐานอีกมากมายที่สนับสนุนการจัดงานเมาลิด
ส่วนเนื้อหาของงานเมาลิด มีเงื่อนไขว่าจะต้องดำเนินการเฉพาะสิ่งที่สแดงออกถึงการขอบคุณอัลลอฮ์ตาอาลาเท่านั้น เช่น การอ่านอัลกุรอาน การเลี้ยงอาหาร การบริจาคท่า และการขับลำนำที่เป็นการสรรเสริญ
ท่านนบี (ซ.ล.) และลำนำปลุกใจให้ทำความดี และทำกิจกรรมเพื่ออาคีเราห์ ทั้งหมดนี้จะต้องไม่ทำให้สิ่งที่เป็นฟัรดู ขาดตกบกพร่องไป หรือเป็นการทำลายการตออัตต่ออัลลอฮ์ หรือทไให้เสียสุขภาพ เช่น อดหลับอดนอน
เพราะจุดประสงค์ของการจัดงานเมาลิดนั้นก็คือเพื่อขอบตุณอัลลอฮ์ในทุกวิถีทาง
ส่วนการปิดอวัยวะที่ถึงต้องปกปิดให้มิดชิด การปะปนระหว่างชายหญิง การละเล่นที่ต้องห้ามต่างๆ จำเป็นต้องขจัดออกไปให้พ้นจากการรำลึกถึงวันเกิดของท่าน นบี (ซ.ล.) โดยหมดสิ้น