ผู้เขียน หัวข้อ: ก่อนตะวันขึ้นทางทิศตะวันตก ?  (อ่าน 2743 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ BaE HoK

  • บ้านของผู้ชายอยู่ในมัสยิด มัสยิดของผู้หญิงนั้นคือบ้าน
  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 272
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
+1

ก่อนตะวันขึ้นทางทิศตะวันตก ?
[/b]
ศาสดามูฮำมัดได้ละโลกนี้ไปเหมือนดังที่เคยเข้ามาโดยไม่มีโซ่ตรวนทางวัตถุถ่วงไว้ มรดกอันเดียวที่ท่านทิ้งไว้ให้แก่มนุษยชาติก็คือ ศาสนาแห่งความจริงและความดี ท่านได้ปูพื้นฐานและสร้างรากฐานไว้สำหรับอารยธรรมอิสลามซึ่งครอบคลุมโลกของเรามาในอดีตและต่อไปในอนาคตนั้นคืออารยะธรรมที่มี “เตาฮีด” หรือความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเสาหลักและมีระเบียบซึ่งพระวจนะและคำบัญชาของพระองค์เป็นสิ่งสูงสุด ส่วนถ้อยคำและคำสั่งของผู้ไม่ศรัทธาอยู่ล่างสุด มันคืออารยะธรรมที่ได้รับการชะล้างจนสะอาดปราศจากลัทธิป่าเถื่อนทั้งหลายและปราศจากรูปแบบและการแสดงออกของการบูชารูปเจว็ดและคลั่งไคล้ตัวบุคคลทุกอย่าง เป็นอารยะธรรมที่มนุษย์ได้รับการเรียกร้องให้ร่วมมือซึ่งกันและกันเพื่อความดีงามและความผาสุกทางด้านศีลธรรมของปวงชน มิใช่เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใดหรือบุคคลใด..
 ในช่วงชีวิตของท่านศาสดามูฮำมัดมีโอกาสได้สนทนากับบรรดาผู้ปฏิเสธ มันเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาที่ยิ่งใหญ่ซึ่งบรรดาตัวแทน 35 คนจาก 5 ศาสนาสำคัญของโลก คือ 1. ยิว  2. คริสเตียน 3. ลัทธิของผู้ปฏิเสธ 4. ลัทธิแห่งความเป็นสอง  และ 5. ลัทธิบูชารูปปั้น  ได้เข้ามาสนทนากับท่านศาสดา และในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับในความจริงของอิสลามและได้กลายเป็นมุสลิม...
ข้อสนทนาที่ดำเนินโดยท่านศาสดา เป็นข้อสนทนาที่งดงาม ซึ่งท่านได้อธิบายด้วยหลักอันสูงส่งทางปรัชญาในภาษาง่ายๆที่แม้แต่บุคคลทั่วไปก็สามารถที่จะเข้าใจได้โดยง่ายบทสนทนานี้นับเป็นบทสนทนาชิ้นโบว์แดงแห่ง “วิทยปัญญาและการสอนที่ยอดเยี่ยม”   บรรดาข้อสนทนาเหล่านั้นยังคงเป็นจริงอยู่จนถึงทุกวันนี้เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อนเมื่อ 1,400 ปี ที่แล้วมา  ข้อสนทนาเหล่านี้ได้ถูกเล่าโดยท่านอิหม่าม ฮาซัน บิน อาลี อัล-อัซการี(อฺ) ในตัฟซีร(อรรถาธิบาย)ของท่าน และ ท่านอัลลามะฮ อัต-ตาบัรซี ได้คัดลอกมันไว้ในหนังสือ อัล-อิจญ์ติฮาด(เล่ม1) ที่มีชื่อเสียงของท่าน ในกาลต่อมามันได้ถูกแปลออกมาเป็นภาษาอุรดู(พร้อมกับคำอธิบายย่อๆ) โดย ท่านเมาว์ลานา มูฮำมัด มุสตอฟา “เญาฮัร”แห่งการาจี และต่อมาท่านยุทธภูมิ ศักดิ์กิตติชา(ซัยยิด มะฮมูดชา)ได้แปลเป็นภาษาไทย จัดพิมพ์โดย ชมรมมุสลิมอเชียในหนังสือชื่อว่า “อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮ ผู้ทรงเกรียงไกร” พิมพ์ครั้งที่สอง วันที่ 1 มกราคม 2527...
ท่านศาสดามูฮำมัดได้เริ่มสนทนากับตัวแทนของเหล่าศาสนายิวเป็นกลุ่มแรก
“ อิสลาม กับ ศาสนายิว ”
พวกยิวแห่งแผ่นดินอาหรับในสมัยของท่านศาสดามูฮำมัด(เมื่อ1,400ปีก่อน)ได้สูญเสียความเชื่ออันเป็นรากฐานเดิมของพวกเขาไป และเนื่องจากพวกเขาได้มีการติดต่อสมาคมกับพวกลัทธิถือบูชารูปปั้น และพวกคริสเตียน ดังนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นตั้งหลักเกณฑ์ลอยๆที่ว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงมีบุตร” ขึ้นมา  และด้วย “อุเซร”(เอสดราสหรือเอซราในภาษาอังกฤษ)ได้เป็นผู้เขียนคัมภีร์เตารอตขึ้นมาใหม่หลังจากที่มันได้สาบสูญไปนานหลายศตวรรษ พวกยิวนับถือเขาอย่างสูงส่งและเริ่มที่จะอ้างว่า “อุเซร” คือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า
ท่านศาสดาได้ถามพวกเขาว่า.. “ เหตุผลแห่งความเชื่อของพวกเขาคืออะไร ? ”
พวกเขากล่าวว่า...   “ อุเซร ได้เขียนคัมภีร์เตารอตเพื่อชาวอิสราเอลขึ้นมาใหม่ หลังจากมันได้หายสาบสูญไปจากพวกเขาเป็นเวลานานนับศตวรรษและเมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงเป็นเครื่องแสดงว่าเขาเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ”
ท่านศาสดา      “ ทำไมอุเซรจึงได้ถูกเชื่อว่าเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า แต่มูซา(โมเสส)มิได้ถูกเชื่อดังนั้น ทั้งๆที่โมเสสได้เป็นผู้นำเอาคัมภีร์เตารอตที่ได้ประทานจากพระผู้เป็นเจ้าลงมาครั้งแรก การนำมาครั้งแรกจะไม่สำคัญยิ่งกว่าการเขียนมันขึ้นมาใหม่ละหรือ ! ยิ่งไปกว่านั้น โมเสสได้แสดงอภินิหารหลายอย่างซึ่งอุเซรมิได้แสดงมันเลย ถ้าอุเซรเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้าเพราะว่าพระองค์ทรงให้เกียรติเขาอันเนื่องมาจากการเขียนคัมภีร์เตารอตขึ้นมาใหม่ โมเสสผุ้นำคัมภีร์เตารอตที่ได้ประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้านั้นจะไม่สมควรได้รับตำแหน่งแห่งความเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้ากว่าหรือ ? ข้าพเจ้าคิดว่าความเป็นบุตรนั้น ท่านคงจะมิได้หมายถึงว่ามันคือความสัมพันธ์ที่ได้ถูกขนานนามขึ้นมาเมื่อเด็กถือกำเนิดออกมาจากครรภ์มารดาภายหลังจากที่บิดามารดาของเขาได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกันอย่างแน่นอน ”
บรรดาตัวแทนชาวยิวก็ได้ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อพวกเขากล่าวว่า “อุเซรเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า” พวกเขามิได้หมายถึงว่า มันคือความเป็นบุตรโดยกำเนิด แต่มันเป็นเพราะเกียรติยศที่เขามีต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเสมือนกัยบรรดาอาจารย์ชอบที่จะเรียกลูกศิษย์คนโปรดว่า “ เจ้าลูกชายของฉัน ”...
ท่านศาสดาได้กล่าวว่า ท่านได้กล่าวไว้แล้วว่าในประการนี้ซึ่งความจริงนั้น มูซา(โมเสส)สมควรที่จะได้รับการขนานนามว่า “เป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”มากกว่า  มันเป็นเช่นเดียวกันกับตัวอย่างที่ผู้สูงอายุชอบที่จะเรียกเด็กหนุ่มซึ่งมิได้มีความสัมพันธ์ใดๆเลยว่า “เจ้าลูกชาย” ขอให้เรามาพิจารณาถึงถ้อยคำดังกล่าวนี้ต่อไปอีกเล็กน้อย ท่านคงจะเคยเห็นว่าผู้สูงอายุบางคนได้ให้เกียรติต่อนักปราชญ์ หรือผู้รอบรู้บางคนโดยเรียกว่า “น้องชายของฉัน” หรือ “พี่ชายของฉัน” บางครั้งก็ “ท่านผู้นำของฉัน”และแม้กระทั้งคำว่า “พ่อของฉัน”  ด้วยการใช้ถ้อยคำเหล่านี้ ท่านจะกล่าวหรือไม่ว่า มูซา(โมเสส)ผู้ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วมีเกียรติสูงกว่า อุเซร ในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าสมควรที่จะถูกเรียกว่า “น้องชายของพระผู้เป็นเจ้า” หรือแม้กระทั้งคำว่า “ผู้นำของพระผู้เป็นเจ้าหรือ ? ”...
บรรดาตัวแทนชาวยิวไม่สามารถที่จะตอบคำถามนี้ได้ ภายหลังจากการตรึกตรองครู่ใหญ่พวกเขาก็ยอมรับในความเป็นจริงของ อิสลาม .
...............................
“ อิสลาม กับ คริสเตียน ”
พวกผู้แทนชาวคริสเตียนได้แสดงความเชื่อของพวกเขาว่า “ พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหนึ่งกับพระเยซูบุตรของพระองค์ ” ...
ท่านศาสดาถามพวกเขาว่า... “ ที่พวกท่านกล่าวว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงนิรันดร์มีเพียงหนึ่งองค์กับพระเยซูบุตรของพระองค์นั้น หมายความว่าอย่างไร ?...
-   ท่านหมายถึงว่า ความเป็นนิรันดร์(พระผู้เป็นเจ้า)ได้สิ้นสูญลงเหมือนกับการสิ้นชีพของพระเยซูหรือ ? ถ้าท่านหมายความดังที่กล่าวนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่ “ความเป็นนิรันดร์”ซึ่งไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดอวสานจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดับสูญ เพราะสิ่งที่ดับสูญนั้นมันย่อมมีทั้งการเริ่มต้นและการสูญสลาย
-   ท่านจะหมายความว่า การสิ้นชีพของพระเยซูนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์ดังเช่นที่พระผู้เป็นเจ้าเป็นอยู่กระนั้นหรือ ? ถ้าท่านหมายความอย่างนั้น มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากที่ครั้งที่หนึ่งมันมิได้มีตัวตนอยู่ในโลกนี้จะกลายเป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์ได้อย่างไร ? ”
-   หรือท่านจะหมายถึงว่า โดยประโยคนี้ “พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหนึ่งกับพระเยซู” หมายถึงพระผู้เป็นเจ้าทรงให้เกียรติแก่พระเยซูซึงมิได้ให้แก่ผู้ใด ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านก็จะต้องยอมรับว่าพระเยซูไม่ทรงเป็นนิรันดร์ นั้นคือ คุณสมบัติของพระเยซูจากการที่ได้รับเกียรติอันนี้ภายหลังจากพระองค์ได้ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยประการนี้เองพระเยซูจึงไม่อาจที่จะเป็นหนึ่งกับพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะว่าความเป็นนิรันดร์กับความไม่ยืนยง(ความดับสูญ)เป็นสิ่งที่ไม่อาจรวมกันได้ !
บรรดาตัวแทนชาวคริสเตียน...   “ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแสดงอภินิหารผ่านทางพระเยซูนั้นหมายถึงว่า พระองค์ได้ทรงให้เกียรติความเป็นบุตรแก่พระเยซู ”
ท่านศาสดาได้อธิบาย โดยพูดถึงการสนทนา “อุเซรกับความเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”ที่กล่าวกับพวกยิวให้บรรดาตัวแทนชาวคริสเตียนฟังอีกครั้ง...
ภายหลังจากที่ได้ตรึกตรองอยู่พักใหญ่ หนึ่งในบรรดาตัวแทนชาวคริสเตียนได้กล่าวขึ้นว่า “ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงคำตรัสของพระเยซูว่า...”ฉันจะกลับไปสู่พระบิดาของฉัน”(ข้อสนทนานี้มีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจที่ว่า..พระเยซูเองก็ได้ยืนยันว่าพระผู้เป็นเจ้าคือพระบิดาของพระองค์ และดังที่ท่านศาสดามูฮำมัดได้ยอมรับในความเป็นศาสดาองค์หนึ่งของพระเยซู เพราะฉะนั้นข้อยืนยันของพระเยซูจึงไม่อาจเป็นข้อยืนยันที่ผิดได้)”   
ท่านศาสดาได้กล่าวกับบรรดาตัวแทนชาวคริสเตียนว่า..”ประโยคที่แท้จริงในพระคัมภีร์นั้นก็คือ “ฉันจะกลับไปสู่พระบิดาของฉันและท่าน”ซึ่งหมายความว่า บรรดาผู้ศรัทธาทั้งปวงคือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ออ้างในประโยคที่สมบูรณ์ของพระคัมภีร์นี้ได้ลบล้างข้ออ้างของพวกท่านที่ว่า “พระเยซูคือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”อันเนื่องมาแต่เกียรติที่พระองค์ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าหลักความเชื่อของพวกท่านนั้น แม้ว่าบรรดาผู้ศรัทธาจะไม่ได้รับเกียรติอันสูงส่งเช่นเดียวกันกับพระเยซู แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับการเรียกว่าเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ”
หลังจากที่ได้พิจารณาและไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ พวกเขาก็กลับกลายเป็นมุสลิม .
.............................
“ อิสลาม กับ ลัทธิแห่งความเป็นสอง ”
บรรดาผู้เชื่อในลัทธิความเป็นสอง(พวกฟัรซีในอินเดียปัจจุบันนี้) ลัทธินี้เชื่อว่า “ ความสว่างกับความมืดคือ ผู้สร้างสรรพสิ่งและเป็นตัวปกครองจักรวาล ”
ท่านศาสดามูฮำมัดได้ถามพวกเขาถึงเหตุของความเชื่อนี้...
พวกเขากล่าวว่า... “ เราพบว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีอยู่สองอย่างเท่านั้นคือดีและชั่ว สิ่งเหล่านี้มีความตรงข้ามกันอยู่เสมอ เราเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งความดีมิอาจเป็นเทพแห่งความชั่วได้ และในทำนองเดียวกัน เทพเจ้าแห่งความชั่วก็ไม่อาจเป็นเทพเจ้าแห่งความดีได้ บรรดาสิ่งตรงกันข้ามเหล่านี้มิอาจถูกพบอยู่ด้วยกันเลย  ท่านไม่เคยเห็นหรือว่า หิมะมิอาจที่จะให้ความอบอุ่น และไฟก็มิอาจที่จะให้ความหนาวเย็นได้ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เรามีความเชื่อในพระผู้สร้างสององค์ที่แยกจากกันสำหรับความดีและความชั่ว พระเจ้าทั้งสองถูกแทนด้วยความสว่างและความมืด และทั้งคู่ต่างก็เป็นนิรันดร์ ”
ท่านศาสดาได้กล่าวว่า... “ จงบอกฉันมาซิว่า ท่านไม่เคยพบเห็นสีต่างๆที่แตกต่างกัน เช่น สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว หรือสีน้ำเงินในโลกนี้เลยหรือ มันมิใช่ความจริงหรือ ที่ไม่มีสีใดๆเหล่านั้นที่อาจจะถูกพบว่าอยู่รวมกันกับสีอื่นๆ ในขณะเดียวกันและในที่เดียวกัน ”
ผู้เชื่อในลัทธิแห่งความเป็นสอง... “ แน่นอน สีเหล่านี้มิอาจถูกพบว่ามีสีสองสีอยู่รวมกันในสถานที่และเวลาเดียวกัน ”
ท่านศาสดา... “ ถ้าเป็นเช่นนี้ตามความเชื่อของพวกท่านแล้ว ท่านจะต้องเชื่อว่า..มันมีพระเจ้าผู้สร้างที่ต่างกันของแต่ละสีที่แตกต่างกันเหล่านั้น ”
ผู้เชื่อในลัทธิแห่งความเป็นสอง... “ (เงียบ)ไม่สามารถที่จะให้คำตอบแก่ท่านศาสดาได้ ”
ท่านศาสดาได้เอ่ยถามพวกเขาว่า... “ ความสว่างและความมืดเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม มันทั้งสองสามารถรวมกันสร้างบรรดาสรรพสิ่ง(ที่มีทั้งดีและชั่ว)ให้มารวมกันอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร มันมิได้หมายความว่า มีอำนาจสูงสุดที่ได้นำเอาความตรงข้ามเหล่านั้นมารวมกันไว้ในโลกนี้หรือ ? ”
พวกเขาได้ใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นาน และในที่สุดพวกเขาก็จำนนต่อความจริงของอิสลาม .
...............................................
“ อิสลาม กับ ลัทธิบูชาเจว็ด(รูปปั้นหรือเทวรูป)”
ท่านศาสดาได้ถามผู้บูชาเจว็ดถึงเหตุผลในการบูชาเจว็ดแทนที่จะเป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว
พวกเขาตอบว่า... “ พวกเราต้องการที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทางเจว็ดเหล่านี้ ”
ท่านศาสดา... “ เจว็ดเหล่านั้นได้ยินได้ฟังหรือ ? เจว็ดเหล่านั้นมีธรรมะและเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ของพระผู้เป็นเจ้าหรือ ? ท่านสามารถที่จะแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้าจากเจว็ดเหล่านั้นได้อย่างไร ? ”
พวกบูชาเจว็ด... “ ไม่ เจว็ดเหล่านั้นไม่อาจจะได้ยินหรือได้ฟังได้เลย ”
ท่านศาสดา... “ ความเป็นจริงก็คือ พวกท่านได้สลักและปั้นเจว็ดเหล่านั้นมาด้วยมือของพวกท่านเอง ดังนั้นถ้าเจว็ดเหล่านี้มีความสามารถที่จะทำการบูชาได้แล้ว มันก็จะต้องเป็นหน้าที่ของบรรดาเจว็ดเหล่านั้นที่จะต้องบูชาพวกท่าน(เพราะพวกท่านคือผู้ที่สร้างมันเหล่านั้นขึ้นมา) มิใช่ว่าพวกท่านจะต้องไปกราบไหว้บูชาพวกเจว็ดเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยที่จะอนุญาตให้พวกท่านกราบไหว้บูชาเจว็ด เมื่อเช่นนี้พวกท่านสามารถที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระองค์ได้อย่างไรกัน ? ”
จาการที่ได้รับรู้ข้อโต้แย้งจากท่านศาสดา ทำให้บรรดาพวกเจว็ดแตกออกเป็นสามพวก...
พวกแรกกล่าวว่า... “เทวรูปเหล่านั้นคือ รูปปั้นของบุคคลที่พระผู้เป็นเจ้าได้เข้ามาสิงสถิตอยู่ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงบูชาพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านการสักการะบูชารูปปั้นของบุคคลเหล่านั้น ”
ท่านศาสดาจึงกล่าวขึ้นว่า... “ ประการแรก พวกท่านมีความเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าได้เข้าสิงสถิตในบุคคลใดๆนั้นเป็นความเชื่อที่ผิดโดยแท้ เพราะนั้นเท่ากับว่าพวกท่านได้ดึงเอาสถานะอันสูงส่งของพระผู้เป็นเจ้าให้ลงมาเหมือนกับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมันเหล่านั้นขึ้นมา ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่อาจสิงสถิตอยู่ในสิ่งใดๆ  ประการที่สอง อะไรที่เป็นที่แตกต่างระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับสิ่งอื่นๆที่ถูกพบได้ในสิ่งที่มีเรือนกาย เช่น สี รส กลิ่น ความแข็ง ความอ่อนนุ่ม ความหนักหรือความเบา เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่อาจดำรงอยู่โดยอิสระด้วยตนเองได้ เว้นแต่จะอาศัยเรือนร่างเพื่อการมีอยู่ของมัน พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับสิ่งเหล่านี้หรือ ? พวกท่านถึงได้กล่าวว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรือนร่าง ประการสุดท้าย พวกท่านเชื่อว่าคุณสมบัติการสิงสถิตเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนี้เป็นคุณสมบัติของสิ่งที่ไม่ยืนยง ด้วยเหตุนี้เองทำไมพวกท่านจึงเชื่อว่าคุณสมบัติของสิ่งที่ไม่ยืนยงทั้งหลายจะถูกพบได้ในพระองค์ล่ะ ข้าพเจ้าหมายถึงว่า ท่านจะต้องเชื่อด้วยเช่นกันว่าพระผู้เป็นเจ้ามีการเปลี่ยนแปลง มีการเสื่อมสลายและมีการสูญสิ้น(ตาย) เพราะเรือนร่างของผู้ที่ถูกสมมติว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สิงสถิตอยู่นั้นมีการเปลี่ยนแปลง มีการเสื่อมสลายและมีการสูญสิ้นไปในที่สุด มันเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งใดๆซึ่งอยู่ภายในจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันกับการเปลี่ยนแปลงของเรือนร่างที่ห้อมล้อมหรือบรรจุไว้นั้น คำกล่าวทั้งหมกนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระผู้เป็นเจ้าที่จะสิงอยู่ในบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเมื่อการสิงสถิตนี้เป็นความเชื่อที่ผิด มันไม่มีพื้นฐานใดๆแห่งความเชื่อของท่านที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าสิงสถิตอยู่ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมันเหล่านั้นขึ้นมาเหลืออยู่เลย และนั้นก็หมายความว่ารูปปั้นเหล่านั้น มิใช่พระผู้เป็นเจ้าแน่นอน ”
พวกที่สองได้กล่าวขึ้นว่า... “ รูปปั้นเหล่านั้น คือรูปปั้นของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วในอดีต ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง เราปั้นรูปปั้นของพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาและบูชารูปปั้นนั้นด้วยเห็นว่า การกระทำนี้เป็นการแซ่ซ้องบารมีของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทงการบูชาของบุคคลเหล่านั้น ”
ท่านศาสดา... “ โปรดบอกข้าพเจ้ามาซิว่า การบูชาในรูปแบบใดที่พวกท่านคงดำรงไว้เพื่อพระผู้เป็นเจ้า ในเมื่อท่านได้กราบกราน สวดมนต์ภาวนาและได้ทำการภักดีต่อรูปปั้นเหล่านั้นแล้ว พวกท่านไม่ทราบเลยหรือว่า สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าก็คือ พระองค์จะไม่ต้องถูกคิดหรือจินตนาการว่าอยู่ในสถานะ หรือระดับเดียวกันกับบรรดาบ่าวของพระองค์ ถ้าท่านให้เกียรติพระมหากษัตริย์เหมือนกับที่ท่านได้ให้เกียรติกับคนใช้ของเขา การกระทำเช่นนั้นมันจะไม่เป็นการดูหมิ่นต่อพระมหากษัตริย์หรือ ? ”
พวกบูชาเจว็ด... “ จริงของท่าน ”
ท่านศาสดา... “ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านมิได้ตระหนักแก่ใจอยู่หรือว่า โดยการบูชารูปปั้นของบุคคลที่ท่านกล่าวถึงอยู่นั้น ท่านเป็นผู้ดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้จริง ”
พวกที่สามได้กล่าวขึ้นมาว่า... “ พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างอาดัมและได้สั่งให้บรรดาเฑวทูตหมอบราบเป็นการให้เกียรติต่อหน้าอาดัม เราผู้เป็นเชื้อสายของอาดัม สมควรที่จะกราบกรานต่ออาดัมยิ่งกว่าบรรดาเฑวฑูตเหล่านั้น อนึ่ง อาดัมก็มิได้มีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวพวกเราจึงปั้นรูปเขาขึ้นมาและแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยการบูชาผ่านรูปปั้นนี้ ”
ท่านศาสดา... “ นอกจากที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาให้บรรดาเฑวทูตกราบกรานต่ออาดัมแล้ว พระองค์ได้มีบัญชาให้พวกท่านกราบกรานต่อรูปปั้นของอาดัมด้วยหรือ อาดัมและรูปปั้นของเขามิใช่สิ่งเดียวกัน ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่า พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงกริ้วต่อการที่ท่านได้กราบกรานต่อรูปปั้นของอาดัมนี้.. 
..ลองนึกดูซิว่า ถ้าผู้ชายคนหนึ่งได้อนุญาตให้ท่านเข้ามาในบ้านของเขาได้ในวันหนึ่ง ท่านมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในบ้านเขาในวันอื่นโดยปราศจากการอนุญาตด้วยเช่นกันหรือ..
..ถ้ามีคนให้ผ้าชิ้นหนึ่งหรือนาฬิกาเรือนหนึ่งเป็นของขวัญแก่ท่าน ท่านมีเหตุผลเพียงพอที่จะรับมันไว้หรือไม่ ”
พวกบูชาเจว็ด... “ ใช่ เรามีเหตุผลพอที่จะรับมันไว้ ”
ท่านศาสดา... “ แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับหรือไม่ชอบผ้าชิ้นนั้นหรือนาฬิกาเรือนนั้น ท่านมีสิทธิ์ที่จะหยิบฉวยเอาผ้าชิ้นอื่นหรือนาฬิกาเรือนอื่นของเขาโดยปราศจากการอนุญาตหรือไม่ ”
พวกบูชาเจว็ด... “ ไม่อย่างแน่นอน เพราะเขาทำให้ผ้าชิ้นนั้นหรือนาฬิกาเรือนนั้นที่เขาตั้งจะให้ มิใช่ผ้าชิ้นอื่นหรือนาฬิกาเรือนอื่นๆ ”
ท่านศาสดา... “ ใครมีสิทธิ์ที่ว่า ของๆเขาจะต้องไม่ถูกนำไปใช้โดยปราศจากการอนุญาตมากกว่ากัน ในระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ”
พวกบูชาเจว็ด... “ พระผู้เป็นเจ้ามีสิทธิ์มากกว่าอย่างแน่นอน ”
ท่านศาสดา... “ ถ้าเช่นนั้นทำไมพวกท่านจึงได้ฝ่าฝืนในกฎข้อนี้ล่ะ ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงอนุญาตให้ท่านทำการบูชารูปปั้นเหล่านั้นเลย ? ”
หลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง บรรดาผู้บูชาเจว็ดก็กลับกลายเป็นผู้ยอมรับในอิสลาม
...................................
เหล่านี้แหละคือคำตอบจากมนุษย์ผู้ถูกเลือกสรรแล้วจากพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อที่บรรดามนุษย์จอมสงสัยทั้งหลายจะได้ไม่นำมาเป็นข้ออ้างหรือหักล้างว่า “ มูฮำมัด ” คือผู้ที่ร่ำเรียนวิชาความรู้มาแล้วทุกด้านสาขาวิชาการจึงมีความรู้เรื่องแพทย์ สุขศึกษา ธรรมชาติวิทยา วิทยาศาสตร์ปรัชญาและวิชาด้านอื่นๆ พระผู้เป็นเจ้า(อัลลอฮ)จึงได้เลือกบุรุษผู้ซื่อสัตย์ผู้ไม่เคยบิดเบือนสัจจะ ผู้ไม่รู้หนังสือและกำพร้าทั้งบิดามารดา จากผู้ยากไร้ ผู้อ่านและเขียนไม่เป็น พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้มอบความรู้ความสามารถให้ ทุกพจนารถซึ่งสิ่งที่ถูกบันทึกในมหาคัมภีร์แห่งมนุษยชาติ เปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณา เมตตาแนะแนวให้มนุษยชาติทั้งหลายหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ทรมานจากสิ่งล่อใจบนโลกนี้ และเพื่อที่จะมิให้มนุษย์ผู้ปฏิเสธในยุคfacebookจะต้องมาตั้งแง่ตั้งงอนกันอีก ศาสดาสุดท้ายจึงมาจากผู้ไม่รู้หนังสือ แต่กลับมีคำสอนอันปราดเปรื่องเต็มไปด้วยวิทยปัญญา ความรู้ที่ศาสดามูฮำมัดนำมากลับกลายเป็นแสงสว่างที่จะส่องทางให้แก่มนุษยชาติทั้งโลก อีกทั้งเป็นกุญแจที่จะไขไปสู่ความลี้ลับเพื่อที่จะให้ความจริงถูกเปิดเผย และความเท็จจะได้มลายตลอดจนความลึกล้ำของธรรมชาติและในห้วงแห่งจิตวิญญาณของมนุษยชาติทั้งสิ้น ความรู้อันนี้จึงสร้างความแปลกประหลาดใจให้แก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังในยุคสมัยที่การเผยแพร่เริ่มขึ้นใหม่ๆจากนั้นจนถึงมนุษย์ผู้โอหังในยุค3Gจึงพูดมิได้ว่า.. “ ความรู้ที่มูฮำมัดนำมาเป็นความรู้ที่ตกแต่งขึ้น ” เพราะเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเขาทั้งหลายก็ได้ศึกษาประวัติศาสตร์และทั่วโลกก็ศึกษาประวัติของมูฮำมัดศาสดาแห่งมนุษยชาติ และยอมรับว่า “ท่านคือผู้ที่อ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้”จริง ! แล้วความรู้เหล่านั้นท่านนำมาจากแหล่งใด ถ้ามิใช่...
พระผู้เป็นเจ้า อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮผู้ทรงเกรียงไกร
ผู้ทรงสร้างทั้งชั้นฟ้าแผ่นดินและทุกสรรพสิ่ง
ผู้ทรงกรุณาปราณี   ผู้ทรงเมตตาเสมอ
ผู้ทรงอภิบาล สากลจักรวาล
............................................................................
มนุษย์มีเสรีภาพได้ โดยไม่ต้องยิ่งใหญ่

แต่ มนุษย์ไม่อาจยิ่งใหญ่ได้..

...โดยไม่มีเสรีภาพ

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ก่อนตะวันขึ้นทางทิศตะวันตก ?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธ.ค. 22, 2013, 07:20 PM »
0
ขอขุดค่ะ...

เพราะเรื่องราวดังกล่าว สอนเราและเป็นแบบอย่างได้ดี
ในการตอบโต้กับผู้อื่น...ท่านรอซุลุ้ลลอฮฺของเรานั้นปรีชาญาณเหลือเกิน
ท่านตอบคำถามด้วยเหตุและผล และไม่ปรากฎถึงถ้อยคำดูหมิ่นดูแคลน
แต่ใช้โวหารที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกได้ถึงความหวังดีอย่างจริงใจ...

ลักษณะเช่นนี้...เราน่าจะนำมาใช้เป็นแบบอย่าง...
สามารถปรับใช้ในเหตุการณ์ปัจจุบัน...

ท่านศาสนทูตทรงกล่าวความจริงบนพื้นฐานของเหตุและผล
ไม่ได้เอาอารมณ์มาร่วม...

จากบทความข้างต้นจึงทำให้ข้าน้อยคนนึงอยากจะขุดกระทู้นี้ขึ้นมา
เพื่อจะได้รดน้ำพรวนดินให้ความชุ่มชื่นค่ะ...

ขุดมาเพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้อ่าน...

วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged