ผมมองว่า ปัจจุบันนี้ ผู้คนจะถูกแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท หากมองผ่านกระจกการตักเตือน นั่นก็คือ ประเภทแรก จะมีความรู้สึกว่า ต้องควรทำตัวเราให้ดี ตราบใดที่ยังไม่ดีพอ ก็ไม่สมควรไปตักเตือนผู้อื่น เพราะเราเองยังไม่ดีพอ และประเภทที่สอง จะมีความรู้สึกว่า ต้องช่วยกันตักเตือน สะกิด และทักซึ่งกันและกัน แม้ ณ ตอนนั้นเราจะไม่ได้ดีพร้อมไปเสียทุกอย่างก็ตาม แต่หากใครอยู่ในสภาพที่มีสติมากกว่า ก็สมควรตักเตือนผู้ที่สติน้อยกว่า แต่ก็หวังในอนาคตว่า หากตนทำผิดบ้าง ก็หวังอยากที่จะได้การตักเตือนที่ดีเช่นเดียวกัน
สำหรับผมแล้ว ผมเห็นด้วยและพยายามจะเอาอย่างบุคคลในประเภทที่สอง แต่ประเภทแรกก็ถือเป็นการถ่อมตนที่ดีเช่นกัน แต่หากเรามอง ณ สภาพในปัจจุบัน การจะคงลักษณะแบบบุคคลประเภทแรกต่อไป ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำร้ายสังคมในทางอ้อมก็เป็นได้ ซ้ำยังอาจจะเป็นบ่อเกิดหนึ่งที่อาจจะทำให้เกิดรอยดำขึ้นทีละนิด ทีละนิดขึ้นในสังคม และท้ายสุดก็เป็นรอยดำอันใหญ่ และเมื่อขึ้นตอนนั้น การที่จะลบรอยดำใหญ่นั้นออก ก็ดูเหมือนจะยากขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้น อย่าได้มองว่า การตักเตือน คือการที่บุคคลดีๆ หรือดีพร้อมเท่านั้นที่จะสามารถกระทำได้ อย่ารอให้คนที่ดีพร้อมมาตักเตือนเราก่อน เราถึงจะฟังเขา และในอีกมุมหนึ่งก็คือ อย่ารอให้เราดีพร้อมก่อน แล้วค่อยจะตักเตือนผู้อื่น ทั้งๆ ที่เราอยู่ในสภาพที่พร้อมกว่า มีสติกว่าในตอนนั้นก็ตาม แต่ให้มองว่า การตักเตือน คือการสะกิด การทักของผู้มีสติมากกว่าแก่ผู้ที่มีสติน้อยกว่า แล้วสมควรผลัดกันสะกิด ผลัดกันทัก อินชาอัลลอฮฺ สังคมเราจะน่าอยู่ยิ่งขึ้น และบรรยากาศแห่งความเป็นพี่น้องที่ห่วงใยต่อกันก็จะเกิดขึ้น และทุกทฤษฎีย่อมเป็นจริงได้ไม่ยาก หากเราไม่มองมันเป็นแค่ทฤษฎี แล้วเงียบเฉยตามเคย - วัลลอฮุอะอ์ลัม - วัสสลามุอลัยกุม