asan Konyakroo ไปกอ็บปี้ ข้อความของนายนู้รุ้ลอิสลาม แล้วมาสรุปว่า
ในที่สุด วะฮาบีย์ก็ต้องถอยกรูดไม่เป็นท่าเพราะหมกเม็ดเป็นอาชีพ เหมือนเดินสายขายบิดอะแถวหลาดสดกิมหยงนั้นแหละว้า...หิๆๆๆ...น่าเศร้าใจจิ้ง...ชีวิตนักบรรยาย ....

?..
ตอบ
ที่จริงก็ไม่อยากจะตอบเลย เพราะมันไร้ประโยชน์จริงๆ แต่เกรงว่าถ้าไม่อธิบาย เดี๋ยวชาวบ้านจะสับสน
ขอให้น้องบ่าวคนอยากรู้และทีมงาน นำเสนอหะดิษที่ว่าเศาะเฮียะ ที่เกี่ยวกับการลูบหน้าหลังดุอา ก็ไม่ยอม แต่กลับอ้าง อ้างอิหม่ามนะวาวีย์ โดยไม่ได้ยกหะดิษมาให้เห็นว่า หะดิษบทใหนที่อิหม่ามนะวาวีย์ว่า ใช้ได้ แต่กลับอ้างว่า
อิมามอันนนะวาวีย์ได้รายงานหะดิษ ของท่าน อุมัร (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์ จากท่านอิบนุอับบาส ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด ซึ่งการวิจารณ์หะดิษดังกล่าวนั้น ผมไม่ขอยกอ้างอิงมา เพราะว่ายังมีบรรดาหะดิษอีกมากมาย จากท่าน อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุรร๊อซซาก ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ที่เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ขอนำมาหยิบยกมาใน ณ ที่นี้ เนื่องจากเราจะเขียนลงบทความเลยทีเดียว อินชาอัลเลาะ ..........................
คุณไม่รู้หรือว่า หะดิษที่รายงานโดยท่านอุมัร ที่รายงานโดยอัตติมิซีย์นั้น เฏาอีฟ ขอนำเสนอหะดิษดังกล่าวดังนี้
كان رسول الله صلي الله عليه وسلم إذا رفع يديه في الدعاء لم يردهما حتى يمسح بهما وجهه" (الترمذي 5-464
ปรากฏว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมือท่านได้ยกมือทั้งสองของท่าน ในการขอดุอา ท่านจะไม่ดึงมันทั้งสองกลับ จนกว่าท่านจะลูบหน้าของท่านด้วยมือทั้งสอง - รายงานโดย อัตติรมิซีย์ 6-5/464
หะดิษบทนี้อิหม่ามติรมิซีย์เอง ก็ระบุว่า เป็นหะดิษเฆาะรีบ ดู อัลอิละลิลมุตะนาฮียะฮ เล่ม 2 หน้า 357 และในหน้าเดียวกันนั้น ระบุว่า
وقال احمد بن حنبل وابو حاتم والدراقطني حماد ضعيف
และอะหมัด บิน หัมบัล อบูหาติม และ อัดดารุ้ลกุฏนีย์ กล่าวว่า ?หะมาด( หมายถึง หะมาด บุตรอีซา) นั้น หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ)
และอิหม่านะวาวีย์ได้ระบุไว้ในหนังสือ อัลอัซกัร หน้า 399 ว่า
روينا فى كتاب الترمذى: عن عمربن الخطاب- رضى الله عنه- قال : كان رسول الله- صلى الله عليه وسلم ?اذا رفع يديه فى الدعاء لم يحطهما حتى يمسح بهما وجهه, وروينا فى سنن ابى داود عن ابن عباس-رضى الله عنه- عن النبى ?صلى الله عليه وسلم- نحوه, وفى اسناد كل واحد ضعف.)
เราได้เราได้รายงานในหนังสือ ของอัตติรมิซีย์ จากอุมัร บุตร อัลคอฏฏอ็บ(ร.ฎ)กล่าวว่า
ปรากฏว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมือท่านได้ยกมือทั้งสองของท่าน ในการขอดุอา ท่านจะไม่วางมันทั้งสองกลับ จนกว่าท่านจะลูบหน้าของท่านด้วยมือทั้งสอง , เราได้รายงานในสุนันอบีดาวูด จากอิบนิอับบาส (ร.ฎ)จากท่านนบี ศอ็ลลัลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในทำนองเดียวกัน และในสายรายงาน ทุกคน หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ)
..........
ส่วนอิบนุหะญัรกล่าวว่า
เมื่อรวมหะดิษหลายๆสำนวนมาสนับสนุน ก็ยกระดับ ไปสู่ หะดิษฮะซัน(ดี) ? ดูสุบุลุสสลาม เล่ม 4 หน้า 129
รายละเอียดที่ว่าเฏาะอีฟหะดิษข้างต้น ดูเพิ่มเติมข้างล่าง
دعاءُ العبد ربَّه وسؤالُه إياه مَشروع ومُرَغَّبٌ فيه، ورفعُ اليَدَيْن فيه ضَراعةً وابتهالا إلى الله ثابتٌ مشروعٌ أيضاً. وأما مسحُ الوجهِ بالكفَيْن عَقِبَ الدعاءِ: فقد وردَ فيه حديثٌ ضعيف رواه ابنُ ماجه مِن طريق صالح بن حَسان النصري عن محمد بن كعب القُرَظِي عن ابن عباس - رضي الله عنهما - قال: قال النبي - صلى الله عليه وسلم -: «إذا دعوتَ فادعُ اللهَ ببطونِ كفَّيْكَ، ولا تدعُ بظهورهما، فإذا فرغتَ فامسحْ بهما وجْهَكَ» لضعف صالح بن حسان، فقد ضعَّفه أحمد وابنُ معين وأبو حاتم والدار قطني، وقال البخاري: منكر الحديث، وقال أبو نعيم الأصبهاني: منكر الحديث متروك، وقال ابنُ حبان: كان صاحبَ قينات وسَماع، وكان يروى الموضوعات عن الأثبات، وقال ابنُ الجوزي في هذا الحديث: لا يصح؛ فيه صالح بن حسان.
وورد فيه حديث آخر رواه الترمذي في سننه قال: حدثنا أبو موسى محمد بن المثنى وإبراهيم بن يعقوب وغير واحد قالوا: حدثنا حماد بن عيسى الجهني: عن حنظلة بن أبي سفيان الجمحي: عن سالم بن عبدالله: عن أبيه: عن عمر بن الخطاب - رضي الله عنه -، قال: كان رسول الله - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - إذا رفع يديْهِ في الدعاءِ لم يحطَّهما حتى يمسحَ بهما وجْهَه. قال محمد بن المثنى في حديثه: لم يردَّهما حتى يمسحَ بهما وجهَه. قال أبو عيسى: هذا حديث صحيح غريب لا نعرفه إلا مِن حديث حماد بن عيسى، وقد تفرد به وهو قليل الحديث، وحنظلة بن أبي سفيان ثقة، وثَّقه يحيى بن سعيد القطان.اهـ ولكن فيه حماد بن عيسى وهو ضعيف وقد تفرد به على ما ذكره الترمذي.
http://www.sahab.com/go/fatwa.php?id=304 .............
ผมไม่มีเวลามากนักแต่ได้ลิ้งไว้ให้แล้ว ประเด็นนี้ มีข้อขัดแย้งเรื่องหะดิษ ผมก็ไม่เคยกล่าวหาว่า คนลูบหน้าตกนรก และไม่อยากโต้เถียงกันให้กระทู้ต้องปิดอีก เพราะพวกคุณได้ประกาศเป็นศัตรูกับผู้ที่พวกคุณเรียกว่า วะฮบีย์ ไปแล้วโดยพฤตินัยที่แสดงออกมา แต่ก็จำเป็น ต้องชี้แจงบ้างเมื่อถูกกล่าวหา
asan เพิ่มเติม
كان رسول الله صلي الله عليه وسلم إذا رفع يديه في الدعاء لم يردهما حتى يمسح بهما وجهه" (الترمذي 5-464
ปรากฏว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมือท่านได้ยกมือทั้งสองของท่าน ในการขอดุอา ท่านจะไม่ดึงมันทั้งสองกลับ จนกว่าท่านจะลูบหน้าของท่านด้วยมือทั้งสอง - รายงานโดย อัตติรมิซีย์
วิจารณ์
قال يحيى بن معين : هو حديث منكر ، وقال أحمد بن حنبل وأبو حاتم والدراقطني : حماد ضعيف
ยะหยา บิน มุอัยยิน กล่าวว่า "เป็นหะดิษมุงกัร (ถูกปฏิเสธ)และอะหมัด บิน หัมบัล อบูหาติม และ อัดดารุ้ลกุฏนีย์ กล่าวว่า ?หะมาด( หมายถึง หะมาด บุตรอีซา) นั้น หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ)- ดู อัลอิละลิลมุตะนาฮียะฮ เล่ม 2 หน้า 357 หะดิษหมายเลข 1406
อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า
إسناده ضعيف
สายสืบของมันเฎาะอีฟ
? ดู คุลาเศาะตุลอะหกาม หะดิษหมายเลข 1522 เล่ม 1 หน้า 461-462
หะดิษข้างต้นเฎาะอิฟ ดู
والحديث ضعفه الألباني في إرواء الغليل رقم ( 433 ) ، وفي ضعيف الترمذي رقم ( 3386 ) 5 / 463 ، وفي ضعيف الجامع رقم ( 4412
.............
عن محمد بن كعب القرظي عن ابن عباس رضي الله عنهما أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال سلوا الله ببطون كفوفكم ولا تسألوه بظهورها فإذا فرغتم فامسحوا بها وجوهكم قال أبو داود روى هذا الحديث من غير وجه عن محمد بن كعب كلها واهية هذا متنها وهو ضعيف أيضا
รายงานจากมุหัมหมัด บิน กะอับ อัลกอรซีย์ จากอิบนิอับบาส (ร.ฎ) ว่า แท้จริง ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า "พวกท่านจงขอต่ออัลลอฮ ด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และอย่าขอพระองค์ด้วย หลังมือแล้วเมื่อเสร็จจากดุอา ก็จงลูบหน้าของพวกท่าน ด้วยมัน ,อบูดาวูด กล่าวว่า ได้มีการรายงานหะดิษนี้ จากสายรายงานอื่น จากมุหัมหมัด บิน กะอฺอับ ซึ่งสานรายงานทั้งหมดนั้นอ่อนหลักฐาน นี้คือ ตัวบทของมัน มันก็เฎาะอีฟอีกเช่นกัน ดู อัลมัจญมัวะ ของอิหม่ามนะวาวีย์ เล่ม 3 หน้า 462-463
................
นูรุ้ลอิสลาม ดีมากคุณอะสัน นำเสนอมาเรื่อย ๆ แล้วรอผมเคลียร์นะ เดี๋ยวพิมพ์ก่อน
asan เอาหะดิษที่เศาะเฮียะ นะคับท่าน ส่วนที่ หลายๆเฎาะอีฟ มารวมกัน เป็นฮะซัน ไม่เอา
..............
ขอเข้านอนก่อน
นูรุ้ลอิสลาม คุณอะสันกล่าวว่า
เอาหะดิษที่เศาะเฮียะ นะคับท่าน ส่วนที่ หลาย ๆ เฎาะอีฟ มารวมกัน เป็นฮะซัน ไม่เอา
ผมขอกล่าวว่า
คุณอะสันต้องการหะดิษซอฮิหฺในกับประเด็นนี้เพื่ออะไรครับ ? เพื่อที่ให้ตนเองยอมรับในเรื่องลูบนี้นะหรือ ? ผมขอบอกเลยนะว่า ผมไม่ต้องการให้คุณอะสันมาร่วมลูบหน้ากับพวกเราด้วยหรอก ดังนั้น สิ่งที่ผมได้นำเสนอหรือจะนำเสนอนั้น ไม่ใช่เพื่อให้คุณอะสันมายอมรับในแนวทางของเรา!! เพราะจะให้เราพูดเท่าไหร่ คุณอะสันก็ไม่เคยเชื่ออยู่แล้ว เพราะว่ามันไม่ใช่ทัศนะของคุณอะสันจะเอา ขนาดสนทนาเรื่องกุนูตและชี้แจงรายละเอียดว่า ซอฮิหฺ แต่คุณอะสันก็ไม่เคยเอา ยกหะดิษเกี่ยวกับการซิกิรร่วมวงที่ซอฮิหฺ คุณอะสันก็ไม่เคยเหลียวแล ดังนั้น จึงเปล่าประโยชน์ ที่จะทำตามเงื่อนไขที่คุณอะสันบอกมาว่าจะเอาหะดิษซอฮิหฺ คุณอะสันไม่ยอมเอาหะดิษฏออีฟมาเป็นปฏิบัติ แต่ เอาหะดิษฏออีฟ มากล่าวหุกุ่มบิดอะฮ์กับแนวทางอื่น ๆ อย่างเช่นหะดิษถึงท่านอิบนุมัสอูดเกี่ยวกับซิกิรล้อมวง
ผมไม่ทราบว่า ทำไมคุณไม่อะสันไม่เอาหะดิษ "หะซัน" ? ทั้งที่การยกมือตักบีรในละหมาดอีด ฟิตริและอัฏหา นั้น ก็เป็นแค่หะดิษ "หะซัน" ที่รายงานโดยท่านอะหฺมัด พอหะดิษหะซันเกี่ยวกับการยกมือตักบีรในละหมาดอีก คุณอะสันเอามาปฏิบัติครับ แต่พอหะดิษหะซันตามหลักวิชาหะดิษ คุณอะสันกลับไม่ยอมรับฟัง ซึ่งไม่เอาไม่เป็นไร แต่ขอให้รับฟัง เพราะของสุนัตนั้น ไม่จำเป็นต้องมีหะดิษซอฮิหฺมารับรอง แต่หะดิษฮะซันก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
และหะดิษ كل بدعة ضلالة وكل ضلالة فى النار "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลงและทุกความลุ่มหลงนั้น อยู่ในนรก" รายงานโดยท่าน ติรมีซีย์ ซึ่งหะดิษนี้ ไม่ซอฮิหฺครับ แต่สูงสุดแค่ระดับ "หะซัน" แต่ที่ผ่านมาทำไมคุณอะสันถึง ชอบยกนักยกหนากับหะดิษนี้ เพื่อจะมาหุกุ่มพี่น้องมุสลิมีนลงนรก ทำไมไม่ถามตนเองบ้างละครับว่า "หะดิษนี้หะซันวุ้ย จะนำมายกอ้างเพื่อให้ลงนรกกับพี่น้องมุสลิมได้วุ้ย" แต่มันถูกอารมณ์ของคุณอะสัน ก็เลยชอบยกแล้วยกอีก อ้างแล้วอ้างอีกว่า "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลงและทุกความลุ่มหลงนั้น อยู่ในนรก" เพราะตรงกับอารมณ์ความใคร่ แต่พอมาถึงเรื่องลูบหน้า หะดิษ "หะซัน" คุณอะสันก็ไม่ยอมรับฟังแล้วครับ แล้วคุณอะสันมันมีจุดยืนอะไรทีเป็นหลักเป็นแหล่งบ้างละครับบบบบ... หรือจะเอาตามที่อารมณ์พาไป ซึ่งแบบนี้ ผมเห็นแล้วว่า คุณอะสันนั้น "ซ่อราน่อง" จริง ๆ
พอฮุกุ่มคนอื่นลงนรกแล้วใช้หะดิษ "หะซัน" แต่เวลาเรื่องที่ตูไม่เอา แม้ระดับถึง "หะซัน" ตูก็ไม่ยอมรับฟัง" นั่นคือ หลักการของคุณอะสัน
นูรุ้ลอิสลาม คุณอะสันกล่าวว่า
นั่นคือทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ และทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอียะฮ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้ตั้งหัวข้อเรื่องที่ว่า
باب رفع اليدين فى الدعاء ثم مسح الوجه بهما
"บทว่าด้วยเรื่องการยกมือทั้งสองในการขอดุอาอ์และทำการลูบหน้าด้วยสองมือนั้น" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 258 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ ในบทดังกล่าวนั้น อิมามอันนนะวาวีย์ได้รายงานหะดิษ ของท่าน อุมัร (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์ จากท่านอิบนุอับบาส ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด ซึ่งการวิจารณ์หะดิษดังกล่าวนั้น ผมไม่ขอยกอ้างอิงมา เพราะว่ายังมีบรรดาหะดิษอีกมากมาย จากท่าน อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุรร๊อซซาก ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ที่เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ขอนำมาหยิบยกมาใน ณ ที่นี้ เนื่องจากเราจะเขียนลงบทความเลยทีเดียว อินชาอัลเลาะ
......................
ตอบ
ได้กลิ่นหะดิษเฏาะอีฟ ท่านอิหม่ามนะวะวีย์วิจารณ์หะดิษที่ท่านระบุอย่างไรหรือครับ
ผมขอกล่าวว่า
คุณอะสันจะรีบร้อนไปใหนละครับ ก็ในเรื่อง อัลอัซฮะรีย์เอง ก็ไม่ได้ต้องการที่จะมาโต้เถียงกับคุณอะสันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าเขาต้องการให้คุณอะสันไปอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องลูบหน้าที่จะถูกนำเสนอโดยนักศึกษาฯ ที่ผ่านมานั้น อัลอัซฮะรีย์วิจารณ์ ดร. มุฮัมมัด สะอฺดีย์ ในกับการอ้างว่า หะดิษยกมือนั้น อุลามาอ์ส่วนมากบอกหะซัน แต่อัลอัซฮะรีย์บอกว่า ไม่ถูกต้อง เพราะว่ามันซอฮิหฺ แต่เวลามาประเด็นของเรื่องลูบหน้าโดยอ้าง หัวข้อบทเรื่องการยกมือแล้วลูบหน้า ที่อิมามนะวาวีย์ ได้ตั้งหัวข้อไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ของท่านนั้น อัลอัซฮะรีย์ ก็ไม่ได้บอกว่าหะดิษนั้นซอฮิหฺ เขาไม่ได้วิจารณ์หะดิษเลย คือหมายถึงเรื่องดังกล่าวนี้ ปล่อยไว้ก่อนไม่อยากสนทนา เพราะจะนำเสนอในเชิงบทความเลย อัลอัซฮะรีย์เขารู้ดีกว่าบังอะสันเสียอีกว่า อิมามนะวาวีย์ได้กล่าววิจารณ์อะไรไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อัลอัซฮะรีย์ก็กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้" ก็แสดงว่า ต้องมีการรวบรวมหะดิษ เพื่อจะทำการวิจารณ์ตามหลักวิชาหะดิษอย่างแท้จริง แต่คุณอะสันก็ดันมาพูดพล่ำเกะกะและนำเสนอทัศนะของตนที่จะเอาต่อไป ผมก็ต้องเข้ามาคุยทัดทานไว้หน่อย ก่อนที่จะคุณอะสันจะตามอารมณ์แต่ที่ตนเองจะเอาที่เป็นอยู่อย่างนี้
การที่เรายกทัศนะมาจากหนังสือของอิมามนะวาวีย์(ร.ฏ.) นั้น เพราะยืนยันในทัศนะของเรา ไม่ใช่มาประเคนให้คุณอะสันร่วมทำกับเราจนให้เราต้องหมองไปด้วยหรอกครับ ดังนั้น เมื่อเราได้ทำการยกทัศนะของอิมาม อันนะวาวีย์ แม้จะมีหะดิษฏออีฟ ท่านอิมามนะวาวีย์ก็ยอมรับในเรื่องการนำมาปฏิบัติในคุณงามความดี เพราะท่านอิมามนะวาวีย์ ได้กล่าวทัศนะของท่านไว้ตั้งแต่ช่วงต้น ๆ หนังสืออัลอัซการแล้วว่า
فصل: قال العلماءُ من المحدّثين والفقهاء وغيرهم: يجوز ويُستحبّ العمل في الفضائل والترغيب والترهيب بالحديث الضعيف ما لم يكن موضوعاً
" บรรดาปวงปราชน์จากนักหะดิษ , ฟิกห์ , และท่านอื่น ๆ กล่าวว่า อนุญาติ และสุนัตให้ปฏิบัติในเรื่องคุณงามความดี การส่งเสริม และทำให้มีความกลัวเกรง ด้วยกับหะดิษฏออีฟ ตราบใดที่มันไม่เป็นหะดิษเมาฏั๊วะ"
นั่นคือทัศนะของอิมามนะวาวีย์ และก็เป็นทัศนะของพวกเรา
เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่คุณอะสันบอกว่าได้กลิ่นหะดิษฏออีฟ นั้น ก็อย่าทำตัวเป็นคนขยะแขยงในหะดิษฏออีฟและผู้ที่มีทัศนะในการปฏิบัติหะดิษฏออีฟได้ตามหลักการของพวกเขา ซึ่งเป็นทัศนะของอุลามาอ์ส่วนมาก
คุณอะสันกล่าวว่า
โดยใช้หลักวิชาการ ไม่ใช่การกล่าวหาและใช้พฤติกรรมที่พยายามทำลายอุลามาอฺ ที่ร้ายแรงที่สุดคือ เอาภาพตัดต่อมาทำลาย ดังกระทู้ที่ถูกปิดไปแล้ว 2 กระทู้ที่ไม่น่าจะมาจากผู้รู้ และที่บังปิดกระทู้ในเวปมรดก ก็เพราะอย่างนี้
ผมขอกล่าวว่า
ที่กระทู้ถูกปิดในเวปมรดกไปนั้น เพราะคุณอะสันไปไม่รอด และเพราะคำพูดหยาบคาย ด้วยคำว่า หมา เปรต เอาสัตว์มาพูดเปรียบเปรย (ขอโทษท่านผู้อ่านที่เอ่ยคำนี้ที่คุณอะสันเคยพูดออกมา) ก็เลยต้องปิดกระทู้ ด้วยมารยาทของวะฮาบีย์เอง และกระทู้กุนูตและตัลกีน ก็ถูกลบ เพราะอะไรครับคุณอะสัน เพราะมันมีน้ำหนักที่ไปคัดค้านทัศนะของวะฮาบีย์ใช่ไหม ? และกระทู้ที่ถูกปิดของคุณอะสันนั้น เพราะทำลายอุลามาอ์ อยากถามหน่อยว่า อุลามาอ์คนใหนที่พวกเราทำลาย ? หรือหมายถึง นายมุรีด ที่ฮุกุ่มคนทำเมาลิดลงนรกนะหรือครับ ฮ่า ฮ่า นั่นไม่ใช่อุลามาอ์ แต่แอบอ้าง คุณอะสันทำหรอย ที่อ้างว่าปิดกระทู้ประเหตุผลนั้น เหตุผลนี้ แต่ทีประเด็นที่ตนเองโดนวิจารณ์ละก็ ลบเฉยเลยครับ เพราะกลับอับอาย ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องมาสาธยายหลอกคนอ่านหรอกครับคุณอะสัน แหม...ยังไงนักศึกษาฯ ก็สนทนารู้ใส้รู้พุงคุณอะสันหมดแล้ว จะแก้ตัวอย่างไรก็ไปไม่รอดหรอก น่ะจะบอกให้
คุณอะสันกล่าวว่า
อยากจะเรียนว่า ไม่มีสักประโยคเดียวที่ผมกล่าวหาว่า ผู้ที่ลูบหน้าตกนรก นะน้อง เพียงแต่หะดิษเฎาะอีฟ เราไม่เอามาเป็นหลักฐาน ส่วนที่ว่า หะซันนั้น รู้นะจะอ้างอิบนุหะญัรใช่ไหม
ผมขอกล่าวว่า
ผมก็ไม่ได้บอกว่า คุณอะสันหุกุ่มว่าการลูบหน้าตกนรกนี่ครับ แต่ผมเพียงพูดแบบรวม ๆ ว่า บิดอะฮ์ศาสนาตามทัศนะของคุณอะสันนั้น ลุ่มหลง และตกนรก ใช่ป่ะ ? หรือว่ามีบิดอะฮ์ของคุณอะสันประเภทที่ไม่ตกนรกด้วย? หากมีก็ช่วยบอกผมด้วย เพราะจะได้รู้ไงว่า วะฮาบีย์นั้น มันมีบิดอะฮ์ศาสนาแบ่งออกเป็นสองอีก คือบิดอะฮ์ที่ตกนรก และบิดอะฮ์ที่ไม่ตกนรก แล้วคุณอะสันมีทัศนะหรือไม่ว่า การปฏิบัติหะดิษฏออีฟนั้นเป็นบิดอะฮ์ ? ถ้าไม่เป็นบิดอะฮ์ก็เงียบไปซ่ะ แต่ถ้าเป็นบิดอะฮ์ ผมอยากถามว่า บิดอะฮ์ศาสนาหรือไม่ ? แล้วหากเป็นบิดอะฮ์ศาสนาตามทัศนะของคุณอะสัน แล้วล่มหลงหรือไม่? และหากว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง ผมอยากถามว่าบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงตกนรกหรือไม่ ? โปรดตอบตามหลักการที่คุณอะสันยึดก็แล้วกันนะครับ
วิจารณ์หะดิษเรื่องการลูบหน้า
เรื่องการลูบหน้าหลังดุอาอ์นั้น เราผู้อยู่มัซฮับทั้งสี่ ขอบอกว่า ไม่มีหะดิษซอฮิหฺที่มาระบุในเรื่องนี้ แต่ดีสุดก็แค่ระดับ "หะซัน" ตามหลักการนักหะดิษและวิชาหะดิษ ความจริงผมเองก็อยากที่จะนำเสนอหะดิษฏออีฟต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อมาชี้แจงต่อท่านทั้งหลาย เพื่อให้รู้ว่าฏออีฟอย่างไร และอย่างไรถึงอยู่ในระดับหะดิษหะซันได้ แต่ผมก็ให้คุณอะสันนำเสนอ เพื่อทุ่นแรงได้เยอะเลยนะครับ ก็ดีเหมือนกัน คุณอะสันจะได้ความรู้ไปด้วย ดังนั้น หะดิษหะซัน สามารถนำมาปฏิบัติด้วยโดยไม่มีการขัดแย้งกันเลยครับ
ท่าน อัศศ๊อนอานีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ สุบุลุสสลาม ซึ่งเป็นหนังสือ อธิบายหนังสือ บุลูฆุลมะรอม ของท่าน อัลหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ว่า
وأما مسح اليدين بعد الدعاء فورد فيه الحديث الأتى :
عن عمر رضى الله عنه قال : كان رسول الله صلى الله عليه وسلم إدا مد يديه فى الدعاء لم يردهما حتى يمسح بهما وجهه . أخرجه الترمدى
وله الشواهد منها :
حديث ابن عباس رضى الله عنهما عند أبى داود ، وغيره ، ومجموعها يقضى بأنه حديث حسن .
ความว่า "และสำหรับการเอาสองมือลูบ(ใบหน้า)หลังดุอาอ์นั้น ได้มีหะดิษระบุมาดังนี้
(ท่านอิบนุหะญัรได้นำเสนอรายงานว่า " รายงานจากท่านอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ท่านกล่าวว่า เมื่อท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้ยื่นสองมือทั้งสองในการขอดุอา ท่านจะไม่เอามือทั้งสองของท่านกลับลงมา จนกระทั้งท่านได้เอามือทั้งสองลูบใบหน้าของท่าน" นำเสนอรายงานโดย ท่านอัตติรมีซีย์
(ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัศเกาะลานีย์ได้วิจารณ์หะดิษดังกล่าวว่า) และให้กับหะดิษนี้ มีหลายหะดิษที่มาสนับสนุน ส่วนหนึ่งก็คือ หะดิษของท่านอิบนุอับบาส (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด และท่านอื่น ๆ โดยที่บรรดาหะดิษที่มาสนับสนุนที่ถูกประมวลไว้แล้วนั้น สามารถตัดสินได้ว่า หะดิษลูบหน้านั้น เป็นหะดิษหะซันحديث حسن (หะดิษดี) " ดู หนังสือ สุบุสสลาม เล่ม 4 หน้า 708 หรือหะดิษที่ 1463 ที่ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าวรายงานและวิจารณ์เอาไว้
และอีกส่วนหนึ่งจากหะดิษที่มาสนับสนุนนั้น คือหะดิษที่ท่าน อบูดาวูด ที่ได้ทำการรายงานจาก
السائب بن يزيد عن أبيه : أن رسول الله صلى الله عليه وسلم كان ادا دعا فرفع يديه ، مسح وجهه بيديه . وفيه ابن لهيعة
รายงานจากท่าน อัสสาอิบ บิน ยะซีด จากบิดาของเขา ว่า "แท้จริง เมื่อท่านร่อซุลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้ขอดุอาอ์ ท่านจะยกมือทั้งสอง แล้วเอามือทั้งสองขอท่านลูบที่ใบหน้า" ซึ่งในหะดิษนี้ มีนักรายงานที่ชื่อ อิบนุละฮีอะฮ์ / ดู หนังสือ อิบานะฮ์ อัลอะหฺกาม ชัรหฺ บุลูฆุลมะรอม เล่ม 4 หน้า 430 ของท่าน ชัยค์ อับดุสลาม อัลลูช . ซึ่งท่านอิบนุละฮีอะฮ์นั้นไม่ถึงระดับเป็นผู้ความจำดีเลิศและถูกวิจารณ์จากนักหะดิษ และถ้าหากว่าเราได้อ่านหนังสือหะดิษ "อัลมัจญฺมะอ์ อัซซะวาอิด" ของท่าน นูรุดดีน อัลฮัยษะมีย์ เราจะพบว่าท่าน อัลฮัยษะมีย์จะกล่าววิจารณ์ อิบนุละฮีอะฮ์ว่า إبن لهيعة حسن الحديث (อิบนุละฮีอะฮ์นั้น หะดิษดี)
ท่านอัลหากิม ได้รายงาน จากท่านอิบนุอับบาสว่า
إدا سألتم الله فأسألوه ببطون أكفكم ولا تسألوه بظهورها وامسحوا بها وجوهكم
"เมื่อพวกท่านวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น พวกท่านจงขอพระองค์ด้วยท้องฝ่ามือของพวกท่าน โดยอย่าขอด้วยหลังมือ และพวกท่านจงลูบใบหน้าด้วยมือของพวกท่าน" ดู อัลมุสติดร๊อก อะลา อัศศ่อฮีฮัยน์ ของท่าน อัลหากิม เล่ม 1 หน้า 719 - 720 และท่านอัซซะฮาบีย์ได้นิ่งจากการวิจารณ์มัน
ท่านอิมาม อัสสะยูฏีย์ (ร.ฮ.) ได้นำเสนอรายงานเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า
إدا سألتم الله فأسألوه ببطون أكفكم ولا تسألوه بظهورها { د } عن مالك بن يسار السكوفى {هـ طب ك } عن ابن عباس ، وزاد {وامسحوا بها وجوهكم } {ح}
" เมื่อพวกท่านวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น พวกท่านจงขอพระองค์ด้วยท้องฝ่ามือของพวกท่าน โดยอย่าขอด้วยหลังมือ (รายงานโดยอบูดาวูด) จาก มาลิก บิน ยะซาร อัสสะกูฟีย์ (รายงานโดย อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัฏฏ๊อบรอนีย์ และท่านอัลหากิม) จากท่านอิบนุอับบาส และ(ท่านอัลหากิม) เพิ่มมาว่า (และพวกท่านจงลูบใบหน้าด้วยมือของพวกท่าน) ( อิมาม อัสสะยูฏีย์กล่าวว่า หะดิษนี้ เป็นหะดิษหะซัน) " คืออักษร {ح} ตามทัศนะของท่านอิมาม อัสสะยูฏีย์นี้ หมายถึง "หะดิษหะซัน" / ดู หนังสือ ฟัยฏุล ก่อดีร ของท่าน อัลมุนาวีย์ ซึ่งอธิบายหนังสือหะดิษ อัลญาเมี๊ยะอฺ อัศศ่อฆีร ของท่านอิมาม อัสสะยูฏีย์ เล่ม 1 หน้า 473
ท่าน อับดุรร๊อซซฺาก ได้กล่าวรายงานไว้ในหนังสือ อัลมุซันนัฟ ในบทที่ว่าด้วยเรื่อง การที่ชายคนหนึ่งได้ลูบหน้าของเขาเมื่อขอดุอา" ของท่านว่า
عبد الرزاق عن ابن جريح عن يحيي بن سعيد أن ابن عمر يبسط يديه مع القاص ، ودكروا أن من مضى كانوا يدعون ثم يردون أيديهم على وجوههم ليردوا الدعاء والبركة
" อัรร๊อซซฺาก ได้รายงาน จาก อิบนุ ญุรีจญฺ จาก ยะหฺยา บิน สะอีด ว่า แท้จริง ท่านอิบนุอุมัร ได้ทำการแผ่มือทั้งสองของท่านขึ้น พร้อมกับนักสุนทรพจน์ และพวกเขากล่าวว่า แท้จริง มันนานมาแล้วที่ พวกเขา(ซอฮาบะฮ์) ได้ทำการขอดุอาอ์ และพวกเขาเอามือไปลูบบนใบหน้าของพวกเขา เพื่อให้การวอนขอและความสิริมงคลกลับมา(สู่ใบหน้า)" ดู หนังสือ อัลมุซันนัฟ ของท่าน อับดุรร๊อซซฺาก เล่ม 2 หน้า 164 ตีพิมพ์ที่ ดารุลกุตุบ อัลอิลมียะฮ์
ท่านอับดุรร๊อซซฺากได้กล่าวอีกว่า
قال عبد الرزاق : رأيت أنا معمرا يدعو بيديه عند صدره ، ثم يرد يديه فيمسح وجهه
"อับดุรร๊อซซฺาก กล่าวว่า ฉันเห็น ท่านมะอฺมัร ทำการขอดุอาด้วยมือของเขา ที่วางไว้ระดับอก หลังจากนั้น เขานำสองมือกลับมา แล้วลูบที่ใบหน้าของเขา" ดู หนังสือ อัลมุซันนัฟ ของท่าน อับดุรร๊อซซฺาก เล่ม 2 หน้า 164 ตีพิมพ์ที่ ดารุลกุตุบ อัลอิลมียะฮ์
ท่านอัศศ๊อนอานีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า
"ในหะดิษนี้ เป็นหลักฐานที่ชี้ถึง การมีบัญญัติให้ทำการลูบหน้าด้วยสองมือ หลังจากเสร็จสิ้นการขอดุอาอ์ มีการกล่าวว่า มันเสมือนกับเป็นความประจวบเหมาะ ที่อัลเลาะฮ์ ตะอาลา ไม่ทรงทำให้มือทั้งสองของผู้ขอดุอาอ์ว่างเปล่า ซึ่งเสมือนกันเราะฮ์มะฮ์ความเมตตาได้ประสบกับมือทั้งสอง(ที่ทำการวอนขอ) ดังนั้น จึงประจวบเหมาะที่ดังกล่าวจะแผ่คลุมถึงใบหน้า ที่เป็นอวัยวะอันมีเกียตริที่สุด และเหมาะสมยิ่งในการให้เกียรติ " ดู หนังสือ สุบุสสลาม เล่ม 4 หน้า 708
นั่นคือทัศนะของเราครับ