ผู้เขียน หัวข้อ: การลูบหน้าหลังจากดุอา  (อ่าน 6335 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การลูบหน้าหลังจากดุอา
« เมื่อ: ก.พ. 16, 2007, 05:13 AM »
0

[color=green]yoob[/color]

จะขอสอบถามว่า..หลังจากขอดุอาแล้วต้องนำมือมาลูบหน้าด้วยหรือเปล่า..เห็นคนเขาทำกันมาก..

i'm somebody

ได้เข้ามาอ่านคนแรก แต่คำตอบ รอคนหลังแล้วกัน

asan

وقال العز بن عبد السلام : :[ لا يمسح وجهه بعد الدعاء إلا جاهل ] .
وفى أذكار النووى عن رفع اليدين ومسح الوجه ثلاثة أوجه للشافعية أصحها استحباب الرفع وعدم مسح الوجه ، والثانى الرفع والمسح والثالث عدم الاثنين .‏
فالمسألة خلافية والراجح فيها ألا يمسح الإنسان وجهه بعد الدعاء.
อัลอิซซุ บุตร อับดิสสลาม กล่าวว่า (จะไม่ลูบหน้าของเขา หลังจากอ่านดุอา นอกจาก ผู้ที่อวิชา) และในอัซการ ของอิหม่ามนะวาวีย์ ได้ระบุเกี่ยวกับการยกมือทั้งสองและลูบหน้า สำหรับทัศนะอุลามาอฺมัซฮับชาฟิอี ไว้สามแนวทางด้วยกัน คือ
1. ที่ถูกต้องที่สุดคือ ชอบให้ยกมือ และไม่มีการลูบหน้า
2. ยกมือและลูบหน้า
3.ไม่ทั้งสอง(ไม่ยกมือและไม่ลูบหน้า)
ดังนั้นประเด็นปัญหานี้ มีข้อขัดแย้งกันอยู่ และที่มีน้ำหนักที่สุดใน ประเด็นนี้คือ ผู้คนจะไม่ลูบหน้าของเขา หลังจากขอดุอา
http://www.islamonline.net/livefatwa/arabic/Browse.asp?hGuestID=fc35gG

al-azhary

บังอะสันครับ ประเด็นนี้ ผมได้เห็นมานานแล้วจากเวปบังอะสัน ซึ่งเราจะเคราะห์หลักฐานให้นะครับ ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกถอดมาเป็นภาษาไทย เพราะคงยังเป็นภาษาอาหรับอยู่ ยังไงก็ฟังบังอะสันไปพลาง ๆ น่ะ

อานิสฟาร์ร่า ต่วนกูอิดริส

ไม่ต้องอะไรทั้งน๊าน ตั้งใจขอดุอาอ์......................

al-azhary

بسم الله والحمد لله والصلاة والسلام على رسول الله


هل مسح الوجه باليدين بعد الدعاء هل هو مخالف لسنة رسول الله صلى اله عليه وسلم

بارك الله فيكم السؤال بسم الله والحمد لله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد :
مجموع الأحاديث التي وردت في رفع اليدين عند الدعاء جعلت العلماء يحكمون عليها بالحسن، والشافعية أباحوا مسح الوجه في رواية ، وكرهوه في روايتين.
والجمهور على أنه لم يصح المسح للوجه بعد الدعاء، وإن أباحه البعض.
قال ابن تيمية : " وأما مسح وجهه بيديه فليس عنه فيه إلا حديث أو حديثان لا يقوم بهما حجة ".
وقال العز بن عبد السلام : :[ لا يمسح وجهه بعد الدعاء إلا جاهل ] .
وفى أذكار النووى عن رفع اليدين ومسح الوجه ثلاثة أوجه للشافعية أصحها استحباب الرفع وعدم مسح الوجه ، والثانى الرفع والمسح والثالث عدم الاثنين .‏
فالمسألة خلافية والراجح فيها ألا يمسح الإنسان وجهه بعد الدعاء.
والله أعلم.

http://www.islamonline.net/livefatwa/arabic/Browse.asp?hGuestID=fc35gG

--------------------------

นี่คือฟัตวาที่สมบูรณ์จากเวปไซท์อิสลามออนไลน์ที่บังอะสันก๊อบอ้างอิงตรงที่ตนเองจะเอาหรือตรงที่เข้ามาอารมณ์นัฟซูของตนเอง ที่ว่า บิดอะฮ์ในการเอาสองมือลูบหน้าหลังจากดุอาอ์แล้ว พอดีบังอัลฟารูกบอกให้ผมเข้ามาชี้แจงแบบสรุปเกี่ยวกับประเด็นการลูบหน้านี้นะครับ เพื่อจะไม่ให้ผู้อ่านหลงกลกับการนำเสนอแบบอัคติของบังอะสัน ประเด็นเรื่องการลูบหน้านี้ เราจะทำการเขียนบทความเป็นเอกเทศเพื่อลงไปเวปไซท์นักศึกษาฯ ก่อนรอมะฏอนและทำการปรับปรุงไหม่ต่อไป

ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำการวิจารณ์แบบสรุปกับคำฟัตวากับบังอะสัน หรือจากผู้ทำการฟัตวา คือ ดร.มุฮัมมัด สะดีย์ ดี งั้นผมวิจารณ์ชี้แจงโดยรวมเลยละกันครับ

ท่าน ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวเริ่มต้นว่า

مجموع الأحاديث التي وردت في رفع اليدين عند الدعاء جعلت العلماء يحكمون عليها بالحسن

"ประมวลบรรดาหะดิษต่า ง ๆ ที่รายงานมาเกี่ยวกับการยกมือในขณะดุอาอ์นั้น บรรดาอุลามาอ์ตัดสินว่า หะสัน"

วิจารณ์

ผมไม่ทราบว่าอุลามาอ์ใดกันที่หุกุ่มว่าเป็นหะดิษหะซัน เพราะว่าการยกมือในขณะดุอาอ์นั้น เป็นหะดิษมุตะวาติรในด้านความหมาย และยังคงความซอฮ์อย่างไม่ต้องสงสัย (รายละเอียดในบทความที่จะมีขึ้นครับ)

ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวฟัตวาว่า

والشافعية أباحوا مسح الوجه في رواية ، وكرهوه في روايتين

"และบรรดาอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์นั้น อนุญาติให้ทำการลูบหน้าในสายรายงานหนึ่ง และถือว่ามักโระฮ์ในสองสายรายงาน"

วิจารณ์

คำกล่าวนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากผู้ถาม ได้ถามเรื่องการลูบหน้าหลังขอดุอาอ์ปกติ แต่ท่าน ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ นำมาทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์เกี่ยวกับการลูบหน้าใน การอ่านดุอาอ์กุนูตในละหมาดซุบฮิมานำเสนอ ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลยครับ เพราะว่ามัซฮับชาฟีอียะฮ์นั้น ถือว่าการลูบหน้าตอนอ่านกุนูตเสร็จนั้นถือว่าเป็นมักโระฮ์ และพวกเราก็ไม่ทำการลูบหน้าอยู่แล้ว ดังนั้น การเอาประเด็นลูบหน้าในดุอาอ์กุนูตละหมาดซุบฮิ มาโยงประเด็นเกี่ยวกับดุอาอ์ปกตินั้น ถือว่าไม่ถูกต้องและเป็นการทำให้สับสนเกี่ยวกับหุกุ่มศาสนา และอ้างทัศนะมัซฮับชาฟิอียะฮ์อย่างไม่ถูกต้อง

ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวฟัตวาว่า

والجمهور على أنه لم يصح المسح للوجه بعد الدعاء، وإن أباحه البعض.
قال ابن تيمية : " وأما مسح وجهه بيديه فليس عنه فيه إلا حديث أو حديثان لا يقوم بهما حجة

"อุลามาอ์ส่วนมากบอกว่า ใช้ไม่ได้ โดยการลูบหน้าหลังจากดุอาอ์ และส่วนหนึ่งบอกว่าอนุญาติ ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า "สำหรับการลูบหน้าด้วยสองมือของเขานั้น ไม่ได้มีรายงานจากมันเลยเกี่ยวกับประเด็นนี้ นอกจากหนึ่งหะดิษ หรือสองหะดิษ ที่ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้"

วิจารณ์

ประเด็นที่ผู้ถาม ๆ นั้น ลูบหน้าได้หรือไม่? ไม่ใช่บอกว่า "ลูบหน้าแล้วดุอาอ์ใช้ได้ไหม?" แล้วญุมฮูร อุลามาอ์ส่วนมากที่บอกว่าลูบหน้าใช้ไม่ได้นั้น คืออุลามาอ์ส่วนมากท่านใด?" ทั้งที่ความจริงแล้ว อุลามาอ์ส่วนมากมีทัศนะว่าอนุญาติให้ทำการลูบหน้าได้ !!!
การที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์(ร่อฮิมะหุลลอฮ์) กล่าวว่า มีเพียงแค่ หนึ่งหรือสองหะดิษที่ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าหะดิษมีแค่ หนึ่งหรือสองหะดิษตามคำกล่าวนั้นเสมอไป ซึ่งหากเราไปดูตำราหะดิษที่พูดเกี่ยวกับลูบหน้า เราจะพบว่าได้รายงานโดยนักหะดิษมากมาย เช่นท่าน อัตติรมีซีย์ ท่านอบูดาวูด ท่านอิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุร๊อรซาก ท่านอิบนุอบูชัยบะฮ์ ซึ่งมีหะดิษและร่องรอยจากซอฮาบะฮ์มากมายที่รายงานเอาไว้ และเราจะทำการวิจารณ์หะดิษเหล่านั้น ตามหลักวิชาหะดิษ ซึ่งเราไม่สามารถนำมาเสนอใน ณ ที่นี้ได้

ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวฟัตวาว่า

وفى أذكار النووى عن رفع اليدين ومسح الوجه ثلاثة أوجه للشافعية أصحها استحباب الرفع وعدم مسح الوجه ، والثانى الرفع والمسح والثالث عدم الاثنين .‏

"ได้ระบุไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ของอิมาม อันนะวาวีย์ จากเรื่องการยกสองมือและลูบหน้า ซึ่งมีสองทัศนะสำหรับมัซฮับชาฟิอียะฮ์ ที่ชัดเจนที่สุดคือ สุนัตให้ยกมือแต่ไม่ต้องลูบหน้า (สอง)ให้ยกมือและลูบหน้า (สาม) ไม่ต้องยกมือและไม่ต้องลูบหน้า"

วิจารณ์

ซุบหานัลลอฮ์!! มันคนละเรื่องกันเลยครับ ท่านดร. มุฮัมมัด สะดีย์ ได้นำเรื่องประเด็นการยกมือและลูบหน้าที่เฉพาะเกี่ยวกับเรื่องกุนูต มาเกี่ยวโยงกับการ ดุอาอ์ทั่วไป ๆ ซึ่งมัซฮับชาฟิอียะฮ์ถือว่า สุนัตให้ทำการขอดุอาอ์โดยยกมือและทำการลูบหน้าในช่วงท้ายของดุอาอ์ แบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องในการฟัตวา และอ้างอิงไปยังมัซอับชาฟิอียะฮ์
เรามาดูต้นฉบับจริง ที่อิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวว่า

فصل : إختلف أصحابنا فى رفع اليدين فى دعاء القنوت ومسح الوجه بهما على ثلاثة أوجه ( أصحها ) أنه يستحب رفعهما ولا يمسح الوجه (و الثانى ) يرفع ويمسحه (والثالث) لا يمسح ولا يرفع

"บทย่อยหนึ่ง บรรดาอุลามาอ์ของเรา(ชาฟิอียะฮ์) ได้มีการขัดแย้งกันในเรื่อง การยกสองมือในดุอาอ์กุนูต และลูบหน้า บนสามทัศนะด้วยกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือ สุนัตให้ยกมือแต่ไม่ต้องลูบหน้า (สอง)ให้ยกมือและลูบหน้า (สาม) ไม่ต้องยกมือและไม่ต้องลูบหน้า" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 2 หน้า 310 - 311 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ

จากตรงนี้ เราจะพบว่า ท่าน ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ ปกปิดคำว่า فى دعاء القنوت "ในเรื่องดุอาอ์กุนูต" แล้วเอาไปเหมารวมกับดุอาอ์ทั่ว ๆ ไป แบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องและอ้างถึงมัซฮับชาฟิอียะฮ์โดยไร้ความจริง

ตามทัศนะของ มัซฮับชาฟิอียะฮ์ จริง ๆ นั้น ถือว่าสุนัติให้ทำการขอดุอาอ์ยกมือทั้งสองข้างและทำการลูบหน้าในช่วงท้ายของดุอาอ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์(ร.ฏ.) เอง ก็ได้กล่าวหุกุ่มนี้ไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ที่ท่าน ดร.มุฮัมมัด สะดีย์ อ้างมาเช่นกันว่า

أداب الدعاء عشرة الأول .........................(الثالث) إستقبال القبلة ورفع اليدين ويمسح بهما وجهه فى أخره

"บรรดามารยาทการขอดุอาอ์มี 10 ประการ หนึ่ง.......................(สาม) หันหน้าไปทางกิบละฮ์ ยกมือทั้งสอง และลูบหน้าด้วยมือทั้งสอง ในตอนท้ายของอุดาอ์" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 246 - 247 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ
นั่นคือทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ และทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอียะฮ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้ตั้งหัวข้อเรื่องที่ว่า

باب رفع اليدين فى الدعاء ثم مسح الوجه بهما

"บทว่าด้วยเรื่องการยกมือทั้งสองในการขอดุอาอ์และทำการลูบหน้าด้วยสองมือนั้น" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 258 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ ในบทดังกล่าวนั้น อิมามอันนนะวาวีย์ได้รายงานหะดิษ ของท่าน อุมัร (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์ จากท่านอิบนุอับบาส ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด ซึ่งการวิจารณ์หะดิษดังกล่าวนั้น ผมไม่ขอยกอ้างอิงมา เพราะว่ายังมีบรรดาหะดิษอีกมากมาย จากท่าน อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุรร๊อซซาก ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ที่เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ขอนำมาหยิบยกมาใน ณ ที่นี้ เนื่องจากเราจะเขียนลงบทความเลยทีเดียว อินชาอัลเลาะฮ์

ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวฟัตวาว่า

وقال العز بن عبد السلام : :[ لا يمسح وجهه بعد الدعاء إلا جاهل ]

"ท่าน อัลอิซซฺ บิน อับดุสลาม กล่าวว่า จะไม่ลูบหน้าของเขาหลังจากดุอาอ์ นอกจากผู้ที่โง่เขลา"

วิจารณ์

นั่นคือทัศนะของท่านอิบนุอับดุสสลาม (ร.ฮ.) ที่วะฮาบีย์ชอบนำมาใช้โพทนาเพราะตรงกับที่ตนจะเอา ซึ่งคำกล่าวของท่าน อิบนุ อับดุสลามนี้ ท่านอิบนุอะลาล (ร.ฮ.) ได้กล่าววิจารร์ไว้ว่า

العمل على قضية هذه الأخبار خلفا عن سلف قال فى السلاح وقول بعض العلماء فى فتاويه : ولا يمسح وجهه بيديه عقب الدعاء إلا جاهل ، محمول على أنه لم يطلع على هذه الأحاديث

"การปฏิบัติต่อกรณีของบรรดาหะดิษ(ลูบหน้า)นี้ คือการกระทำของคอลัฟที่รับสืบทอดจากสะลัฟ ซึ่งได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัศศิลาห์ และอุลามาอ์บางส่วน( เช่นท่าน อิซซุดดีน บิน อับดุสลาม) ที่กล่าวไว้ในฟัตวาของเขาว่า "จะไม่ทำการลูบหน้าของเขาด้วยมือทั้งสอง ถัดจากดุอา นอกจากผู้ที่โง่เขลา" ซึ่งถูกตีความว่า ท่านอุลามาอ์ท่านนั้น ไม่ได้รู้ถึงบรรดาหะดิษเหล่านี้" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 258 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ

สรุป

ฟัตวานี้ บังอะสันนำไปใช้ในหลาย ๆ เวปแล้วครับ บังอะสันชอบอ้างว่า ต้องเจริยตามนบี อย่างตักลีด เพราะอิมามทั้งสี่ไม่ได้ใช้ตักลีด แต่บังอะสันตักลีดตามฟัตวาของ ดร. มุฮัมมัด สะอีย์ แบบตาบอดอย่างเห็น ๆ โดยไม่รู้อะไรเป็นอะไร หากเข้าทางตนละก็ เอาลูกเดียวไม่สนใจแล้วว่าจะถูกต้องหรือไม่ ? ว่าแต่เขา แต่บังอะสันเป็นเองเสียแล้ว ได้ข่าวว่ามีหนังสืออาจารย์วะฮาบีย์ท่านหนึ่ง ได้เขียนเกี่ยวกับการลูบหน้า ที่ทำการโฆษณาไว้ในเวปมุรีด หากเราได้มาสักเล่ม คงจะนำมาวิจารณ์และนำความจริงมาตีแผ่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ ใครสมัครใจส่งข้อมูลมาให้เรา จักขอบคุณล่วงหน้าและขออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทน ยาร๊อบ...

อานิสฟาร์ร่า ต่วนกูอิดริส

เรามาดุอาอ์ขอให้ชาวเลบานอลปลอดภัยกันเถิดนะคะ เรามาดุอาอ์ให้อิสลามห่างไกลการถูกกดขี่ข่มเหงของคนกาฟิร....ดุอาอ์ให้เราเป็นบ่าวที่ดีกันเถิดนะ

asan

อัลอัซฮารีย์ประนามว่า
แต่บังอะสันตักลีดตามฟัตวาของ ดร. มุฮัมมัด สะอีย์ แบบตาบอดอย่างเห็น ๆ โดยไม่รู้อะไรเป็นอะไร
...........
ตอบ
อินชาอัลลอฮ จะมาชี้แจง ตอนนี้ ไม่ว่าง เพราะสอนเด็ก แต่ ผู้กล่าวหาลองยกหะดิษเศาะเฮียะมาให้ชม สักบทก็ยังดี ผมตอบคำถามของน้องเขา โดยไม่ได้พาดพิงถึงใคร แล้วทำไมต้องมากล่าวหากัน ให้เกิดฟิตนะฮอีก อินชาอัลลอฮ คืนนี้ จะชี้แจง
...........
วัสสลาม

asan

ขอนำเสนอฟัตวา เช็คอุษัยมีน ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ไปพลางๆก่อน

فالذي أرى في مسح الوجه باليدين بعد الدعاء أنه ليس بسنة ، والنبي صلى الله عليه وسلم كما هو معروف دعا في خطبة الجمعة بالاستسقاء ورفع يديه ، ولم يرد أنه مسح بهما وجهه ، وكذلك في عدة أحاديث جاءت عن النبي صلى الله عليه وسلم أنه دعا ورفع يديه ولم يثبت أنه مسح وجهه " انتهى . "مجموع فتاوى ابن عثيمين" (14/ السؤال 781

ดังนั้น ในการลูบหน้าด้วยมือทั้งสอง หลังจากดุอานั้น ไม่ใช่สุนนะฮ โดยที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังเป็นที่รู้กัน ว่า ท่านดุอาขอฝนและยกมือทั้งสองของท่าน ในคุฏบะฮญุมอัต และไม่ปรากฏรายงานว่า ท่านได้ใช้มือทั้งสองลูบหน้า และในทำนองเดียวกันนั้น มีหะดิษหลายบทรายงานมาจากท่านนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่าท่านได้ขอดุอาและยกมือทั้งสองของท่าน โดยที่ไม่มีรายงานยืนยันว่า ท่านได้ลูบหน้าของท่าน - ดูมัจญมัวะฟะตาวา อิบนุอุษัยมีน เล่ม 14 คำถามหมายเลข 781
.................
น้องal-azhary คงจะไม่เดือดพล่าน ถึงกับใช้ถ้อยคำประนาม คนที่มีทัศนะต่างกับตนอีก เป็นครั้งที่สอง อินชาอัลลอฮ เรื่องนี้ จะให้รายละเอียดให้พี่น้องได้อ่านในโอกาสต่อไป

asan

ولمَّا كان الدعاءُ عبادةً مشروعة، ولم يثبت في مسح الوجهِ بالكفيْن عَقِبه سُنة قولية أو عملية، بل روي ذلك مِن طرق ضعيفة؛ فالأولى تركه؛ عملاً بالأحاديثِ الصحيحةِ التي لم يُذكر فيها المسح

และในเมื่อปรากฏว่า การขอดุอานั้น เป็นอิบาดะฮ ที่ถูกบัญญัติไว้ และไม่ปรากฏรายงานยืนยัน ที่เป็นสุนนะฮเกาลียะฮ(สุนนะฮที่เป็นคำพูด)หรือ สุนนะฮเฟียะลียะฮ(สุนนะฮในการกระทำ)ในการลูบหน้า ด้วยฝ่ามือ หลังจากอ่านดุอา แต่ทว่า ดังกล่าวนั้นได้มีรายงานจากหลายกระแสด้วยกัน ที่เฎาะอีฟ ดังนั้น ที่ดีที่สุด คือ ให้ละทิ้งมัน เป็นการปฏิบัติตามหะดิษเศาะเฮียะที่ไม่ระบุการลูบ(หน้า)ในนั้น
- ฟัตวาคณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยวิชาการและการตอบปัญหา (ประเทศสะอุดีอารเบีย)
http://www.sahab.com/go/fatwa.php?id=304
...........
อินชาอัลลอฮมีต่อ ตอนนี้ ขอทำงานเลี้ยงครอบครัวก่อน

IRF

อุละมาอฺซุนนะฮฺ แนวสลัฟในเมืองไทย บางท่านก็มีทัศนะว่าให้ลูบหน้า เช่น เชค อาลี อีซา ..และลูกศิษย์ลูกหา ชมรมอัซซะละฟิยูน (บางท่าน) แต่โดยมากก็มีทัศนะว่าไม่ลูบหน้า

คนตั้งกระทู้แต่ละคน ตั้งประเด็นชวนเหนื่อยใจทั้งน้าน! ..แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านอยากรู้จริงๆ เดี๋ยวผมจะต้องหาเวลาเข้ามาชี้แจงหะดีษที่มีบอกให้ลูบหน้า
ซึ่งมี ฎออีฟ, ฎออีฟญิดดัน ไม่สามารถนำมารวมให้ซอเฮี้ยะฮฺได้ (ถ้าฎออีฟ+ฎออีฟ หลายๆอันก็รวมเป็นหะซันได้) แต่แน่นอนฝ่ายที่ไม่อยากเลิกทำก็ต้องบอกว่าหะดีษนี้ใช้ได้ครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้พบว่ามีผู้เริ่มทำตั้งแต่สมัยสลัฟ ดังนั้นก็คงไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่จะต้องมาตำหนิกัน

ในสายซุนนะฮฺเมืองไทยเอง เดิมเดิ๊ม ก็มีการลูบหน้ากัน แต่ปรากฏว่าต่อมา ก็ยอมรับในเรื่องหะดีษ แล้วเขาก็เลิกทำ และนี่คือตัวอย่างของคนที่เป็นซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ตัวจริง
กล่าวคือพอพบทัศนะใหม่ที่ดีกว่าหรือแข็งกว่า ตัวเขาเองก็เปลี่ยนทัศนะทันที โดยไม่ยึดติดในของที่ตนทำอยู่ (นี่คือคุณสมบัติที่อุละมาอฺสายเชือกซุนนะฮฺเขามีอยู่ด้วยเช่นกัน)

ผมเองในสมัยที่เป็นสายตอรีกัต มีอะไรผิดๆมากมาย อย่าว่าแต่เรื่องฟิกฮฺปลีกย่อยที่ไม่ทำให้หลงผิดแบบนี้เลยครับ
ของผมนั้นผิดทั้งดุ้น! ทั้งเรื่องอากีดะฮฺ เรื่องอิบาดะฮฺ ..ผิดหมดเลย! ..แล้วเราก็ต้องเปลี่ยนตัว กลับลำเข้าไปหาสิ่งถูกต้อง
เคยสอนเคยบอกใครเขาไว้ผิดๆ ต้องตามแก้ตามบอกใหม่หมด

แต่ที่น่าแปลกใจ มีมนุษย์ส่วนมากที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะเอาของตัวเองให้ถูกให้จนได้ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยเปลี่ยน (ฉันถูกเสมอ!)
แล้วก็ร่ำเรียนวิชามาเพื่อจะมาหนุนค้ำยันในสิ่งที่ตนยึดถือปฏิบัติ ตรงนี้น่าเศร้าใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 16, 2007, 06:03 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การลูบหน้าหลังจากดุอา
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.พ. 16, 2007, 05:21 AM »
0
al-azhary

บังอะสันครับ โปรดอ่านพิเคราะห์สิ่งที่ตนเองนำมาให้จบครับ แล้วทิ้งความเป็นวะฮาบีย์ออกไป ดังนี้ครับ

فالمسألة خلافية والراجح فيها ألا يمسح الإنسان وجهه بعد الدعاء

"ดังนั้นประเด็นปัญหานี้ มีข้อขัดแย้งกันอยู่ และที่มีน้ำหนักที่สุดใน ประเด็นนี้คือ ผู้คนจะไม่ลูบหน้าของเขา หลังจากขอดุอา"

ท่าน ดร.มุฮัมมัด สะดีย์ ก็บอกแล้วว่า เรื่องนี้เป็น ประเด็นคิลาฟียะฮ์ คือประเด็นที่อุลามาอ์แห่งโลกอิสลามีความเห็นที่แตกต่างกัน แล้วอุลามาอ์ที่มีความเห็นว่าสุนัตให้ทำการยกมือและลูบหน้า นั้น หากเขาทำแล้วเป็นบิดอะฮ์ฏ่อลาละฮ์ไหมครับ แล้วหากพวกเราทำแล้วเป็นบิดอะฮ์ฏ่อลาละฮ์ แล้วตกนรกไหมครับ แล้วหากบรรดาพี่น้องมากมายที่ไม่ใช่วะฮาบีย์ทำการยกมือขอดุอาอ์แล้วลูบหน้านั้น ผมขอถามหน่อยว่า เป็นบิดอะฮ์และทำบาปไหมครับ ?

เรื่องประเด็นคิลาฟียะฮ์ทางฟิกห์นั้น สะลัฟและอุลามาอ์เขาบอกเอาไว้ว่า

ท่านอบู นุอัยม์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า " เมื่อท่านเห็นบุรุษท่านหนึ่งได้ปฏิบัติอะมัลหนึ่งที่นักปราชญ์ฟิกห์มีความเห ็นแตกต่างกัน และท่านก็มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น ท่านจงอย่าไปห้ามเขา " ดู หุลยะตุล เอาลิยาอฺ เล่ม 6 หน้า 367

ท่านอัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า " สิ่งที่บรรดานักปราชญ์ฟิกห์มีความเห็นขัดแย้งกันนั้น ฉันจะไม่ห้ามคนหนึ่งคนใดจากบรรดาพี่น้องของฉัน ให้เอากับทัศนะนั้น " ดู อัลฟะกีฮ์ วะ อัลมุตะฟักกิฮ์ เล่ม 2 หน้า 69

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า " แท้จริงบรรดานักปราชญ์นั้น จะตำหนิในเรื่องที่มีมติให้ทำการตำหนิ แต่สำหรับสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้น ย่อมไม่มีการตำหนิแต่ประการใด " ดู ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม 20 หน้า 225

คำกล่าวของท่าน ซุฟยาน อัษเษารีย์ และท่านอิบนุตัยมียะฮ์นี้ ทำเอาวะฮาบีย์อย่างบังอะสันต้องเมินหนีและรีบปฏิเสธหลักการ เพราะว่าปัญหาคิลาฟียะฮ์นั้น แนวทางของตูถูกอย่างเดียว ยังไงก็ต้องไม่ลูบหน้า หากลูบหน้าแล้ว คือต้องบิดอะฮ์
บังอะสันกล่าวว่า

ขอนำเสนอฟัตวา เช็คอุษัยมีน ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ไปพลางๆก่อน

ตอบ

แล้ว ชัยค์ อุษัยมีน และคณะอุลามาอ์ซาอุฯ ใช้ให้ตามคำฟัตวาของเขาหรือครับบังอะสัน "ขนาดอิมามทั้ง 4 ยังไม่ใช้ให้ตามเลยครับ(คำพูดนี้บังอะสันเขียนในเวปของตนเองนะครับ) ขนาดอิมามทั้ง 4 ที่น่าจะตาม บังอะสันก็บอกว่าเขาไม่ใช้ตาม แต่ท่านอุษัยมีน อุลามาอ์วะฮาบีย์นี้ ใช้ให้บังอะสันเขาด้วยหรือครับ เห็นนำมาอ้างนักหนา หรือว่าบังอะสันเป็นวะฮาบีย์ ถึงชอบนำคำฟัตวาของ ท่านอุษัยมีนมั่ง ท่านบินบาซฺมั่ง จากเวป ซิฮาบ ซึ่งเป็นเวปของวะฮาบีย์ มั่ง แล้วชอบอ้างนักว่า ตนเองไม่ใช่วะฮาบีย์

 ผมอยากถามบังอะสันหน่อยครับว่า เรื่องลูบหน้าหลังดุอาอ์เนี่ย บังอะสันจะพูดแบบตักลีด หรือจะสนทนาแบบนักมุจญฺฮิด (อิตบาอ์) แต่หากบังอะสันจะพูดแบบตักลีดตาม ท่านอุษัยมีนละก็ ผมก็ขอตักลีดตาม ท่านอิมามอันนะวาวีย์ และท่านอิมาม ฆอซาลีย์ดีกว่า

แต่ถ้าบังอะสันจะพูดกันแบบนักมุจญฺฮิด (อิตบาอ์ ตามที่บังอะสันชอบแอบอ้างตัวเอง) โดยกล่าวว่า การยกมือแล้วลูบหน้า เป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงนั้น เพราะมีหลายสายรายงานที่ฏออีฟ คำว่าหลายสายรายงานที่ฏออีฟนั้น บังอะสันพูดตัดลีดตาบอดตามเข้ามา หรือว่ารู้และศึกษาเองว่าบรรดาหะดิษเหล่านั้นฏออีฟ หากว่าฏออีฟจริง ก็ยกอ้างอิงมาให้หมด ไม่งั้นบังอะสันก็ตักลีดตามวะฮาบีย์ แล้วทำไมผมจะตักลีดตามมัซฮับชาฟิอียะฮ์ อย่างเช่นอิมาม อันนะวาวีย์และอิมาม ฆอซาลีย์ เป็นต้น ไม่ได้

ผมขอบอกว่า ถ้าบังอะสัน ไม่ลูบหน้า ผมไม่ว่าอะไร และไม่บิดอะฮ์ ไม่บาปอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าบังอะสันบอกว่าบิดอะฮ์ลุ่มหลง และทุกบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงตกนรก และมีบรรดาหะดิษที่ฏออีฟ นั้น ฏออีฟอย่างไร ? แล้วใครบ้างที่รายงาน "หรือเขาฏออีฟมา บังอะสันก็ว่าตาม

แต่บังอะสันบอกว่า ถ้าหากมีหะดิษซอฮิหฺ ก็ยกมาให้เราชมหน่อย อันนี้ผมขออุบไว้ก่อนนะครับ ไว้ต้นเดือน เราจะเขียนถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทย ลงเวปนักศึกษาฯ ตามที่ผมได้บอกไปแล้วข้างต้น เพราะไม่อยากมานั่งโพสต์นั่งแปลให้หน่อยกับประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้นะครับ
ลงท้ายสักหน่อย

บังอะสันครับ คำตอบที่บังอะสันตอบไปนั้น ผมก็ไม่อยากจะยุ่งอะไรเลยครับ เพราะมันเป็นทัศนะของบังอะสันที่จะเลือกตาม บังอะสันก็เคยตอบในกระทู้เวป ซุนนะฮ์ของตนเอง และไปตอบในเวปของมรดก แต่วันนี้บังอะสันก็มาตอบในเวปมุสลิมไทยอีก ทัศนะที่บังอะสันจะเลือกนั้น ผมไม่บังคับและไม่อยากยุ่ง แต่! บังอะสันไปก๊อบอ้างอิงมา โดยอ้างทัศนะของมัซฮับชาฟิอียะฮ์ อ้างคำกล่าวของอิมามอันนะวาวีย์ โดยอธรรม มีการตัดคำพูด อ้างอิงไม่ถูกกับเรื่องกับราวตามมัซฮับของชาฟิอียะฮ์
หากเป็นแบบนี้ ผมผู้อยู่ในมัซฮับชาฟิอีย์ ก็ต้องชี้แจงครับ ยิ่งแบบนี้ต้องวายิบชี้แจง จะให้คนอื่นเข้าใจผิดต่อมัซฮับชาฟิอียะฮ์ที่มีการอ้างอิงแบบหลอกลวงเกิดขึ้นไม่ได้ หวังว่าบังอะสันคงเข้าใจ๋....

i'm somebody

ชักเคลิ้ม ๆ ตาม al azhary แระ

asan

al-azhary นักวิชาการผู้เผยแผ่สัจธรรม กล่าวอย่างไพเราะว่า
บังอะสันพูดตัดลีดตาบอดตามเข้ามา
.........
ตอบ
พูดได้คำเดียวว่า หดหู่ จริงๆ แล้วจบมาแล้วบอกด้วย จะส่งลูกไปเรียน

asan

หะดิษเกี่ยวกับการลูบหน้าหลังการขอดุอา

عن محمد بن كعب القرظي عن ابن عباس أن الرسول صلى الله عليه وسلم قال سلوا الله ببطون أكفكم ولا تسألوه بظهورها فإذا فرغتم فامسحوا بها وجوهكم

รายงานจากมุหัมหมัด บิน กะอับ อัลกอรซีย์ จากอิบนิอับบาส ว่า แท้จริง ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงขอต่ออัลลอฮ ด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และพวกท่านอย่าขอต่อพระองค์ ด้วยหลังมือของพวกท่าน แล้วเมื่อพวกท่าน เสร็จ(จากการขอดุอา)แล้ว ก็จงใช้มันลูบหน้า ของพวกท่าน. - รายงานโดยอบีดาวูด

มาดูคำวิจารณ์หะดิษนี้

อบูดาวูดกล่าวว่า

روي هذا الحديث من غير وجه عن محمد بن كعب كلها واهية وهذا الطريق أمثلها وهو ضعيف أيضاً .

หะดิษนี้ได้ถูกรายงาน จากกระแสรายงานอื่น จากมุหัมหมัด บิน กะอับ ซึ่งทั้งหมดนั้น หลักฐานอ่อน และกระแสรายงานนี้ ก็ในทำนองเดียวกัน และมันคือ หะดิษเฎาะอีฟ อีกเช่นกัน - เอานุ้ลมะอฺบูด เล่ม 4 หน้า 251
........
อินชาอัลลอฮมีต่อ

konyakroo

พี่น้องครับ
วะฮาบียะอ้างหนักหนาว่าตนนั้นไม่ตักลีดตามใครอีหม่ามท่านใดทั้งน้าน..ไปๆมาก็ไม่พ้น อัลอุษัยมีนจนได้ฮิๆๆ

ดังที่บังหะสันได้ นำเสนอฟัตวา เช็คอุษัยมีน ขออัลลอฮเมตตาต่อท่านว่า

***ดังนั้น ในการลูบหน้าด้วยมือทั้งสอง หลังจากดุอานั้น ไม่ใช่สุนนะฮ โดยที่ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังเป็นที่รู้กัน ว่า ท่านดุอาขอฝนและยกมือทั้งสองของท่าน ในคุฏบะฮญุมอัต และไม่ปรากฏรายงานว่า ท่านได้ใช้มือทั้งสองลูบหน้า และในทำนองเดียวกันนั้น มีหะดิษหลายบทรายงานมาจากท่านนบีศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่าท่านได้ขอดุอาและยกมือทั้งสองของท่าน โดยที่ไม่มีรายงานยืนยันว่า ท่านได้ลูบหน้าของท่าน - ดูมัจญมัวะฟะตาวา อิบนุอุษัยมีน เล่ม 14 คำถามหมายเลข 781 ***

...บังหะสัน อย่าตบตาผู้อ่านเลยครับแก่ปูนี้แล้วน่าจะมีใจเป็นธรรมกับผู้อยู่ต่างทัศนะบ้างอะไรๆยกมาแต่ละทีก็มีแต่ความคิดสายเดียวทุกครั้ง ลองเอาความคิดของทัศนะอื่นมาเปรียบเทียบกันดูบ้างซิ..ให้เห็นจ๊ะๆเลย..อย่าเล่นอยู่ข้างเดียว..

เอาที่ไม่ตัดต่อคำพูดนะครับ..บังฮะซันตามอุลามะในสายของบังอย่างตาบอดดังนั้นเราก้องตามอุลามะในสายของเราบ้างบังก็อย่าว่าก็แล้วกัน อีหม่ามนาวะวีย์นั้นบังคงรู้จักท่านและอย่าได้อธรรมกับผู้รู้ในสายของเราบ่อยนักละ

อีกอย่างยกตัวอย่างนั้นก็น่าจะยกมาให้หมดอย่ายกแค่คำวิจารณ์ฝ่ายตนอย่างเดียว..อย่างนี้เขาเรียกว่าตะอัศศุบโจ๋เลยละบัง

ขนาดท่านอิบนุตัยมียะฮ์ยังมีใจเป็นธรรมท่านกล่าวว่า " แท้จริงบรรดานักปราชญ์นั้น จะตำหนิในเรื่องที่มีมติให้ทำการตำหนิ แต่สำหรับสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้น ย่อมไม่มีการตำหนิแต่ประการใด " ดู ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม 20 หน้า 225

ไหนๆแล้วบังก็ตามท่านมิใช่หรือ เอาสิ่งดีๆที่ท่านอิบนุตัยมียะมีคุณธรรมกับความคิดกับผู้ต่างมัสหับอย่างท่านมาใช้บ้าง
ก็คิดว่าบังคงจะมีมุมมองที่น่าจะดีกว่านี้บ้าง..วัลอิยาซุบิลลา

....แต่สำหรับผม การมือที่พระเจ้าสร้างมานั้นไปลูบหน้าที่พระเจ้าสร้างมานั้น มันดีว่า..การที่เราเอามือที่พระเจ้าให้มาแล้วไปลูบของผู้อื่นที่เขาหวงแหนหรือสิ่งฮารามนั้นมันน่าตำหนินัก...อีกอย่างการมือลูบหน้านั้นยังดีกว่าการเอามือแล้วจับไมค์
โครโฟน หรือจับปากกาแล้วทิ่มแทงเสียดสีหรือฮูกมพี่น้องต่างทัศนะว่าหลงผิดเสียอีก..หรือถ้าพูดในเชิงตาหลกแห้งบ้านเราเขากล่าว่า...การเอามือลูบหน้าหลังดุอานั้นดีกว่าการเอามือไปลูบโบง(ตูด)แทนเป็นร้อยๆเท่า5555


konyakroo

บังหะสัน..ยกฮาดีสนี้มา..ดีครับ
หะดิษเกี่ยวกับการลูบหน้าหลังการขอดุอา
عن محمد بن كعب القرظي عن ابن عباس أن الرسول صلى الله عليه وسلم قال سلوا الله ببطون أكفكم ولا تسألوه بظهورها فإذا فرغتم فامسحوا بها وجوهكم
รายงานจากมุหัมหมัด บิน กะอับ อัลกอรซีย์ จากอิบนิอับบาส ว่า แท้จริง ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงขอต่ออัลลอฮ ด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และพวกท่านอย่าขอต่อพระองค์ ด้วยหลังมือของพวกท่าน แล้วเมื่อพวกท่าน เสร็จ(จากการขอดุอา)แล้ว ก็จงใช้มันลูบหน้า ของพวกท่าน. - รายงานโดยอบีดาวูด

มาดูคำวิจารณ์หะดิษนี้

อบูดาวูดกล่าวว่า

روي هذا الحديث من غير وجه عن محمد بن كعب كلها واهية وهذا الطريق أمثلها وهو ضعيف أيضاً .

หะดิษนี้ได้ถูกรายงาน จากกระแสรายงานอื่น จากมุหัมหมัด บิน กะอับ ซึ่งทั้งหมดนั้น หลักฐานอ่อน และกระแสรายงานนี้ ก็ในทำนองเดียวกัน และมันคือ หะดิษเฎาะอีฟ อีกเช่นกัน - เอานุ้ลมะอฺบูด เล่ม 4 หน้า 251

...อะไรกันที่ว่ากระแสอื่น..ที่บังอ้างถึง..
และถ้าหากบังว่าดออีฟ แล้วการที่เรานำมาปฏิบัติซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งวายิบประการใดเรื่องลูบหน้าหรือไม่ มันผิดตรงไหนครับ
ที่บังบอวว่าเป็นบิดอะ แล้วแค่ความคิดของอุลามะสายของบังเท่านั้นที่บอกว่าไม่มีการลูบหน้า..
แต่สำหรับทัศนะของเรา..ไม่ได้เป็นข้อชี้ขาดเลยว่ากระทำไม่ได้และกระทำแล้วเป็นบาปเหมือนทัศนะของบัง..

..............จงรู้ขอบเขตตัวเองเสียก่อน แล้วค่อยวิจารณ์ให้ร้ายผู้อื่น..............


asan

น้องบ่าว konyakroo ครับ

ช่วยยกหะดิษเศาะเฮียะเกี่ยวกับการลูบหน้าหลังดุอา ให้บังอะสัน ได้ชมเป็นขวัญตาสักบทเถอะ หรือ ที่อิหม่ามนะวาวี การันตีก็ได้ ว่างๆจะเข้ามาชม ขอไปสอนเด็กก่อนนะจ้ะ น้องชายปากปลาร้า (พูดเล่นจ้า อุ้ยน่ารักจะตาย ฮิฮิ))


นูรุ้ลอิสลาม

วะฮาบีย์อะสันหลอกลวงเรื่องการอ้างอิงคำกล่าวของอิมามนะวาวีย์และทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์ ทีหนึ่งแล้ว และวันนี้ไออาเอฟจะมาหลอกอะไรอีกครับ

มีหลักฐานเรื่องห้ามการลูบหน้าก็นำมากล่าวเรื่อย ๆ นะครับ หรือว่ามีหลักฐานอย่างไรบ้าง ก็เชิญว่ามาได้เลย อยากดูนะครับ และอย่างอ้างตบตาว่าตนเองอยู่แนวสะลัฟ(สะละฟีย์) เพราะมันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเสียเปล่า ๆ นะครับ

asan

นายนูรุ้ล....(เติมเอง) กล่าวว่า
คือผมเกลียดคนที่หลอกลวงอย่างรุ่นแรงนะครับ นี่ถ้าหาก อัลอัซฮะรีย์วิจารณ์เรื่องที่คุณอะสันอ้างอิงโกหกจากทัศนะอิมามนะวาวีย์และทัศนะอุลามาอ์ชาฟิอีย์ช้ากว่านี้ ผมวิจารณ์เสียคนเป็นแน่
----------
โอ้พระเจ้า....เล่นกันให้เสียคนเลยหรือ เก่งจัง ใหนลองหน่อยดิ ....ลูกใครหว่า..สอนมาดี ส่วนทีนายกล่าวว่า

คุณอะสันอ้างอิงโกหกจากทัศนะอิมามนะวาวีย์และทัศนะอุลามาอ์ชาฟิอีย์
..........
ผู้อ่านเขาก็เห็นแล้วว่า ผมได้ลิ้งค์ให้เขาเข้าไปดูรายละเอียดไว้แล้ว ขอลองกลับไปดูอีกครั้งซิครับ อันที่จริงผมก็ไม่อยากเอาไม้ไปแหยขี้หรอกนะ กลัวจะเหม็น แต่เพื่อชี้แจงในสิ่งที่นสยกล่าวหา โอ้ มีการท้าด่วนด้วย โอ้..จังโก้

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

ผู้อ่านเขาก็เห็นแล้วว่า ผมได้ลิ้งค์ให้เขาเข้าไปดูรายละเอียดไว้แล้ว ขอลองกลับไปดูอีกครั้งซิครับ อันที่จริงผมก็ไม่อยากเอาไม้ไปแหยขี้หรอกนะ กลัวจะเหม็น แต่เพื่อชี้แจงในสิ่งที่นสยกล่าวหา โอ้ มีการท้าด่วนด้วย โอ้..จังโก้

ผมขอกล่าวว่า

จะพูดคำสกปรกอะไรก็พูดไปคนเดียวนะครับคุณอะสัน

นั่นแน่...พอผมพูดว่าหลอกลวงก็รีบอ้างอิงโยนไปทางเวปที่ตนเองอ้างมาเลยนะครับ แล้วไม่รู้เรื่องหรือไงว่า เขาลวงมาอีกทีหนึ่ง ตอบเรื่องศาสนานั้น มันต้องรอบครอบ ไม่ใช่คว้าได้คว้าเอา แบบนี้มันเสียหายน่ะซิครับ คุณที่ถามก็หลงเชื่อตามที่คุณอะสันอ้างมาด้วยความตักลีดแบบตามบอดที่อัซฮะรีย์ว่ามาหรือเปล่าครับ

ใหนละครับคุณอะสัน หะดิษต่าง ๆ ที่ฏออีฟ ผมอยากจะเห็นจัง อยากจะดูซิว่า คุณอะสันจะใจเป็นธรรมหรือเปล่า? หรือจะยกสิ่งที่ตนจะเอาเท่านั้น เราลองมาดูกันครับ

asan

ทีนี้มาดูต่อ

عن عمر بن الخطاب - رضي الله عنه -، قال: كان رسول الله - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - إذا رفع يديْهِ في الدعاءِ لم يحطَّهما حتى يمسحَ بهما وجْهَه
รายงานจากอุมัร บุตร อัลคอ็ฏฏอบ (ร.ฎ)กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรซูลุ้ลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อท่านได้ยกมือของท่านในการขอดุอา ท่านจะไม่วางมันทั้งสองลง จนกว่า จะลูบหน้าด้วยมันทั้งสอง

วิจารณ์

حديث منكر وقال احمد بن حنبل وابو حاتم والدراقطني حماد ضعيف

เป็นหะดิษมุงกัร(หะดิษที่ถูกปฎิเสธ ในการนำมาอ้างอิง) และอิหม่ามอะหมัด ,อบูหาติม และ อัดดารุ้ลกุฎนีย์ กล่าวว่า หะมาด(หะมาด บิน อีซา ผู้รายงานคนหนึ่ง) หลักฐานออ่น (เฎาะอีฟ) - อัลอิละลิ้ลมุตะนาฮิยะฮ เล่ม 2 หน้า 306-307

...............
โปรดติดตามต่อไป และยิ้มเข้าไว้


นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันครับ ในเรื่องยกมือลูบหน้านั้น มีหลักฐานอะไรที่ว่าฏออีฟ ก็ชี้แจงเข้ามาเรื่องมาได้เลยครับ เพราะผมก็รอดูอยู่ และจะร่วมสนทนาด้วย เผอิญไออาเอฟ ทำเลาะเทอะกับกระทู้ ไปยกเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ ผมเลยต้องเข้ามาเกลี่ยสักนิด เมื่อไม่มีอะไรก็แล้ว ก็นำเสนอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ ต่อน่ะ และผมจะรอดูว่าเป็นนักวิชาการที่แจ๋วและใจเป็นกลางหรือเปล่า? ยกมาเรื่อย ๆ ครับ หะดิษท่านอิบนุอับบาส และท่าน อุมัร แล้ว ยังมีอีก ยกมาเรื่อย ๆ ครับ และมีนักหะดิษท่านใดไหม ที่วิจารณ์ว่าไม่ฏออีฟ ยังไงก็ยกมาด้วยนะครับ เพื่อคุณอะสันจะได้ใจเป็นกลาง นำเสนอข้อมูลที่ใจกว้างนะครับ

asan

ชอบคำพูดนายนูรุ้ล...(เติมเอง) ที่ว่า

...พอผมพูดว่าหลอกลวงก็รีบอ้างอิงโยนไปทางเวปที่ตนเองอ้างมาเลยนะครับ แล้วไม่รู้เรื่องหรือไงว่า เขาลวงมาอีกทีหนึ่ง ตอบเรื่องศาสนานั้น มันต้องรอบครอบ ไม่ใช่คว้าได้คว้าเอา แบบนี้มันเสียหายน่ะซิครับ
.........
โอ้..พระเจ้า วิจารณ์เชิงวิการเก่งจัง นักศึกษา ดินแดนไอยกุปต์ คงจะคิดว่า คนอื่นเขากินแกลบละซิท่า น่ารักไม่เล่น อยากเห็นหะดิษเศาะเฮียะจัง อาบังขอหน่อยนา
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การลูบหน้าหลังจากดุอา
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.พ. 16, 2007, 05:30 AM »
0
นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

حديث منكر وقال احمد بن حنبل وابو حاتم والدراقطني حماد ضعيف

เป็นหะดิษมุงกัร(หะดิษที่ถูกปฎิเสธ ในการนำมาอ้างอิง) และอิหม่ามอะหมัด ,อบูหาติม และ อัดดารุ้ลกุฎนีย์ กล่าวว่า หะมาด(หะมาด บิน อีซา ผู้รายงานคนหนึ่ง) หลักฐานออ่น (เฎาะอีฟ) - อัลอิละลิ้ลมุตะนาฮิยะฮ เล่ม 2 หน้า 306-307

ผมขอกล่าวว่า

อยู่ดีๆ ก็บอกว่า หะดิษมุงกัร ชี้แจงหน่อยซิครับว่า มุงกัรเพราะอะไร ใครที่มุงกัร เอาให้เต็มหลักวิชาการหน่อย

asan

ช่วยโต้แย้งให้เป็นวิชาการหน่อยซิย่ะ วิชาเกินไม่เอา

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

ชอบคำพูดนายนูรุ้ล...(เติมเอง) ที่ว่า

...พอผมพูดว่าหลอกลวงก็รีบอ้างอิงโยนไปทางเวปที่ตนเองอ้างมาเลยนะครับ แล้วไม่รู้เรื่องหรือไงว่า เขาลวงมาอีกทีหนึ่ง ตอบเรื่องศาสนานั้น มันต้องรอบครอบ ไม่ใช่คว้าได้คว้าเอา แบบนี้มันเสียหายน่ะซิครับ
------------
โอ้..พระเจ้า วิจารณ์เชิงวิการเก่งจัง นักศึกษา ดินแดนไอยกุปต์ คงจะคิดว่า คนอื่นเขากินแกลบละซิท่า น่ารักไม่เล่น อยากเห็นหะดิษเศาะเฮียะจัง อาบังขอหน่อยนา


ผมขอกล่าวว่า

แหม...คุณอะสันทำตีลูกมึนน่าสงสารจริง ๆ ครับ แล้วนี่อะไร

ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวฟัตวาว่า

والشافعية أباحوا مسح الوجه في رواية ، وكرهوه في روايتين

"และบรรดาอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์นั้น อนุญาติให้ทำการลูบหน้าในสายรายงานหนึ่ง และถือว่ามักโระฮ์ในสองสายรายงาน"

วิจารณ์

คำกล่าวนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากผู้ถาม ได้ถามเรื่องการลูบหน้าหลังขอดุอาอ์ปกติ แต่ท่าน ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ นำมาทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์เกี่ยวกับการลูบหน้าใน การอ่านดุอาอ์กุนูตในละหมาดซุบฮิมานำเสนอ ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลยครับ เพราะว่ามัซฮับชาฟีอียะฮ์นั้น ถือว่าการลูบหน้าตอนอ่านกุนูตเสร็จนั้นถือว่าเป็นมักโระฮ์ และพวกเราก็ไม่ทำการลูบหน้าอยู่แล้ว ดังนั้น การเอาประเด็นลูบหน้าในดุอาอ์กุนูตละหมาดซุบฮิ มาโยงประเด็นเกี่ยวกับดุอาอ์ปกตินั้น ถือว่าไม่ถูกต้องและเป็นการทำให้สับสนเกี่ยวกับหุกุ่มศาสนา และอ้างทัศนะมัซฮับชาฟิอียะฮ์อย่างไม่ถูกต้อง

ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวฟัตวาว่า

وفى أذكار النووى عن رفع اليدين ومسح الوجه ثلاثة أوجه للشافعية أصحها استحباب الرفع وعدم مسح الوجه ، والثانى الرفع والمسح والثالث عدم الاثنين .‏

"ได้ระบุไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ของอิมาม อันนะวาวีย์ จากเรื่องการยกสองมือและลูบหน้า ซึ่งมีสองทัศนะสำหรับมัซฮับชาฟิอียะฮ์ ที่ชัดเจนที่สุดคือ สุนัตให้ยกมือแต่ไม่ต้องลูบหน้า (สอง)ให้ยกมือและลูบหน้า (สาม) ไม่ต้องยกมือและไม่ต้องลูบหน้า"

วิจารณ์

ซุบหานัลลอฮ์!! มันคนละเรื่องกันเลยครับ ท่านดร. มุฮัมมัด สะดีย์ ได้นำเรื่องประเด็นการยกมือและลูบหน้าที่เฉพาะเกี่ยวกับเรื่องกุนูต มาเกี่ยวโยงกับการ ดุอาอ์ทั่วไป ๆ ซึ่งมัซฮับชาฟิอียะฮ์ถือว่า สุนัตให้ทำการขอดุอาอ์โดยยกมือและทำการลูบหน้าในช่วงท้ายของดุอาอ์ แบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องในการฟัตวา และอ้างอิงไปยังมัซอับชาฟิอียะฮ์
เรามาดูต้นฉบับจริง ที่อิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวว่า

فصل : إختلف أصحابنا فى رفع اليدين فى دعاء القنوت ومسح الوجه بهما على ثلاثة أوجه ( أصحها ) أنه يستحب رفعهما ولا يمسح الوجه (و الثانى ) يرفع ويمسحه (والثالث) لا يمسح ولا يرفع

"บทย่อยหนึ่ง บรรดาอุลามาอ์ของเรา(ชาฟิอียะฮ์) ได้มีการขัดแย้งกันในเรื่อง การยกสองมือในดุอาอ์กุนูต และลูบหน้า บนสามทัศนะด้วยกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือ สุนัตให้ยกมือแต่ไม่ต้องลูบหน้า (สอง)ให้ยกมือและลูบหน้า (สาม) ไม่ต้องยกมือและไม่ต้องลูบหน้า" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 2 หน้า 310 - 311 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ

จากตรงนี้ เราจะพบว่า ท่าน ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ ปกปิดคำว่า فى دعاء القنوت "ในเรื่องดุอาอ์กุนูต" แล้วเอาไปเหมารวมกับดุอาอ์ทั่ว ๆ ไป แบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องและอ้างถึงมัซฮับชาฟิอียะฮ์โดยไร้ความจริง

ตามทัศนะของ มัซฮับชาฟิอียะฮ์ จริง ๆ นั้น ถือว่าสุนัติให้ทำการขอดุอาอ์ยกมือทั้งสองข้างและทำการลูบหน้าในช่วงท้ายของดุอาอ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์(ร.ฏ.) เอง ก็ได้กล่าวหุกุ่มนี้ไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ที่ท่าน ดร.มุฮัมมัด สะดีย์ อ้างมาเช่นกันว่า

أداب الدعاء عشرة الأول .........................(الثالث) إستقبال القبلة ورفع اليدين ويمسح بهما وجهه فى أخره

"บรรดามารยาทการขอดุอาอ์มี 10 ประการ หนึ่ง.......................(สาม) หันหน้าไปทางกิบละฮ์ ยกมือทั้งสอง และลูบหน้าด้วยมือทั้งสอง ในตอนท้ายของอุดาอ์" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 246 - 247 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ
นั่นคือทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ และทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอียะฮ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้ตั้งหัวข้อเรื่องที่ว่า

باب رفع اليدين فى الدعاء ثم مسح الوجه بهما

"บทว่าด้วยเรื่องการยกมือทั้งสองในการขอดุอาอ์และทำการลูบหน้าด้วยสองมือนั้น" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 258 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ ในบทดังกล่าวนั้น อิมามอันนนะวาวีย์ได้รายงานหะดิษ ของท่าน อุมัร (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์ จากท่านอิบนุอับบาส ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด ซึ่งการวิจารณ์หะดิษดังกล่าวนั้น ผมไม่ขอยกอ้างอิงมา เพราะว่ายังมีบรรดาหะดิษอีกมากมาย จากท่าน อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุรร๊อซซาก ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ที่เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ขอนำมาหยิบยกมาใน ณ ที่นี้ เนื่องจากเราจะเขียนลงบทความเลยทีเดียว อินชาอัลเลาะฮ์

แล้วสิ่งที่คุณอะสันอ้างอิงมาแบบนี้ มันจริงหรือลวง ตอบหน่อยซิครับ

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

ช่วยโต้แย้งให้เป็นวิชาการหน่อยซิย่ะ วิชาเกินไม่เอา

ขอตอบ

อ้าว...คุณอะสัน การพิจารณาหะดิษนั้น เขาถามว่า ให้หะดิษมุงกัร เพราะอะไร มันเป็นวิชาการเกินหรือครับ แบบนี้ก็อ้างก็ได้เรื่อย ซิครับ อย่างเช่นหะดิษท่านอิบนุมัสอูดเกี่ยวกับล้อมวงซิกิร ฝ่ายหนึ่งบอกว่าซอฮิหฺ แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าฏออีฟ แล้วทำไมถึงซอฮิหฺ ทำไมถึงฏออีฟ เขาก็ชี้แจงกันตามหลักหะดิษ แต่เวลาผมถามคุณอะสันบ้างว่า ทำไมหะดิษมุงกัร คุณอะสันบอกว่าวิชาเกิน แล้วมันจะเกินได้อย่างไร ในเรื่องมันก็ยังในเรื่องการพิจารณาตัวบทหะดิษ....แปลกแต่จริงครับ

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

อยากเห็นหะดิษเศาะเฮียะจัง อาบังขอหน่อยนา

ผมขอกล่าวว่า

ฮ้า ฮ่า... อยากเห็นหะดิษซอฮิหฺเพื่ออะไรครับ เพื่อจะให้เราเชิญชวนคุณอะสันมาร่วมทำการลูบหน้าเหมือนกับเราหรือครับ ? ไม่เลยครับ เราไม่ต้องการให้คุณอะสันมาร่วมทำกับเรา จนกระทั่งว่าเราต้องนำหะดิษซอฮิหฺมาให้คุณอะสันชม เนื่องจากเราไม่ได้กล่าวหาว่า การไม่ลูบหน้า บาป เป็นบิดอะฮ์ ไม่เลยครับ

และเรื่องนี้มันก็อยู่ในประเด็นของ การปฏิบัติด้วยกับหะดิษฏออีฟ ซึ่งมีอุลามาอ์มีความเห็นแตกต่างกัน แล้วคุณอะสันจะเหมาว่า ทัศนะที่ทำหะดิษฏออีฟแล้วนั้น บิดอะฮ์หรือเปล่าครับ ? หรือว่าบิดอะฮ์ตามทัศนะของตนเอง โดยไม่ลามปามไปยังทัศนะของคนอื่น

แล้วถ้าหากหะดิษลูบหน้า อยู่ในขั้น หะซัน ขึ้นมาละครับ จะทำการลูบหน้าได้หรือเปล่า ? หากทำแล้วบิดอะฮ์หรือเปล่า ? ลองตอบหลักการนี้มาหน่อยซิครับ

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันตอบด้วยนะครับว่า แล้วถ้าหากหะดิษลูบหน้า อยู่ในขั้น หะซัน ขึ้นมาละครับ จะทำการลูบหน้าได้หรือเปล่า ? หากทำแล้วบิดอะฮ์หรือเปล่า ? ลองตอบหลักการนี้มาหน่อยซิครับ

ไอเอฟเข้ามาก็นำเสนอเกี่ยวกับหลักฐานประเด็นนี้ตามที่เคยลั่นวาจาไว้ด้วยนะครับ แล้วมาเข้ามาชม

ตอนนี้ขอตัวก่อน
مع السلامة


asan

นูรุ้ล....(เติมเอาเองกล่าวว่า

นั่นคือทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ และทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอียะฮ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้ตั้งหัวข้อเรื่องที่ว่า

باب رفع اليدين فى الدعاء ثم مسح الوجه بهما

"บทว่าด้วยเรื่องการยกมือทั้งสองในการขอดุอาอ์และทำการลูบหน้าด้วยสองมือนั้น" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 258 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ ในบทดังกล่าวนั้น อิมามอันนนะวาวีย์ได้รายงานหะดิษ ของท่าน อุมัร (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์ จากท่านอิบนุอับบาส ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด ซึ่งการวิจารณ์หะดิษดังกล่าวนั้น ผมไม่ขอยกอ้างอิงมา เพราะว่ายังมีบรรดาหะดิษอีกมากมาย จากท่าน อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุรร๊อซซาก ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ที่เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ขอนำมาหยิบยกมาใน ณ ที่นี้ เนื่องจากเราจะเขียนลงบทความเลยทีเดียว อินชาอัลเลาะ
......................
ตอบ
ได้กลิ่นหะดิษเฏาะอีฟ ท่านอิหม่ามนะวะวีย์วิจารณ์หะดิษที่ท่านระบุอย่างไรหรือครับ อยากจะเรียนว่า ไม่มีสักประโยคเดียวที่ผมกล่าวหาว่า ผู้ที่ลูบหน้าตกนรก นะน้อง เพียงแต่หะดิษเฎาะอีฟ เราไม่เอามาเป็นหลักฐาน ส่วนที่ว่า หะซันนั้น รู้นะจะอ้างอิบนุหะญัรใช่ไหม

เปื้อนฝุ่น

คุณ asan ครับ อย่าคุยให้เหนื่อยเลย
ผมว่า ลูกเป็ดก็ยังเป็ดลูกเป็ดวันยังค่ำ
ไม่สามารถไปเป็นลูกไก่ได้หรอก

konyakroo

พี่น้องผู้มีมัสหับทั้งหลายครับ จำไว้นะครับว่า บังหะสันนั้นมีใจไม่เป็นธรรมกับเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว..
ดูตัวอย่างข้างล่างนี้ก็ยิ่งชัดเจนยิ่งกว่า ....แสงหวันแพ่งบนหัวเล๋ย..

บังบอกว่าฮาดิสข้างล่างนี้มุงกัร...ในขณะเดียวกัน..บังหะสันผู้มีใจอคติต่อเรากลับหาหลักฐานที่ว่ามันมุงกัรมาไม่ได้..555

. عن عمر بن الخطاب - رضي الله عنه -، قال: كان رسول الله - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - إذا رفع يديْهِ في الدعاءِ لم يحطَّهما حتى يمسحَ بهما وجْهَه

รายงานจากอุมัร บุตร อัลคอ็ฏฏอบ (ร.ฎ)กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านรซูลุ้ลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อท่านได้ยกมือของท่านในการขอดุอา ท่านจะไม่วางมันทั้งสองลง จนกว่า จะลูบหน้าด้วยมันทั้งสอง

ผมก็เลยวิจารณ์ตามน้อง น้รุ้ลอิสลามว่า

حديث منكر وقال احمد بن حنبل وابو حاتم والدراقطني حماد ضعيف

ที่บังว่า เป็นหะดิษมุงกัร(หะดิษที่ถูกปฎิเสธ ในการนำมาอ้างอิง)นั้นตรงไหน
และอิหม่ามอะหมัด ,อบูหาติม และ อัดดารุ้ลกุฎนีย์ กล่าวว่า หะมาด(หะมาด บิน อีซา ผู้รายงานคนหนึ่ง)
และที่ว่าหลักฐานออ่น (เฎาะอีฟ) - อัลอิละลิ้ลมุตะนาฮิยะฮ เล่ม 2 หน้า 306-307ตรงไหนบ้าง..

.....อีกอย่าง ที่คุณนุร้ลอิสลามถามว่า...โปรดยกหลักฐานที่ว่ามุงกัรมาด้วย ทำไมบังไม่ตอบ...บ้างนี่หรือครับใจเป็นธรรมต่อพี่น้องมุสลิม..

..และถ้าหากว่ามันดออีฟตามที่สายรายงานของฮะมัด บุตรอีซาจริง...ในทัศนะของอีหมามชาฟีอีเขาถือว่า นำมาใช้ได้เพื่อส่งเสริมอ้ามั้ลอันน้นให้ดีขึ้นและถ้าไม่ขัดกับหลักคำสอนห้ามในตัวบท และท่านอิบหะญัร ซึ่งผู้ที่มีทัศนะเดียวกับอีหม่ามอันนาวาวีย ได้บอกว่า สามารถจะกระทำได้ ในการส่งเสริมอ้าลของตน และไม่ได้เป็นที่ขัดแย้งในทัศนะของเราที่จะยกมือลูบหน้า...เพราะไม่ใช่เป็นข้อบังคับใดๆในเรื่องละหมาด...
-------------------------
..พี่น้องครับวะฮาบีย์พูดนัหนาและปฏิเสธเสียงดังว่าไม่ได้ตักลบีดตามใคร แต่นี้คือหลักฐาน

ว่า ที่แท้ บังและคณะนั้นเป็นผู้ร้ายปากแข็ง เพราะตัวบังหะสันเอง...ก็ตักลีดตามเขาเหมือนกันนี่ไงครับ บังกล่าวว่า
ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวฟัตวาว่า

والشافعية أباحوا مسح الوجه في رواية ، وكرهوه في روايتين

"และบรรดาอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์นั้น อนุญาติให้ทำการลูบหน้าในสายรายงานหนึ่ง และถือว่ามักโระฮ์ในสองสายรายงาน"

ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ กล่าวฟัตวาว่า

وفى أذكار النووى عن رفع اليدين ومسح الوجه ثلاثة أوجه للشافعية أصحها استحباب الرفع وعدم مسح الوجه ، والثانى الرفع والمسح والثالث عدم الاثنين .‏

"ได้ระบุไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ของอิมาม อันนะวาวีย์ จากเรื่องการยกสองมือและลูบหน้า ซึ่งมีสองทัศนะสำหรับมัซฮับชาฟิอียะฮ์ ที่ชัดเจนที่สุดคือ สุนัตให้ยกมือแต่ไม่ต้องลูบหน้า (สอง)ให้ยกมือและลูบหน้า (สาม) ไม่ต้องยกมือและไม่ต้องลูบหน้า"

แต่ก็โดนคุณนุร้ลอิสลามวัดเสียกระเจิง..เพราะยกมาคนละเรื่องกับประเด็นที่พูด..555

เขาคุยกันเรื่องลูบหน้า ได้ถามเรื่องการลูบหน้าหลังขอดุอาอ์ปกติ แต่ท่าน ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ นำมาทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์เกี่ยวกับการลูบหน้าใน การอ่านดุอาอ์กุนูตในละหมาดซุบฮิมานำเสนอ ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลยครับ เพราะว่ามัซฮับชาฟีอียะฮ์นั้น ถือว่าการลูบหน้าตอนอ่านกุนูตเสร็จนั้นถือว่าเป็นมักโระฮ์ และพวกเราก็ไม่ทำการลูบหน้าอยู่แล้ว ดังนั้น การเอาประเด็นลูบหน้าในดุอาอ์กุนูตละหมาดซุบฮิ มาโยงประเด็นเกี่ยวกับดุอาอ์ปกตินั้น ถือว่าไม่ถูกต้องและเป็นการทำให้สับสนเกี่ยวกับหุกุ่มศาสนา และอ้างทัศนะมัซฮับชาฟิอียะฮ์อย่างไม่ถูกต้อง

วิจารณ์

ดังนั้นสรุปได้ว่าสิ่งที่บังหะสันยกจาก.ดร.มุฮำมัดนั้น...มันหนังคนละเรื่องแต่มาใช้เครื่องเดียวกัน...อฺๆๆๆ
- ท่านดร. มุฮัมมัด สะดีย์ ได้นำเรื่องประเด็นการยกมือและลูบหน้าที่เฉพาะเกี่ยวกับเรื่องกุนูต มาเกี่ยวโยงกับการ ดุอาอ์ทั่วไป ๆ ซึ่งมัซฮับชาฟิอียะฮ์ถือว่า สุนัตให้ทำการขอดุอาอ์โดยยกมือและทำการลูบหน้าในช่วงท้ายของดุอาอ์ แบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องในการฟัตวา และอ้างอิงไปยังมัซอับชาฟิอียะฮ์

และนี่คือความจริงที่ไม่หมกเหม็ดครับพี่น้อง..

เรามาดูต้นฉบับจริง ที่อิมามอันนะวาวีย์ ได้กล่าวว่า

فصل : إختلف أصحابنا فى رفع اليدين فى دعاء القنوت ومسح الوجه بهما على ثلاثة أوجه ( أصحها ) أنه يستحب رفعهما ولا يمسح الوجه (و الثانى ) يرفع ويمسحه (والثالث) لا يمسح ولا يرفع

"บทย่อยหนึ่ง บรรดาอุลามาอ์ของเรา(ชาฟิอียะฮ์) ได้มีการขัดแย้งกันในเรื่อง การยกสองมือในดุอาอ์กุนูต และลูบหน้า บนสามทัศนะด้วยกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือ สุนัตให้ยกมือแต่ไม่ต้องลูบหน้า (สอง)ให้ยกมือและลูบหน้า (สาม) ไม่ต้องยกมือและไม่ต้องลูบหน้า" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 2 หน้า 310 - 311 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ

จากตรงนี้ เราจะพบว่า ท่าน ดร. มุฮัมมัด สะดีย์ ปกปิดคำว่า فى دعاء القنوت "ในเรื่องดุอาอ์กุนูต" แล้วเอาไปเหมารวมกับดุอาอ์ทั่ว ๆ ไป แบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องและอ้างถึงมัซฮับชาฟิอียะฮ์โดยไร้ความจริง

ตามทัศนะของ มัซฮับชาฟิอียะฮ์ จริง ๆ นั้น ถือว่าสุนัติให้ทำการขอดุอาอ์ยกมือทั้งสองข้างและทำการลูบหน้าในช่วงท้ายของดุอาอ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์(ร.ฏ.) เอง ก็ได้กล่าวหุกุ่มนี้ไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ที่ท่าน ดร.มุฮัมมัด สะดีย์ อ้างมาเช่นกันว่า

أداب الدعاء عشرة الأول .........................(الثالث) إستقبال القبلة ورفع اليدين ويمسح بهما وجهه فى أخره

"บรรดามารยาทการขอดุอาอ์มี 10 ประการ หนึ่ง.......................(สาม) หันหน้าไปทางกิบละฮ์ ยกมือทั้งสอง และลูบหน้าด้วยมือทั้งสอง ในตอนท้ายของอุดาอ์" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 246 - 247 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ
นั่นคือทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ และทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอียะฮ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้ตั้งหัวข้อเรื่องที่ว่า

باب رفع اليدين فى الدعاء ثم مسح الوجه بهما

"บทว่าด้วยเรื่องการยกมือทั้งสองในการขอดุอาอ์และทำการลูบหน้าด้วยสองมือนั้น" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 258 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ ในบทดังกล่าวนั้น อิมามอันนนะวาวีย์ได้รายงานหะดิษ ของท่าน อุมัร (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์ จากท่านอิบนุอับบาส ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด ซึ่งการวิจารณ์หะดิษดังกล่าวนั้น ผมไม่ขอยกอ้างอิงมา เพราะว่ายังมีบรรดาหะดิษอีกมากมาย จากท่าน อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุรร๊อซซาก ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ที่เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ขอนำมาหยิบยกมาใน ณ ที่นี้ เนื่องจากเราจะเขียนลงบทความเลยทีเดียว อินชาอัลเลาะฮ์

ในที่สุด วะฮาบีย์ก็ต้องถอยกรูดไม่เป็นท่าเพราะหมกเม็ดเป็นอาชีพ เหมือนเดินสายขายบิดอะแถวหลาดสดกิมหยงนั้นแหละว้า...หิๆๆๆ...น่าเศร้าใจจิ้ง...ชีวิตนักบรรยาย ....

sunshine

ไม่ขอยกหลักการ หรือหลักฐานละกัน...

อย่างแรก เราไม่ได้อยู่ใน มัสฮัฟ หรือ กลุ่มไหน ใดๆ ทั้งสิ้น.... ที่แวะเข้ามาตอบอีกคน เพราะเหมือนต่างคนต่างลงความเห็นกันไปกันมะ

จะบอกว่า ในอดีต ตัวเองไม่เคยเช็คเลยว่า สิ่งที่ตัวเองทำตอนละหมาด นั่งอย่างนั้น พูดอย่างนี้ อ่านไม่อ่านอันนั้นอันนี้ตรงไหน..ผิดหรือถูกต้องแล้วหรือยัง..ประมาณว่า เป็นมุสลิม มาตั้งแต่เกิด อยู่ในสังคมมุสลิม เรียนในโรงเรียนที่สอนด้วยมุสลิม...เลยคิดว่า เราทำถูกแล้วหล่ะ....อย่างน้อย ใครๆเค้าก็ทำกันอย่างนี้ นี่นา

จนกระทั่ง..มีโอกาสละหมาดร่วมกับมุสลิม ที่มาจาก หลายมุมของโลก ...เห็นเค้าละหมาด...เอ..เค้าไม่เห็นทำเหมือนเราเลย ไอ้เราจะบอกว่าเค้าผิดหรือถูกก็ใช่เรื่อง...จนตัดสินใจว่า เอาหล่ะ ขอศึกษาการละหมาด ต่างๆ ด้วยตัวเองละกัน ...เอากันตั้งกะเราะ ตักบีรเลยหล่ะ หาอ่านหนังสือ หลายเล่ม....รวมๆ กันแล้ว

สุดท้าย..... สรุปให้ตัวเองว่า...

หนึ่ง....การยกมือขอดูอาหลังละหมาดทำได้...แต่ไม่มีปรากฏอาดิษที่บอกว่า นบีมูฮัมหมัด (ซล.) ยกมือขอดูอาหลังละหมาด (ห้าเวลา) ทุกครั้ง...เพราะงั้น ส่วนตัว ตัดสินใจ ไม่ยกมือขอดูอาทุกครั้งหลังละหมาด แต่ก็จะยกบ้าง นานๆที...อย่าง ในละหมาดพิเศษ ตอนดึกเป็นต้น... มีฮาดิษที่บอกว่าท่านยกมือขอดูอาซะสูงจนเห็น....(...) อันนั้น เท่าที่จำได้ เป็นดูอาขอฝน (ใช่มั้ย?) อีกอันที่มีการยกมือคือการขอดูอากูนูด

สอง...เรื่องการลูบหน้า...ก็ไม่ทำ เพราะไม่ยกมือขอดูอา...เลยไม่ได้ลูบหน้า.... จริงๆ เห็นด้วยกับบางความเห็น แต่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง อยากบอกว่า นี่เป็นการตัดสินใจสำหรับตัวเองเท่านั้น (หลังจากอ่านหนังสือ และหาอ่านฮาดิษต่างๆ)

สาม...กระดิกนิ้ว ตอนอ่านตาฮียัต ตอนนั่ง ..(Tashahhud) ก็ไม่ได้กระดิกนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็ตาม... มีฮาดิษ ที่บอกเรื่องกระดิกนิ้วเหมือนกัน...แต่ชั่งน้ำหนักแล้ว ไอ้ที่ไม่กระดิก มีน้ำหนักมากกว่า...ส่วนเรื่องที่กระดิกตอนนั้นตอนนี้ เท่านั้น...ไม่มีปรากฏในฮาดิษใดๆ และเท่าที่จำได้...เรื่องการกระดิกตอนนั้นตอนนี้...เป็นความเห็นของอีหม่าม...(ทั้งสี่? โดยให้ความเห็นเรื่องการกระดิกในรายละเอียดที่แตกต่างกันไป)

และหลายต่อหลายอย่าง.... ไม่ขอเกริ่นละกัน แต่อยากจะบอกว่า ...เราจะไม่เอาตัวเองไปผูกกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เด็ดขาด...หนังสือหนังหา มีให้อ่านกันทั่วไป...สงสัยอะไรก็หาอ่านและตัดสินใจสำหรับตัวเอง ว่าทำอย่างไร ถึงจะดีจะถูก...แต่ถ้าอ่านแล้ว งง .....อิสลามก็แนะนำให้ถามผู้รู้...ถึงจุดนั้นเราถึงจะหันไปหาข้อมูล จากนักวิชาการ(ที่เชื่อถือได้) ว่าเค้าให้ความเห็นเรื่องนั้นๆอย่างไร....พอได้อ่านความเห็นเค้าแล้ว...เราก็จะกลับมาอ่านแล้วตัดสินใจอีกที ว่าอันไหนถูก...


เราเชื่อว่าทุกคนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลที่นี่...ต่างหวังดีทั้งนั้น แต่ทำไม สุดท้าย...การให้ความเห็นต่างๆ ถึงได้ออกมาในแนวของการโจมตี ยกตนข่มท่านไปได้....แต่ก็นั่นหล่ะ แค่รู้สึก เพราะหลังๆ เข้ามาอ่านแล้วรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ..

คำถาม...

เรารู้ว่า..
หนึ่ง.....พอเข้ามัสยิดปุบ เราควรละหมาดซุนัส (เข้ามัสยิด) ด้วยสอง รอกาอัต
สอง.....เรารู้ว่า ละหมาดร่วมกัน...จะได้บุญ 27 เท่า.

เพราะงั้น ก็มีสองฮาดิษชัดเจน...งั้น พอเราเข้า มัสยิดปุ๊บ...เราก็เข้าพร้อมๆกัน...แล้วก็ทำการละหมาดซุนัสที่ว่าพร้อมๆกัน (มีอีหม่ามนำ) ด้วยเลยดีมั้ย???

ฮิฮิ...ไม่ต้องตอบค่ะ...เพราะขอตอบเองว่าไม่ได้...เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่าทำได้....

แต่ที่เขียนไป...เพราะมีหลายต่อหลายกรณี...ที่ฮาดิษ เค้ากล่าวเป็นเรื่องๆกันไป ...หลายคนก็จับเอามาแกงรวมกันเลย...ดูอิรุงตุงนังกันไปใหญ่เลย.. เรื่องรายละเอียดเหล่านี้ อยากให้เรียนกัน...ศึกษาหาข้อมูลกัน สุดท้าย ใครคิดว่าอย่างไหนถูกก็ทำกันไป...แต่อย่าถึงกับดุเดือดอย่างนี้เลย...


ถ้าจะคุยกันจริงๆ ...อยากบอกว่า เรื่องหนวด เรื่องเครา น่าจะน่าสนใจกว่า หรือปล่าว....



..เอาหล่ะ....สุดท้ายจริงๆ....อยากบอกว่า เรื่องศาสนาเป็นเรื่องของทุกคน....อย่ารอให้นักวิชาการเดินมาบอกว่า ทำไม่ทำอย่างไร....เพราะถ้าไม่รู้ ก็ศึกษาหาความรู้ซะ...เพราะ....ความไม่รู้... หรือ ลืม...อาจจะเป็นข้ออ้างได้...แต่ถ้าไม่คิดจะศึกษา...อันนี้ใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้....

i'm somebody

ชัก เคลิ้ม ๆ ตาม คุณ คนอยากรุ้ แระ คนไม่มีความรู้อย่างเรา คงต้องมาแอบตักตวงแถว ๆ นี้แหละค่ะ ได้ความรู้มากมายทีเดียว แต่ ถ้าลงแต่วิชาการอย่างเดียว ไม่มีคำเหน็บ ประชดประชัน จะได้ใจไปอีกเยอะนะคะ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การลูบหน้าหลังจากดุอา
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.พ. 16, 2007, 05:35 AM »
0
asan

Konyakroo ไปกอ็บปี้ ข้อความของนายนู้รุ้ลอิสลาม แล้วมาสรุปว่า
ในที่สุด วะฮาบีย์ก็ต้องถอยกรูดไม่เป็นท่าเพราะหมกเม็ดเป็นอาชีพ เหมือนเดินสายขายบิดอะแถวหลาดสดกิมหยงนั้นแหละว้า...หิๆๆๆ...น่าเศร้าใจจิ้ง...ชีวิตนักบรรยาย ....????..

ตอบ

ที่จริงก็ไม่อยากจะตอบเลย เพราะมันไร้ประโยชน์จริงๆ แต่เกรงว่าถ้าไม่อธิบาย เดี๋ยวชาวบ้านจะสับสน
ขอให้น้องบ่าวคนอยากรู้และทีมงาน นำเสนอหะดิษที่ว่าเศาะเฮียะ ที่เกี่ยวกับการลูบหน้าหลังดุอา ก็ไม่ยอม แต่กลับอ้าง อ้างอิหม่ามนะวาวีย์ โดยไม่ได้ยกหะดิษมาให้เห็นว่า หะดิษบทใหนที่อิหม่ามนะวาวีย์ว่า ใช้ได้ แต่กลับอ้างว่า
อิมามอันนนะวาวีย์ได้รายงานหะดิษ ของท่าน อุมัร (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์ จากท่านอิบนุอับบาส ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด ซึ่งการวิจารณ์หะดิษดังกล่าวนั้น ผมไม่ขอยกอ้างอิงมา เพราะว่ายังมีบรรดาหะดิษอีกมากมาย จากท่าน อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุรร๊อซซาก ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ที่เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ขอนำมาหยิบยกมาใน ณ ที่นี้ เนื่องจากเราจะเขียนลงบทความเลยทีเดียว อินชาอัลเลาะ ..........................
คุณไม่รู้หรือว่า หะดิษที่รายงานโดยท่านอุมัร ที่รายงานโดยอัตติมิซีย์นั้น เฏาอีฟ ขอนำเสนอหะดิษดังกล่าวดังนี้
كان رسول الله صلي الله عليه وسلم إذا رفع يديه في الدعاء لم يردهما حتى يمسح بهما وجهه" (الترمذي 5-464
ปรากฏว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมือท่านได้ยกมือทั้งสองของท่าน ในการขอดุอา ท่านจะไม่ดึงมันทั้งสองกลับ จนกว่าท่านจะลูบหน้าของท่านด้วยมือทั้งสอง - รายงานโดย อัตติรมิซีย์ 6-5/464
หะดิษบทนี้อิหม่ามติรมิซีย์เอง ก็ระบุว่า เป็นหะดิษเฆาะรีบ ดู อัลอิละลิลมุตะนาฮียะฮ เล่ม 2 หน้า 357 และในหน้าเดียวกันนั้น ระบุว่า
وقال احمد بن حنبل وابو حاتم والدراقطني حماد ضعيف

และอะหมัด บิน หัมบัล อบูหาติม และ อัดดารุ้ลกุฏนีย์ กล่าวว่า ?หะมาด( หมายถึง หะมาด บุตรอีซา) นั้น หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ)


และอิหม่านะวาวีย์ได้ระบุไว้ในหนังสือ อัลอัซกัร หน้า 399 ว่า
روينا فى كتاب الترمذى: عن عمربن الخطاب- رضى الله عنه- قال : كان رسول الله- صلى الله عليه وسلم ?اذا رفع يديه فى الدعاء لم يحطهما حتى يمسح بهما وجهه, وروينا فى سنن ابى داود عن ابن عباس-رضى الله عنه- عن النبى ?صلى الله عليه وسلم- نحوه, وفى اسناد كل واحد ضعف.)
เราได้เราได้รายงานในหนังสือ ของอัตติรมิซีย์ จากอุมัร บุตร อัลคอฏฏอ็บ(ร.ฎ)กล่าวว่า
ปรากฏว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมือท่านได้ยกมือทั้งสองของท่าน ในการขอดุอา ท่านจะไม่วางมันทั้งสองกลับ จนกว่าท่านจะลูบหน้าของท่านด้วยมือทั้งสอง , เราได้รายงานในสุนันอบีดาวูด จากอิบนิอับบาส (ร.ฎ)จากท่านนบี ศอ็ลลัลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในทำนองเดียวกัน และในสายรายงาน ทุกคน หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ)
..........
ส่วนอิบนุหะญัรกล่าวว่า
เมื่อรวมหะดิษหลายๆสำนวนมาสนับสนุน ก็ยกระดับ ไปสู่ หะดิษฮะซัน(ดี) ? ดูสุบุลุสสลาม เล่ม 4 หน้า 129
รายละเอียดที่ว่าเฏาะอีฟหะดิษข้างต้น ดูเพิ่มเติมข้างล่าง
دعاءُ العبد ربَّه وسؤالُه إياه مَشروع ومُرَغَّبٌ فيه، ورفعُ اليَدَيْن فيه ضَراعةً وابتهالا إلى الله ثابتٌ مشروعٌ أيضاً. وأما مسحُ الوجهِ بالكفَيْن عَقِبَ الدعاءِ: فقد وردَ فيه حديثٌ ضعيف رواه ابنُ ماجه مِن طريق صالح بن حَسان النصري عن محمد بن كعب القُرَظِي عن ابن عباس - رضي الله عنهما - قال: قال النبي - صلى الله عليه وسلم -: «إذا دعوتَ فادعُ اللهَ ببطونِ كفَّيْكَ، ولا تدعُ بظهورهما، فإذا فرغتَ فامسحْ بهما وجْهَكَ» لضعف صالح بن حسان، فقد ضعَّفه أحمد وابنُ معين وأبو حاتم والدار قطني، وقال البخاري: منكر الحديث، وقال أبو نعيم الأصبهاني: منكر الحديث متروك، وقال ابنُ حبان: كان صاحبَ قينات وسَماع، وكان يروى الموضوعات عن الأثبات، وقال ابنُ الجوزي في هذا الحديث: لا يصح؛ فيه صالح بن حسان.

وورد فيه حديث آخر رواه الترمذي في سننه قال: حدثنا أبو موسى محمد بن المثنى وإبراهيم بن يعقوب وغير واحد قالوا: حدثنا حماد بن عيسى الجهني: عن حنظلة بن أبي سفيان الجمحي: عن سالم بن عبدالله: عن أبيه: عن عمر بن الخطاب - رضي الله عنه -، قال: كان رسول الله - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - إذا رفع يديْهِ في الدعاءِ لم يحطَّهما حتى يمسحَ بهما وجْهَه. قال محمد بن المثنى في حديثه: لم يردَّهما حتى يمسحَ بهما وجهَه. قال أبو عيسى: هذا حديث صحيح غريب لا نعرفه إلا مِن حديث حماد بن عيسى، وقد تفرد به وهو قليل الحديث، وحنظلة بن أبي سفيان ثقة، وثَّقه يحيى بن سعيد القطان.اهـ ولكن فيه حماد بن عيسى وهو ضعيف وقد تفرد به على ما ذكره الترمذي.
http://www.sahab.com/go/fatwa.php?id=304
.............
ผมไม่มีเวลามากนักแต่ได้ลิ้งไว้ให้แล้ว ประเด็นนี้ มีข้อขัดแย้งเรื่องหะดิษ ผมก็ไม่เคยกล่าวหาว่า คนลูบหน้าตกนรก และไม่อยากโต้เถียงกันให้กระทู้ต้องปิดอีก เพราะพวกคุณได้ประกาศเป็นศัตรูกับผู้ที่พวกคุณเรียกว่า วะฮบีย์ ไปแล้วโดยพฤตินัยที่แสดงออกมา แต่ก็จำเป็น ต้องชี้แจงบ้างเมื่อถูกกล่าวหา

asan

เพิ่มเติม

كان رسول الله صلي الله عليه وسلم إذا رفع يديه في الدعاء لم يردهما حتى يمسح بهما وجهه" (الترمذي 5-464

ปรากฏว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมือท่านได้ยกมือทั้งสองของท่าน ในการขอดุอา ท่านจะไม่ดึงมันทั้งสองกลับ จนกว่าท่านจะลูบหน้าของท่านด้วยมือทั้งสอง - รายงานโดย อัตติรมิซีย์

วิจารณ์

قال يحيى بن معين : هو حديث منكر ، وقال أحمد بن حنبل وأبو حاتم والدراقطني : حماد ضعيف

ยะหยา บิน มุอัยยิน กล่าวว่า "เป็นหะดิษมุงกัร (ถูกปฏิเสธ)และอะหมัด บิน หัมบัล อบูหาติม และ อัดดารุ้ลกุฏนีย์ กล่าวว่า ?หะมาด( หมายถึง หะมาด บุตรอีซา) นั้น หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ)- ดู อัลอิละลิลมุตะนาฮียะฮ เล่ม 2 หน้า 357 หะดิษหมายเลข 1406

อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า

إسناده ضعيف

สายสืบของมันเฎาะอีฟ

? ดู คุลาเศาะตุลอะหกาม หะดิษหมายเลข 1522 เล่ม 1 หน้า 461-462

หะดิษข้างต้นเฎาะอิฟ ดู
والحديث ضعفه الألباني في إرواء الغليل رقم ( 433 ) ، وفي ضعيف الترمذي رقم ( 3386 ) 5 / 463 ، وفي ضعيف الجامع رقم ( 4412

.............
عن محمد بن كعب القرظي عن ابن عباس رضي الله عنهما أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال سلوا الله ببطون كفوفكم ولا تسألوه بظهورها فإذا فرغتم فامسحوا بها وجوهكم قال أبو داود روى هذا الحديث من غير وجه عن محمد بن كعب كلها واهية هذا متنها وهو ضعيف أيضا
รายงานจากมุหัมหมัด บิน กะอับ อัลกอรซีย์ จากอิบนิอับบาส (ร.ฎ) ว่า แท้จริง ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอลฯ กล่าวว่า "พวกท่านจงขอต่ออัลลอฮ ด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และอย่าขอพระองค์ด้วย หลังมือแล้วเมื่อเสร็จจากดุอา ก็จงลูบหน้าของพวกท่าน ด้วยมัน ,อบูดาวูด กล่าวว่า ได้มีการรายงานหะดิษนี้ จากสายรายงานอื่น จากมุหัมหมัด บิน กะอฺอับ ซึ่งสานรายงานทั้งหมดนั้นอ่อนหลักฐาน นี้คือ ตัวบทของมัน มันก็เฎาะอีฟอีกเช่นกัน ดู อัลมัจญมัวะ ของอิหม่ามนะวาวีย์ เล่ม 3 หน้า 462-463
................

นูรุ้ลอิสลาม

ดีมากคุณอะสัน นำเสนอมาเรื่อย ๆ แล้วรอผมเคลียร์นะ เดี๋ยวพิมพ์ก่อน

asan

เอาหะดิษที่เศาะเฮียะ นะคับท่าน ส่วนที่ หลายๆเฎาะอีฟ มารวมกัน เป็นฮะซัน ไม่เอา
..............
ขอเข้านอนก่อน

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

เอาหะดิษที่เศาะเฮียะ นะคับท่าน ส่วนที่ หลาย ๆ เฎาะอีฟ มารวมกัน เป็นฮะซัน ไม่เอา

ผมขอกล่าวว่า

คุณอะสันต้องการหะดิษซอฮิหฺในกับประเด็นนี้เพื่ออะไรครับ ? เพื่อที่ให้ตนเองยอมรับในเรื่องลูบนี้นะหรือ ? ผมขอบอกเลยนะว่า ผมไม่ต้องการให้คุณอะสันมาร่วมลูบหน้ากับพวกเราด้วยหรอก ดังนั้น สิ่งที่ผมได้นำเสนอหรือจะนำเสนอนั้น ไม่ใช่เพื่อให้คุณอะสันมายอมรับในแนวทางของเรา!! เพราะจะให้เราพูดเท่าไหร่ คุณอะสันก็ไม่เคยเชื่ออยู่แล้ว เพราะว่ามันไม่ใช่ทัศนะของคุณอะสันจะเอา ขนาดสนทนาเรื่องกุนูตและชี้แจงรายละเอียดว่า ซอฮิหฺ แต่คุณอะสันก็ไม่เคยเอา ยกหะดิษเกี่ยวกับการซิกิรร่วมวงที่ซอฮิหฺ คุณอะสันก็ไม่เคยเหลียวแล ดังนั้น จึงเปล่าประโยชน์ ที่จะทำตามเงื่อนไขที่คุณอะสันบอกมาว่าจะเอาหะดิษซอฮิหฺ คุณอะสันไม่ยอมเอาหะดิษฏออีฟมาเป็นปฏิบัติ แต่ เอาหะดิษฏออีฟ มากล่าวหุกุ่มบิดอะฮ์กับแนวทางอื่น ๆ อย่างเช่นหะดิษถึงท่านอิบนุมัสอูดเกี่ยวกับซิกิรล้อมวง

ผมไม่ทราบว่า ทำไมคุณไม่อะสันไม่เอาหะดิษ "หะซัน" ? ทั้งที่การยกมือตักบีรในละหมาดอีด ฟิตริและอัฏหา นั้น ก็เป็นแค่หะดิษ "หะซัน" ที่รายงานโดยท่านอะหฺมัด พอหะดิษหะซันเกี่ยวกับการยกมือตักบีรในละหมาดอีก คุณอะสันเอามาปฏิบัติครับ แต่พอหะดิษหะซันตามหลักวิชาหะดิษ คุณอะสันกลับไม่ยอมรับฟัง ซึ่งไม่เอาไม่เป็นไร แต่ขอให้รับฟัง เพราะของสุนัตนั้น ไม่จำเป็นต้องมีหะดิษซอฮิหฺมารับรอง แต่หะดิษฮะซันก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

และหะดิษ كل بدعة ضلالة وكل ضلالة فى النار "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลงและทุกความลุ่มหลงนั้น อยู่ในนรก" รายงานโดยท่าน ติรมีซีย์ ซึ่งหะดิษนี้ ไม่ซอฮิหฺครับ แต่สูงสุดแค่ระดับ "หะซัน" แต่ที่ผ่านมาทำไมคุณอะสันถึง ชอบยกนักยกหนากับหะดิษนี้ เพื่อจะมาหุกุ่มพี่น้องมุสลิมีนลงนรก ทำไมไม่ถามตนเองบ้างละครับว่า "หะดิษนี้หะซันวุ้ย จะนำมายกอ้างเพื่อให้ลงนรกกับพี่น้องมุสลิมได้วุ้ย" แต่มันถูกอารมณ์ของคุณอะสัน ก็เลยชอบยกแล้วยกอีก อ้างแล้วอ้างอีกว่า "ทุกบิดอะฮ์นั้นลุ่มหลงและทุกความลุ่มหลงนั้น อยู่ในนรก" เพราะตรงกับอารมณ์ความใคร่ แต่พอมาถึงเรื่องลูบหน้า หะดิษ "หะซัน" คุณอะสันก็ไม่ยอมรับฟังแล้วครับ แล้วคุณอะสันมันมีจุดยืนอะไรทีเป็นหลักเป็นแหล่งบ้างละครับบบบบ... หรือจะเอาตามที่อารมณ์พาไป ซึ่งแบบนี้ ผมเห็นแล้วว่า คุณอะสันนั้น "ซ่อราน่อง" จริง ๆ
พอฮุกุ่มคนอื่นลงนรกแล้วใช้หะดิษ "หะซัน" แต่เวลาเรื่องที่ตูไม่เอา แม้ระดับถึง "หะซัน" ตูก็ไม่ยอมรับฟัง" นั่นคือ หลักการของคุณอะสัน

นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

นั่นคือทัศนะของอิมามอันนะวาวีย์ และทัศนะของอุลามาอ์มัซฮับชาฟิอียะฮ์ ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้ตั้งหัวข้อเรื่องที่ว่า

باب رفع اليدين فى الدعاء ثم مسح الوجه بهما

"บทว่าด้วยเรื่องการยกมือทั้งสองในการขอดุอาอ์และทำการลูบหน้าด้วยสองมือนั้น" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 258 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ ในบทดังกล่าวนั้น อิมามอันนนะวาวีย์ได้รายงานหะดิษ ของท่าน อุมัร (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอัตติรมีซีย์ จากท่านอิบนุอับบาส ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด ซึ่งการวิจารณ์หะดิษดังกล่าวนั้น ผมไม่ขอยกอ้างอิงมา เพราะว่ายังมีบรรดาหะดิษอีกมากมาย จากท่าน อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัลหากิม ท่านอับดุรร๊อซซาก ท่านอิบนุ ชัยบะฮ์ ที่เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ขอนำมาหยิบยกมาใน ณ ที่นี้ เนื่องจากเราจะเขียนลงบทความเลยทีเดียว อินชาอัลเลาะ
......................

ตอบ

ได้กลิ่นหะดิษเฏาะอีฟ ท่านอิหม่ามนะวะวีย์วิจารณ์หะดิษที่ท่านระบุอย่างไรหรือครับ

ผมขอกล่าวว่า

คุณอะสันจะรีบร้อนไปใหนละครับ ก็ในเรื่อง อัลอัซฮะรีย์เอง ก็ไม่ได้ต้องการที่จะมาโต้เถียงกับคุณอะสันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าเขาต้องการให้คุณอะสันไปอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องลูบหน้าที่จะถูกนำเสนอโดยนักศึกษาฯ ที่ผ่านมานั้น อัลอัซฮะรีย์วิจารณ์ ดร. มุฮัมมัด สะอฺดีย์ ในกับการอ้างว่า หะดิษยกมือนั้น อุลามาอ์ส่วนมากบอกหะซัน แต่อัลอัซฮะรีย์บอกว่า ไม่ถูกต้อง เพราะว่ามันซอฮิหฺ แต่เวลามาประเด็นของเรื่องลูบหน้าโดยอ้าง หัวข้อบทเรื่องการยกมือแล้วลูบหน้า ที่อิมามนะวาวีย์ ได้ตั้งหัวข้อไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ของท่านนั้น อัลอัซฮะรีย์ ก็ไม่ได้บอกว่าหะดิษนั้นซอฮิหฺ เขาไม่ได้วิจารณ์หะดิษเลย คือหมายถึงเรื่องดังกล่าวนี้ ปล่อยไว้ก่อนไม่อยากสนทนา เพราะจะนำเสนอในเชิงบทความเลย อัลอัซฮะรีย์เขารู้ดีกว่าบังอะสันเสียอีกว่า อิมามนะวาวีย์ได้กล่าววิจารณ์อะไรไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อัลอัซฮะรีย์ก็กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "เราจะทำการรวบรวมเพื่อมาวิเคราะห์เกี่ยวกับประเด็นนี้" ก็แสดงว่า ต้องมีการรวบรวมหะดิษ เพื่อจะทำการวิจารณ์ตามหลักวิชาหะดิษอย่างแท้จริง แต่คุณอะสันก็ดันมาพูดพล่ำเกะกะและนำเสนอทัศนะของตนที่จะเอาต่อไป ผมก็ต้องเข้ามาคุยทัดทานไว้หน่อย ก่อนที่จะคุณอะสันจะตามอารมณ์แต่ที่ตนเองจะเอาที่เป็นอยู่อย่างนี้

การที่เรายกทัศนะมาจากหนังสือของอิมามนะวาวีย์(ร.ฏ.) นั้น เพราะยืนยันในทัศนะของเรา ไม่ใช่มาประเคนให้คุณอะสันร่วมทำกับเราจนให้เราต้องหมองไปด้วยหรอกครับ ดังนั้น เมื่อเราได้ทำการยกทัศนะของอิมาม อันนะวาวีย์ แม้จะมีหะดิษฏออีฟ ท่านอิมามนะวาวีย์ก็ยอมรับในเรื่องการนำมาปฏิบัติในคุณงามความดี เพราะท่านอิมามนะวาวีย์ ได้กล่าวทัศนะของท่านไว้ตั้งแต่ช่วงต้น ๆ หนังสืออัลอัซการแล้วว่า

فصل‏:‏ قال العلماءُ من المحدّثين والفقهاء وغيرهم‏:‏ يجوز ويُستحبّ العمل في الفضائل والترغيب والترهيب بالحديث الضعيف ما لم يكن موضوعاً‏

" บรรดาปวงปราชน์จากนักหะดิษ , ฟิกห์ , และท่านอื่น ๆ กล่าวว่า อนุญาติ และสุนัตให้ปฏิบัติในเรื่องคุณงามความดี การส่งเสริม และทำให้มีความกลัวเกรง ด้วยกับหะดิษฏออีฟ ตราบใดที่มันไม่เป็นหะดิษเมาฏั๊วะ"

นั่นคือทัศนะของอิมามนะวาวีย์ และก็เป็นทัศนะของพวกเรา

เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่คุณอะสันบอกว่าได้กลิ่นหะดิษฏออีฟ นั้น ก็อย่าทำตัวเป็นคนขยะแขยงในหะดิษฏออีฟและผู้ที่มีทัศนะในการปฏิบัติหะดิษฏออีฟได้ตามหลักการของพวกเขา ซึ่งเป็นทัศนะของอุลามาอ์ส่วนมาก



คุณอะสันกล่าวว่า

โดยใช้หลักวิชาการ ไม่ใช่การกล่าวหาและใช้พฤติกรรมที่พยายามทำลายอุลามาอฺ ที่ร้ายแรงที่สุดคือ เอาภาพตัดต่อมาทำลาย ดังกระทู้ที่ถูกปิดไปแล้ว 2 กระทู้ที่ไม่น่าจะมาจากผู้รู้ และที่บังปิดกระทู้ในเวปมรดก ก็เพราะอย่างนี้

ผมขอกล่าวว่า

ที่กระทู้ถูกปิดในเวปมรดกไปนั้น เพราะคุณอะสันไปไม่รอด และเพราะคำพูดหยาบคาย ด้วยคำว่า หมา เปรต เอาสัตว์มาพูดเปรียบเปรย (ขอโทษท่านผู้อ่านที่เอ่ยคำนี้ที่คุณอะสันเคยพูดออกมา) ก็เลยต้องปิดกระทู้ ด้วยมารยาทของวะฮาบีย์เอง และกระทู้กุนูตและตัลกีน ก็ถูกลบ เพราะอะไรครับคุณอะสัน เพราะมันมีน้ำหนักที่ไปคัดค้านทัศนะของวะฮาบีย์ใช่ไหม ? และกระทู้ที่ถูกปิดของคุณอะสันนั้น เพราะทำลายอุลามาอ์ อยากถามหน่อยว่า อุลามาอ์คนใหนที่พวกเราทำลาย ? หรือหมายถึง นายมุรีด ที่ฮุกุ่มคนทำเมาลิดลงนรกนะหรือครับ ฮ่า ฮ่า นั่นไม่ใช่อุลามาอ์ แต่แอบอ้าง คุณอะสันทำหรอย ที่อ้างว่าปิดกระทู้ประเหตุผลนั้น เหตุผลนี้ แต่ทีประเด็นที่ตนเองโดนวิจารณ์ละก็ ลบเฉยเลยครับ เพราะกลับอับอาย ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องมาสาธยายหลอกคนอ่านหรอกครับคุณอะสัน แหม...ยังไงนักศึกษาฯ ก็สนทนารู้ใส้รู้พุงคุณอะสันหมดแล้ว จะแก้ตัวอย่างไรก็ไปไม่รอดหรอก น่ะจะบอกให้


คุณอะสันกล่าวว่า

อยากจะเรียนว่า ไม่มีสักประโยคเดียวที่ผมกล่าวหาว่า ผู้ที่ลูบหน้าตกนรก นะน้อง เพียงแต่หะดิษเฎาะอีฟ เราไม่เอามาเป็นหลักฐาน ส่วนที่ว่า หะซันนั้น รู้นะจะอ้างอิบนุหะญัรใช่ไหม

ผมขอกล่าวว่า

ผมก็ไม่ได้บอกว่า คุณอะสันหุกุ่มว่าการลูบหน้าตกนรกนี่ครับ แต่ผมเพียงพูดแบบรวม ๆ ว่า บิดอะฮ์ศาสนาตามทัศนะของคุณอะสันนั้น ลุ่มหลง และตกนรก ใช่ป่ะ ? หรือว่ามีบิดอะฮ์ของคุณอะสันประเภทที่ไม่ตกนรกด้วย? หากมีก็ช่วยบอกผมด้วย เพราะจะได้รู้ไงว่า วะฮาบีย์นั้น มันมีบิดอะฮ์ศาสนาแบ่งออกเป็นสองอีก คือบิดอะฮ์ที่ตกนรก และบิดอะฮ์ที่ไม่ตกนรก แล้วคุณอะสันมีทัศนะหรือไม่ว่า การปฏิบัติหะดิษฏออีฟนั้นเป็นบิดอะฮ์ ? ถ้าไม่เป็นบิดอะฮ์ก็เงียบไปซ่ะ แต่ถ้าเป็นบิดอะฮ์ ผมอยากถามว่า บิดอะฮ์ศาสนาหรือไม่ ? แล้วหากเป็นบิดอะฮ์ศาสนาตามทัศนะของคุณอะสัน แล้วล่มหลงหรือไม่? และหากว่าเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง ผมอยากถามว่าบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลงตกนรกหรือไม่ ? โปรดตอบตามหลักการที่คุณอะสันยึดก็แล้วกันนะครับ



วิจารณ์หะดิษเรื่องการลูบหน้า


เรื่องการลูบหน้าหลังดุอาอ์นั้น เราผู้อยู่มัซฮับทั้งสี่ ขอบอกว่า ไม่มีหะดิษซอฮิหฺที่มาระบุในเรื่องนี้ แต่ดีสุดก็แค่ระดับ "หะซัน" ตามหลักการนักหะดิษและวิชาหะดิษ ความจริงผมเองก็อยากที่จะนำเสนอหะดิษฏออีฟต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อมาชี้แจงต่อท่านทั้งหลาย เพื่อให้รู้ว่าฏออีฟอย่างไร และอย่างไรถึงอยู่ในระดับหะดิษหะซันได้ แต่ผมก็ให้คุณอะสันนำเสนอ เพื่อทุ่นแรงได้เยอะเลยนะครับ ก็ดีเหมือนกัน คุณอะสันจะได้ความรู้ไปด้วย ดังนั้น หะดิษหะซัน สามารถนำมาปฏิบัติด้วยโดยไม่มีการขัดแย้งกันเลยครับ


ท่าน อัศศ๊อนอานีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ สุบุลุสสลาม ซึ่งเป็นหนังสือ อธิบายหนังสือ บุลูฆุลมะรอม ของท่าน อัลหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ว่า


وأما مسح اليدين بعد الدعاء فورد فيه الحديث الأتى :

عن عمر رضى الله عنه قال : كان رسول الله صلى الله عليه وسلم إدا مد يديه فى الدعاء لم يردهما حتى يمسح بهما وجهه . أخرجه الترمدى

وله الشواهد منها :

حديث ابن عباس رضى الله عنهما عند أبى داود ، وغيره ، ومجموعها يقضى بأنه حديث حسن .

ความว่า "และสำหรับการเอาสองมือลูบ(ใบหน้า)หลังดุอาอ์นั้น ได้มีหะดิษระบุมาดังนี้

(ท่านอิบนุหะญัรได้นำเสนอรายงานว่า " รายงานจากท่านอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ท่านกล่าวว่า เมื่อท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้ยื่นสองมือทั้งสองในการขอดุอา ท่านจะไม่เอามือทั้งสองของท่านกลับลงมา จนกระทั้งท่านได้เอามือทั้งสองลูบใบหน้าของท่าน" นำเสนอรายงานโดย ท่านอัตติรมีซีย์

(ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัศเกาะลานีย์ได้วิจารณ์หะดิษดังกล่าวว่า) และให้กับหะดิษนี้ มีหลายหะดิษที่มาสนับสนุน ส่วนหนึ่งก็คือ หะดิษของท่านอิบนุอับบาส (ร.ฏ.) ที่รายงานโดยท่านอบูดาวูด และท่านอื่น ๆ โดยที่บรรดาหะดิษที่มาสนับสนุนที่ถูกประมวลไว้แล้วนั้น สามารถตัดสินได้ว่า หะดิษลูบหน้านั้น เป็นหะดิษหะซันحديث حسن (หะดิษดี) " ดู หนังสือ สุบุสสลาม เล่ม 4 หน้า 708 หรือหะดิษที่ 1463 ที่ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าวรายงานและวิจารณ์เอาไว้

และอีกส่วนหนึ่งจากหะดิษที่มาสนับสนุนนั้น คือหะดิษที่ท่าน อบูดาวูด ที่ได้ทำการรายงานจาก

السائب بن يزيد عن أبيه : أن رسول الله صلى الله عليه وسلم كان ادا دعا فرفع يديه ، مسح وجهه بيديه . وفيه ابن لهيعة

รายงานจากท่าน อัสสาอิบ บิน ยะซีด จากบิดาของเขา ว่า "แท้จริง เมื่อท่านร่อซุลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้ขอดุอาอ์ ท่านจะยกมือทั้งสอง แล้วเอามือทั้งสองขอท่านลูบที่ใบหน้า" ซึ่งในหะดิษนี้ มีนักรายงานที่ชื่อ อิบนุละฮีอะฮ์ / ดู หนังสือ อิบานะฮ์ อัลอะหฺกาม ชัรหฺ บุลูฆุลมะรอม เล่ม 4 หน้า 430 ของท่าน ชัยค์ อับดุสลาม อัลลูช . ซึ่งท่านอิบนุละฮีอะฮ์นั้นไม่ถึงระดับเป็นผู้ความจำดีเลิศและถูกวิจารณ์จากนักหะดิษ และถ้าหากว่าเราได้อ่านหนังสือหะดิษ "อัลมัจญฺมะอ์ อัซซะวาอิด" ของท่าน นูรุดดีน อัลฮัยษะมีย์ เราจะพบว่าท่าน อัลฮัยษะมีย์จะกล่าววิจารณ์ อิบนุละฮีอะฮ์ว่า إبن لهيعة حسن الحديث (อิบนุละฮีอะฮ์นั้น หะดิษดี)

ท่านอัลหากิม ได้รายงาน จากท่านอิบนุอับบาสว่า

إدا سألتم الله فأسألوه ببطون أكفكم ولا تسألوه بظهورها وامسحوا بها وجوهكم

"เมื่อพวกท่านวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น พวกท่านจงขอพระองค์ด้วยท้องฝ่ามือของพวกท่าน โดยอย่าขอด้วยหลังมือ และพวกท่านจงลูบใบหน้าด้วยมือของพวกท่าน" ดู อัลมุสติดร๊อก อะลา อัศศ่อฮีฮัยน์ ของท่าน อัลหากิม เล่ม 1 หน้า 719 - 720 และท่านอัซซะฮาบีย์ได้นิ่งจากการวิจารณ์มัน

ท่านอิมาม อัสสะยูฏีย์ (ร.ฮ.) ได้นำเสนอรายงานเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า

إدا سألتم الله فأسألوه ببطون أكفكم ولا تسألوه بظهورها { د } عن مالك بن يسار السكوفى {هـ طب ك } عن ابن عباس ، وزاد {وامسحوا بها وجوهكم } {ح}

" เมื่อพวกท่านวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น พวกท่านจงขอพระองค์ด้วยท้องฝ่ามือของพวกท่าน โดยอย่าขอด้วยหลังมือ (รายงานโดยอบูดาวูด) จาก มาลิก บิน ยะซาร อัสสะกูฟีย์ (รายงานโดย อิบนุมาญะฮ์ ท่านอัฏฏ๊อบรอนีย์ และท่านอัลหากิม) จากท่านอิบนุอับบาส และ(ท่านอัลหากิม) เพิ่มมาว่า (และพวกท่านจงลูบใบหน้าด้วยมือของพวกท่าน) ( อิมาม อัสสะยูฏีย์กล่าวว่า หะดิษนี้ เป็นหะดิษหะซัน) " คืออักษร {ح} ตามทัศนะของท่านอิมาม อัสสะยูฏีย์นี้ หมายถึง "หะดิษหะซัน" / ดู หนังสือ ฟัยฏุล ก่อดีร ของท่าน อัลมุนาวีย์ ซึ่งอธิบายหนังสือหะดิษ อัลญาเมี๊ยะอฺ อัศศ่อฆีร ของท่านอิมาม อัสสะยูฏีย์ เล่ม 1 หน้า 473

ท่าน อับดุรร๊อซซฺาก ได้กล่าวรายงานไว้ในหนังสือ อัลมุซันนัฟ ในบทที่ว่าด้วยเรื่อง การที่ชายคนหนึ่งได้ลูบหน้าของเขาเมื่อขอดุอา" ของท่านว่า

عبد الرزاق عن ابن جريح عن يحيي بن سعيد أن ابن عمر يبسط يديه مع القاص ، ودكروا أن من مضى كانوا يدعون ثم يردون أيديهم على وجوههم ليردوا الدعاء والبركة

" อัรร๊อซซฺาก ได้รายงาน จาก อิบนุ ญุรีจญฺ จาก ยะหฺยา บิน สะอีด ว่า แท้จริง ท่านอิบนุอุมัร ได้ทำการแผ่มือทั้งสองของท่านขึ้น พร้อมกับนักสุนทรพจน์ และพวกเขากล่าวว่า แท้จริง มันนานมาแล้วที่ พวกเขา(ซอฮาบะฮ์) ได้ทำการขอดุอาอ์ และพวกเขาเอามือไปลูบบนใบหน้าของพวกเขา เพื่อให้การวอนขอและความสิริมงคลกลับมา(สู่ใบหน้า)" ดู หนังสือ อัลมุซันนัฟ ของท่าน อับดุรร๊อซซฺาก เล่ม 2 หน้า 164 ตีพิมพ์ที่ ดารุลกุตุบ อัลอิลมียะฮ์

ท่านอับดุรร๊อซซฺากได้กล่าวอีกว่า

قال عبد الرزاق : رأيت أنا معمرا يدعو بيديه عند صدره ، ثم يرد يديه فيمسح وجهه

"อับดุรร๊อซซฺาก กล่าวว่า ฉันเห็น ท่านมะอฺมัร ทำการขอดุอาด้วยมือของเขา ที่วางไว้ระดับอก หลังจากนั้น เขานำสองมือกลับมา แล้วลูบที่ใบหน้าของเขา" ดู หนังสือ อัลมุซันนัฟ ของท่าน อับดุรร๊อซซฺาก เล่ม 2 หน้า 164 ตีพิมพ์ที่ ดารุลกุตุบ อัลอิลมียะฮ์

ท่านอัศศ๊อนอานีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า

"ในหะดิษนี้ เป็นหลักฐานที่ชี้ถึง การมีบัญญัติให้ทำการลูบหน้าด้วยสองมือ หลังจากเสร็จสิ้นการขอดุอาอ์ มีการกล่าวว่า มันเสมือนกับเป็นความประจวบเหมาะ ที่อัลเลาะฮ์ ตะอาลา ไม่ทรงทำให้มือทั้งสองของผู้ขอดุอาอ์ว่างเปล่า ซึ่งเสมือนกันเราะฮ์มะฮ์ความเมตตาได้ประสบกับมือทั้งสอง(ที่ทำการวอนขอ) ดังนั้น จึงประจวบเหมาะที่ดังกล่าวจะแผ่คลุมถึงใบหน้า ที่เป็นอวัยวะอันมีเกียตริที่สุด และเหมาะสมยิ่งในการให้เกียรติ " ดู หนังสือ สุบุสสลาม เล่ม 4 หน้า 708

นั่นคือทัศนะของเราครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การลูบหน้าหลังจากดุอา
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.พ. 16, 2007, 05:42 AM »
0
เปื้อนฝุ่น

อืมม....คุณ sunshine พูดดีมาก
การตัดสินใจปฏิบัติอาม้าลมีเหตุมีผล
ตามหลักฐาน และเลือกปฏิบัติที่อัฟฎอลแก่ตัวเอง
ได้ดีมากๆ เลย ครับ

ขอยกย่อง ณ ที่นี้ครับ

asan

ขอวิจารณืหะดิษ ที่คุณนุรุ้ลอิสลามอ้าง (ส่วนการกล่าวหาของเขาและการใช้ถ้อยคำ อันนี้ผู้อ่านวิจารณ์เอง)

السائب بن يزيد عن أبيه : أن رسول الله صلى الله عليه وسلم كان ادا دعا فرفع يديه ، مسح وجهه بيديه . وفيه ابن لهيعة

รายงานจากท่าน อัสสาอิบ บิน ยะซีด จากบิดาของเขา ว่า "แท้จริง เมื่อท่านร่อซุลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้ขอดุอาอ์ ท่านจะยกมือทั้งสอง แล้วเอามือทั้งสองขอท่านลูบที่ใบหน้า" ซึ่งในหะดิษนี้ มีนักรายงานที่ชื่อ อิบนุละฮีอะฮ์ / ดู หนังสือ อิบานะฮ์ อัลอะหฺกาม ชัรหฺ บุลูฆุลมะรอม เล่ม 4 หน้า 430
?????
วิจารณ์

أخرجه أبو داود (1492) قال المنذري في «مختصر سنن أبي داود» (2 / 144): في إسناده عـبد اللَّـه ابن لهيعة وهو ضعيف.اهـ.
หะดิษนี้บันทึกโดยอบีดาวูด หะดิษหมายเลข (1492) อัลมันซิรีย์ กล่าวไว้ใน มุคตะศอร์สุนันอบีดาวูด เล่ม 2 หน้า 144 ว่า ? ในสายสืบของมัน มี อับดุลลอฮ อิบนิ ละฮีอะฮ เขาผู้นี้ อ่อนหลักฐาน(เฎาะอีฟ)

...........
อินชาอัลลอฮ มีต่อ

asan

เพิ่มเติม
ท่านอัลหากิม ได้รายงาน จากท่านอิบนุอับบาสว่า

إدا سألتم الله فأسألوه ببطون أكفكم ولا تسألوه بظهورها وامسحوا بها وجوهكم

"เมื่อพวกท่านวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ ดังนั้น พวกท่านจงขอพระองค์ด้วยท้องฝ่ามือของพวกท่าน โดยอย่าขอด้วยหลังมือ และพวกท่านจงลูบใบหน้าด้วยมือของพวกท่าน" ดู อัลมุสติดร๊อก อะลา อัศศ่อฮีฮัยน์ ของท่าน อัลหากิม เล่ม 1 หน้า 719 - 720

วิจารณ์
ผมได้วิจารณ์ไปแล้วในหะดิษนี้จากอิบนิอับาส รายงานโดยอบีดาวูด


عن محمد بن كعب القرظي عن ابن عباس أن الرسول صلى الله عليه وسلم قال سلوا الله ببطون أكفكم ولا تسألوه بظهورها فإذا فرغتم فامسحوا بها وجوهكم
รายงานจากมุหัมหมัด บิน กะอับ อัลกอรซีย์ จากอิบนิอับบาส ว่า แท้จริง ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงขอต่ออัลลอฮ ด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และพวกท่านอย่าขอต่อพระองค์ ด้วยหลังมือของพวกท่าน แล้วเมื่อพวกท่าน เสร็จ(จากการขอดุอา)แล้ว ก็จงใช้มันลูบหน้า ของพวกท่าน. - รายงานโดยอบีดาวูด
อบูดาวูดกล่าวว่า

روي هذا الحديث من غير وجه عن محمد بن كعب كلها واهية وهذا الطريق أمثلها وهو ضعيف أيضاً .

หะดิษนี้ได้ถูกรายงาน จากกระแสรายงานอื่น จากมุหัมหมัด บิน กะอับ ซึ่งทั้งหมดนั้น หลักฐานอ่อน และกระแสรายงานนี้ ก็ในทำนองเดียวกัน และมันคือ หะดิษเฎาะอีฟ อีกเช่นกัน - เอานุ้ลมะอฺบูด เล่ม 4 หน้า 251
..............
ส่วนที่คุณนูรุ้ลอิสลามกล่าวว่า
หากมีก็ช่วยบอกผมด้วย เพราะจะได้รู้ไงว่า วะฮาบีย์นั้น มันมีบิดอะฮ์ศาสนาแบ่งออกเป็นสองอีก คือบิดอะฮ์ที่ตกนรก และบิดอะฮ์ที่ไม่ตกนรก
............
ตอบ
บิดอะฮเฏาะลาละฮ หากอัลลอฮ ไม่อภัยตกนรก ครับผม ส่วนประเด็น ทีมีหะดิษระบุไว้ แต่นักวิชาการมีทัศนะขัดแย้งกัน เกี่ยวกับฐานะของหะดิษ เช่น กลุ่มหนึ่งว่า เศาะเฮียะ และอีกกลุ่มว่า เฎาะอีฟ อันนี้ เราไม่ได้บอกว่า ประเด็นนี้ บิดอะฮเฎาะลาละฮ ครับท่าน แต่ถ้าอิบาดะฮใดที่ ไม่มีอัลกุรอ่านและหะดิษยืนยันเลย อันนี้ อย่าโกรธกันนะครับ เพราะมันเป็นบิดอะฮ ที่ไม่มีหะสะนะฮ (สำนวนนี้น่าจะไพเราะ กว่า บิดอะฮเฎาะลาละอ คงไม่โกรธน่ะ)


MUSTAKEEM
 
"แท้จริงสิ่งที่อนุมัตินั้นชัดแจ้ง สิ่งที่ต้องห้ามนั้นก็ชัดแจ้ง และในระหว่างทั้งสองสิ่งนั้น มีเรื่องที่คลุมเครือซึ่งผู้คนส่วนมากไม่รู้ ดังนั้นผู้ใดรักษาตัวเขาจากสิ่งที่คลุมเครือนั้นเขาได้ชำระตัวเขาในการปกป้องศาสนาและเกียรตของเขา ส่วนที่ตกลงไปในการกระทำที่คลุมเครือ เขาก็ได้ตกลงไปในเรื่องที่ต้องห้าม เช่นเดียวกับผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์รอบๆ ที่ดินที่ต้องห้ามไม่ช้ามันก็จะเข้าในนั้น......................" หะดิษ บันทึกโดย บุคอรีและมุสลิม
คำเตือนจากฮะดิษ ข้างต้นแสดงว่าให้ห่างๆ จากสิ่งที่ไม่ ศอเหี๊ยะ ถูกต้องไม่ครับ สมมุติว่าคุณ ลังเลว่าการเอาน้ำละหมาดของคุณนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง นั้นแสดงว่าคุณต้องกลับไปเอาอีกที่ หรือถ้าคุณลังเลว่าคุณเป็นมุสลิมหรือกาฟีร นั้นแสดงว่าคุณนั้นต้องตกอยู่ในกาเฟร "วัลอียาซูบิลละห์"

asan
دع ما يريبك إلى ما لا يريبك". (رواه الترمذي والنسائي، وقال الترمذي: حديث حسن صحيح

จงทิ้งสิ่งที่คลุมเครือ ไปสู่สิ่งที่มั่นใจ - รายงานโดย อัตติรมิซียและอัลนะสาอีย์,และอัตติรมิซีย์กล่าวว่า เป็นหะดิศฮะซัน เศาะเฮียะ
.............
ด้วยเห็นนี้ เราจึงไม่เอาหะดิษเฎาะอีฟมาเป็นหลักฐาน

IRF

เดี๋ยวจะตอบกระทู้ตามที่สัญญาไว้ ก็ส่วนหนึ่ง ท่านนักศึกษาทั้งหลายและบัง asan ก็ได้ตอบไปแล้ว
ก็เรียนให้ผู้อ่านและผู้ถามเข้าใจว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องหลงผิด ฎอลาละฮฺแต่ประการใด มันเป็นปัญหาของฟิกฮฺ
ซึ่งขอให้ทุกท่านเลือกเอาสิ่งที่ชัดที่สุด ไม่คลุมเครือไปปฏิบัติ

และผมก็ไม่ขอเถียงอะไรอีก เพราะขอข้ามไปเรื่องประเด็นใหญ่กระทูอื่นๆเลย เพราะไม่มีเวลามากช่วงนี้


หะดีษที่ว่าด้วยการยกมือขอดุอาอฺ

**โปรดทราบว่าซอฮาบะฮฺนั้นมีคุณลักษณะอย่างหนึ่งคือ จะจดจำและรายงานอิบาดะฮฺของท่านรอซูลอย่างละเอียดทุกกริยาท่าทาง แต่ปรากฏว่าไม่มีการรายงานถึงการลูบหน้าเลย
**สำหรับการขอดุอาอฺนั้น หากสถานการณ์ไหนที่มีการยกมือ ซอฮาบะฮฺก็จะรายงานทันทีว่า ?ขอดุอาอฺพร้อมกับยกมือทั้งสอง? นี่คือความละเอียดอ่อนของซอฮาบะฮฺ เราจึงรู้ได้เลยว่า หากไม่มายงาน นั่นหมายความว่าท่านรอซูลไม่ได้กระทำ

หะดีษที่ 1
ท่านซาลิม อิบนุ อับดุลลอฮฺเล่าว่า ?แท้จริง ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัรฺได้ขว้างญัมเราะตุดดุนยา ด้วยหินก้อนเล็กจำนวนเจ็ดก้อน พร้อมกล่าวตักบีรฺทุกครั้งที่ขว้างก้อนหิน จากนั้นท่านรอซูล ศ็อลฯ ได้ก้าวออกมายืนข้างหน้า ยืนบริเวณที่สะดวก หันหน้าไปทางกิบละฮฺ ท่านรอซูล ศ็อลฯ ยืนป็นเวลานานในสภาพที่ ขอดุอาอฺพร้อมกับยกมือทั้งสองของท่าน ต่อมาท่านรอซูล ศ็อลฯ ขว้างญัมเราะตุลวุสฏอ เช่นเดียวกัน(กับเสากินต้นแรก) จากนั้นท่านรอซูล ศ็อลฯ ขยับมาทางด้านซ้าย บริเวณี่สะดวกโดยยืนหันหน้าไปทางกิบละฮฺ ท่านรอซูล ศ็อลฯ ยืนเป็นเวลานาน ในสภาพที่ ขอดุอาอฺพร้อมกับยกมือทั้งสองของท่าน ต่อมาท่ารอซูล ศ็อลฯ จึงขว้างญัมเราะตุลอะเกาะบะฮฺทางด้านหุบเขา แต่ท่านไม่หยุดยืน (ขอดุอาอฺเหมือนกับต้นแรกกับต้นที่สอง) และเขาก็กล่าวว่า ดังกล่าวนี้แหละที่ฉันเห็นท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ ได้กระทำเช่นนั้น? < บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 1633-1634, นะซาอีย์ หะดีษที่ 3033, อิบนุ มาญะฮฺ หะดีษที่ 3023, อะหฺมัด หะดีษที่ 4147, อัดดาริมีย์ หะดีษที่ 1824, บัยหะกีย์ หะดีษที่ 9755 และ อิบนุ หิบบาน หะดีษที่ 3887 >

(นั่นคือความละเอียดอ่อนในการรายงานของซอฮาบะฮฺ และผู้ที่จะพิจารณาเข้าใจได้ง่ายๆก็คือคนที่มีความละเอียดอ่อน โดยไม่ใช้อารมณ์หรือนัฟซู)

หะดีษที่ 2
ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่า ?ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ ได้มุ่งหน้าเข้านครมักกะฮฺ ท่านจึงมุ่งไปยังหินดำ แล้วท่านก็สัมผัสหินดำ จากนั้นท่านก็เฏาะวาฟ ท่านรอซูล ศ็อล ฯ จึงมาที่ภูเขาเศาะฟาแล้วขึ้นไปยังภูเขา โดยมองปังบัยตุลลอฮฺพร้อมกับ ยกมือทั้งสอง รำลึกถึงพระองค์อัลลอฮฺในสิ่งที่ท่านรอซูล ศ็อลฯ ต้องการจะรำลึกและขอดุอาอฺยังพระองค์? < บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 1869, อะหฺมัด หะดีษที่ 10565 แลบัยหะกีย์ หะดีษที่ 18782 >

หะดีษที่ 3
ท่านอนัส เล่าว่า ?ปรากฏว่าท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ จะไม่ยกมือ(ขึ้นสูง) ขอสิ่งหนึ่งในดุอาอฺของท่าน ยกเว้นดุอาอฺขอฝน ซึ่งท่านจะยกมือทั้งสองสูงจนกระทั่งเห็นความขาวของรักแร้ของท่าน? < บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่1490, มุสลิมหะดีษที่ 1491, นะซาอีย์ หะดีษที่ 1496, อบูดาวูด หะดีษที่ 895, อัดดาริมีย์ หะดีษที่ 1492, อิบนุ มาญะฮฺ หะดีษที่ 1180, อิบนุ ฮิบบาน หะดีษที่ 2863, อิบนุ คุซัยมะฮฺ หะดีษที่ 1791, ฮากิม หะดีษที่ 1220, อะหฺมัด หะดีษที่ 12456, อบู ยุอฺลา หะดีษที่ 3066 และบัยหะกีย์ หะดีษที่ 6541 >

หะดีษที่ 4
ท่านอบูมูซา เล่าว่า ?ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ เรียกหาน้ำ แล้วท่านก็อาบน้ำละหมาด จากนั้นท่านก็ได้ยกมือทั้งสองของท่านพร้อมกับกล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านอุบัยด์ อบูอามิรฺ, ฉันเห็นความขาวของรักแร้ของท่านนบี ศ็อลฯ และท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวต่อไปอีกว่า โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงโปรดทำให้เขาอยู่เหนือผู้คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในวันกิยามะฮฺด้วยเถิด? < บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 5904, มุสลิม หะดีษที่ 4554 และอะหฺมัด หะดีษที่ 18746 >

หะดีษที่ 5
ท่านมาลิก อิบนุ ยะซารเล่าว่า แท้จริงทานรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า ?เมื่อพวกท่านขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ ดังนั้น พวกท่านจงขอด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และพวกท่านอย่าขอพระองค์ด้วยหลังมือของพวกท่าน? < บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 1271, หะดีษซอเฮี้ยฮฺ เล่มที่ 2 หน้า 144 หะดีษที่ 595 >

เหล่านี้เป็นหะดีษซอเฮี้ยฮฺ และสิ่งที่ได้รับจากที่หะดีษว่าด้วยการยกมือเหล่านี้คือ
1. ทำให้รู้ว่าซอฮาบะฮฺมีความละเอียดในการรายงานขั้นตอนในการศาสนกิจของท่านรอซูล
2. ทำให้รู้ว่าการยกมือนั้น แต่และสถานการณ์ ท่านรอซูลก็จะมีการยกที่ต่างกันไปเฉพาะจุดเฉพาะเรื่อง (หรือในหะดีษอื่นๆในการขอดุอาอฺในสถานการณ์อื่นๆท่านก็จะงดการยกมือ)
3. ทำให้รู้ว่าในสถานการณ์ที่มีการยกมือนั้น ก็ไม่ได้มีรายงานถึงการลูบหน้าแต่ประการใด
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การลูบหน้าหลังจากดุอา
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.พ. 16, 2007, 05:44 AM »
0
IRF

ทีนี้มาดู
หะดีษที่ว่าด้วยการลูบหน้า พร้อมข้อมูลของสถานะหะดีษ

หะดีษที่ 1
อ้างจาก ท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสละมะฮฺ > จากท่าน อับดุลมาลิก อิบนุ มุฮัมมัด อิบนุ อัยมัน > จากท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนุ ยะอฺกูบ อิบนุ อิสหาก > จาก บุคคลหนึ่ง > จาก มุฮัมมัด อิบนุ กะอฺบ์ อัลกุเราะซีย์ > จากท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส > ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า
?พวกท่านจงขอดุอาอฺต่อพระองค์อัลลอฮฺด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และพวกท่านอย่าขอพระองค์ด้วยหลังมือ ครั้นพวกท่านเสร็จสิ้นการขอ พวกท่านจงลูบหน้าของพวกท่านด้วยฝ่ามือ? < บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 1482 บทว่าด้วยเรื่องการขอดุอาอฺ >
ข้อบกพร่องของหะดีษข้างต้น
1. นักรายงานหะดีษที่ชื่ออับดุลมาลิก อิบนุ มุฮัมมัด อิบนุ อัยมัน เป็นบุคคลที่มัจญ์ฮูล (หมายถึงนักรายงานหะดีษท่ไม่ถูกรู้จักตัวตน บุคลิกภาพ หรือรู้จักบุคลิกภาพของเขาแต่ไม่รู้จักนิสัยใจคอของเขา เช่นเป็นผู้ที่ฟาสิกหรือไม่ เป็นบุคคลที่มีความจำดีหรือไม่ - หนังสือ ตัยซีรุ มุซเฏาะละฮิลหะดีษ หน้า 120 ) ท่านฮาฟิซ กล่าวในหนังสือของเขาที่ชื่อ ตักรียุตตะฮฺซีบ เขาอยู่ในลำดับที่ 4208 และหนังสือ อัลกาชิฟ ลำดับที่ 3506 กล่าวว่าเขาเป็นบุคคลที่ฎออีฟ
2. นักรายงานหะดีษที่ชื่ออับดุลลอฮฺ อิบนุ ยะอฺกูบ อิบนุ อิสหาก เป็นบุคคลที่มัจญ์ฮูลุลฮาล (หมายถึงบุคคลที่นักรายงานหะดีษสองคนหรือมากกว่าสองคนรายงานหะดีษจากเขา แต่ทว่าเขาไม่ถูกทำให้เชื่อถือได้ หุกุมของการรายงานหะดีษถือเป็นโมฆะ ซึ่งเป็นมติของอุละมาอฺส่วนใหญ่ - ตัยซีรุ มุซเฏาะละฮิลหะดีษ หน้า 121) เขาอยู่ในสถานะตาบิอีนรุ่นเล็ก เผ่าตระกูลอัลมะดะนีย์ อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ และในหนังสือตักรีบุตตะฮฺซีบของท่านอิบนุ หะญัรฺ กล่าวอย่างนั้นเช่นกัน เขาอยู่ใน อันดับที่ 372
3. ท่านอบูดาวูด กล่าวว่า หะดีษข้างต้นถือว่าฎออีฟ และสายรายงานที่มีท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ ยะอฺกูบ ถือว่าฎออีฟเช่นกัน มีระบุไว้ในหนังสือ เอานุลมะอฺบูด เล่ม 4 หน้า 251
4. ชัยคุลหะดีษ มุฮัมมัด นาซิรุดดีน อัลบานีย์บอกว่าเป็นหะดีษฎออีฟ หนังสือ ฎออีฟุ สุนะนิอบีดาวูด หน้า 146 หะดีษที่ 318
5. ท่านอัลบานีย์ยังได้กล่าวว่า ?หะดีษดังกล่าวถือว่า ฎออีฟญิดดัน (อ่อนอย่างมาก) ด้วยการเพิ่มประโยคที่ว่า และพวกท่านจงลูบหน้าของพวกท่านด้วยฝ่ามือ เพราะฉันไม่พบหลักฐานมายืนยันนะกระทั่งปัจจุบัน? < หนังสือ ซิลซิละตุล อะหาดีษิซซอเฮี้ยฮฺ เล่ม 2 หน้า 146 >
6. หะดีษบทนี้ที่ซอเฮี้ยฮฺ มาจากท่านมาลิก อิบนุ ยะซาร เล่าว่า ท่านรอซูลกล่าวว่า ว่า ?เมื่อพวกท่านขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ ดังนั้น พวกท่านจงขอด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และพวกท่านอย่าขอพระองค์ด้วยหลังมือของพวกท่าน? < บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 1271, หะดีษซอเฮี้ยฮฺ เล่มที่ 2 หน้า 144 หะดีษที่ 595 > ไม่มีประโยคว่า พวกท่านจงลูบหน้าของพวกท่านด้วยฝ่ามือ อันนี้เป็นการเพิ่มเข้าไปเองของนักรายงานที่ฎออีฟ

หะดีษที่ 2
อ้างจากท่านอบูบักรฺ อิบนุ อบีนัซริ อัลมะรูซีย์ > จากท่าน อบุล มุวัจญะฮฺ > จากท่าน สะอีด อิบนุ ฮุบัยเราะฮฺ > จากท่าน วะฮีบ อิบนุ คอลิด > จากท่าน ซอและฮฺ อิบนุ ฮัยยาน > จากท่าน มุฮัมมัด อิบนุ กะอ์บฺ > จากท่าน อิบนุ อับบาส > ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า
?เมื่อพวกท่าน ขอดุอาอฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ ดังนั้น พวกท่านจงขอต่อพระองค์ด้วยฝ่ามือของพวกท่าน และพวกท่านอย่าขอด้วยหลังมือ และพวกท่านจงลูบหน้าของพวกท่านด้วยฝ่ามือ? < บันทึกโดยฮากิม หะดีษที่ 1968 บทคว่าด้วยการขอดุอาอฺ, การตักบีรฺ, การตะฮฺลีล, ตัสเบี๊ยฮฺ, และการซิเกรฺ >
ข้อบกพร่องของหะดีษข้างต้น
นักรายงานหะดีษคนที่ชื่อ ซอและฮฺ อิบนุ ฮัยยาน เผ่าตระกูลอัลกุเราะซีย์ อาศัยอยู่เมืองกูฟะฮฺ เป็นบุคคลที่ฎออีฟ และเป็นบุคคลที่ไม่ทันซอฮาบะฮฺ

หะดีษที่ 3
อ้างจาก ท่าน มุฮัมมัด อิบนุ อัซซิบาหฺ > จากท่าน อาอิซ อิบนุ หะบีบ > จากท่าน ซอและฮฺ อิบนุ ฮัซซาน > จากท่าน มุฮัมมัด อิบนุ กะอ์บฺ อัลกุเราะซีย์ > จากท่าน อิบนุ อับบาส > ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า
?เมื่อท่านขอดุอาอฺต่อพระองค์อัลลอฮฺ ดังนั้น ท่านจงขอด้วยฝ่ามือของท่าน และอย่าขอดุอาอฺด้วยหลังมือของท่าน และเมื่อท่านเสร็จสิ้นการขอ ท่านจงลูบหน้าของท่านด้วยฝ่ามือทั้งสอง? < บันทึกโดยอิบนุ มาญะฮฺ หะดีษ 3866 บทว่าด้วยารยกมือขอดุอาอฺ >
ข้อบกพร่องของหะดีษข้างต้น
1. นักรายงานหะดีษที่ชื่อ ซอและฮฺ อิบนุ ฮัซซาน เป็นบุคคลที่มัตรูก (หมายถึง บุคคลที่ได้รับการกล่าวหาวาเป็นผู้โกหกต่อหะดีษของท่านนบี หรือเป็นจอมโกหก) ชื่อรองคืออบูฮาริษ สถานะเป็นตาบิอีน รุ่นอาวุโสเผ่าตระกูลอันนะเฎาะรีย์ อัลมะดะนีย์ พำนักที่เมืองอัลบัศเราะฮฺ และจากหนังสือตักบีรุตตะฮฺซีบ ซึ่งเขาอยู่ในลำดับที่ 2849 และหนังสือ อัลญะเราะฮฺ วัตตะอฺดีล กล่าวว่า เขาเป็นบุคคลที่ฎออีฟ และมุงกัรฺ ในเรื่องหะดีษ มีนักรายงานหะดีษซึ่งมีความผิดอันเลวทราม หรือเป็นบุคคลที่มากไปด้วยความเลินเล่อ และพลั้งเผลอ หรือเป็นบุคคลที่แสดงอกซึ่งพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนอย่างชัดจน ? หนังสือ ตัยซีรุ มุซเฏาะละฮิลหะดีษ หน้า 95
2. อิหม่ามบุคอรีย์กล่าวว่า ท่านซอและฮฺ อิบนุ ฮัซซาน อัลมะดะนีย์ อัลอันซอรีย์ มุงกะรุลหะดีษ ? หนังสือ มัสฮุลมัจฮิ บิลยะดัยนี บะอฺดะร็อฟอิฮิมา ลิดดุอาอฺ หน้า 20
3. นักรายงานหะดีษอีกท่านหนึ่งชื่อ อาอิซ อิบนุ หะบีบ เขาเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชีอะฮฺ สถานะเป็นตาบิอีนรุ่นเล็ก เผ่าตระกูลอัลอะบะซีย์ มีชื่อรองว่า อบูอะหฺมัด พำนักอยู่ที่เมืองกูฟะฮฺ สิ้นชีวิตในปีพ.ศ.ที่ 190
4. ชัยคุลหะดีษ อัลบานีย์ กล่าวว่า หะดีษข้างต้น ถือว่าเป็นหะดีษฎออีฟ จากหนังสือ ฎออีฟุซุนะนิบนาญะฮฺ หน้า 316 หะดีษที่ 779

หะดีษที่ 4
อ้างจากท่าน อบูมูซา มุฮัมมัด อิบนุ มุษันนา > จากท่าน อิบรอฮีม อิบนุยะอฺกูบและบุคคลอื่น > จากท่าน ฮัมมาด อิบนุ อีซา อัลญุฮะนีย์ > จากท่าน ฮันเซาะละฮฺ อิบนุ อบูซุฟฟาน อัลญุมะฮีย์ > จากท่าน ซาลิม อิบนุ อับดุลลอฮฺ > จากท่าน อับดุลลอฮฺ > จากท่าน อุมัรฺ อิบนุ ค็อฏฏอบ
?เมื่อท่านรอซูล ศ็อลฯ ยกมือทั้งสองของท่านในการขอดุอาอฺ ท่านรอซูล ศ็อลฯ จะไม่วางมือลงจนกว่าจะลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของท่านเสียก่อน? < บันทึกโดยติรมีซีย์ หะดีษที่ 3610 บทว่าด้วยกายกมือทั้งสองขณะขอดุอาอฺ และฮากิม หะดีษที่ 1967 บทว่าด้วยการขอดุอาอฺ>
ข้อบกพร่องของหะดีษข้างต้น
1. นักรายงานหะดีษที่ชื่อ ฮัมมาด อิบนุ อีซา อิบนุ อุบัยดะฮฺ บุคคลที่ฎออีฟ สถานะของเขาคือตาบิอีนรุ่นเล็ก เผ่าตระกูล อัลญุฮะนีย์ พำนักที่เมืองฮีต สิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. ที่ 208 และหนังสือ ตักรีบุต ตะฮฺซีบ กล่าวอย่างนั้นเช่นกัน เขาอยู่ในลำดับที่ 1503
2. หนังสือ ตุหฺฟะตุลอะหฺวะซีย์ เล่ม 9 หน้า 232 หะดีษที่ 3610 อธิบายว่า ท่านฮัมมาต อิบนุ อีซาเป็นบุคคลที่ฎออีฟ
3. อบูฮาติม, อบูดาวูด, ฮากิม, อัดดารุกุฏนีย์ และอิบนุ ฮิบบาน พวกเขากล่าวเกี่ยวกับหะดีษข้างต้นว่าเป็นหะดีษฎออีฟ ? หนังสือ อิรฺวาอุลฆอลีล เล่ม 2 หน้า 178 หะดีษที่ 433
4. ชัยคุลหะดีษ อัลบานีย์ ถือว่าเป็นหะดีษฎออีฟ จากหนังสือ ฎออีฟุซุนะนิต ติรฺมีซีย์ หน้า 442 หะดีษที่ 671

หะดีษที่ 5
อ้างจากท่าน อับดรฺเราะซาก > จากท่าน มะอฺมัรฺ > จากท่าน อัซซุฮฺรีย์
?ปรากฏว่าท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ จะยกมือทั้งสองประมาณหน้าอกของท่านในขณะดุอาอฺ จากนั้นท่านรอซูล ศ็อลฯ จะลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของท่าน? < บันทึกโดย อับดุรเราะซาก หะดีษที่ 3234 บทว่าด้วยการยกมือทั้งสองในขณะขอดุอาอฺ >
ข้อบกพร่องของหะดีษข้างต้น
1. นักรายงานหะดีษที่ชื่อ อัซซุฮฺรีย์ อยู่ในถานะตาบิอีน ไม่ได้เป็นซอฮาบะฮฺ จึงไม่ทันพบท่านรอซูลุลลอฮฺ แต่ท่านอ้างว่าได้ฟังจากท่านรอซูลได้อย่างไร??
2. หะดีษข้างต้นถือว่ามุรฺซัล(หมายถึงสายรายงานหะดีษไปสิ้นสุดที่ตาบิอีน และตาบิอีนผู้นั้นกล่าวอ้างถึงท่านรอซูลุลลอฮฺ ข้อชี้ขาดของหะดีษุมรซัลคือหะดีษ ฎออีฟและต้องปฏิเสธ)


หะดีษที่ 6
อ้างจาก ท่าน กุตัยบะฮฺ อิบนุ สะอีด > จากท่าน อิบนุ ละฮีอะฮฺ > จากท่าน หิฟซ์ อิบนุ ฮาชิม อิบนุ อุตบะฮฺ อิบนุ อบี วักกอซ > จากท่าน ซาอิบ อิบนุ ยะซีด > จากท่าน ยะซีด
?เมื่อท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ ขอดุอาอฺ ดังนั้น ท่านจะยกมือทั้งสอง(และ) ลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของท่าน? < บันทึกโดย อบูดาวูด หะดีษที่ 1275 บทว่าด้วยการละหมาด และอะหฺมัด หะดีษที่ 17264 >
ข้อบกพร่องของหะดีษข้างต้น
1. นักรายงานที่ชื่อ อิบนุ ละฮีอะฮฺเป็นบุคคลที่สับสน ภายหลังตำราของเขาถูกเผา ชื่อเต็มของเขาคือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ ละฮีอะฮฺ อิบนุ อุกบะฮฺ สถานะเป็นตาบิอีนรุ่นอาวุโส สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.ที่ 143
2. นักรายงานหะดีษที่ชื่อหิฟซ์ อิบนุ ฮิม เป็นบุคคลที่มัจญ์ฮูลสถานะเป็นตาบิอีน
3. เชคอัลบานีย์ ถือว่าเป็นหะดีษฎออีฟ จากหนังสือ ฎออีฟุซุนะนิ อบีย์ ดาวูด หน้า 146 หะดีษที่ 320
4. ท่านอัลบานีย์ยังกล่าวอีกว่าสายสืบของหะดีษข้างต้นฎออีฟ เนื่องจากท่านหิฟซ์ อิบนุ ฮาชิม เป็นบุคคลที่มัจญ์ฮูล และท่านอิบนุ ละฮีอะฮฺ เป็นบุคคลที่ฎออีฟ ? หนังสือ อิรฺวาอุลฆอลีล เล่ม 2 หน้า 178-179
5. หนังสือ เอานุล มะอฺบูด เล่ม 4 หน้า 253 อธิบายสำนวนหะดีษ ?ดังนั้น ท่านรอซูล ศ็ฮลฯ จะยกมือทั้งสอง(และ) ลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของท่าน? ว่าสายสืบหะดีษที่มีนักรายงานชื่อ อับดุลลอฮฺ อิบนุ ละฮีอะฮฺ เป็นบุคคลที่ฎออีฟ

หะดีษที่ 7
อ้างจาก ท่าน อบูมุสลิม อัลกะญีย์ > จากท่าน อัลเกาะนะบีย์ > จากท่าน อีซา อิบนฺ ยูนุส > จากท่าน อิบรอฮีม อิบนุ ยะซีด > จากท่าน อัลวะลีด อิบนุ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อบี มุฆีษ > จาก ตาบิอีน > ซอฮาบะฮฺ > ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า
?เมื่อบุคคลหนึ่งในหมู่พวกท่านขอดุอาอฺ ดังนั้นให้เขายกมือทั้งสองของเขา แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงประทานความจำเริญและความเมตตาบนมือทั้งสองของเขา ดังนั้นเขาจะไม่วางมือทั้งสองลงจนกว่าจะลูบหน้าด้วยมือของเขาทั้งสองเสียก่อน? <บันทึกโดย ฏ็อบรอนีย์ บทว่าด้วยการขอดุอาอฺ >
ข้อบกพร่องของหะดีษข้างต้น
1. นักรายงานหะดีษที่ชื่ออัลวะลีด อิบนุ อับดุลลอฮฺ อิบนิ อบี มุฆีษ เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ (หนังสือ ตักรีบุตตะฮฺซีบ ลำดับที่ 7438) แต่ไม่ทันพบซอฮาบะฮฺ เผ่าตระกูลอัลอับดะรีย์ หะดีษข้างต้นจึงถือว่าเป็นหะดีษมุอฺฎ็อล(หมายถึงสายรายงานหะดีษไม่ต่อเนื่องกัน กล่าวคือ สายรายงานขาดตอนสองช่วงหรือมากกว่านั้น ?หนังสืออุศูลุลหะดีษ หน้า 362) กล่าวคือท่านอัลวะลีดเกิดไม่ทันพบรอซูล แต่อ้างฟังมาจากท่านรอซูลได้อย่างไร?? หะดีษข้างต้นขาดตอนสองช่วงด้วยกันคือ ช่วงของตาบีอีนและช่วงของซอฮาบะฮฺ
2. นักรายงานหะดีษที่ชื่ออิบรฮีม อิบนุ ยะซีด อัลเคาซีย์ อยู่ในสถานะตาบิอีนอาวุโส เผ่าตระกูลอัลอะมะวีย์ มีชื่อรองว่า อบู อิสมาอีล และมีสมญานามว่า อัลเคาซีย์ สิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. 151 เป็นบุคคลที่มัตรูก, ท่านยะหฺยา อิบนุมะอีน กล่าวว่า เขาเป็นบุคคลที่เชื่อถือไม่ได้

หะดีษที่ 8
อ้างจาก ท่าน ฏอฮิรฺ อิบนุ ยะหฺยา อัลฟะละกีย์ > จากท่าน อะหฺมัด อิบนุ มุอาซ > จากท่าน สะฮฺล์ อิบนุ อัมมาร > จากท่าน อัลญารูด อิบนุ ยะซีด > จากท่าน อุมัรฺ อิบนุ ซัรฺริน > จากทาน มุญาฮิด > จากท่าน อิบนุ อุมัรฺ > ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ กล่าวว่า
?แท้จริง พระผู้อภิบาลของท่าน ผู้ทรงละอาย ผู้ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พระองค์ทรงละอายขณะที่บ่าวของยกมือทั้งสองขอดุอาอฺแล้ววางมือในสภาพที่ว่างเปล่า โดยไม่มีความดีบนมือทั้งสองนั้น ดังนั้นเมื่อบุคคลหนึ่งในหมู่พวกท่านยกมือทั้งสองของเขา จงกล่าวว่า โอ้ผู้ทรงชีวิน โอ้ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งหลาย ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ยกเว้นพระองค์เท่านั้น โอ้ ผู้ทรงเมตตายิ่งกว่าผู้เมตตาทั้งหลาย กล่าวเช่นนั้นสามครั้ง จากนั้นเมื่อจะวางมือทั้งสองของเขาลงจงให้ความดีสิ้นสุดที่ใบหน้าของเขา?
< บันทึกโดยฏ็อบรอนีย์, หนังสือ อัลกามิล ฟิฎฎุอะฟา ลำดับที่ 433 และบันทึกในหนังสือ มัจญ์มุอุซซะวาอิด เล่มที่ 10 หน้า 169 บทว่าด้วยการขอดุอาอฺ>
(แต่งสำนวนซะไพเราะเพราะพริ้ง ..แต่..) ข้อบกพร่องของหะดีษข้างต้น
นักรายงานหะดีษที่ชื่อ อัลญารูด อิบนุยะซีด เป็นบุคคลที่มักรูก (หนังสือ มัสฮุลมัจฮิ บิลยะดัยนิ บะอฺดะร็อฟอิฮิมา ลิดดุอาอฺ หน้า 22) ,ท่านอิบนุ อบีฮาติม กล่าวในหนังสือ อัลญะเราะฮฺ วัตตะอฺดีว่า ?ฉันได้ยินพ่อของฉันเล่าว่า เขา(ท่านญารูด) เป็นบุคคลที่มุงกะรุลหะดีษ และท่านอิหม่ามบุคอรีย์กล่าวว่า เขาเป็นบุคคลที่มุงกะรุลหะดีษเช่นกัน? (หนังสือ มัสฮุลมัจฮิ บิลยะดัยนิ บะอฺดะร็อฟอิฮิมา ลิดดุอาอฺ หน้า 23)


ซอฮาบะฮฺลูบหน้าหรือไม่?
การลูบหน้าภายหลังการยกมือขอดุอาอฺของบรรดาซอฮาบะฮฺ เราไม่พบร่องรอยพวกเขากระทำเช่นนั้น และจำต้องออกห่างจากการเผยแผ่แนวทางนั้น ภายหลังจากที่ไม่ปรากฏหลักฐานจากแนวทางนั้น (หนังสือ มัสฮุลมัจฮิ บิลยะดัยนิ บะอฺดะร็อฟอิฮิมา ลิดดุอาอฺ หน้า 73)

การลูบหน้านั้นเริ่มมีปรากฏในยุคแรกๆ แต่สำหรับทัศนะของนักวิชาการสลัฟนั้น?
1. อิหม่ามมาลิก อิบนฺ อนัส อัลอัศบะฮีย์ สิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. ที่ 179 ท่านมะรูซีย์ กล่าวในหนังสือละหมาดวิตรฺ หน้า 236 ว่า ?อิหม่ามมาลิก (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) เคยถูกถามเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของเขาภายหลังกาขอดุอาอฺ อิหม่ามมาลิกปฏิเสธสิ่งดังกล่าว พลางกล่าวว่า ฉันไม่ทราบ(ถึงหลักฐาน)?
2. อิหม่ามอับดุลลอฮฺ อิบนฺ มุบาร็อก สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 181 ในการบันทึกของท่านบัยหะกีย์ เล่ม 2 หน้า 212 สายสืบ หะดีษไปยังท่าน อัลบาชานีย์ เขาเล่าว่า ?ฉันถามท่านอับดุลลอฮฺ (หมายถึงท่านอิบนุ มุบาร็อก) เกี่ยวกับการขอดุอาอฺแล้วลูบหน้า เขากล่าวว่า ฉันไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่าด้วยเรื่องดังกล่าว ท่านอะลีย์กล่าวว่า ฉันไม่เคยพบว่าเขา(ท่านอิบนุ มุบาร็อก) กระทำเช่นนั้น (หมายถึงยกมือขอดุอาอฺแล้วลูบหน้า) และปรากฏว่าท่านอิบนุ มุบาร็อก อ่านดุอาอฺกุนูตภายหลังจากกุกัวะในละหมาดวิตรฺ เขาจะยกมือทั้งสองของเขา?
3. อิหม่ามอะหฺมัด อิบนิ ฮัมบัล สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 248 ท่านมะรูซีย์กล่าวในหนังสือละหมาด หน้า 236 ไว้ว่า ?ฉันฟังคำตอบของท่านอะหฺมัดขณะที่เขาถูกถามเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของเขาภายหลัง (ยกมือกุนูตวิตรฺ) เขากล่าวตอบว่า ฉันไม่เคยได้ยินสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และฉันไม่เห็นอิหม่ามอะหฺมัดกระทำเช่นนั้น?

**อนึ่ง การยกมือทั้งสองในการขอดุอาอฺกุนูต มีหลักฐานอันชัดเจนจากท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ ที่ขอดุอาอฺกุนูตเพื่อสาปช่างมุชิกีนที่ฆ่าฮาฟิซ 70 คน เป็นเวลาเดือนเต็มๆ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าท่านนบีและซอฮาบะฮฺมีการลูบหน้า**

ทัศนะของนักวิชาการคอลัฟบางท่านว่าด้วยการลูบหน้า?
**ประการแรกไม่สามารถอ้างได้ว่า หะดีษฎออีฟหลายๆอันมารวมกันก็ถือว่าใช้ได้ เพราะหะดีษบางต้นนั้นฎออีฟญิดดัน หะดีษขาดตอน อีกทั้งยังรายงานคนละเหตุการณ์กัน
อีกประการคือหากจะโต้แย้ง วิธีโต้คือต้องยกหะดีษซอเฮี้ยฮฺและหะซันเท่านั้น และต้องอ้างด้วยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบ เพื่อจะได้ให้ผู้คนได้เลือกเอาจากนักหะดีษที่น่าเชื่อถือมากกว่าในทัศนะของเขา**

1. ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 676 กล่าวไว้ในหนังสือ ?มัจญ์มูอฺ? ว่าไม่มีแบบอย่างให้กระทำเช่นนั้น ?ไม่มีแบบฉบับนเรื่องารลูบภายหลังการขอดุอาอฺเมื่ออยู่นอกละหมาด?
2. ท่านอัลอิซซุ อิบนุ อับดุสสลาม สิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. 660 จากหนังสือของท่านคือ ฟัยฎุลเกาะดีรฺ เล่ม 1 หน้า 369 ท่านกล่าวว่า ?ไม่มีบุคคลใดกระทำเช่นนั้น นอกจากบุคคลที่เขลาเท่านั้น?
3. อิหม่ามบัยหะกีย์ เจ้าของหนังสือ สุนนะนุลกุบรอ สิ้นชีวิตในปีฮ.ศ. ที่ 458 ซึ่งหนังสือดังกล่าว เล่ม 2 หน้า 212 เขียนไว้ว่า ?การลูบหน้าด้วยมือทั้งสองภายหลังเสร็จสิ้นการขอดุอาอฺ ฉันไม่เคยจดจำเรื่องดังกล่าวจากบุคคลหนึ่งในบรรดาชนรุ่นก่อน(สลัฟ) ไม่ว่าจะลูบหน้าหลังดุอาอฺกุนูต และถึงแม้ว่าจะรายงานปรากฏบางคนจากพวกเขากระทำขณะขอดุอาอฺนอกละหมาดก็ตามแน่นอนมีรายงานหะดีษเกี่ยวกับสิ่งนั้นจากท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ เช่นกัน แต่เป็นหะดีษฎออีฟ? (แต่ตัวท่านเองก็ยอมรับว่า นอกละหมาดก็มีผู้ปฏิบัติลูบหน้าเช่นกัน)
4. เชคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ สิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. ที่ 727 กล่าวในหนังสือฟะตาวา เล่ม 22 หน้า 519 ซึ่งตอบคำถามไว้ว่า ?การยกมือทั้งสองของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ ขณะขอดุอาอฺ มีปรากฏในหะดีษซอเฮี้ยฮฺเป็นจำนวนมาก ส่วนการลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของท่าน ไม่ปรากฏหลักฐานจากท่านรอซูล ศ็อลฯ นอกจากจะมีเพียงหะดีษหรือสองหะดีษเท่านั้น ซึ่งทั้งสองหะดีษข้างต้นก็ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงได้เช่นกัน วัลลอฮุอะลัม?
5. ท่านฟัยรูซ อาบาดีย์ สิ้นชีวิตในปี อ.ศ. 817 เขากล่าวในบทว่าด้วยการลูบหน้าด้วยมือทั้งสองภายหลังการขอดุอาอฺว่าไม่พบหะดีษซอเฮี้ยฮฺ

< ทั้งหมด จากหนังสือ ?มัสฮุลวัจญ์ฮิ บิยะดัยนิ บะอฺดะร็อฟ อะฮุมา ลิดดุอาอ หน้า 53-57 >

----------
หากมีหลักฐาน มีการชี้แจงที่ดีกว่า ก็ช่วยชี้แจงด้วย (หลักฐานนำนะ ไม่ใช่ฟัตวาอุละมาอฺนำ) ไม่ใช่อะไรครับ
เราเองก็จะได้เปลี่ยนทัศนะตามด้วยถ้าเจอหลักฐานที่ชัดกว่า เพราะเรื่องนี้มันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ เป็นแค่เรื่องคิลาฟียะฮฺเท่านั้น ไม่ใช่เรื่อง ฎอลาละฮฺ


คนที่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์มากที่สุดก็คือคนที่เรียนหรือศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ คนที่เชี่ยวชาญเรื่องพืชมากที่สุด ก็คือคนที่เรียนเกี่ยวกับพืช
เช่นเดียวกันศาสนาอิสลาม นั้นแบ่งเป็นหลายศาสตร์หลายแขนง
และนี่คือศาสตร์ของหะดีษครับ และประชาชนที่ไม่ได้รับการศึกษาศาสนานักก็กรุณาอย่าเข้าใจผิดว่า ถ้าได้ร่ำเรียนมาแล้วล่ะก็จะรู้จะอาลิมไปซะหมดทุกเรื่อง คือต่อให้ด็อกเตอร์ด้วยครับ ถ้าไม่ได้เรียนศาสตร์ของหะดีษอย่างเชี่ยวชาญจริงๆก็หมดสิทธิ์ครับ หมดสิทธิ์ออกมาวิพากวิจารณ์เรื่องหะดีษ เพราะมีแต่จะทำให้ศาสนาเสียหายด้วย (แม้แต่อุละมาอฺที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายๆท่านก็ไม่ใช่ผู้รู้ในสาขาของหะดีษ ก็ทำให้มีบางฟัตวาที่ค้านกับซุนนะฮฺของท่านรอซูล)

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของวิชาหะดีษล้วนๆครับ ไอ้พวกเราไม่ใช่นักหะดีษ ก็หมดสิทธิ์ครับ ไม่มีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ดังนั้นอุละมาอฺจึงแนะนำว่าสำหรับผู้ที่ไม่รู้วิชาการหะดีษ ก็ให้ตักลีดนักหะดีษที่น่าเชื่อถือ ก็ไม่มีความผิดแต่ประการใด หรือหากพอจะใช้ปัญญาวิเคราะห์เลือกเอาจากนักหะดีษหลายคนก็สามารถทำได้
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
การลูบหน้าหลังจากดุอา
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.พ. 16, 2007, 05:49 AM »
0
นูรุ้ลอิสลาม

คุณอะสันกล่าวว่า

ขอวิจารณืหะดิษ ที่คุณนุรุ้ลอิสลามอ้าง (ส่วนการกล่าวหาของเขาและการใช้ถ้อยคำ อันนี้ผู้อ่านวิจารณ์เอง)

السائب بن يزيد عن أبيه : أن رسول الله صلى الله عليه وسلم كان ادا دعا فرفع يديه ، مسح وجهه بيديه . وفيه ابن لهيعة

รายงานจากท่าน อัสสาอิบ บิน ยะซีด จากบิดาของเขา ว่า "แท้จริง เมื่อท่านร่อซุลุลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้ขอดุอาอ์ ท่านจะยกมือทั้งสอง แล้วเอามือทั้งสองขอท่านลูบที่ใบหน้า" ซึ่งในหะดิษนี้ มีนักรายงานที่ชื่อ อิบนุละฮีอะฮ์ / ดู หนังสือ อิบานะฮ์ อัลอะหฺกาม ชัรหฺ บุลูฆุลมะรอม เล่ม 4 หน้า 430
?????
วิจารณ์

أخرجه أبو داود (1492) قال المنذري في &laquo;مختصر سنن أبي داود&raquo; (2 / 144): في إسناده عـبد اللَّـه ابن لهيعة وهو ضعيف.اهـ.
หะดิษนี้บันทึกโดยอบีดาวูด หะดิษหมายเลข (1492) อัลมันซิรีย์ กล่าวไว้ใน มุคตะศอร์สุนันอบีดาวูด เล่ม 2 หน้า 144 ว่า ? ในสายสืบของมัน มี อับดุลลอฮ อิบนิ ละฮีอะฮ เขาผู้นี้ อ่อนหลักฐาน(เฎาะอีฟ)

ผมขอกล่าวว่า

ผมว่าความจริงแล้ว คุณอะสันไม่น่าจะอ้างอิงการนำเสนอข้างต้นมาแล้ว ก็นำมาวิจารณ์ เพราะจุดที่คุณอะสันน่าจะนำมาอ้างอิงนั้น คือการวิจารณ์ของผมที่ว่า

"ซึ่งท่านอิบนุละฮีอะฮ์นั้นไม่ถึงระดับเป็นผู้ความจำดีเลิศและถูกวิจารณ์จากนักหะดิษ และถ้าหากว่าเราได้อ่านหนังสือหะดิษ "อัลมัจญฺมะอ์ อัซซะวาอิด" ของท่าน นูรุดดีน อัลฮัยษะมีย์ เราจะพบว่าท่าน อัลฮัยษะมีย์จะกล่าววิจารณ์ อิบนุละฮีอะฮ์ว่า إبن لهيعة حسن الحديث (อิบนุละฮีอะฮ์นั้น หะดิษดี) "

ตรงนี้ต่างหากละครับ ที่สมควรนำมาอ้างอิงแล้วพิจารณา เนื่องจากอิบนุละฮีอะฮ์นี้ อุลามอาหะดิษได้มีความเห็นแตกต่างกันในตัวของเขา บางท่านบอกเขาฏออีฟแต่ไม่มาก นักหะดิษบางท่าน เช่นท่าน อัลฮัยษะมีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มัจญฺมะอ์ อัลซะวาอิด เกือบทุก ๆ หน้าที่มีชื่อท่านอิบนุละฮีอะฮ์ว่า ท่านอิบนุละฮีอะฮ์นั้น إبن لهيعة حسن الحديث (อิบนุละฮีอะฮ์นั้น หะดิษดี) เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะต้องพิจารณาอย่างใจเป็นธรรมว่า หะดิษที่มีท่าน อิบนุ ละฮีอะฮ์รายงานนั้น สามารถนำมาสนับสนุนให้อยู่ระดับหะซัน ตามท่าน อัลหาฟิซฺ อิบนุหะญัรและท่าน อัลหาฟิซฺ อัสสะยูฏีย์ ได้หุกุ่มว่าเป็น หะดิษหะซัน โดยทำการวิจารณ์หะดิษ ตามนัยยะของหลักพิจารณาหะดิษของโลกอิสลาม

sunshine

ความเห็นส่วนตัว...คิดว่า ผู้รู้ทั้งหลาย ก็มีหน้าที่ของผู้รู้....มาเขียน มาแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้กันที่นี่

แต่เราๆท่านๆ ที่ไม่ใช่ทั้งผู้รู้ หรือ นักวิชาการ(ทางศาสนา)...ก็ขอเป็นคนอ่านไปเรื่อยๆละกัน...แต่ยังงัยเสีย..ถึงจะไม่ใช่ผู้รู้....ถ้าอ่านแล้ว ก็เอากลับไปคิด ไปช่างน้ำหนักว่า อันไหนมีเหตุมีผลมากกว่ากัน ก็ทำตามนั้น...ย้ำ...อ่านแล้วคิดด้วย...ก็คิดโดยใช้ความสามารถที่ตัวเองมีนั่นหล่ะ...อย่าเล่นหลับหูหลับตาเชื่อ...เพียงเพราะเราชอบไม่ชอบกลุ่มใดเป็นพิเศษ

ใครอยากลูบหน้า ก็ลูบไป..
ใครไม่อยากก็ไม่ต้องลูป...

ผู้รู้เค้ารู้ดี ว่าเค้าทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เพราะอะไร ยึดหลักการหรือหลักฐานข้อไหน... ที่หน้ากลัวก็ผู้ไม่รู้เนี๊ยะแหล่ะ...เพราะไม่รู้ เลยหลับหูหลับตา ยึด กับความรู้ของ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือ นักวิชาการเพียงกลุ่มเดียวนั่นหล่ะ.... (blind faith)

สุดท้าย เราๆท่านๆ ที่ไม่รู้ ก็พยายามหาความรู้กันไป อย่าหยุดนะค่ะ... เรื่องศาสนา จะทำให้เป็นเรื่องยากส์มันก็ยากส์อยู่..หรือจะทำให้เป็นเรื่องง่ายก็ได้...ผลกรรมหรือผลตอบแทน...จะได้รับหลังจากเราตายไปแล้ว ..เพราะงั้น โต้แย้งกันเพื่อให้คนทั่วไปตราหน้าว่าเราถูก และอีกคนผิด...มันไม่ได้อะไรเลยจริงๆ นอกจากความแตกแยกเปล่าๆ


ที่เขียนอย่างนี้ เพราะเท่าที่อ่าน....มันก้ำกึ่งระหว่าง การโต้แย้งเพราะความถูกต้อง...กับ...การโต้แย้งเพื่อเอาชนะ..

พี่น้องๆทั้งหลาย....ข้อมูลที่เขียนในกระทู้นี้ เพียงพอสำหรับผู้อ่านทั้งหลายที่เค้าจะตัดสินใจว่า อยากหรือไม่อยากลูปหน้า....เพราะงั้น เราเอาเวลาไปคุยเรื่องใหม่ๆดีมั้ยค่ะ.อย่างเช่น...ตกลงเรื่องที่เคยถามว่า ผู้ชาย...จำเป็นต้องไม่โกนหนวด??? หรือ ใครอยากไว้หรือไม่ไว้ก็ได้กันแน่??? ฮิฮิ...เรื่องนี้ ไม่ค่อยให้เห็นเค้าคุยกัน...

นูรุ้ลอิสลาม

ถึงคุณไออาเอฟครับ สิ่งที่คุณนำเสนอมาทั้งหมดนั้น เราก็ไม่ได้คัดค้านแต่ประการใด เนื่องจากผมได้บอกตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว่า หะดิษเกี่ยวกับการลูบหน้าหลังดุอาอ์นั้น ไม่มีหะดิษซอฮิหฺระบุไว้ ซึ่งแน่นอนว่า หากเราทำการนำหะดิษออกมาวิจารณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับประเด็นนี้ ก็สามารถวิจารณ์ให้ทุกหะดิษแหละครับ แต่การวิจารณ์สายรายงานบางท่านนั้นยังไม่เป็นธรรมมากนัก เนื่องจากว่านักรายงานบางท่าน มีทั้งการชมเชยและถูกวิจารณ์ จึงไม่เหมาะสมที่จะไปหุกุ่มเขาว่าฏออีฟอย่างเด็ดขาด แต่ผมไม่จำเป็นที่จะต้องทำการวิจารณ์เนื่องจากหะดิษต่าง ๆ เหล่านั้น ไม่ถึงขั้นระดับซอฮิหฺอยู่แล้ว

คุณไออาเอฟพยายามนำเสนอหะดิษแบบแยกกัน เพื่อให้หะดิษทั้งหมดคงความฏออีฟเอาไว้ และไม่นำหลักวิจารณ์หะดิษของบรรดาอุลามาอ์หะดิษทั้งหมดมาเสนออย่างเปิดกว้าง แต่ตามหลักการวิชาหะดิษแล้วนั้น หากสามารถรวมได้ ก็ให้ทำการรวมเพื่อยกระดับและไม่ทำให้หะดิษต้องเปล่าประโยชน์ ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างแนวทางของคุณและผมก็คือ คุณพยายามแยกหะดิษออกจากกัน และเรายึดทัศนะที่พยายามรวมหะดิษเพื่อยกระดับขั้นให้เป็น หะดิษหะซัน ตามทัศนะของ อะมีรุลมุอ์มินีน ในวิชาหะดิษ คือท่านอิบนุหะญัร และท่านอิมามอัสสะยูฏีย์

คุณไออาเอฟกล่าวว่า

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของวิชาหะดีษล้วนๆครับ ไอ้พวกเราไม่ใช่นักหะดีษ ก็หมดสิทธิ์ครับ ไม่มีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ดังนั้นอุละมาอฺจึงแนะนำว่าสำหรับผู้ที่ไม่รู้วิชาการหะดีษ ก็ให้ตักลีดนักหะดีษที่น่าเชื่อถือ ก็ไม่มีความผิดแต่ประการใด หรือหากพอจะใช้ปัญญาวิเคราะห์เลือกเอาจากนักหะดีษหลายคนก็สามารถทำได้
ผมขอกล่าวว่า

เราไม่ใช่เป็นนักหะดิษครับ แต่เราสามารถวิจารณ์หะดิษได้ หากเราเรียนวิชาหลักพิจารณาหะดิษและวิชาตัครีจญฺหะดิษ (วิชาว่าด้วยเรื่องการวิจารณ์ตัวบทและสายรายงานของหะดิษ) แต่ถือว่าถูกต้องครับ หากว่าเราไม่ใช่อุลามาอ์หะดิษ เราก็สมควรตามอุลามาอ์หะดิษที่น่าเชื่อถือ

คุณไออาเอฟกล่าวว่า

การลูบหน้านั้นเริ่มมีปรากฏในยุคแรกๆ แต่สำหรับทัศนะของนักวิชาการสลัฟนั้น?
1. อิหม่ามมาลิก อิบนฺ อนัส อัลอัศบะฮีย์ สิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. ที่ 179 ท่านมะรูซีย์ กล่าวในหนังสือละหมาดวิตรฺ หน้า 236 ว่า ?อิหม่ามมาลิก (เราะฮิมะฮุลลอฮฺ) เคยถูกถามเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของเขาภายหลังกาขอดุอาอฺ อิหม่ามมาลิกปฏิเสธสิ่งดังกล่าว พลางกล่าวว่า ฉันไม่ทราบ(ถึงหลักฐาน)?
2. อิหม่ามอับดุลลอฮฺ อิบนฺ มุบาร็อก สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 181 ในการบันทึกของท่านบัยหะกีย์ เล่ม 2 หน้า 212 สายสืบ หะดีษไปยังท่าน อัลบาชานีย์ เขาเล่าว่า ?ฉันถามท่านอับดุลลอฮฺ (หมายถึงท่านอิบนุ มุบาร็อก) เกี่ยวกับการขอดุอาอฺแล้วลูบหน้า เขากล่าวว่า ฉันไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่าด้วยเรื่องดังกล่าว ท่านอะลีย์กล่าวว่า ฉันไม่เคยพบว่าเขา(ท่านอิบนุ มุบาร็อก) กระทำเช่นนั้น (หมายถึงยกมือขอดุอาอฺแล้วลูบหน้า) และปรากฏว่าท่านอิบนุ มุบาร็อก อ่านดุอาอฺกุนูตภายหลังจากกุกัวะในละหมาดวิตรฺ เขาจะยกมือทั้งสองของเขา?
3. อิหม่ามอะหฺมัด อิบนิ ฮัมบัล สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 248 ท่านมะรูซีย์กล่าวในหนังสือละหมาด หน้า 236 ไว้ว่า ?ฉันฟังคำตอบของท่านอะหฺมัดขณะที่เขาถูกถามเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งลูบหน้าด้วยมือทั้งสองของเขาภายหลัง (ยกมือกุนูตวิตรฺ) เขากล่าวตอบว่า ฉันไม่เคยได้ยินสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และฉันไม่เห็นอิหม่ามอะหฺมัดกระทำเช่นนั้น?

ผมขอกล่าวว่า

การที่อุลามาอ์ท่านหนึ่งไม่รู้สิ่งใดสิ่งนั้น ไม่ใช่หมายความว่ามันไม่มีสิ่งนั้น หรืออีกสำนวนหนึ่งก็คือ การที่อุลามาอ์ท่านหนึ่งไม่รู้ว่ามีหลักฐานยืนยันไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่าหลักฐานนั้นจะไม่มีเสมอไป เนื่องจากมนุษย์นั้น ไม่ใช่จะรู้ไปหมดเสียทุกอย่าง เนื่องจากมีหลายประเด็นที่อุลามาอ์บางท่านไม่รู้ แต่ภายหลังเขาก็รับสายรายงานนั้น ๆ และก็มาเปลี่ยนทัศนะ อย่างเช่นกรณีเรื่องลูบหน้านี้ คุณไออาเอฟอ้างอิงการไม่รู้ของอุลามาอ์ 3 ท่าน คือ อิมามมาลิก บิน อะนัส ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ มุบาร๊อก และท่านอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล แต่หากเรากลับไปเปิดหนังสือ อัลมุซันนัฟ ของท่าน อับดุรร๊อซซาก บทที่ว่าด้วยเรื่อง

باب مسح الرجل وجهه بيده ادا دعا

"การที่ชายผู้หนึ่งลูบใบหน้าด้วยมือของเขาเมื่อขอดุอา"

เราจะพบว่า บรรดาสะลัฟก็ทำกัน ตามที่ผมได้นำเสนอไปแล้ว ดังนี้

ท่าน อับดุรร๊อซซฺาก ได้กล่าวรายงานไว้ในหนังสือ อัลมุซันนัฟ ในบทที่ว่าด้วยเรื่อง การที่ชายคนหนึ่งได้ลูบหน้าของเขาเมื่อขอดุอา" ของท่านว่า

عبد الرزاق عن ابن جريح عن يحيي بن سعيد أن ابن عمر يبسط يديه مع القاص ، ودكروا أن من مضى كانوا يدعون ثم يردون أيديهم على وجوههم ليردوا الدعاء والبركة

" อัรร๊อซซฺาก ได้รายงาน จาก อิบนุ ญุรีจญฺ จาก ยะหฺยา บิน สะอีด ว่า แท้จริง ท่านอิบนุอุมัร ได้ทำการแผ่มือทั้งสองของท่านขึ้น พร้อมกับนักสุนทรพจน์ และพวกเขากล่าวว่า แท้จริง มันนานมาแล้วที่ พวกเขา(ซอฮาบะฮ์) ได้ทำการขอดุอาอ์ และพวกเขาเอามือไปลูบบนใบหน้าของพวกเขา เพื่อให้การวอนขอและความสิริมงคลกลับมา(สู่ใบหน้า)" ดู หนังสือ อัลมุซันนัฟ ของท่าน อับดุรร๊อซซฺาก เล่ม 2 หน้า 164 ตีพิมพ์ที่ ดารุลกุตุบ อัลอิลมียะฮ์

ท่านอับดุรร๊อซซฺากได้กล่าวอีกว่า

قال عبد الرزاق : رأيت أنا معمرا يدعو بيديه عند صدره ، ثم يرد يديه فيمسح وجهه

"อับดุรร๊อซซฺาก กล่าวว่า ฉันเห็น ท่านมะอฺมัร ทำการขอดุอาด้วยมือของเขา ที่วางไว้ระดับอก หลังจากนั้น เขานำสองมือกลับมา แล้วลูบที่ใบหน้าของเขา" ดู หนังสือ อัลมุซันนัฟ ของท่าน อับดุรร๊อซซฺาก เล่ม 2 หน้า 164 ตีพิมพ์ที่ ดารุลกุตุบ อัลอิลมียะฮ์


คุณไออาเอฟกล่าวว่า

ทัศนะของนักวิชาการคอลัฟบางท่านว่าด้วยการลูบหน้า?
**ประการแรกไม่สามารถอ้างได้ว่า หะดีษฎออีฟหลายๆอันมารวมกันก็ถือว่าใช้ได้ เพราะหะดีษบางต้นนั้นฎออีฟญิดดัน หะดีษขาดตอน อีกทั้งยังรายงานคนละเหตุการณ์กัน

อีกประการคือหากจะโต้แย้ง วิธีโต้คือต้องยกหะดีษซอเฮี้ยฮฺและหะซันเท่านั้น และต้องอ้างด้วยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบ เพื่อจะได้ให้ผู้คนได้เลือกเอาจากนักหะดีษที่น่าเชื่อถือมากกว่าในทัศนะของเขา**

1. ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ. 676 กล่าวไว้ในหนังสือ ?มัจญ์มูอฺ? ว่าไม่มีแบบอย่างให้กระทำเช่นนั้น ?ไม่มีแบบฉบับนเรื่องารลูบภายหลังการขอดุอาอฺเมื่ออยู่นอกละหมาด?

ผมขอกล่าวว่า

คุณจะนำคำกล่าวของท่านอิมามนะวาวี(ร.ฮ.) มาอ้างอิง เพื่อบอกให้รู้ว่าอิมามนะวาวีย์ก็ปฏิเสธเรื่องการลูบหน้า โดยอ้างเพียงแค่บางส่วนของหนังสือมัจญฺมั๊วะอฺย่อมไม่ได้ เนื่องจากอิมามอันนะวาวีย์ มีทัศนะว่า สุนัตให้ทำการลูบหน้าถัดจากดุอาอ์ เนื่องจากท่านอิมามนะวาวีย์มีทัศนะว่า หะดิษฏออีฟ สามารถนำมาปฏิบัติในเรื่องคุณงามความดีได้ โดยเฉพาะในหนังสือมัจญฺมั๊วะนั้น ท่านอิมามนะวาวีย์ ได้กล่าวไว้หลายจุดด้วยกันว่า หะดิษฏออีฟ สามานำมาปฏิบัติในเรื่องคุณงามความดีได้ ตราบใดที่ไม่เมาฏั๊วะ
เพราะท่านอิมามนะวาวีย์ ได้กล่าวทัศนะของท่านไว้ตั้งแต่ช่วงต้น ๆ หนังสืออัลอัซการแล้วว่า

فصل‏:‏ قال العلماءُ من المحدّثين والفقهاء وغيرهم‏:‏ يجوز ويُستحبّ العمل في الفضائل والترغيب والترهيب بالحديث الضعيف ما لم يكن موضوعاً‏

" บรรดาปวงปราชน์จากนักหะดิษ , ฟิกห์ , และท่านอื่น ๆ กล่าวว่า อนุญาติ และสุนัตให้ปฏิบัติในเรื่องคุณงามความดี การส่งเสริม และทำให้มีความกลัวเกรง ด้วยกับหะดิษฏออีฟ ตราบใดที่มันไม่เป็นหะดิษเมาฏั๊วะ"

ท่านอิมามอันนะวาวีย์(ร.ฏ.) เอง ก็ได้กล่าวหุกุ่มนี้ไว้ในหนังสือ อัลอัซการ เช่นกันว่า

أداب الدعاء عشرة الأول .........................(الثالث) إستقبال القبلة ورفع اليدين ويمسح بهما وجهه فى أخره

"บรรดามารยาทการขอดุอาอ์มี 10 ประการ หนึ่ง.......................(สาม) หันหน้าไปทางกิบละฮ์ ยกมือทั้งสอง และลูบหน้าด้วยมือทั้งสอง ในตอนท้ายของอุดาอ์" ดู หนังสือ อัลฟุตูหาต อัรร๊อบบานียะฮ์ อะลา อัลอัซกาซ อันนะวาวียะฮ์ เล่ม 7 หน้า 246 - 247 ตีพิมพ์ดารุลฟิกรฺ


คุณไออาเอฟกล่าวว่า

**ประการแรกไม่สามารถอ้างได้ว่า หะดีษฎออีฟหลายๆอันมารวมกันก็ถือว่าใช้ได้ เพราะหะดีษบางต้นนั้นฎออีฟญิดดัน หะดีษขาดตอน อีกทั้งยังรายงานคนละเหตุการณ์กัน
อีกประการคือหากจะโต้แย้ง วิธีโต้คือต้องยกหะดีษซอเฮี้ยฮฺและหะซันเท่านั้น และต้องอ้างด้วยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบ เพื่อจะได้ให้ผู้คนได้เลือกเอาจากนักหะดีษที่น่าเชื่อถือมากกว่าในทัศนะของเขา**

ผมขอกล่าวว่า

การบอกว่า "วิธีโต้ คือต้องยกหะดิษซอเฮี๊ยะหฺและหะซันเท่านั้น" อันนี้ผมขอคัดค้านสักนิดครับ คือการจะยกหะดิษซอฮิหฺ หรือหะดิษหะซัน(โดยตัวของมันเอง)นั้น ย่อมไม่ได้ตามหลักวิชาการหะดิษ เนื่องจากหะดิษหนึ่งอาจจะเป็นหะดิษซอฮิหฺโดยถูกยกระดับขึ้นมา และบางหะดิษเป็นหะดิษหะซันเพื่อถูกยกระดับขึ้นมาจากหะดิษฏออีฟ และผู้นำนักหะดิษ (อะมีรุลมุอฺมินีน ฟิลหะดิษ) เช่นท่าน อัลหาฟิซฺ อิบนุหะญัร และอิมามอัศสะยูฏีย์ ได้ทำการตรวจสอบและรับรองไว้แล้วว่า เป็นหะดิษหะซัน เพราะมีหลายสายรายงานมาสนับสนุน

คุณไออาเอฟกล่าวว่า

3. อิหม่ามบัยหะกีย์ เจ้าของหนังสือ สุนนะนุลกุบรอ สิ้นชีวิตในปีฮ.ศ. ที่ 458 ซึ่งหนังสือดังกล่าว เล่ม 2 หน้า 212 เขียนไว้ว่า ?การลูบหน้าด้วยมือทั้งสองภายหลังเสร็จสิ้นการขอดุอาอฺ ฉันไม่เคยจดจำเรื่องดังกล่าวจากบุคคลหนึ่งในบรรดาชนรุ่นก่อน(สลัฟ) ไม่ว่าจะลูบหน้าหลังดุอาอฺกุนูต และถึงแม้ว่าจะรายงานปรากฏบางคนจากพวกเขากระทำขณะขอดุอาอฺนอกละหมาดก็ตามแน่นอนมีรายงานหะดีษเกี่ยวกับสิ่งนั้นจากท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลฯ เช่นกัน แต่เป็นหะดีษฎออีฟ? (แต่ตัวท่านเองก็ยอมรับว่า นอกละหมาดก็มีผู้ปฏิบัติลูบหน้าเช่นกัน)

ผมขอกล่าวว่า

การอ้างคำกล่าวของท่าน อัลบัยฮะกีย์ เพื่ออ้างว่าท่านอัลบัยฮะกีย์ไม่ยอมรับทัศนะการลูบหน้าหลังดุอา โดยยกประเด็นคำพูดของท่านอัลบัยฮะกีย์เกี่ยวกับ การลูบหน้าในตอนกุนูตนั้น ย่อมไม่ได้ เนื่องจาก ประเด็นการลูบหน้าในดุอากุนูต กับลูบหน้าในดุอาอ์ทั่วไปนั้น มันคนละประเด็นกัน ดังนั้น เราจะเอาคำวิจารณ์เรื่องดุอากุนูต ไปโยงกับเรื่องดุอาอ์ทั่วไป แล้วอ้างเป็นทัศนะของอิมามบัยฮะกีย์นั้นย่อมไม่ได้ครับ

คุณไออาเอฟกล่าวว่า

2. ท่านอัลอิซซุ อิบนุ อับดุสสลาม สิ้นชีวิตในปี ฮ.ศ. 660 จากหนังสือของท่านคือ ฟัยฎุลเกาะดีรฺ เล่ม 1 หน้า 369 ท่านกล่าวว่า ?ไม่มีบุคคลใดกระทำเช่นนั้น นอกจากบุคคลที่เขลาเท่านั้น?

ผมขอกล่าวว่า

หนังสือฟัยฏุลเกาะดีรฺ เล่ม 1 หน้า 369 นั้น ไม่ใช่เป็นหนังสือของท่าน อัลอิซฺ อิบนุ อับดุสสลาม แต่เป็นหนังสือของท่าน อัลมุนาวีย์ ผู้อธิบายหนังสือ ญาเมี๊ยะอฺ อัซซ่อฆีร ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ และท่านอัลมุนาวีย์ ได้ถ่ายทอดคำกล่าวของท่าน อัลอิซซฺ บิน อับดุสสลาม เท่านั้นเอง และทัศนะของ อัลอิซซฺ บิน อับดุสลาม นี้ บรรดาอุลามาอ์ได้ให้การโต้ตอบไว้หลายท่าน แต่ผมไม่อยากนำมา เพราะว่าสิ่งที่คุณไออาเอฟนำเสนอทัศนะของท่าน อัลอิซซฺ นั้น ก็ถือว่าเป็นทัศนะหนึ่งของท่านเท่านั้น


นูรุ้ลอิสลาม

เพิ่งกลับมาธุระ ก็อยากขอสนทนาเสริมอีกสักนิด เพื่อให้เรา ๆ มีความเข้าใจต่อจุดยืนแต่ละทัศนะนะครับ คือทัศนะฝ่ายที่ไม่ลูบหน้านั้น ไม่ปฏิบัติหะดิษฏออีฟ และได้นำเสนอหะดิษต่าง ๆ พร้อมทำการวิจารณ์ และแยกแต่ละหะดิษออกจากกันเพื่อคงความฏออีฟเอาไว้ แต่ทัศนะที่สุนัตให้ลูบหน้าได้นั้น อย่างน้อย พวกเขาก็มีทัศนะที่อนุญาติให้ปฏิบัติคุณงามความดีด้วยหะดิษที่ฏออีฟ ตราบใดที่ไม่ฏออีฟ แต่ประเด็นลูบหน้านี้ ทัศนะที่ลูบหน้า ได้ทำการรวบหะดิษโดยมาสนับสนุนซึ่งกันและกัน จนถึงขั้นระดับหะซัน เช่นหะดิษที่รายงานโดยท่านติรมีซีย์ ซึ่งท่านอิบนุหะญัร ได้รับรองไว้ว่า เป็นหะดิษหะซัน เพราะมีบรรดาหะดิษต่าง ๆ มาสนับสนุน และหะดิษที่รายงานโดยท่านอัลหากิม ซึ่งท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ได้รับรองว่าเป็นหะดิษหะซัน นั่นคือบทสรุปจากสิ่งที่ทั้งสองทัศนะได้ทำการนำเสนอหลักฐานและหลักการของตน

แต่ประเด็นเรื่องลูบหน้านี้ เป็น "ประเด็นคิลาฟียะฮ์" ซึ่งทัศนะที่ไม่ลูบหน้าจะไปบับคับหรือแสดงความไม่พอใจกับผู้ลูบหน้าไม่ได้ และทัศนะที่ลูบหน้าจะไปตำหนิทัศนะที่ไม่ได้ลูบหน้าไม่ได้ เพราะมันเป็น ประเด็นคิลาฟียะฮ์ ซึ่ง อัลอัซฮะรีย์ ได้นำเสนอมาแล้วข้างต้นได้อย่างถูกต้องเลยทีเดียวว่า

เรื่องประเด็นคิลาฟียะฮ์ทางฟิกห์นั้น สะลัฟและอุลามาอ์เขาบอกเอาไว้ว่า

ท่านอบู นุอัยม์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า " เมื่อท่านเห็นบุรุษท่านหนึ่งได้ปฏิบัติอะมัลหนึ่งที่นักปราชญ์ฟิกห์มีความเห ็นแตกต่างกัน และท่านก็มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น ท่านจงอย่าไปห้ามเขา " ดู หุลยะตุล เอาลิยาอฺ เล่ม 6 หน้า 367

ท่านอัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า " สิ่งที่บรรดานักปราชญ์ฟิกห์มีความเห็นขัดแย้งกันนั้น ฉันจะไม่ห้ามคนหนึ่งคนใดจากบรรดาพี่น้องของฉัน ให้เอากับทัศนะนั้น " ดู อัลฟะกีฮ์ วะ อัลมุตะฟักกิฮ์ เล่ม 2 หน้า 69

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า " แท้จริงบรรดานักปราชญ์นั้น จะตำหนิในเรื่องที่มีมติให้ทำการตำหนิ แต่สำหรับสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้น ย่อมไม่มีการตำหนิแต่ประการใด " ดู ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม 20 หน้า 225

والسلام

MUSTAKEEM

เป็นไปได้มั้ยหากว่าเราจะจัดจำพวก ฮะดิษ ฎออิฟ ให้อยู่ในความคลุมเครือ ?


sufriyan

รู้สึกว่าเราๆท่านๆเดี๋ยวนี่จะเก่งกว่าอูลามอฮาดิษที่ทั่วโลกเค้ายอมรับนะ ดีจัง

IRF

ท่านอบู นุอัยม์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า " เมื่อท่านเห็นบุรุษท่านหนึ่งได้ปฏิบัติอะมัลหนึ่งที่นักปราชญ์ฟิกห์มีความเห ็นแตกต่างกัน และท่านก็มีทัศนะอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น ท่านจงอย่าไปห้ามเขา " ดู หุลยะตุล เอาลิยาอฺ เล่ม 6 หน้า 367

ท่านอัลคอฏีบ อัลบุฆดาดีย์ รายงานถึง ท่านอิมาม ซุฟยาน อัษเษารีย์ ท่านกล่าวว่า " สิ่งที่บรรดานักปราชญ์ฟิกห์มีความเห็นขัดแย้งกันนั้น ฉันจะไม่ห้ามคนหนึ่งคนใดจากบรรดาพี่น้องของฉัน ให้เอากับทัศนะนั้น " ดู อัลฟะกีฮ์ วะ อัลมุตะฟักกิฮ์ เล่ม 2 หน้า 69

ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า " แท้จริงบรรดานักปราชญ์นั้น จะตำหนิในเรื่องที่มีมติให้ทำการตำหนิ แต่สำหรับสิ่งที่ขัดแย้งกันนั้น ย่อมไม่มีการตำหนิแต่ประการใด " ดู ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม 20 หน้า 225

والسلام

ก็ต้องขอยืนยันอีกครั้งว่าถูกต้องครับ เห็นด้วยกับนักปราชญ์ที่กล่าวถึงเรื่องนี้

al-azhary

กระทู้นี้ แม้ช่วงกลาง ๆ จะดูดุเดือดไปหน่อย แต่ตอนจบก็ยุติด้วยดี ถ้าทุก ๆ กระทู้ที่เกี่ยวกับปัญหาคิลาฟิยะฮ์จบลงอย่างนี้ ก็จะดีไม่น้อย

ชญานนท์

ก็นั่นนะดิ ใช้คารมย์ถกเถียง โต้แย้งกันหน้าดำ หน้าแดงกันอยู่ได้ตั้งนาน ผมเอาเวลาอันมีค่าของพวกเราๆท่าน ๆ ไปช่วยกันพัฒนาสังคมของอิสลามจะดีกว่านะครับ อิสลามจะได้เจริญขึ้น ๆ ไม่เป็นเช่นดังทุกวันนี้

แต่ถ้าอยากจะโต้แย้ง ถกเถียงกันจริง ๆแล้วหล่ะก็.....โน่นนน เชิญเลยครับ ผมเห็นคุณสงสัยกำลังรวบรวมเหล่าบรรดาทหารกล้าไปรบกับกลุ่ม ชีอะห์เรื่อง " อะกิดะห์ " อยู่นะครับ อันนั้นผมจะไม่ว่าเลยสักคำ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 12, 2007, 09:50 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged